เลขาฯ กพฐ. ระบุ มีความเป็นไปได้มากที่จะตั้งสำนักมัธยมศึกษาตอนปลายขึ้นมาใหม่

7 กรกฎาคม 2551

เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เผยมีความเป็นไปได้มากที่จะตั้งสำนักมัธยมศึกษาตอนปลายขึ้นมาใหม่

คุณหญิงกษมา  วรวรรณ ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เปิดเผยความคืบหน้าการเสนอปรับโครงสร้างสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่า ที่มีความชัดเจนที่สุดขณะนี้ คือ การตั้งสำนักมัธยมศึกษาตอนปลายที่มีความเป็นไปได้อย่างมาก เนื่องจากนายสมชาย  วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เห็นด้วยและคณะกรรมการที่ปรึกษากฎหมายของกระทรวงศึกษาธิการ เห็นว่ามีความเป็นไปได้ ส่วนการเสนอให้มีสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเฉพาะเพื่อดูแลโรงเรียนมัธยมศึกษานั้น สพฐ. ได้ส่งความคิดเห็นไปให้สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา เพื่อพิจารณานโยบายการศึกษาในภาพรวมและข้อกฏหมายที่เกี่ยวข้องว่าดำเนินการได้หรือไม่

เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวอีกว่า การเสนอแยกสำนักมัธยมศึกษาตอนปลาย เป็นความห่วงใยถึงปัญหาความเดือนร้อนที่เกิดขึ้น ซึ่งที่ผ่านมา สพฐ. ได้พยายามเข้าไปแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในระบบ โดยเฉพาะหลักเกณฑ์การโยกย้าย ซึ่งช่วงแรกที่เข้าโครงสร้างใหม่มีปัญหาร้องเรียนมาประมาณ 40 – 50 เรื่อง แต่ขณะนี้มีการร้องเรียนมาเพียง 4 – 5 เรื่อง ซึ่งแม้ปัญหาส่วนใหญ่จะได้รับการแก้ไขแต่ก็ยังมีปัญหาเดือดร้อนอยู่

แหล่งที่มา/ผู้ส่ง สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=2428&Key=hotnews

“สมชาย”ไฟเขียวแยกประถม-มัธยม

7 กรกฎาคม 2551

ข่าววันที่  7 กรกฎาคม 2551   แหล่งข่าวจาก สยามรัฐ

คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการเสนอขอปรับโครงสร้างสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)ว่า ขณะนี้การเสนอปรับโครงสร้างชัดเจนแล้วคือ การตั้งสำนักมัธยมศึกษาตอนปลายที่มีความเป็นไปได้มาก เนื่องจากนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รมว.ศึกษาธิการ เห็นด้วย และคณะกรรมการที่ปรึกษากฎหมายของ ศธ.ก็เห็นว่ามีความเป็นไปได้ ส่วนการเสนอให้มีสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเฉพาะเพื่อดูแลโรงเรียนมัธยมศึกษานั้นสพฐ.ได้ส่งความคิดเห็นไปให้สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาเพื่อให้ดูในแง่ของนโยบายการศึกษาใหญ่และสิ่งที่เกี่ยวข้องด้านกฏหมายว่าดำเนินการได้หรือไม่

เลขาธิการ กพฐ. กล่าวต่อว่า การเสนอแยกสำนักมัธยมศึกษาตอนปลายนั้น เป็นความห่วงใยถึงปัญหาความเดือนร้อนที่เกิดขึ้น ซึ่งที่ผ่านมา สพฐ.ได้พยายามเข้าไปแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในระบบ ไม่ว่าจะเป็นหลักเกณฑ์การโยกย้าย ซึ่งช่วงแรกที่เข้าโครงสร้างใหม่มีปัญหาร้องเรียนมาประมาณ 40 -50 เรื่องแต่ตอนนี้มีการร้องเรียนมาเพียง 4- 5 เรื่อง ดังนั้นแสดงให้เห็นว่าปัญหาส่วนหนึ่งได้รับการดูแล แต่กระนั้นก็ยังมีปัญหาเดือดร้อนอยู่ อย่างไรก็ตามขั้นตอนต่อไป สพฐ.จะเสนอให้คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการพิจารณาเพื่อประกาศจัดตั้งเป็นสำนักภายในก่อน สำหรับการตั้งสำนักการศึกษาภาคบังคับนั้นคงไม่จำเป็นต้องตั้งสำนักงานนี้เพราะ สพฐ.ก็ทำหน้าที่ดูแลเรื่องนี้อยู่แล้ว

