สพป.นราฯรับสมัครครู ผช.คึก แห่สมัครแน่น พร้อมเปิดศูนย์ร้องเรียนทุจริต

2 พฤษภาคม 2556

นราธิวาส – บรรยากาศการรับสมัครครูผู้ช่วย สังกัด สพป.นราธิวาส เขต 2 ยังคึกคัก มีผู้สนใจจากหลายจังหวัดเดินทางมาสมัครเป็นจำนวนมาก เน้นสอบตามกฎเคร่งครัด หากพบส่อทุจริตตัดสิทธิ์ทันที พร้อมดำเนินตามกฎหมาย

วานนี้ (1 พ.ค.) นายธวัช แซ่ฮ่ำ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานราธิวาส เขต2 ตรวจเยี่ยมการเปิดรับสมัครบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย ครั้งที่ 1 ประจำปี 2556 ที่โรงเรียนสุไหงโก-ลก ซึ่งเปิดรับในจำนวน 13 สาขา วิชาเอกดังนี้ 1. คณิตศาสตร์ 2. พลศึกษา 3. ภาษาอังกฤษ 4. วิทยาศาสตร์ 5. การศึกษาปฐมวัย 6. ภาษาไทย 7. เกษตรกรรม 8. นาฏศิลป์ 9. ประถมศึกษา 10. ดนตรีสากล 11. เทคโนโลยีทางการศึกษา 12.คอมพิวเตอร์ 13. สังคมศึกษา โดยในรอบแรกนี้จะบรรจุวิชาเอกละ1อัตรา และจะขึ้นบัญชีไว้ 2 ปี

ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานราธิวาส เขต 2 กล่าวว่า การเปิดสอบครูผู้ช่วยครั้งนี้ เปิดรับสมัครบุคคลเข้ามาสอบจากทั่วประเทศโดยไม่ปิดกั้น ซึ่งจังหวัดนราธิวาสเปิดสอบสองแห่งคือสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานราธิวาส เขต 2และ เขต 3 ทั้งนี้ ยืนยันกระบวนการรับสมัครและสอบแข่งขันครูผู้ช่วยเป็นไปอย่างโปร่งใสในทุกขั้นตอน และขอเน้นย้ำให้ผู้สอบตระหนักว่าหลักเกณฑ์ในการสอบครั้งนี้ทุกคนสามารถเลือกสมัครสอบได้เพียงแห่งเดียวเท่านั้น ซึ่งหากพบว่ามีชื่อไปสมัครมากกว่าหนึ่งแห่งจะถูกตัดสิทธิ์ในการเข้าสอบทันที พร้อมกันนี้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานราธิวาส เขต 2 จะเปิดศูนย์อำนวยการเพื่อรับเรื่องร้องเรียนการทุจริตการสอบครูผู้ช่วย และคาดโทษสำหรับบุคลากรในสังกัด รวมทั้งกลุ่มมิจฉาชีพที่กระทำการทุจริตโดยหลอกลวง แอบอ้างหรือเรียกรับเงินจากผู้สอบที่หวังสอบผ่านในครั้งนี้ หากตรวจพบจะดำเนินการตามกฎหมายทันที
ด้านนายวินัย บินสือนิ ครูจากโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาจาก ต.นาประดู่ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ซึ่งเข้าสมัครสอบเป็นครั้งแรก ยอมรับห่วงว่าจะมีการทุจริตการสอบเหมือนที่เกิดขึ้นที่สนามสอบกลาง จึงฝากถึงผู้สมัครทุกคนขอให้คำนึงถึงจรรยาบรรณของความเป็นครู และใช้ความรู้ความสามารถของตนเองเพื่อให้ได้ตำแหน่งนี้มาอย่างโปร่งใส ทั้งนี้นายวินัยไม่กังวลหากต้องทำงานท่ามกลางความเสี่ยงของสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เนื่องจากเป็นคนในพื้นที่นี้อยู่แล้ว

ASTV ผู้จัดการออนไลน์ (Th)

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32583&Key=hotnews

เปิดเทอมผู้ปกครองจุก วัตถุดิบค่าแรงดันชุดนักเรียน-อุปกรณ์การเรียนพุ่ง

2 พฤษภาคม 2556

ตลาดชุดนักเรียน/อุปกรณ์การเรียนตบเท้าปรับราคาขึ้นรับเปิดเทอม ผู้ผลิตโอดต้นทุนค่าวัตถุดิบ – ค่าแรงขึ้นแบกรับไม่ไหว “แบรนด์จุฬา” เผยต้องปรับราคา 20 บาทต่อชุด พร้อมอัดกลยุทธ์เรียกความมั่นใจแข่งแบรนด์ดัง

ขณะที่ “สเต็ดเล่อร์” ซุ่มขึ้นราคาตั้งแต่ปลายปีก่อนหลังราคาไม้ทะยานขึ้น ด้านนันยาง ย้ำไม่ปรับราคาขึ้น เหตุคุมเข้มต้นทุน ด้านโรงเรียนเอกชน ชี้งบสนับสนุนรัฐสุดเขียม ชุดอนุบาลแค่ 300 บาท ส่วนชุดประถมแค่ 360 บาท

นางชญาณิศา ลิ้มดำเนิน ผู้ผลิตและจำหน่ายชุดนักเรียนแบรนด์ “จุฬา” เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ตลาดชุดนักเรียนได้รับผลกระทบจากภาวะต้นทุนวัตถุดิบสำหรับการตัดเย็บชุดนักเรียน อาทิ ผ้า , กระดุม เป็นต้น ที่ทยอยปรับเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่ปีก่อนในอัตรา 5-10% ต่อเนื่องมาจนถึงปีนี้ที่มีต้นทุนค่าแรงงานขั้นต่ำที่ปรับขึ้นเป็น 300 บาทต่อวัน ส่งผลให้ต้องปรับราคาขายเพิ่มเป็น 10 บาทต่อชิ้นหรือ 20 บาทต่อชุด โดยปัจจุบันชุดนักเรียนแบรนด์จุฬามีราคาชุดละ 185 -340 บาท

