Digital Sphere โลกยุคใหม่ของสื่อดิจิทัล

Digital Sphere โลกยุคใหม่ของสื่อดิจิทัล
โดย : อดิศักดิ์ จำปาทอง

เป็นที่เชื่อกันว่า ภายในหนึ่งหรือสองทศวรรษนี้ สื่อดิจิทัลจะครอบคลุมถึง 80% ของสื่อทั้งหมดที่เราบริโภคกันอยู่ ซึ่งในปัจจุบัน เราก็เริ่มที่จะเห็นร่องรอยของการเปลี่ยนแปลงกันบ้างแล้ว

! http://bit.ly/11es1mI

การเกิดของสื่อใหม่ๆ ทุกวันนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นสื่อในรูปแบบดิจิทัลทั้งสิ้น ไม่ ว่าจะเป็นโทรทัศน์ดิจิทัล วิทยุออนไลน์ สื่อกลางแจ้งที่มีการควบคุมเนื้อหาสาระจากศูนย์บังคับการ อินเทอร์เน็ต เกมอิเล็กทรอนิกส์ หรือแม้แต่สื่อที่ใกล้ตัวเรามากที่สุดอย่างโทรศัพท์มือถือที่มีใช้กันอยู่ แทบจะทุกคน โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ในเมืองที่เรียกกันอย่างสุดเก๋ว่า สกรีนเอจ (Screen age) เพราะชีวิตของพวกเขาเหล่านี้ เกิดมาไม่ทันไร ฟันยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเสียด้วยซ้ำ ก็ไม่พ้นต่อการสื่อสารผ่านจอกันทั้งสิ้น ลองสำรวจดูสิครับว่า เกมต่างๆ ที่สอนให้เด็กรู้จักสี รู้จักสัตว์ เกมเรียนภาษาอังกฤษ เกมมือถือ เกมคอมพิวเตอร์ และอะไรต่อมิอะไร ล้วนแล้วแต่สื่อสารผ่านจอกันทั้งสิ้น

ตัวอย่างผู้ใหญ่วัยเกษียณท่านหนึ่ง นึกอยากจะพบปะหน้าตาลูกหลาน จึงอาสาเป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหารเย็นในวันคล้ายวันเกิดของหลานชาย พออาหารลงโต๊ะเท่านั้น 8 ใน 10 คนก็ควัก iPad iPhone ขึ้นมา แล้วกดๆๆๆๆๆๆๆๆ โดยไม่สนใจอาหารบนโต๊ะเลย สถานการณ์อย่างนี้ เป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะพบเห็นแล้วโดยทั่วไป

นักการสื่อสารเห็นว่า โลกของเราก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างแท้จริงแล้ว ถึงแม้ว่าอัตราความรู้ความสามารถในทางคอมพิวเตอร์ (Computer literacy) ของบางพื้นที่ยังคงต่ำอยู่ นักการ สื่อสารมองว่า การเข้าสู่ยุคดิจิทัลนี้ จะเป็นการเพิ่มโอกาสและขีดความสามารถของสื่อในการเข้าถึงผู้บริโภค โดยเฉพาะการเข้าถึงด้วยความรวดเร็ว (เกือบจะทันที) และการเข้าถึงผู้รับได้อย่างเป็นส่วนตัวมากขึ้น

ซึ่งนั่นหมายความว่า นักการสื่อสารจะต้องจัดกลุ่ม จัดระดับ และจัดประเภทของกลุ่มเป้าหมายอย่างแยบยล เพื่อสร้างสรรค์เนื้อหาและวิธีการของสื่อให้ชัดเจนและเหมาะสม สอดคล้องกับพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย ว่ากันว่า สื่อต่างๆ จะมีความพยายามเรียนรู้พฤติกรรมของผู้บริโภคให้มากขึ้น เพื่อพัฒนาเนื้อหาและรูปแบบของสื่อให้มีความเฉพาะเจาะจง ส่งตรงถึงผู้บริโภครายบุคคลกันเลยทีเดียว

ยิ่งเราเพลิดเพลินกับความสะดวกสบายมากขึ้นเท่าใด สื่อดิจิทัลก็จะเข้าถึงเราได้มากขึ้นเท่านั้น จนกลืนสื่ออื่นๆ ไปเรื่อยๆ และอาจจะหมดไปในที่สุดก็ได้ โดยดูตัวอย่างได้จากสื่อวีดิโอที่หมดโอกาสจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ไปแล้ว

นอกจากนี้ เครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Networking) ก็เป็นเทรนด์ที่กำลังร้อนแรงอย่างมากในช่วงเวลาที่ผ่านมา จนกลายเป็นเรื่องที่นักการตลาดอดไม่ได้ที่จะต้องพูดถึงและนำมาพิจารณาว่าจะ ใช้งานอย่างไรให้เหมาะกับสินค้าและบริการของตนเองได้บ้าง รวมทั้งมีการคาดการณ์ต่อไปว่า เว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้โฆษณาออนไลน์ (Online Advertising) เติบโตขึ้นตามไปด้วย

ในปัจจุบันนี้ มีจำนวนสมาชิกของเว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์ทั่วโลกกว่า 500 ล้านราย และคาดกันว่าในประเทศไทยจะมีจำนวนสมาชิกของเว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์ มากถึง 10 ล้านราย