แหล่งที่มา/ผู้ส่ง http://www.siamrath.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=2429&Key=hotnews

ศธ.เร่งสอบสวนวินัยร้ายแรงอาจารย์ มอบ. ล่วงละเมิดทางเพศนักศึกษาหญิง

7 กรกฎาคม 2551

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ สั่งเร่งสอบสวนวินัยร้ายแรงอาจารย์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีล่วงละเมิดทางเพศนักศึกษาหญิงทั้งคดีเก่าและคดีใหม่ คาดแล้วเสร็จภายใน 7-8 วัน  ขณะที่มีนักศึกษากว่า 20 ราย ร้องเรียนว่าถูกล่วงละเมิดทางเพศ

นายบุญลือ  ประเสิรฐโสภา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีผู้ช่วยศาสตราจารย์จักรฤทธิ์  อุทโธ อาจารย์ภาควิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ล่วงละเมิดทางเพศ นักศึกษาทั้งชายและหญิงเพื่อแลกเกรด ซึ่งเคยถูกร้องเรียนหลายครั้งแต่ไม่มีหลักฐานเอาผิด ว่า ขณะนี้ผู้บริหารมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบสวนวินัยร้ายแรงผู้ช่วยศาสตราจารย์จักรฤทธิ์ แล้ว โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์จักรฤทธิ์ มีสิทธิ์ชี้แจงข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ได้สั่งการให้ทางมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี เร่งดำเนินการสอบสวนวินัยร้ายแรงให้แล้วเสร็จโดยเร็ว คาดว่าภายใน 7 – 8 วัน น่าจะได้ข้อสรุป นอกจากนั้น ทราบว่าผู้ช่วยศาสตราจารย์จักรฤทธิ์ มีคดีที่ถูกร้องเรียนค้างเก่าอีก 2 คดี ซึ่งได้ให้คณะกรรมการสอบสวนวินัยฯ สอบสวนข้อเท็จจริงไปในคราวเดียวกัน โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้ปกครองนักศึกษาหญิงอีกรายนำหลักฐานเข้าแจ้งความเพิ่มเติมว่าถูกผู้ช่วยศาสตราจารย์จักรฤทธิ์ กระทำอนาจารตั้งแต่ปลายปี 2550 ผ่านมานานถึง 7 เดือนแล้วแต่เรื่องเงียบหาย ทั้งที่ผู้ช่วยศาสตราจารย์จักรฤทธิ์ ก็ลงชื่อรับสารภาพต่อคณะกรรมการสอบสวนแล้ว แต่อธิการบดีกลับไม่ดำเนินการทางวินัย ซึ่งเรื่องนี้ ต้องขอรอฟังข้อมูลจากคณะกรรมการสอบสวนวินัยฯ ก่อน หากเป็นเรื่องจริง อธิการบดี ก็ต้องมีความผิดฐานปล่อยปละละเลย และจะต้องประสานกับทางสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ดำเนินการตั้งคณะกรรมการสอบสวนฯ อธิการบดีมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี อีกทางหนึ่งด้วย

ด้านนายสุเมธ  แย้มนุ่ม เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา กล่าวว่า มีนักศึกษากว่า 20 รายร้องเรียนผ่านเว็บไซต์ www.mua.go.th/clean ถึงพฤติกรรมของอาจารย์ที่ไม่เหมาะสม โดยมีทั้งที่ถูกกระทำเองและเห็นอาจารย์กระทำกับบุคคลอื่น ตลอดจนนักศึกษาที่ออกไปฝึกงานข้างนอกแล้วถูกบุคลากรของหน่วยงานดังกล่าวล่วงละเมิดทางเพศ ทั้งนี้ ตนเองยังไม่ขอให้รายละเอียด เพราะต้องตรวจสอบก่อนว่ามีมูลความจริงหรือไม่ ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาตรวจสอบแต่ละกรณีประมาณ 1 เดือน

แหล่งที่มา/ผู้ส่ง สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=2427&Key=hotnews

สสวท. จับมือนักเรียนคอมพิวเตอร์โอลิมปิกสร้างเว็บไซต์ www.programming.in.th อบรมเขียนภาษาซี ฟรี !