ทั้งนี้ราคาขายที่ปรับเพิ่มขึ้นทำให้ชุดนักเรียน “จุฬา” ต้องวางแผนปรับกลยุทธ์การตลาดใหม่ โดยเน้นการขายส่งให้กับร้านค้าเพิ่มขึ้น พร้อมกับการให้สิทธิ์ในการสั่งจองชุดนักเรียนล่วงหน้าโดยยังไม่ต้องชำระเงินก่อน ขณะที่ชุดนักเรียนแบรนด์อื่นจะต้องชำระเงินทันทีที่มีการสั่งจองชุดนักเรียนเพื่อนำไปขาย นอกจากนี้ ยังมีการจัดทำชุดนักเรียนตัวอย่างเพื่อให้ผู้ปกครองทำการเปรียบเทียบเนื้อผ้าระหว่างแบรนด์จุฬา และชุดนักเรียนแบรนด์อื่น เนื่องจากพฤติกรรมการเลือกซื้อชุดนักเรียนของผู้ปกครอง ยังยึดติดกับแบรนด์สินค้า จึงต้องให้ลูกค้าเห็นคุณภาพที่ไม่แตกต่างกัน

ด้านนางอภิวันท์ มงคลชัยดิษฐ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท สเต็ดเล่อร์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องเขียน “สเต็ดเล่อร์” กล่าวว่า ราคาต้นทุนวัตถุดิบโดยรวมได้มีการปรับเพิ่มสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะไม้ ซึ่งถือเป็นส่วนประกอบหลักในการผลิตเครื่องเขียน ทั้งดินสี ดินสอสี ได้มีการปรับเพิ่มขึ้น 30-40% ส่งให้ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมาบรรดาผู้ประกอบการหลายรายในตลาดเครื่องเขียนทยอยปรับราคาขึ้น 5% แต่บริษัทยังไม่มีการปรับขึ้นราคาแต่อย่างใด เนื่องจากยังเตรียมไม้ไว้เพียงพอต่อการผลิตสินค้าออกจำหน่ายในช่วงครึ่งปีแรก แต่บริษัทได้มีการปรับขึ้นราคาไปก่อนหน้าแล้วช่วงปลายปีที่ผ่านมาในอัตรา 5% ในสินค้าบางตัวจากราคาต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น

สำหรับแนวทางการทำตลาดของสเต็ดเล่อร์นั้น จะมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดในช่องทางต่างๆ ตลอดทั้งปี โดยในช่วงต้นปีจะเน้นจำหน่ายผ่านช่องทางดีลเลอร์เป็นหลัก เนื่องจากเป็นช่องทางที่มีขนาดใหญ่และครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายได้อย่างทั่วถึงทั่วประเทศ ขณะที่ในช่วงเทศกาลเปิดเทอมบริษัทจะเน้นทำตลาดผ่านช่องทางค้าปลีก โดยการร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ร้านอุปกรณ์เครื่องเขียนชั้นนำต่างๆ อาทิ บีทูเอส, เดอะ มอลล์ ,7-11,บิ๊กซี เป็นต้น ในการจัดโปรโมชันส่งเสริมการขาย ซึ่งถือเป็นช่วงซีซันของตลาดอุปกรณ์เครื่องเขียน

ขณะเดียวกันยังได้ใช้งบประมาณ 6 ล้านบาทในการจัดแคมเปญ “Staedtler school tour” ในช่วงเดือน พฤษภาคม-มิถุนายน นี้ เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายตามโรงเรียนต่างๆทั่วประเทศ โดยแคมเปญดังกล่าวบริษัทได้ดำเนินการต่อเนื่องมา 2-3 ปี และสามารถสร้างยอดขายเพิ่มเติมจากช่วงปกติได้ 10% พร้อมกันนี้ยังได้หันมาจับตลาดระดับกลาง-ล่าง โดยใช้กลุ่มดินสอสีเป็นตัวทำตลาด หลังจากที่ผ่านมาบริษัทเน้นการทำตลาดในระดับบนเป็นหลัก ทั้งนี้การหันมาลงแข่งขันในตลาดระดับกลาง-ล่าง ที่มีราคาถูกกว่าดินสอสีในกลุ่มบนเกือบ 100 % ซึ่งถือเป็นการขยายฐานลูกค้ากลุ่มนักเรียนทั่วประเทศในต่างจังหวัดให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

นายจักรพล จันทวิมล ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท นันยางมาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรองเท้าแบรนด์ นันยาง กล่าวว่า ราคาของรองเท้านันยางในปีนี้ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงจากปีที่ผ่านมาแต่อย่างใด แม้ว่าราคาต้นทุนโดยรวมจะปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งทางบริษัทเน้นการบริการจัดการที่มีประสิทธิภาพ ทำให้บริหารต้นทุนได้ดีระดับหนึ่งจนไม่ต้องปรับราคารองเท้าขึ้น โดยปัจจุบันยังคงขายรองเท้าในราคาเริ่มต้นที่คู่ละ 285 บาท

ส่วนบรรยากาศการซื้อขายรองเท้านักเรียนนั้น จะแบ่งออกเป็น 3 ช่วง ได้แก่ 1. ช่วงปลายเดือนมีนาคมถึงก่อนสงกรานต์ 2. ช่วงหลังสงกรานต์ถึงช่วงสัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคม และ 3. ช่วงก่อนเปิดภาคเรียน 1 สัปดาห์และต่อเนื่องไปหลังเปิดเรียน ซึ่งขณะนี้เริ่มมีกำลังซื้อจากผู้ปกครองเข้ามาแล้ว เห็นได้จากร้านค้าตัวแทนจำหน่ายของบริษัทมีการสั่งซื้อสินค้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เป้าหมายที่บริษัทคาดว่าจะเติบโต 12% ในช่วงเปิดเทอมน่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
สำหรับตลาดรองเท้านักเรียนปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 5 พันล้านบาท แบ่งเป็นรองเท้าผ้าใบนักเรียน ลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด พลศึกษา และอุดมศึกษา มูลค่า 3 พันล้านบาท หรือสัดส่วนประมาณ 61% ที่เหลือเป็นรองเท้านักเรียนหนังดำสำหรับนักเรียนหญิงประมาณ 38% และที่เหลือเป็นรองเท้าบางโรงเรียน โดยตลาดรวมรองเท้าปีนี้น่าจะมีการเติบโตปีละ 5-6%