โฆษณาออนไลน์ (Online Advertising) จึงได้รับการตอบรับมากขึ้นไปพร้อมๆ กับการเติบโตของการสื่อสารผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ ซึ่งจากรายงาน The Wave 3 Report ของ Universal McCann พบว่า ผู้บริโภค 7 ใน 10 ราย จะเข้าไปหาข้อมูลในเว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์ต่างๆ อาทิเช่น เว็บ บอร์ดกลุ่มชุมชนออนไลน์ หรือบล็อกต่างๆ เพื่อหาข้อมูล นอกจากนี้เกือบครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ 49) ของผู้บริโภคจะตัดสินใจซื้อจากข้อมูลที่ได้จากเครือข่ายสังคมออนไลน์เหล่า นี้

ประชากรกลุ่มใหญ่ที่สุดของสังคมออนไลน์จะอยู่ในช่วงอายุ 18-24 ปี คิด เป็นสัดส่วนถึง 42% การโฆษณาส่วนใหญ่จึงเน้นรูปแบบการสร้างกระแสนิยมในตราสินค้า (Brand) ที่มีกลุ่มวัยรุ่นและวัยเริ่มทำงานเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก กลุ่มสินค้าที่นิยมโฆษณาในเว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์มากที่สุด ได้แก่ กลุ่ม สินค้าประเภทอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มบริการด้านบันเทิงและท่องเที่ยว และกลุ่มบริการบัตรเครดิต โดยผู้ประกอบการส่วนใหญ่เลือกใช้วิธีการซื้อสื่อผ่านเอเยนซีโฆษณามากกว่าซื้อสื่อโดยตรงผ่านเว็บไซต์ที่ให้บริการโฆษณาออนไลน์

เหตุผลสำคัญที่ทำให้โฆษณาออนไลน์เติบโตขึ้นเพราะสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้า หมายได้อย่างชัดเจน รวมถึงยังสามารถสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่ผลิตภัณฑ์ผ่านการบอกเล่าแบบปาก ต่อปาก (Words of mouth) ของสมาชิกในเครือข่าย ทำให้ลูกค้ารู้สึกไม่ถูกบังคับให้ต้องรับฟัง อีกทั้งผู้ประกอบการสามารถใช้เว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์เป็นเครื่องมือ ในการทำ CRM (Customer Relationship Management) เช่น การแสดงความคิดเห็นผ่านเว็บไซต์ ทำให้ผู้ประกอบการรับรู้ Feedback ของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างชัดเจนอีกด้วย

ตราบใดที่ธุรกิจยังดำเนินอยู่ โลกของการโฆษณาก็จะพัฒนาต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง

! http://blog.nation.ac.th/?p=2493

ดัน ดิเรก นั่งประธานคุรุสภา

8 กรกฎาคม 2551

นายบุญลือ ประเสริฐโสภา รมช.ศึกษา ธิการ เปิดเผยความคืบหน้าการแต่งตั้งประธานและคณะกรรมการคุรุสภา ว่า หลังจากที่คณะกรรมการสรรหาประธานและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคุรุสภา ได้เสนอรายชื่อผู้ที่ได้รับการสรรหาในตำแหน่งประธาน และ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 7 ด้าน ประกอบด้วย ด้านกฎหมาย ด้านวิทยาศาสตร์ มนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ การศึกษาพิเศษ อาชีวศึกษา และบริหารการศึกษา โดยเสนอมาตำแหน่งละ 4 รายชื่อเพื่อให้คัดเลือกเหลือเพียงตำแหน่งละ 1 รายชื่อนั้น ขณะนี้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว. ศึกษาธิการและตน ได้ร่วมกันพิจารณาคัดเลือก รายชื่อประธานและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิทั้ง 7 ด้าน และได้นำรายชื่อบอร์ดคุรุสภาดังกล่าวเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้ว ทราบว่าขณะนี้เลขาธิการ ครม.กำลังตรวจสอบรายชื่อและคุณสมบัติของผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อทั้งหมด

รมช.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า ส่วนที่มองว่าการเสนอรายชื่อเพื่อแต่งตั้งเป็นไปด้วยความล่าช้า เนื่องจากมีเด็กฝากนั้น ขอยืนยันว่าไม่มีเรื่องของเด็กฝากแน่นอน แต่สาเหตุที่ทำให้การเสนอชื่อล่าช้าเป็นเพราะต้องมีการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อมาทั้งหมด ซึ่งมีถึง 32 คน แต่ต้องเลือกเหลือเพียง 8 คนเท่านั้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตำแหน่งประธานคณะกรรมการคุรุสภาคนใหม่ ที่ได้รับการสรรหามา 4 รายชื่อ ได้แก่ ดร.ดิเรก พรสีมา อดีตรองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ นายปริญญา กุลกรวยทอง อดีตผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ นายสงขลา วิชัยขัทคะ รองเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา และ ศ.ดร.เสริมศักดิ์ วิศาลาภรณ์ ประธานคณะกรรมการคุรุสภาซึ่งรายชื่อที่ รมว. ศึกษาธิการและ รมช.ศึกษาธิการคัดเลือก และ  นำเสนอ ครม. คือ ดร.ดิเรก พรสีมา อดีตรองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ.

