2 พฤษภาคม 2556
ตลาดชุดนักเรียน/อุปกรณ์การเรียนตบเท้าปรับราคาขึ้นรับเปิดเทอม ผู้ผลิตโอดต้นทุนค่าวัตถุดิบ – ค่าแรงขึ้นแบกรับไม่ไหว “แบรนด์จุฬา” เผยต้องปรับราคา 20 บาทต่อชุด พร้อมอัดกลยุทธ์เรียกความมั่นใจแข่งแบรนด์ดัง
ขณะที่ “สเต็ดเล่อร์” ซุ่มขึ้นราคาตั้งแต่ปลายปีก่อนหลังราคาไม้ทะยานขึ้น ด้านนันยาง ย้ำไม่ปรับราคาขึ้น เหตุคุมเข้มต้นทุน ด้านโรงเรียนเอกชน ชี้งบสนับสนุนรัฐสุดเขียม ชุดอนุบาลแค่ 300 บาท ส่วนชุดประถมแค่ 360 บาท
นางชญาณิศา ลิ้มดำเนิน ผู้ผลิตและจำหน่ายชุดนักเรียนแบรนด์ “จุฬา” เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ตลาดชุดนักเรียนได้รับผลกระทบจากภาวะต้นทุนวัตถุดิบสำหรับการตัดเย็บชุดนักเรียน อาทิ ผ้า , กระดุม เป็นต้น ที่ทยอยปรับเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่ปีก่อนในอัตรา 5-10% ต่อเนื่องมาจนถึงปีนี้ที่มีต้นทุนค่าแรงงานขั้นต่ำที่ปรับขึ้นเป็น 300 บาทต่อวัน ส่งผลให้ต้องปรับราคาขายเพิ่มเป็น 10 บาทต่อชิ้นหรือ 20 บาทต่อชุด โดยปัจจุบันชุดนักเรียนแบรนด์จุฬามีราคาชุดละ 185 -340 บาท
ทั้งนี้ราคาขายที่ปรับเพิ่มขึ้นทำให้ชุดนักเรียน “จุฬา” ต้องวางแผนปรับกลยุทธ์การตลาดใหม่ โดยเน้นการขายส่งให้กับร้านค้าเพิ่มขึ้น พร้อมกับการให้สิทธิ์ในการสั่งจองชุดนักเรียนล่วงหน้าโดยยังไม่ต้องชำระเงินก่อน ขณะที่ชุดนักเรียนแบรนด์อื่นจะต้องชำระเงินทันทีที่มีการสั่งจองชุดนักเรียนเพื่อนำไปขาย นอกจากนี้ ยังมีการจัดทำชุดนักเรียนตัวอย่างเพื่อให้ผู้ปกครองทำการเปรียบเทียบเนื้อผ้าระหว่างแบรนด์จุฬา และชุดนักเรียนแบรนด์อื่น เนื่องจากพฤติกรรมการเลือกซื้อชุดนักเรียนของผู้ปกครอง ยังยึดติดกับแบรนด์สินค้า จึงต้องให้ลูกค้าเห็นคุณภาพที่ไม่แตกต่างกัน
ด้านนางอภิวันท์ มงคลชัยดิษฐ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท สเต็ดเล่อร์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องเขียน “สเต็ดเล่อร์” กล่าวว่า ราคาต้นทุนวัตถุดิบโดยรวมได้มีการปรับเพิ่มสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะไม้ ซึ่งถือเป็นส่วนประกอบหลักในการผลิตเครื่องเขียน ทั้งดินสี ดินสอสี ได้มีการปรับเพิ่มขึ้น 30-40% ส่งให้ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมาบรรดาผู้ประกอบการหลายรายในตลาดเครื่องเขียนทยอยปรับราคาขึ้น 5% แต่บริษัทยังไม่มีการปรับขึ้นราคาแต่อย่างใด เนื่องจากยังเตรียมไม้ไว้เพียงพอต่อการผลิตสินค้าออกจำหน่ายในช่วงครึ่งปีแรก แต่บริษัทได้มีการปรับขึ้นราคาไปก่อนหน้าแล้วช่วงปลายปีที่ผ่านมาในอัตรา 5% ในสินค้าบางตัวจากราคาต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น
สำหรับแนวทางการทำตลาดของสเต็ดเล่อร์นั้น จะมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดในช่องทางต่างๆ ตลอดทั้งปี โดยในช่วงต้นปีจะเน้นจำหน่ายผ่านช่องทางดีลเลอร์เป็นหลัก เนื่องจากเป็นช่องทางที่มีขนาดใหญ่และครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายได้อย่างทั่วถึงทั่วประเทศ ขณะที่ในช่วงเทศกาลเปิดเทอมบริษัทจะเน้นทำตลาดผ่านช่องทางค้าปลีก โดยการร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ร้านอุปกรณ์เครื่องเขียนชั้นนำต่างๆ อาทิ บีทูเอส, เดอะ มอลล์ ,7-11,บิ๊กซี เป็นต้น ในการจัดโปรโมชันส่งเสริมการขาย ซึ่งถือเป็นช่วงซีซันของตลาดอุปกรณ์เครื่องเขียน