ด้านผู้บริหารระดับสูงโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งเปิดทำการเรียนการสอนในระดับอนุบาลถึงประถมศึกษา กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการมีงบอุดหนุนเครื่องแบบนักเรียนระดับอนุบาลรายละ 300 บาท และระดับประถมศึกษารายละ 360 บาท ซึ่งถือว่าไม่เพียงพอสำหรับนักเรียนแต่ละคน เพราะราคาชุดนักเรียนมีการปรับเพิ่มขึ้นทุกปี และเด็กนักเรียนแต่ละคนจะต้องมีชุดนักเรียนไม่ต่ำกว่าคนละ 2 ชุดเป็นอย่างน้อยด้วย โดยในปีนี้ราคาชุดนักเรียนยังคงปรับขึ้นไม่เกินชุดละ 50 บาท เพราะผู้ผลิตแจ้งในเบื้องต้นว่าต้นทุนในปีนี้ได้มีการปรับเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
สำหรับราคาชุดนักเรียนที่ทางโรงเรียนนำมาจำหน่ายนั้น จะจำหน่ายชุดละไม่เกิน 400 บาท โดยราคาเสื้อนักเรียนจะมีราคาตามขนาด อาทิ เสื้อ ไซซ์ S ราคา 145 บาท M ราคา 165 บาท L ราคา 185 บาท และ XL ราคา 195 บาท ส่วนกางเกงและกระโปรงจะมีระดับราคา 145-285 บาท ส่วนอุปกรณ์การเรียนผู้ผลิตยังไม่มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,840 วันที่ 2-4 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ที่มา: http://www.thanonline.com

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32582&Key=hotnews

ผลสอบวีเน็ต ปวส. น่าพอใจ-เด็กรู้พื้นฐานวิชาชีพดี

2 พฤษภาคม 2556

สทศ.เผยผลสอบวีเน็ต ปวส.2 ปี2555 น่าพอใจ เด็กทำคะแนนได้ดี เหตุสอบปีที่ 2ทำให้สถานศึกษาเตรียมความพร้อมดี ผลคะแนนชี้ชัดเด็กมีความรู้วิชาชีพพื้นฐานอย่างดี

วานนี้(1พ.ค.) รศ.ดร.สัมพันธ์ พันธ์พฤกษ์ ผอ.สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เปิดเผยค่าสถิติพื้นฐานคะแนนสูงสุด คะแนนต่ำสุด และค่าเฉลี่ยผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติ ด้านอาชีวศึกษาหรือวีเน็ต ของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง( ปวส.) 2 ปีการศึกษา 2555 ซึ่งประกาศผลไปเมื่อวันที่ 30 เม.ย. ที่ผ่านมาว่า สำหรับองค์ประกอบการสื่อสารรู้เรื่องด้วยภาษาไทยในงานอาชีพ มีผู้เข้าสอบ 83,345 คน คะแนนเต็ม 30 คะแนน คะแนนสูงสุด 26.00 คะแนน คะแนนต่ำสุด 0.00 โดยคะแนนค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 9.39 คะแนน การสื่อสารรู้เรื่องด้วยภาษาอังกฤษในงานอาชีพ เข้าสอบ 83,345 คน เต็ม 40.00 คะแนน สูงสุด 40.00 คะแนน ต่ำสุด 0.00 ค่าเฉลี่ย 10.90 คะแนน กลุ่มสังคมศาสตร์ เข้าสอบ 83,345 คน เต็ม 15.00 คะแนน สูงสุด 15.00 คะแนน ต่ำสุด 0.00 คะแนน ค่าเฉลี่ย 7.16 คะแนน กลุ่มมนุษยศาสตร์ เข้าสอบ 83,345 คน เต็ม 15.00 คะแนน สูงสุด12.00 คะแนน ต่ำสุด 0.00 คะแนน ค่าเฉลี่ย3.51 คะแนน การอ่าน เขียน คิดเชิงวิเคราะห์ เข้าสอบ 84,374 คน เต็ม 35.00 คะแนน สูงสุด 35.00 คะแนน ต่ำสุด 0.00 คะแนน ค่าเฉลี่ย 15.30คะแนน และ ความมีเหตุผลและการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์,วิทยาศาสตร์ เข้าสอบ 84,374 คน เต็ม65.00 คะแนน สูงสุด52.00 คะแนน ต่ำสุด 0.00คะแนน และค่าเฉลี่ย16.35 คะแนน

“จากผลการสอบพบว่านักศึกษาทำคะแนนสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งน่าจะเป็นเพราะสถานศึกษามีการเตรียมความพร้อมให้กับนักศึกษามากขึ้น เนื่องจากปีนี้เป็นการสอบครั้งที่ 2 และคะแนนที่นักศึกษาทำได้ถือว่าดี แสดงว่านักศึกษามีความรู้พื้นฐานวิชาชีพดี “ รศ.ดร.สัมพันธ์ กล่าว

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32581&Key=hotnews

นักศึกษาเงินกู้กยศ.เบี้ยวหนี้กว่า 5 แสนราย

2 พฤษภาคม 2556

กยศ. เผยนักศึกษาเบี้ยวจ่ายหนี้กว่า 500,000 ราย เล็งออกกิจกรรมสร้างจิตสำนึกเร่งชำระคืนเงินกู้เพื่อประโยชน์รุ่นน้อง พร้อมเดินหน้าแก้กฎหมายเดินเครื่องควบรวมกับกองทุน กรอ.