แหล่งที่มา/ผู้ส่ง เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=2439&Key=hotnews

กยศ.อึ้งจำนวนผู้ขอกู้เรียนเกินเป้า 1 แสนราย

8 กรกฎาคม 2551
หลังจากที่กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ได้ขยายเวลาในการชำระเงินกู้คืน กยศ. จากเดิมวันที่ 5 กรกฎาคม 2551 เป็นวันที่ 7 กรกฎาคม 2551 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเช้าวันที่ 7 กรกฎาคม 2551 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการชำระเงินกู้ กยศ. ปรากฏว่าที่ธนาคารกรุงไทยสาขาต่าง ๆ ได้มีผู้กู้จำนวนมากที่ครบกำหนดต้องชำระเงินคืนได้ไปติดต่อขอชำระเงินกู้ แต่กลับไม่สามารถชำระได้ เนื่องจากระบบอินเทอร์เน็ตของธนาคารเกิดขัดข้อง

ซึ่ง นายบุญชัย ศศิวงศ์   ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารโครงการภาครัฐ บมจ. ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ในช่วงเช้าระบบของธนาคารกรุงไทยมีปัญหาขัดข้องจริง แต่หลังจากนั้นก็ได้ดำเนินการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว จึงสามารถรับชำระได้ตามปกติ และหลังจากนี้ผู้ที่มาชำระล่าช้ากว่าที่กำหนดจะต้องจ่ายเบี้ยปรับด้วย โดยกรณีค้างชำระไม่เกิน 12 เดือนจะมีเบี้ยปรับ 12% ถ้าค้างเกิน 12 เดือน เบี้ยปรับ 18% ของยอดที่ค้างชำระ ทั้งนี้คงไม่สามารถยืดเวลาการชำระหนี้ออกไปได้อีกแล้ว  เนื่องจากเป็นระเบียบของ กยศ. ที่กำหนดให้ชำระได้ถึงแค่วันที่ 7 กรกฎาคม 2551

รศ. นพ. ธาดา มาร์ติน
รศ. นพ. ธาดา มาร์ติน

ด้าน รศ.นพ.ธาดา มาร์ติน ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเผยถึงจำนวนผู้ที่ยื่นขอกู้ยืมประจำปีการศึกษา 2551 ซึ่งหมดเขตยื่นขอกู้ไปเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2551 ที่ผ่านมาว่า จากข้อมูลพบว่ามีผู้มายื่นขอกู้กยศ.ผ่านระบบออนไลน์ทางอินเทอร์เน็ต รวมประมาณ 9 แสนราย ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงกว่าเป้าหมายที่ กยศ. คาดการณ์ไว้มาก เพราะ กยศ. ตั้งเป้าไว้แค่ 8 แสนรายเท่านั้น ซึ่งการที่มีผู้ยื่นขอกู้เพิ่มขึ้นจำนวนมากนั้น เนื่องจากรัฐบาลมีการขยายเพดานรายได้ครอบครัวของผู้ที่มีสิทธิกู้ กยศ. จากเดิมรายได้ครอบครัวต้องไม่เกิน 1.5 แสนบาทต่อปี ได้ขยายเป็นไม่เกิน 2 แสนบาทต่อปี จึงทำให้ผู้มีสิทธิขอกู้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น

 

ขณะนี้ กยศ.กำลังเร่งตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ขอกู้ว่าเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดหรือไม่ ตลอดจนตรวจสอบข้อเท็จจริง ความจำเป็นของผู้กู้ และงบประมาณที่จะต้องใช้ เนื่องจากเกินกว่าวงเงินที่ กยศ. ได้รับจากสำนักงบประมาณ ดังนั้นขณะนี้จึงยังสรุปไม่ได้ว่าจะให้กู้ได้ตามวงเงินที่กำหนดหรือไม่ หรือจะต้องเสนอของบประมาณเพิ่มเติม แต่ กยศ.จะเร่งพิจารณาให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด” ผจก.กยศ.กล่าว.

 

แหล่งที่มา/ผู้ส่ง http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=2438&Key=hotnews

เยี่ยมร.ร.”สามเสนวิทยาลัย”ปั้นนักเรียน เติมความรู้คู่ประสบการณ์ชีวิต

8 กรกฎาคม 2551

“สิ่งที่นักเรียนโรงเรียนสามเสนวิทยาลัยได้รับ ไม่ใช่ความรู้ด้านวิชาการอย่างเดียว แต่ทุกคนได้รับความพร้อมในทุกๆ ด้าน ทั้งการเรียน กิจกรรมเสริมประสบการณ์ชีวิต คุณธรรม จริยธรรม ความมีระเบียบวินัย การมีน้ำใจ และความสุข

เพราะโรงเรียนแห่งนี้เปรียบเสมือนบ้านหลังที่ 2 มอบความอบอุ่นความรัก ความรู้ และประสบการณ์ชีวิตมากมายแก่นักเรียน” น้องโบว์น.ส.ทรรทิราทรสุนทรินทร์ นักเรียนชั้นม.6 และกรรมการนักเรียนฝ่ายประชาสัมพันธ์ ร.ร.สามเสนวิทยาลัยเล่าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