ขณะเดียวกันยังได้ใช้งบประมาณ 6 ล้านบาทในการจัดแคมเปญ “Staedtler school tour” ในช่วงเดือน พฤษภาคม-มิถุนายน นี้ เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายตามโรงเรียนต่างๆทั่วประเทศ โดยแคมเปญดังกล่าวบริษัทได้ดำเนินการต่อเนื่องมา 2-3 ปี และสามารถสร้างยอดขายเพิ่มเติมจากช่วงปกติได้ 10% พร้อมกันนี้ยังได้หันมาจับตลาดระดับกลาง-ล่าง โดยใช้กลุ่มดินสอสีเป็นตัวทำตลาด หลังจากที่ผ่านมาบริษัทเน้นการทำตลาดในระดับบนเป็นหลัก ทั้งนี้การหันมาลงแข่งขันในตลาดระดับกลาง-ล่าง ที่มีราคาถูกกว่าดินสอสีในกลุ่มบนเกือบ 100 % ซึ่งถือเป็นการขยายฐานลูกค้ากลุ่มนักเรียนทั่วประเทศในต่างจังหวัดให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
นายจักรพล จันทวิมล ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท นันยางมาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรองเท้าแบรนด์ นันยาง กล่าวว่า ราคาของรองเท้านันยางในปีนี้ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงจากปีที่ผ่านมาแต่อย่างใด แม้ว่าราคาต้นทุนโดยรวมจะปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งทางบริษัทเน้นการบริการจัดการที่มีประสิทธิภาพ ทำให้บริหารต้นทุนได้ดีระดับหนึ่งจนไม่ต้องปรับราคารองเท้าขึ้น โดยปัจจุบันยังคงขายรองเท้าในราคาเริ่มต้นที่คู่ละ 285 บาท
ส่วนบรรยากาศการซื้อขายรองเท้านักเรียนนั้น จะแบ่งออกเป็น 3 ช่วง ได้แก่ 1. ช่วงปลายเดือนมีนาคมถึงก่อนสงกรานต์ 2. ช่วงหลังสงกรานต์ถึงช่วงสัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคม และ 3. ช่วงก่อนเปิดภาคเรียน 1 สัปดาห์และต่อเนื่องไปหลังเปิดเรียน ซึ่งขณะนี้เริ่มมีกำลังซื้อจากผู้ปกครองเข้ามาแล้ว เห็นได้จากร้านค้าตัวแทนจำหน่ายของบริษัทมีการสั่งซื้อสินค้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เป้าหมายที่บริษัทคาดว่าจะเติบโต 12% ในช่วงเปิดเทอมน่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
สำหรับตลาดรองเท้านักเรียนปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 5 พันล้านบาท แบ่งเป็นรองเท้าผ้าใบนักเรียน ลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด พลศึกษา และอุดมศึกษา มูลค่า 3 พันล้านบาท หรือสัดส่วนประมาณ 61% ที่เหลือเป็นรองเท้านักเรียนหนังดำสำหรับนักเรียนหญิงประมาณ 38% และที่เหลือเป็นรองเท้าบางโรงเรียน โดยตลาดรวมรองเท้าปีนี้น่าจะมีการเติบโตปีละ 5-6%
ด้านผู้บริหารระดับสูงโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งเปิดทำการเรียนการสอนในระดับอนุบาลถึงประถมศึกษา กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการมีงบอุดหนุนเครื่องแบบนักเรียนระดับอนุบาลรายละ 300 บาท และระดับประถมศึกษารายละ 360 บาท ซึ่งถือว่าไม่เพียงพอสำหรับนักเรียนแต่ละคน เพราะราคาชุดนักเรียนมีการปรับเพิ่มขึ้นทุกปี และเด็กนักเรียนแต่ละคนจะต้องมีชุดนักเรียนไม่ต่ำกว่าคนละ 2 ชุดเป็นอย่างน้อยด้วย โดยในปีนี้ราคาชุดนักเรียนยังคงปรับขึ้นไม่เกินชุดละ 50 บาท เพราะผู้ผลิตแจ้งในเบื้องต้นว่าต้นทุนในปีนี้ได้มีการปรับเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
สำหรับราคาชุดนักเรียนที่ทางโรงเรียนนำมาจำหน่ายนั้น จะจำหน่ายชุดละไม่เกิน 400 บาท โดยราคาเสื้อนักเรียนจะมีราคาตามขนาด อาทิ เสื้อ ไซซ์ S ราคา 145 บาท M ราคา 165 บาท L ราคา 185 บาท และ XL ราคา 195 บาท ส่วนกางเกงและกระโปรงจะมีระดับราคา 145-285 บาท ส่วนอุปกรณ์การเรียนผู้ผลิตยังไม่มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,840 วันที่ 2-4 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
ที่มา: http://www.thanonline.com
http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32582&Key=hotnews