น.ส.ฑิตติมา วิชัยรัตน์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเผยว่า ในปีการศึกษา 55 ที่ผ่านมา กยศ. และกองทุนเงินให้กู้ยืมที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) ได้ปล่อยกู้เพื่อเป็นทุนการศึกษาทั้งสิ้นกว่า 30,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 800,000 ราย โดยขณะนี้มีผู้กู้ที่ครบกำหนดต้องชำระคืน คิดเป็นวงเงินทั้งสิ้น 5,000 ล้านบาท หรือ 40% ของยอดค้างชำระสะสม แบ่งเป็นผู้กู้ที่ไม่เคยติดต่อกับกยศ. และ กรอ. 500,000 ราย หรือ 20% ของผู้กู้ทั้งหมด คิดเป็นวงเงิน 2,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้กำลังเร่งเตรียมกิจกรรมที่เป็นการสร้างจิตสำนึกให้ผู้กู้ยืมในทั้ง 2 กองทุน ให้เร่งมาชำระคืนเมื่อครบกำหนด เพื่อเป็นประโยชน์กับรุ่นน้องที่ต้องการกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษาต่อไป

ส่วนความคืบหน้าในการรวมกองทุน กยศ. กับกรอ. เข้าด้วยนั้น ขณะนี้ กำลังแก้ไขพ.ร.บ. กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา เพื่อให้ดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนเสนอให้นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง พิจารณาและเตรียมเสนอให้ ครม. เห็นชอบต่อไป

ทั้งนี้ การบริหารจัดการภายหลังการควบรวมทั้ง 2 กองทุน จะเป็นหน้าที่โดยตรงของ กยศ. โดยจะเน้นและสนับสนุนให้กู้ยืมในการศึกษาสาขาที่ขาดแคลนกว่า 1,005 สาขา โดยเฉพาะสาขาวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ การบัญชี คอมพิวเตอร์ธุรกิจ และอาชีวศึกษา ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดอยู่ในขณะนี้

ด้านนายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ประธานกรรมการกยศ. กล่าวว่า การควบรวมทั้ง 2 กองทุนเข้าด้วยกัน เพื่อให้รูปแบบการบริหารจัดการเป็นระบบเดียวกัน มีความชัดเจนและให้รัดกุมมากขึ้นด้วย รวมถึงสนับสนุนและสร้างบุคลากรรองรับตลาดแรงงานในไทยที่กำลังขาดแคลน และรองรับต่างประเทศที่กำลังย้ายฐานการผลิตเข้ามาในประเทศมากขึ้น ซึ่งตลาดเหล่านี้ต้องการแรงงานฝีมือในกลุ่มอาชีวศึกษาเป็นอย่างมาก ดังนั้นกองทุน กยศ. และ กรอ. จึงได้พิจารณาให้เงินค่าครองชีพกับกลุ่มอาชีวะมากขึ้น เพื่อสนับสนุนให้นักเรียน นักศึกษาหันมาเรียนสาขาวิชาชีพดังกล่าว และตอบสนองความต้องการ ตลาดแรงงานในปัจจุบัน.

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32580&Key=hotnews

ชะลอแจกแท็บเล็ต ม.4-ปวช. เล็งอัพเป็นโน๊ตบุ๊คให้แทน

2 พฤษภาคม 2556

ชะลอแจกแท็บเล็ตม.4 และปวช. เผยครม.อยากเปลี่ยนไปแจกคอมฯโน๊ตบุ๊คให้สามารถรองรับการเรียนรู้ที่สูงขึ้นได้ ด้านสพฐ.เตรียมขอแปลงงบฯซื้อแท็บเล็ตไปใช้ซื้อรถรับส่งนักเรียนในโรงเรียนขนาดเล็กแทน

วานนี้(1พ.ค.) ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวถึงโครงการแจกแท็บเล็ตให้นักเรียนม.4 และนักศึกษาปวช.ว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 23 เม.ย.ที่ผ่านมา ที่ประชุมได้มีมติให้ชะลอเรื่องดังกล่าวออกไปก่อน เนื่องจากเห็นว่าประสิทธิภาพของเครื่องแท็บเล็ตอาจจะทำงานได้แค่ระดับหนึ่ง แต่นักเรียนในระดับ ม.ปลายจะต้องมีการทำงานที่เป็นชิ้นงาน มีการสร้างสรรค์ผลงานมากขึ้น ที่ประชุมจึงเห็นว่าเครื่องมือของนักเรียนในระดับ ม.ปลายควรจะต้องมีสมรรถนะสูงกว่าแท็บเล็ตของเด็กประถม และต้องสามารถทำงานเอกสาร งานพิมพ์ งานฐานข้อมูล และงานออกแบบต่างๆ ได้ ซึ่งที่ประชุมได้มีการพูดกันว่าอาจจะต้องเป็นคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คแทน เพราะสามารถทำงานต่างๆ เหล่านั้นได้

” ในส่วนของ สพฐ. ได้ตั้งงบฯจัดซื้อแท็บเล็ตสำหรับเด็ก ม.4 ไว้ 2,700 ล้านบาท แต่เมื่อ ครม. มีมติให้ชะลอออกไปก่อนก็จะเสนอขอปรับงบฯ ในส่วนนี้ไปใช้ในรายการอื่นแทน โดยหลักๆ ก็จะเป็นเรื่องการเตรียมการเพื่อรองรับการปฏิรูปหลักสูตร เพราะต้องมีการขับเคลื่อนทั้งในแง่ของการพัฒนาบุคลากร และการพัฒนาสื่อการสอน นอกจากนี้จะนำไปใช้ในการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็ก ในส่วนของการจัดซื้อรถตู้เพื่อเป็นพาหนะสำหรับรับส่งนักเรียน อีกทั้งจะนำไปใช้ในการก่อสร้างซ่อมแซม และครุภัณฑ์ด้วย” ดร.ชินภัทร กล่าว

ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) กล่าวว่า ในส่วนของ สอศ. ได้ตั้งงบฯ จัดซื้อแท็บเล็ตสำหรับเด็ก ปวช. ปี 1 จำนวน 1,200 ล้านบาท ซึ่ง สอศ.ก็จะเสนอขอปรับงบฯ ในส่วนนี้ไปใช้ในการดำเนินโครงการทวิภาคี และการจัดตั้งวิทยาลัยอาชีวศึกษาประจำอำเภอแทน