          โรงเรียนแห่งนี้ตั้งขึ้นเมื่อปี2498 นับถึงปัจจุบันย่างเข้า53 ปีบนพื้นที่กว่า 22 ไร่จัดการเรียนการสอน 2 รูปแบบคือ ภาคปกติกับภาคอินเตอร์ มีนักเรียนทั้งหมด 3,000-4,000 คนภายใต้การดูแลของ “นายวิศรุต สนธิชัย” ผอ.ร.ร.สามเสนวิทยาลัยคนปัจจุบันได้เน้นการเรียนการสอนด้านวิชาการ ควบคู่ไปกับการให้นักเรียนทำกิจกรรม ทั้งกีฬา ดนตรี ปลูกผัก ฯลฯ เพื่อให้นำความรู้ไปปรับใช้ในชีวิตและอยู่ในสังคม

อาคารทั้ง10 อาคารทุกๆ ห้องล้วนอัดแน่นไปด้วยความรู้ ประสบการณ์ชีวิตมากมายให้นักเรียนเลือกเรียนรู้ได้ตามความชอบ ความถนัด เช่น ห้องไอซีที หรือห้องแล็บภาษาอังกฤษ ห้องสมุด ห้องคอมพิวเตอร์ ห้องดนตรี ฯลฯ เว้นแต่ห้องคุณธรรมจริยธรรม แปลงเกษตรที่โรงเรียนให้ทุกคนเข้าร่วม เพื่อให้รู้ถึงอาชีพหลักของคนไทย ไม่ลืมอาชีพบรรพบุรุษ รู้จักปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ และสัมผัสธรรมชาติ พร้อมปลูกฝังให้เป็นคนดี มีคุณธรรม น้องโบว์บอกถึงกิจกรรมของโรงเรียน

          น้องโบว์บอกด้วยว่าโรงเรียนยังมีโครงการให้รุ่นพี่รุ่นน้องได้เรียนรู้ เสริมสร้างความรัก สามัคคี และแบ่งปันความรู้ เช่น โครงการพี่ม.6 สอนการบ้านน้องม.1 ทุกเช้าก่อนเข้าเรียน, Chat วิชาการ ปรึกษาตอบปัญหาการเรียน, สามเสนคัพสามเสนสตรีทบาส แข่งกีฬากระชับมิตร โดยเฉพาะโครงการพี่ ม.6 สอนการบ้านน้อง ม.1 นอกจากช่วยเชื่อมสัมพันธ์น้องพี่แล้ว ทำให้น้อง ม.1 ได้ความรู้และพี่ๆ ม.6 ก็ได้ทบทวนความรู้รวมถึงโรงเรียนได้เสริมทักษะการเรียนรู้ทางวิชาการเพิ่มเติม ล่าสุดห้องไอซีทีได้นำโปรแกรม English Discoveries มาใช้ในการเรียนรู้เพิ่มทักษะการฟังพูด อ่าน เขียน ภาษาอังกฤษ ด้วยตนเองควบคู่กับการเรียนในห้องเรียน

“English Discoveries เป็นการเรียนรู้ที่ชอบมากทำให้ได้ฝึกฝนการใช้ภาษาอังกฤษจากเจ้าของภาษา การทดสอบสำเนียงการพูดของตัวเรากับเจ้าของภาษา การฟังบทสนทนา ทุกเรื่องสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง เป็นการพัฒนาตัวเอง ทำให้อยากเรียนรู้มากกว่าการบังคับเรียน” น้องโบว์บอกเล่าประสบการณ์

อ.สมสุขไวยพุฒ หัวหน้ากลุ่มสาระภาษาต่างประเทศร.ร.สามเสนวิทยาลัย เล่าเสริมว่า โรงเรียนมีห้องไอซีที 1 ห้อง มีคอมพิวเตอร์ 58 เครื่องให้เด็กได้เข้ามาเรียนรู้เพิ่มเติมและพัฒนาทักษะการใช้ภาษาอังกฤษ โดยมีโปรแกรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษมากมายให้เด็กเลือก เช่น โปรแกรม English Discoveries ซึ่งเด็กเรียนรู้ได้ด้วยตนเองพร้อมกับการฝึกฝนพัฒนาเพราะจะมีคะแนนให้เด็กได้รู้ว่าตอนนี้พัฒนาไปถึงไหนแล้ว

ห้องไอซีทีจะเปิดให้บริการนักเรียนตั้งแต่07.30-17.00 น. เข้ามาใช้ได้ในช่วงพักเที่ยง และหลังเลิกเรียนส่วนเวลาเรียนได้จัดแบ่งเวลาให้แต่ละห้อง เพื่อให้เด็กทุกคนได้เข้ามาเรียนรู้ เพราะภาษาอังกฤษมีความสำคัญในการดำเนินชีวิตของเด็กในอนาคต อ.สมสุขแจกแจง

เชื่อว่าการเติมความรู้และประสบการณ์ชีวิตของร.ร.สามเสนวิทยาลัยจะช่วยให้นักเรียนมีความพร้อมก้าวสู่โลกภายนอกได้เป็นอย่างดี สนใจเยี่ยมชมโรงเรียนติดต่อโทร.0-2279-1992, 0-2279-2429, 0-2278-2997, www.samsenwit.ac.th

0 ชุลีพร อร่ามเนตร /เรื่อง-ภาพ

แหล่งที่มา/ผู้ส่ง http://www.komchadluek.net

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=2437&Key=hotnews

ศธ.สั่ง5องค์กรหลักคัด10หนังสือดีเด่น

8 กรกฎาคม 2551

นายวัฒนา เซ่งไพเราะ โฆษกกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยถึงการดำเนินงานของคณะกรรมการคัดสื่อสิ่งพิมพ์ที่ดี มีประโยชน์และสร้างสรรค์สังคม ของ ศธ.ว่า เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกับงานของกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ที่จัดระดับความเหมาะสมของสื่อสิ่งพิมพ์ด้วยการศึกษาวิจัยสื่อสิ่งพิมพ์ทุกประเภท จัดระดับความเหมาะสม การคัดเลือกสื่อที่ดี การตีความข้อความหรือภาพที่นำเสนอของสื่อสิ่งพิมพ์ การหามาตรการลดภาษี เป็นต้น ศธ.จึงปรับรูปแบบการทำงานโดยให้หน่วยงานใน ศธ. ซึ่งประกอบด้วย สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) สำนักงานส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) สำนักงานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) คัดเลือกหนังสือดีเด่นและสร้างสรรค์สำหรับเด็ก เยาวชน ครอบครัว และหนังสือที่เหมาะสมกับสังคม อาทิ หนังสือระดับอนุบาล หนังสือระดับประถมศึกษา หนังสือระดับมัธยมศึกษาตอนต้น หนังสือระดับมัธยมตอนปลาย เป็นต้น หน่วยงานละ 10 เรื่อง เพื่อจะนำหนังสือดังกล่าวมาประกาศให้ผู้ปกครองและบุคคลทั่วไปได้ทราบว่าเป็นหนังสือที่ผ่านการตรวจสอบจาก ศธ.แล้ว

แหล่งที่มา/ผู้ส่ง http://www.matichon.co.th/khaosod

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=2436&Key=hotnews

สพฐ.เล็งช่วยเด็กจนเพิ่ม

8 กรกฎาคม 2551

นายสมเกียรติ ชอบผล รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวถึงกรณีที่นายไพฑูรย์ สินลารัตน์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (มธบ.) เรียกร้องให้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ดูแลโรงเรียนที่ไม่สามารถเรียกเก็บเงินค่าใช้จ่ายอื่นเพิ่มได้ รวมถึงดูแลผู้ปกครองที่ไม่ใช่ข้าราชการซึ่งจะไม่สามารถเบิกค่าใช้จ่ายเหมือนกับข้าราชการนั้นว่า ปกติ ศธ.และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ก็ดูแลเด็กยากจนอยู่แล้ว ด้วยการจัดงบฯปัจจัยพื้นฐานให้แก่เด็กที่ยากจน โดยปีนี้จัดให้เด็กระดับประถมศึกษาคนละ 1,000 บาทต่อปี จำนวนร้อยละ 30 ของนักเรียนทั้งหมด ขณะที่ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นให้คนละ 3,000 บาทต่อปี จำนวนร้อยละ 20 ของนักเรียนทั้งหมด อีกทั้งยังมีทุนการศึกษาและทุนช่วยเหลือต่างๆ อาทิ ทุนภูมิทายาทที่ให้แก่เด็กยากจนในจังหวัดทางภาคใต้ จำนวนกว่า 900 ทุน เป็นต้น

“เงินที่เด็กยากจนได้รับนี้ ถ้าเด็กใช้อย่างประหยัดก็สามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อนได้ ซึ่งคุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เลขาธิการ กพฐ. ได้ให้แนวทางไว้ว่าจะต้องขยายการช่วยเหลือปัจจัยพื้นฐานแก่เด็กยากจนเพิ่มขึ้นเป็นเฟสๆ โดยปีหน้าจะขอขยายการช่วยเหลือระดับประถมศึกษา จากร้อยละ 30 เป็นร้อยละ 40 และในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น จากร้อยละ 20 เป็นร้อยละ 30 เพื่อที่ต่อไปจะสามารถเรียนฟรีได้ทั้ง 100% ซึ่งจะเห็นว่า สพฐ.ไม่ได้ทอดทิ้งเด็กยากจน ยังให้การดูแลเหมือนเดิม” รองเลขาธิการ กพฐ.กล่าว

แหล่งที่มา/ผู้ส่ง http://www.matichon.co.th/matichon

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=2435&Key=hotnews

สช.ดิ้นอุ้ม ร.ร.เอกชนงัดมาตรา 6 สู้-ต่ออายุประกันสังคม (

8 กรกฎาคม 2551

สช.ดิ้นช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ ร.ร.เอกชน ส่งเรื่องให้กฤษฎีกาวินิจฉัยหาทางรับมือมาตรา 86 ของ พ.ร.บ.การศึกษาเอกชน ชง 2 ทางเลือก ระหว่างให้ รมต.ศธ.ใช้มาตรา 6 ของ พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน ยกเว้นเจ้าหน้าที่ ร.ร.เอกชนไม่ต้องออกจากประกันสังคม หรืออาศัยมติ ครม.ต่ออายุประกันสังคม