ด้านนายบัณฑิตย์ ศรีพุทธางกูร เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) กล่าวว่า สำหรับ สช.ได้เสนอของบฯ จัดซื้อแท็บเล็ตประมาณ 400 ล้านบาท หลังจากนี้ สช.จะทำเรื่องเสนอขอปรับงบฯ ดังกล่าวเพื่อนำไปจ่ายเงินเดือนครูเอกชนให้ได้รับ 15,000 บาทตามนโยบายของรัฐบาลที่ขณะนี้ยังจ่ายได้ไม่ครบ โดยล่าสุดเพิ่งได้รับอนุมัติงบประมาณจากสำนักงบฯมาเพียง 200 ล้านบาทเท่านั้นจากที่ขอไป 2,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ สช.ได้ยื่นเรื่องเสนอครม.เพื่อขออนุมัติงบประมาณในส่วนนี้ไปแล้ว แต่ยังไม่มีการพิจารณา

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32578&Key=hotnews

กยศ.จัดสัมมนาสถานศึกษา มอบนโยบายกู้ยืมปี 2556 พร้อมมอบรางวัลผู้เป็นแบบอย่างที่ดี

2 พฤษภาคม 2556

กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ได้จัดการประชุมสัมมนาผู้ปฏิบัติงานกองทุนฯ ของสถานศึกษาระดับอุดมศึกษา และพิธีมอบรางวัลผู้ที่เป็นแบบอย่างที่ดีแก่นักเรียน นักศึกษากองทุนฯ ประจำปีงบประมาณ 2556 ขึ้นเมื่อวันพุธที่ 1 พฤษภาคม 2556 ณ โรงแรมดิ เอมเมอรัลด์ กรุงเทพฯ โดยมีนายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการกองทุนฯ เป็นประธานเปิดงานพร้อมมอบนโยบายการดำเนินงานให้แก่ผู้บริหารสถานศึกษาระดับอุดมศึกษา และมอบรางวัลในพิธี พร้อมด้วยนางสาวฑิตติมา วิชัยรัตน์ ผู้จัดการกองทุนฯ เป็นผู้กล่าวรายงานวัตถุประสงค์การจัดงานในครั้งนี้

นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ได้เปิดเผยว่า “งานสัมมนาครั้งนี้ เป็นโอกาสอันดีที่จะได้พบปะและชี้แจงให้ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานกองทุนฯ ประจำสถานศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ ได้รับทราบเกี่ยวกับนโยบายการกู้ยืม ประจำปีการศึกษา 2556 ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้ให้ความสำคัญในการกำกับทิศทางการผลิตกำลังคนของประเทศ สอดคล้องกับนโยบายด้านการศึกษาของภาครัฐและมติคณะรัฐมนตรี โดยสนับสนุนให้เยาวชนเลือกเรียนในสาขาวิชาที่ขาดแคลนของตลาดแรงงานและสาขาวิชาที่เป็นความต้องการหลักด้วยกองทุน กรอ. สำหรับนักศึกษาระดับ ปวส. ทุกสาขา และระดับปริญญาตรีที่เรียนในสาขาวิชาที่ขาดแคลนและมีความจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ และยังคงมีกองทุน กยศ. สำหรับนักเรียน นักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ในระดับมัธยมปลายจนถึงปริญญาตรี ซึ่งขณะนี้ กองทุนฯ อยู่ระหว่างการยกร่างกฎหมายใหม่เพื่อรองรับการควบรวมกองทุน กรอ. กับกองทุน กยศ. เข้าด้วยกัน พร้อมกันนี้ สถานศึกษาจึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องเร่งทำการพัฒนาคุณภาพการศึกษา จัดการเรียนการสอนที่มีคุณภาพ และสอดคล้องกับการผลิตกำลังคน อีกทั้งยังมีหน้าที่คัดเลือกนักเรียน นักศึกษาที่มีคุณสมบัติตรงตามที่กองทุนฯ กำหนด และร่วมสร้างจิตสำนึกในการชำระเงินคืนภายหลังจากสำเร็จการศึกษาในโอกาสนี้ ผมขอแสดงความยินดีแก่ผู้ที่ได้รับรางวัลผู้ที่เป็นแบบอย่างที่ดีแก่นักเรียน นักศึกษากองทุนฯ จำนวน 15 ราย ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับโอกาสทางการศึกษาจากเงินกู้ยืม มีการประพฤติปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี และมีจิตสำนึกความรับผิดชอบต่อเงินทุนกู้ยืมซึ่งเป็นเงินงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งสมควรได้รับการยกย่องให้เป็นแบบอย่างที่ดี (Role Model) แก่นักเรียน นักศึกษากองทุนฯ รุ่นหลังต่อไป” ปลัดกระทรวงการคลังกล่าวในที่สุด

ปัจจุบันมีนักเรียน นักศึกษาที่ได้รับโอกาสทางการศึกษาโดยการกู้ยืมเงินจากกองทุนฯ ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาและสำเร็จการศึกษาแล้วจำนวนกว่า 4.1 ล้านราย คิดเป็นเงินงบประมาณกว่า 4 แสนล้านบาท โดยในปีการศึกษา 2556 คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติกรอบวงเงินให้กู้ยืมกองทุน กรอ. สำหรับนักศึกษาประมาณ 86,000 ราย เป็นเงินทั้งสิ้น 6,037 ล้านบาทและอนุมัติกรอบวงเงินให้กู้ยืมกองทุน กยศ. สำหรับนักเรียน นักศึกษาประมาณ 880,000 ราย เป็นเงินทั้งสิ้น 36,213 ล้านบาท โดยได้มีการเพิ่มสัดส่วนการจัดสรรเงินกู้ยืมในสายอาชีวะมากกว่าสายสามัญในระดับมัธยมปลาย และกำหนดสัดส่วนการจัดสรรเงินกู้ยืมในสาขาวิทยาศาสตร์เท่ากับสาขาสังคมศาสตร์ อันเป็นการสนับสนุนนโยบายการผลิตกำลังคนตามนโยบายรัฐบาล

ที่มา: http://www.prachachat.net

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32577&Key=hotnews

168 เขตคะแนนสูงยื้อเลิกผล ‘ครู ผช.’