นายสำรวม พฤกษเสถียร เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) สำนักปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ได้ส่งเรื่องไปให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาวินิจฉัยว่า สช.สามารถแก้ปัญหาความเดือดร้อนของเจ้าหน้าที่โรงเรียนเอกชนที่ถูกมาตรา 86 ของ พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน พ.ศ.2550 บังคับให้ออกจากกฎหมายประกันสังคม ด้วยวิธีให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการใช้อำนาจตามมาตรา 6 ของ พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน ยกเว้นให้เจ้าหน้าที่ของโรงเรียนเอกชนไม่ต้องออกจากกฎหมายประกันสังคม หรือสามารถใช้มติคณะรัฐมนตรีคุ้มครองชั่วคราวให้เจ้าหน้าที่โรงเรียนเอกชนไม่ต้องออกจากกฎหมายประกันสังคมได้หรือไม่

“คณะกรรมการกฤษฎีกาได้ทราบปัญหาตามที่ผมเป็นตัวแทนของ สช.และรับทราบข้อมูลจากตัวแทนโรงเรียนเอกชน เป็นผู้ชี้แจ้งไปว่าเจ้าหน้าที่โรงเรียนเอกชนได้รับความเดือดร้อนจาก พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชนจริงๆ เวลานี้ สช.รอคำตอบจากคณะกรรมการกฤษฎีกาอยู่ หลังจากกฤษฎีกาตอบกลับมาแล้ว สช.จะทำเรื่องเสนอให้ รมว.ศึกษาธิการพิจารณา หากได้รับความเห็นชอบ สช.จะดำเนินการตามนั้น เพื่อเร่งแก้ปัญหา” นายสำรวมกล่าว

น.ส.จินตนา ธรรมวานิช นายกสมาคมโรงเรียนอนุบาลแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี กล่าวว่า การประชุมคณะกรรมการกฤษฎีกา เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม ที่ผ่านมานั้น ได้ข้อสรุปว่าจะมีการช่วยเหลือลูกจ้าง เจ้าหน้าที่ของโรงเรียนเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากมาตรา 86 ของ พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชนแน่นอน กฤษฎีการายหนึ่งซึ่งเคยร่วมในการพิจารณา พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน ระบุด้วยว่า ไม่เคยคิดว่า พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชนที่กฤษฎีกาผ่านร่างกฎหมายไปนั้นจะทำร้าย ทำให้ลูกจ้างโรงเรียนเอกชนต้องเสียสิทธิ์ แต่ที่ประชุมยังไม่ได้ข้อยุติว่าวิธีช่วยเหลือลูกจ้างโรงเรียนเอกชนจะเป็นอย่างไร

อนึ่ง มาตรา 6 ของ พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน พ.ศ.2550 ระบุว่า กรณีมีเหตุจำเป็นรัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการจะประกาศให้โรงเรียนใดได้รับการยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.นี้ในเรื่องใดก็ได้ ส่วนมาตรา 86 กำหนดให้ผู้อำนวยการ ครู เจ้าหน้าที่โรงเรียนเอกชนออกจากกฎหมายคุ้มครองแรงงานกฎหมายแรงงานสัมพันธ์และกฎหมายประกันสังคม–
จบ–แหล่งที่มา/ผู้ส่ง http://www.komchadluek.net

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=2432&Key=hotnews

ร้องเว็บสกอ.ถูกละเมิดทางเพศขณะฝึกงานกว่า20ราย

8 กรกฎาคม 2551

“สุเมธ” เผย นศ.ร้องถูกล่วงละเมิดทางเพศขณะฝึกงาน เตรียมสอบสวนข้อเท็จจริง วอนมหาวิทยาลัยช่วยสอดส่องคุ้มครองนศ. ชี้มีกว่า 20 ราย ร้องอาจารย์ประพฤติผิดทั้งในและนอกมหาวิทยาลัย เดินหน้าเก็บข้อมูลผ่านเว็บ หวังจัดทำนโยบายคุมเข้ม

จากกรณีที่ ผศ.จักรฤทธิ์ อุทโธ อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี (มอบ.) ถูกนักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะบริหารศาสตร์ มหาวิทยาลัยเดียวกัน แจ้งความกรณีกระทำอนาจารเพื่อแลกเกรด ซึ่งล่าสุดถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง สั่งพักราชการและถูกแจ้งดำเนินคดีอาญาแล้วนั้น

เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ดร.สุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) เปิดเว็บ www.mua.go.th./clean  หรือ www.mua.go.th  “นิสิตนักศึกษาร่วมใจ สร้างความสดใสให้สถาบัน” รับเรื่องร้องเรียนกรณีการกระทำที่ไม่พึงประสงค์ของอาจารย์ ที่ปฏิบัติต่อนักศึกษา หรือพฤติกรรมของอาจารย์ที่ไม่เหมาะสม ตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม จนถึงวันที่ 7 กรกฎาคม ว่าขณะนี้มีนักศึกษา อาจารย์ หรือบุคคลที่พบเห็นเหตุการณ์ พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของอาจารย์ ร้องเรียนมากว่า 20 คน ซึ่งส่วนมากเป็นการบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น อาทิ ถูกลวนลามทางสายตา ถูกล่วงละเมิดทางเพศนอกมหาวิทยาลัย หรือถูกล่วงละเมิดทางเพศระหว่างออกไปฝึกงาน เป็นต้น แต่ทั้งหมดไม่ได้มีการรายงานชื่ออาจารย์ ตำแหน่ง หรือมหาวิทยาลัยที่ชัดเจน มีอาจารย์เพียง 4 คนเท่านั้น ที่ถูกร้องเรียน มีชื่อ นามสกุล ตำแหน่ง และมหาวิทยาลัยที่ชัดเจน