1 พฤษภาคม 2556

เลขาฯ ก.ค.ศ.ยัน อ.ก.ค.ศ.ทุกเขตต้องพิจารณายกเลิกผลสอบครู ผู้ช่วยใหม่อีกรอบ ตามข้อมูลหลักฐานที่ส่วนกลางส่งไปให้เพิ่มเติม หลัง 168 เขตพื้นที่ฯรายงานยังไม่โละผลสอบ (อ่านต่อหน้า 5)

เมื่อวันที่ 30 เมษายน นางรัตนา ศรีเหรัญ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เปิดเผยความคืบหน้าการรายงานผลการพิจารณายกเลิกผลการสอบคัดเลือกครูผู้ช่วย กรณีมีความจำเป็น หรือเหตุพิเศษ ว12 ครั้งที่ผ่านมาว่า ขณะนี้มีคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) เขตพื้นที่การศึกษา 168 เขต ได้ทยอยส่งผลการพิจารณามายังสำนักงาน ก.ค.ศ.แล้ว จากทั้งหมด 200 กว่าเขตพื้นที่ฯทั่วประเทศที่เปิดสอบบรรจุครูผู้ช่วยครั้งที่แล้ว โดยในจำนวน 168 เขตดังกล่าว มีผู้ที่สอบได้คะแนนสูงผิดปกติรวมอยู่ด้วย 129 เขต โดยผลพิจารณาที่แจ้งมายังไม่มี อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯใดสั่งยกเลิกผลการสอบ ซึ่งมีบางเขตพื้นที่ฯเสนอขอยืดเวลาการดำเนินการ และบางเขตพื้นที่ฯรายงานว่าไม่พบการทุจริต อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขตพื้นที่ฯเหล่านี้จะมีการพิจารณาไปแล้ว แต่ยังต้องนำข้อมูลที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ส่งสำเนากระดาษคำตอบ และผลคะแนนสอบ รวมถึงผลการชี้แจงของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ในวันที่ 2 พฤษภาคม กลับไปประกอบการพิจารณาใหม่อีกครั้ง โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ฯที่มีผู้สอบได้คะแนนสูงผิดปกติ

นางรัตนากล่าวต่อว่า กรณีมีผู้วิจารณ์ว่า ก.ค.ศ.มีอำนาจสั่งยกเลิกผลการสอบคัดเลือกครูผู้ช่วยในรายที่มีคะแนนสูงผิดปกติ และมีความชัดเจนว่าเข้าข่ายทุจริตนั้น เรื่องนี้ยกเลิกไม่ได้ อำนาจของ ก.ค.ศ.คือการยับยั้งชั่วคราวตาม อำนาจของ ก.ค.ศ.คือการยับยั้งชั่วคราวตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยที่ผ่านมา ก.ค.ศ.ได้ใช้อำนาจตามมาตรา 49 และ 30 ในการยับยั้งการแต่งตั้งบรรจุครูผู้ช่วยครั้งนี้ไปแล้วในกรณีการสอบที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) ศรีสะเกษ เขต 3 และ สพป.นครปฐม เขต 1 เนื่องจากพบการเข้าสอบแทนกัน

“ดังนั้น ขณะนี้ต้องรอให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯได้ดำเนินการพิจารณาตามข้อมูลหลักฐานที่ สพฐ.และ ศธ.ได้จัดส่งไปให้เพิ่มเติม หากเห็นว่าอะไรไม่ถูกต้อง อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯก็ต้องจัดการ แต่ถ้ากรณีใดที่ไม่ใช่อำนาจของ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ เช่น กรณีการขาดคุณสมบัติของผู้ได้รับการบรรจุแต่งตั้ง ก็เป็นอำนาจของ ก.ค.ศ.ที่จะดำเนินการ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าสุดท้ายแล้วน่าจะมีการยกเลิกผลการสอบในเขตพื้นที่ฯที่ชัดเจนว่า มีข้อมูลหลักฐานการทุจริต ซึ่งทาง อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯจะต้องดำเนินการสั่งยกเลิก แต่ถ้าไม่ดำเนินการ ทางออกสุดท้ายยังมีมาตรการหนึ่งที่ให้อำนาจ ก.ค.ศ.ออกมติสั่งให้ยกเลิกได้ แต่ยังไม่อยากเปิดเผยตอนนี้ ต้องรอให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ ดำเนินการเองก่อน” นางรัตนากล่าว

นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า วันเดียวกันนี้จะประชุมเพื่อแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการกำกับติดตามการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการครู ตำแหน่งครูผู้ช่วย กรณีทั่วไป ประจำปี 2556 ในส่วนกลาง และแต่งตั้งคณะกรรมการป้องกันการทุจริตในเขตพื้นที่ฯที่เปิดสอบ ส่วนขั้นตอนการออกข้อสอบของเขตพื้นที่ฯที่ให้รวมตัวกันดำเนินการตามเขตตรวจราชการ 12 เขต เพื่อว่าจ้างสถาบันอุดมศึกษานั้น ทาง สพฐ.จะเข้าไปช่วยเป็นพี่เลี้ยงในกรณีที่เกิดปัญหาในการปฏิบัติ เช่น หา สถาบันอุดมศึกษามาออกและตรวจข้อสอบไม่ได้ ซึ่งได้มีการพูดถึงในการประชุม ก.ค.ศ.ครั้งที่ผ่านมาว่า อาจมีบางพื้นที่ที่สถาบันอุดมศึกษาไม่พร้อมที่จะรับงาน ให้แจ้งมายังสำนักงาน ก.ค.ศ.รับทราบ เพื่อหารือและแก้ไขต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานถึงบรรยากาศการรับสมัครสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการครู ตำแหน่งครูผู้ช่วย กรณีทั่วไป ประจำปี 2556 ระหว่างวันที่ 29 เมษายน-5 พฤษภาคมนี้ ในวันที่สองของการรับสมัครยังเป็นไปด้วยความคึกคัก โดยที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 (สพป.นม.3) ซึ่งใช้สถานที่โรงเรียนครบุรีวิทยา อ.ครบุรี เป็นที่รับสมัคร และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 31 (สพม.31) ใช้ห้องประชุมของ สพม.31 ต.โคกกรวด อ.เมืองนครราชสีมา เป็นที่รับสมัคร มีผู้สนใจจาก(สพม.31) ใช้ห้องประชุมของ สพม.31 ต.โคกกรวด อ.เมืองนครราชสีมา เป็นที่รับสมัคร มีผู้สนใจจากหลายจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเดินทางไปสมัครอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เวลา 08.30 น.
นายชูเกียรติ วิเศษเสนา ผู้อำนวยการ สพม.31 กล่าวว่า การรับสมัครวันแรกที่ผ่านมามีผู้มาสมัครทั้งสิ้น 235 คน ใน 9 สาขาวิชาเอก โดยสาขาวิชาที่มีผู้สมัครมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ วิชาเอกสังคมศึกษา 95 คน, ชีววิทยา 45 คน และภาษาอังกฤษ 36 คน ส่วนการรับสมัครวันที่สองเป็นไปด้วยความเรียบร้อยดี คาดว่าถึงวันสุดท้ายจะมีผู้สมัครไม่ต่ำกว่า 1,000 คน