ดร.สุเมธกล่าวต่อว่า หลังจากได้ข้อมูลจากผู้ที่เข้ามาร้องเรียนแล้ว ทำให้เห็นได้ว่า มีกรณีที่ไม่เหมาะสมเกิดขึ้นในมหาวิทยาลัย แต่ในขณะนี้ยังไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริง เพราะสกอ.ยังสอบสวนข้อเท็จจริงไม่เสร็จสิ้น ซึ่งหลังจากทราบข้อเท็จจริง ก็จะประสานไปยังมหาวิทยาลัยให้เป็นผู้รับผิดชอบลงโทษต่อไป เนื่องจากข้อมูลทุกอย่าง สกอ.เก็บเป็นความลับ และดำเนินการสอบสวนอย่างลับๆ ไม่เปิดเผย จนกว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจน ทั้งนี้ ดูจากจำนวนนักศึกษาที่เข้ามาร้องเห็นได้ว่าเป็นเพียงอาจารย์ส่วนน้อยเท่านั้น ไม่ใช่อาจารย์ทั้งหมด

เลขาธิการ กกอ.กล่าวอีกว่า จากข้อมูลที่มีผู้เข้ามาร้องเรียนผ่านเว็บไซต์ มีหลายกรณีที่เกิดขึ้นกับนักศึกษา โดยเฉพาะกรณีการล่วงละเมิดทางเพศนักศึกษาระหว่างไปฝึกปฏิบัติงาน ทั้งในสถานประกอบการ และสถานที่ราชการ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน หัวหน้างาน จึงขอให้นักศึกษาที่ถูกกระทำ แจ้งข้อมูลแก่ สกอ. เพื่อนำมาวิเคราะห์ และกำหนดเป็นนโยบาย กฎ ระเบียบเรื่องนี้อย่างชัดเจนมากขึ้น และฝากมหาวิทยาลัยให้ความสำคัญ ดูแลตรวจสอบเรื่องนี้ รวมไปถึงคุ้มครองนักศึกษาขณะไปฝึกปฏิบัติงานอีกด้วย ส่วนการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวคาดว่า ต้องใช้เวลาประมาณเดือนกว่าๆ จึงจะสามารถตรวจสอบได้ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร และมีอาจารย์ล่วงละเมิดทางเพศนักศึกษาหรือไม่

“ผมได้เสนอเรื่องดังกล่าวต่อ กกอ. ซึ่งคณะกรรมการเห็นด้วยว่าการแก้ไขปัญหาไม่ใช่หน้าที่ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่ทุกมหาวิทยาลัยต้องรับผิดชอบร่วมกัน เช่น ขั้นตอนกระบวนการคัดเลือกคนมาเป็นอาจารย์ มหาวิทยาลัยต้องมีกลไกในการคัดกรองคนอย่างไร และเมื่อรับมาแล้วต้องดูแลให้ครูอาจารย์มีความรู้เรื่องคุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณของวิชาชีพครู เป็นต้น” ดร.สุเมธกล่าว

เลขาธิการ กกอ. กล่าวต่ออีกว่า กรณีที่มีผู้ปกครองเตรียมยื่นฟ้องร้อง ศ.ดร.ประกอบ วิโรจนกูฏ อธิการบดี มอบ. กรณีเพิกเฉย ไม่ลงโทษวินัย ผศ.จักรฤทธิ์ เมื่อครั้งมีผู้ปกครองร้องเรียนว่าลูกสาวถูก ผศ.จักรฤทธิ์ทำอนาจารเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2550 นั้น เท่าที่ได้พูดคุยกับ ศ.ดร.ประกอบแล้ว ถ้าเป็นกรณีเด็กคนเดียวกัน ทางมหาวิทยาลัยได้ลงโทษภาคทัณฑ์อาจารย์คนดังกล่าวแล้ว และไม่ให้อยู่กับนักศึกษาสองต่อสองในห้องพัก อีกทั้งขณะนั้นไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน ไม่สามารถทำอะไรได้