นายพิสิษฐ์ ชดกิ่ง ผู้อำนวยการ สพป.นม.3 กล่าวว่า บรรยากาศการรับสมัครวันที่สองค่อนข้างเบาบางกว่าวันแรก ที่มีผู้มาสมัครกว่า 1,000 คน โดยสาขาวิชาเอก 3 อันดับแรกที่มีผู้สมัครมากที่สุด ได้แก่ วิชาเอกคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และสังคมศึกษา ทั้งนี้ จากกระแสข่าวว่ามีขบวนการทุจริตสอบครูผู้ช่วยเริ่มออกหาลูกค้าแล้วนั้น ตนไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้จัดเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการหาข่าวทางลับกระจายทั่วพื้นที่รับสมัครและนอกพื้นที่ แต่ยังไม่พบเบาะแสกลุ่มผู้ต้องสงสัย อย่างไรก็ตาม หากใครพบเห็นสิ่งผิดปกติใดๆ ขอให้แจ้งมาที่ตนโดยตรง เพื่อป้องกันผู้แสวงหาผลประโยชน์จากการทุจริตสอบครูผู้ช่วยครั้งนี้

ส่วนที่ สพป.ตาก เขต 2 อ.แม่สอด มีผู้สมัครในวันที่สองจำนวน 350 คน รวมมีผู้สมัคร 2 วัน จำนวน 1,386 คน

–มติชน ฉบับวันที่ 2 พ.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32575&Key=hotnews

ศธ.ขายชุดนักเรียนราคาถูกลดราคาลงจากป้าย 30-70%

1 พฤษภาคม 2556

นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิชย์ รมช.ศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายให้ ศธ.จัดการศึกษาอย่างมีคุณภาพ โดยการจัดสรรงบประมาณสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษาตั้งแต่ระดับปฐมวัยจนจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน ทั้งค่าใช้จ่ายในการจัดการเรียนการสอน ค่าอุปกรณ์การเรียน ค่าเครื่องแบบนักเรียน ค่าหนังสือเรียน และ ค่าจัดกิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียน เพื่อกระจายโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียมกันนั้น ปีนี้เพื่อแบ่งเบาภาระผู้ปกครองเนื่องจากการปรับตัวทางเศรษฐกิจสูงขึ้น จึงได้มอบหมายให้สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.)จัดมหกรรมชุดนักเรียนราคาถูกในระหว่างวันที่ 2-12 พ.ค.นี้ที่หน้ากระทรวงศึกษาธิการ โดยจะลดราคาจากป้าย 30-70%

“ผมได้รายงานเรื่องนี้ให้นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศธ. ทราบแล้ว ซึ่งนายพงศ์เทพก็เห็นด้วย และยังแนะนำให้ไปจำหน่ายตามจังหวัดต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ปกครองได้แบ่งเบาภาระกันอย่างทั่วถึงด้วย” นายเสริมศักดิ์กล่าว

ด้าน นายประเสริฐ บุญเรือง เลขาธิการ กศน.กล่าวว่า กศน.ก็ได้ประสานห้างร้านและบริษัทขายชุดนักเรียนหลายยี่ห้อ อาทิ ตราสมอ สมใจนึก แมมมอธ น้อมจิตร องค์การค้าฯ เป็นต้น นอกจากนี้จะมีชุดนักเรียนที่ตัดเย็บโดยนักศึกษาของศูนย์ฝึกอาชีพตัดเย็บเสื้อผ้า กศน.มาจำหน่ายด้วย โดยจะนำมาลดราคาถึง 70% ส่วนกรณีที่จะให้ไปขายต่างจังหวัดด้วยนั้น เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับนโยบาย.

–เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 2 พ.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32574&Key=hotnews

ติง สอศ. ตั้งอาชีวศึกษาอำเภอต้องมองให้ไกลถึงความคุ้มค่า

1 พฤษภาคม 2556

สะกิดอาชีวะดูโรงเรียนขนาดเล็ก สพฐ.เป็นตัวอย่าง ต้องมองให้ไกลตั้งอาชีวะอำเภออนาคตอาจไม่มีเด็กเรียน แนะใช้งบฯไปพัฒนายกระดับความรู้ครูและสถานศึกษาที่มีอยู่แล้วจะดีกว่า

เมื่อวันที่ 29 เม.ย. 56 ดร.วีรวัฒน์ วรรณศิริ อุปนายกสภาการศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย กล่าวถึงโครงการจัดตั้งวิทยาลัยอาชีวศึกษาอำเภอ ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) ที่มีเป้าหมายจะจัดตั้งให้ครอบคลุมทุกอำเภอว่า ในฐานะที่คลุกคลีอยู่กับวงการการอาชีวศึกษามาหลายสิบปีมองว่า การจัดตั้งสถานศึกษาอาชีวศึกษาระดับอำเภอเพิ่มขึ้นเพื่อหวังดึงเด็กให้มาเรียนมากขึ้นนั้น เป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า เพราะปัจจุบันสถานศึกษาอาชีวศึกษาทั้งรัฐและเอกชนที่มีอยู่กว่า 800 แห่ง ก็เพียงพอที่จะรองรับเด็กได้อยู่แล้ว และต่อไปจำนวนเด็กก็จะลดลงตามโครงสร้างประชากรอยู่แล้ว อีกทั้งทุกวันนี้และแนวโน้มในอนาคตการเคลื่อนตัวเข้ามาเรียนในเมืองของเด็กจะมีมากขึ้นเพราะการคมนาคมสะดวกสบายขึ้น และทุกคนก็ต้องการความเจริญก้าวหน้ามากกว่า