แหล่งที่มา/ผู้ส่ง http://www.komchadluek.net

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=2431&Key=hotnews

ครูเอกชนส่อแววแห้ววิทยฐานะ

7 กรกฎาคม 2551

ข่าววันที่  7 กรกฎาคม 2551   แหล่งข่าวจาก สยามรัฐ

เลขาธิการ กช.เผยจุดประสงค์ดี แต่ไม่สามารถเจียดเงินกองทุนเอกชนช่วยได้

“จรวยพร” ปลอบมีทางออกแต่รอเจรจา

นายสำรวม พฤกษ์เสถียร เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) เปิดเผยความคืบหน้าแนวคิดการนำเงินจากกองทุนส่งเสริมพัฒนาการศึกษาเอกชน จำนวนร้อยละ 3 ที่โรงเรียนส่งเข้ามาสมทบตามมาตรา 45 ของพ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน พ.ศ.2550 เพื่อมาจ่ายเป็นเงินวิทยฐานะให้แก่ผู้บริหาร และครูโรงเรียนเอกชนว่า เรื่องนี้ยังไม่มีความคืบหน้า แต่จากการพิจารณาวัตถุประสงค์ของกองทุนส่งเสริมพัฒนาฯ พบว่า กองทุนดังกล่าวไม่ได้ระบุเกี่ยวกับการเติมเต็มค่าตอบแทนครูในเรื่องวิทยฐานะ ดังนั้นจึงไม่สามารถนำเงินในส่วนนี้มาจ่ายเป็นเงินวิทยฐานะได้ ซึ่งหลังจากนี้คงจะต้องมีการหารือกันต่อไปว่าจะมีแนวทางในการดำเนินการอย่างไร เพื่อให้ครูโรงเรียนเอกชนมีขวัญและกำลังใจในการทำงานเหมือนกับครูรัฐบาล ทั้งนี้ก่อนหน้านี้มีแนวคิดที่จะให้มีการออกสลากพิเศษ 1 งวด เพื่อนำเงินมาจ่ายเป็นเงินวิทยฐานะ แต่เมื่อวิเคราะห์แล้วก็เห็นว่าเป็นวิธีการที่ยังไม่เหมาะสม

เลขาธิการ กช. กล่าวต่อไปว่า ส่วนที่หลายฝ่ายมองว่าน่าจะเสนอรัฐบาลให้ช่วยสนับสนุนงบประมาณในส่วนของเงินวิทยฐานะนั้น เรื่องนี้รัฐบาลเคยยกกรณีตัวอย่างของวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยเอกชน ที่มีการจัดสรรค่าตอบแทนในตำแหน่งรองศาสตราจารย์ (รศ.) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ (ศ.) ด้วยงบประมาณของมหาวิทยาลัยเอง โดยรัฐบาลไม่ได้ร่วมสนับสนุนเลย ดังนั้นในกรณีของเงินวิทยฐานะที่จะจ่ายให้กับผู้บริหารและครูโรงเรียนเอกชน ทางรัฐบาลจึงนำหลักการดังกล่าวมาใช้กับโรงเรียนเอกชนด้วย ทั้งที่เอกชนเองก็มีเงินไม่มากนัก

ด้านนางจรวยพร ธรณินทร์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่า เรื่องนี้อย่าเพิ่งตัดสินว่าผู้บริหารและครูโรงเรียนเอกชนจะได้รับเงินวิทยฐานะหรือไม่ เพราะยังไม่ได้หารือกัน หากวิธีการเดิมไม่สามารถทำได้ ก็คงต้องหาแนวทางใหม่ๆ แต่จะเป็นวิธีการใดคงต้องคุยกันอีกนาน ซึ่งขณะนี้ยังมีปัญหาที่เกิดจาก พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชนอีกมากที่รอการแก้ไขอยู่

แหล่งที่มา/ผู้ส่ง http://www.siamrath.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=2430&Key=hotnews

เลขาฯ กพฐ. ระบุ มีความเป็นไปได้มากที่จะตั้งสำนักมัธยมศึกษาตอนปลายขึ้นมาใหม่

7 กรกฎาคม 2551

เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เผยมีความเป็นไปได้มากที่จะตั้งสำนักมัธยมศึกษาตอนปลายขึ้นมาใหม่

คุณหญิงกษมา  วรวรรณ ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เปิดเผยความคืบหน้าการเสนอปรับโครงสร้างสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่า ที่มีความชัดเจนที่สุดขณะนี้ คือ การตั้งสำนักมัธยมศึกษาตอนปลายที่มีความเป็นไปได้อย่างมาก เนื่องจากนายสมชาย  วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เห็นด้วยและคณะกรรมการที่ปรึกษากฎหมายของกระทรวงศึกษาธิการ เห็นว่ามีความเป็นไปได้ ส่วนการเสนอให้มีสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเฉพาะเพื่อดูแลโรงเรียนมัธยมศึกษานั้น สพฐ. ได้ส่งความคิดเห็นไปให้สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา เพื่อพิจารณานโยบายการศึกษาในภาพรวมและข้อกฏหมายที่เกี่ยวข้องว่าดำเนินการได้หรือไม่

เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวอีกว่า การเสนอแยกสำนักมัธยมศึกษาตอนปลาย เป็นความห่วงใยถึงปัญหาความเดือนร้อนที่เกิดขึ้น ซึ่งที่ผ่านมา สพฐ. ได้พยายามเข้าไปแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในระบบ โดยเฉพาะหลักเกณฑ์การโยกย้าย ซึ่งช่วงแรกที่เข้าโครงสร้างใหม่มีปัญหาร้องเรียนมาประมาณ 40 – 50 เรื่อง แต่ขณะนี้มีการร้องเรียนมาเพียง 4 – 5 เรื่อง ซึ่งแม้ปัญหาส่วนใหญ่จะได้รับการแก้ไขแต่ก็ยังมีปัญหาเดือดร้อนอยู่

แหล่งที่มา/ผู้ส่ง สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=2428&Key=hotnews