“ผมอยากให้มองไปในอนาคตและมองโรงเรียนของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)เป็นตัวอย่าง เพราะการเปิดสถานศึกษาอาชีวศึกษาระดับอำเภอตอนนี้ จะไม่แตกต่างกับการตั้งโรงเรียนขนาดเล็กของ สพฐ.ในอดีต ที่หวังจะอำนวยความสะดวกให้เด็ก แต่สุดท้ายโรงเรียนก็ต้องทยอยปิดตัวลงเพราะไม่มีเด็กเรียน ซึ่งกรณีของ สอศ.หากยังจะจัดตั้งให้ครบทุกอำเภอตามที่ประกาศไว้ต่อไปก็คงไม่พ้นสภาพเดียวกับโรงเรียนสพฐ.ในปัจจุบัน ทางที่ดีผมคิดว่าน่าจะนำงบประมาณที่จะใช้ในการก่อตั้งสถานศึกษาใหม่ไปยกระดับการอาชีวศึกษาที่มีอยู่แล้วให้มีคุณภาพ โดยพัฒนาครูหรืออบรมเพื่อยกระดับครูอาชีวศึกษา สนับสนุนระบบวิภาคีให้เต็มที่ยิ่งขึ้น และที่สำคัญต้องยกระดับคุณภาพอุปกรณ์การเรียนการสอน จัดหาเครื่องมือประจำตัวเด็กที่มีคุณภาพ และพัฒนาระบบสื่อการเรียนการสอนให้มีความทันสมัย ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาวมากกว่า”ดร.วีรวัฒน์กล่าว
อุปนายกสภาการศึกษาเอกชนฯ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้เรื่องการจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษาจนถึงวันนี้ก็ยังไม่เรียบร้อย ทั้งที่น่าจะเสร็จมานานและรับนักศึกษาไปแล้ว แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ได้รับนักศึกษา ซึ่งผลของความล่าช้าที่เกิดขึ้นทำให้เด็กอาชีวศึกษาที่รอคอยเพื่อเรียนปริญญาตรีสายปฏิบัติการมานาน รวมถึงประเทศชาติต้องเสียโอกาสไปอีกอย่างน้อยหนึ่งปี ตนคิดว่า สอศ.น่าจะเร่งสนับสนุนการขับเคลื่อนการจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษาให้เรียบร้อยอย่างมีคุณภาพ เพื่อเปิดรับนักศึกษาระดับปริญญาตรีให้ได้โดยเร็วน่าจะดีกว่า

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32573&Key=hotnews

รอ “พงศ์เทพ” ตัดสินใจเลือกกรรมการอุดมศึกษาชุดใหม่

1 พฤษภาคม 2556

สกอ.เสนอรายชื่อกรรมการอุดมศึกษาชุดใหม่ให้ “พงศ์เทพ”ตัดสินใจเลือกจาก 30 คน เหลือ 15 คน ย้ำได้ตัวบุคคลล่าช้าไม่กระทบการทำงาน เพราะบอร์ดเก่ายังทำหน้าที่ต่อไปได้

วานนี้(30เม.ย.) รศ.นพ.กำจร ตติยกวี รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.) เปิดเผยว่า จากการที่คณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.) ชุดเดิมได้หมดวาระไปตั้งแต่วันที่ 2 ธ.ค. 2555 นั้น ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.)ได้ดำเนินการสรรหาบุคคลผู้ที่เหมาะสมเพื่อมาดำรงตำแหน่ง กกอ. แทนชุดเดิม โดยได้สรรหาผู้มีความรู้ ความสามารถและมีความเชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ จำนวน 30 คน เสร็จเรียบร้อยแล้ว และได้เสนอรายชื่อให้รมว.ศึกษาธิการ เพื่อพิจารณาให้เหลือ 15 คน โดยเลือกเป็นประธานกรรมการ 1 คน และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอีก14 คน จากนี้จึงต้องรอการพิจารณาของรมว.ศึกษาธิการ อย่างไรก็ตามถึงแม้จะยังไม่ได้รายชื่อกกอ.ชุดใหม่ แต่ก็ไม่ได้กระทบการทำงาน เพราะบอร์ดชุดเดิมยังปฎิบัติหน้าที่ต่อได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรายชื่อที่เสนอให้พิจารณา ประกอบด้วย รศ.โกวิท วงศ์สุรวัฒน์ รศ.ช่วงโชติ พันธุเวช นายชวลิต หมื่นนุช พลตำรวจเอกชาญวุฒิ วัชรพุกก์ พลตำรวจตรีชุมศักดิ์ พฤกษาพงษ์ ผศ.ณรงค์ พุทธิชีวิน นายธนู กุลชล ศ.ธรรมศักดิ์ พงศ์พิชญามาตย์ ศ.นักสิทธ์ คูวัฒนาชัย รศ.นินนาท โอฬารวรวุฒิ นายบุญทอง ภู่เจริญ ศ.ปรีชา เถาทอง รศ.เปรื่อง กิจรัตน์ภร นายภราเดช พยัฆวิเชียร ศ.(พิเศษ)ภาวิช ทองโรจน์ รศ.ลลิตา ฤกษ์สำราญ ศ.ลิขิต ธีรเวคิน ศ.วิชัย ริ้วตระกูล ศ.วีระศักดิ์ จงสู่วิวัฒน์วงศ์ ศ.ศักดา ธนิตกุล รศ.ศิโรจน์ ผลพันธิน รศ.สมชาติ จิริวิภากร นายสมบุญ เจริญเศรษฐมห ศ.กิตติคุณสมหวัง พิธิยานุวัฒน์ นายสว่าง ภู่พัฒน์วิบูลย์ นายสายหยุด จำปาทอง ศ.สุนทร บุญญาธิการ รศ.คุณหญิงสุมณฑา พรหมบุญ ศ.สุรพล นิติไกรพจน์ และ รศ.อานนท์ เที่ยงตรง

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32572&Key=hotnews