7 กรกฎาคม 2551

เขียนโปรแกรมไม่ยากอย่างที่คิด สสวท.  จับมือนักเรียนคอมพิวเตอร์โอลิมปิกสร้างเว็บไซต์ www.programming.in.th อบรมเขียนภาษาซี ฟรี !

นางสาวนารี  วงศ์สิโรจน์กุล  รักษาการแทนผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.)  แจ้งว่า   สาขาคอมพิวเตอร์  สสวท. ขอเชิญผู้สนใจสอบถามและสมัครเข้าร่วมอบรมด้วยตนเองแบบออนไลน์  หลักสูตรการเขียนโปรแกรมภาษาซี ผ่านเว็บไซต์ www.programming.in.th  เริ่มลงทะเบียนเข้ารับการอบรมได้ตั้งแต่บัดนี้  เนื้อหาบทเรียนการเขียนโปรแกรมภาษาซีในรูปแบบออนไลน์ มีการเรียงลำดับบทจากง่ายไปยังยาก ซึ่งผู้เรียนจะไม่สามารถอ่านเนื้อหาหรือทำโจทย์ในบทถัดไปได้ หากว่ายังไม่ผ่านบทก่อนหน้า ทั้งนี้ในแต่ละบท ยังมีโจทย์สำหรับฝึกเขียนโปรแกรม และดูผลลัพธ์ของโปรแกรมผ่านทางหน้าเว็บไซต์ได้ทันที หรือสอบถามเพิ่มเติมที่ โทร. 02 392 4021 ต่อ 3415, 3414, 3406 เว็บไซต์ www.programming.in.th จัดทำขึ้นโดยสาขาคอมพิวเตอร์ สสวท. ร่วมกับนักวิชาการ และนักศึกษา ซึ่งเป็นนักเรียนค่ายคอมพิวเตอร์โอลิมปิก ร่วมกันพัฒนาเว็บไซต์ขึ้น เพื่อพัฒนาการเรียนการสอนทางด้านการเขียนโปรแกรมและสนับสนุนงานด้านวิชาการในการที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันคอมพิวเตอร์โอลิมปิก ครั้งที่ 23 ในปี พ.ศ. 2554  โดยผู้เรียนสามารถเข้าศึกษาหาความรู้ด้วยตนเองได้สะดวกทุกที่ทุกเวลา โดยเนื้อหาจะเน้นเฉพาะการเขียนโปรแกรมด้วยภาษาซี   วิธีการแก้ปัญหาซึ่งเป็นโจทย์ปัญหาตั้งแต่ระดับพื้นฐาน จนถึงโจทย์ปัญหาที่ใช้ในการอบรมค่ายคอมพิวเตอร์โอลิมปิก เพื่อกระตุ้นและส่งเสริมให้เกิดบรรยากาศด้านวิชาการ และทำให้การเรียนการสอนวิชาคอมพิวเตอร์เป็นที่สนใจของเยาวชนและนักวิชาการทั่วๆ ไปซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาหลักสูตรระบบการเรียนการสอน และการวิจัยที่จะช่วยพัฒนาความก้าวหน้าทางวิชาการของประเทศต่อไป

หลักสูตรการเขียนโปรแกรมภาษาซี ผ่านเว็บไซต์ www.programming.in.th แบ่งหมวดการเรียนรู้ออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ Task  รวบรวมโจทย์สำหรับการเขียนโปรแกรมภาษาซีที่ลักษณะโจทย์เป็นรูปแบบเดียวกับโจทย์การแข่งขันคอมพิวเตอร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ โดยมีหลากหลายระดับความยากง่าย ให้สมาชิกสามารถเลือกทำและส่งโค้ดโปรแกรมขึ้นมาผ่านห้าเว็บไซต์ และรอรับผลการตรวจในทันทีว่าจะได้คะแนนเท่าไหร่  Tutorail เนื้อหาบทเรียนการเขียนโปรแกรมภาษาซีในรูปแบบออนไลน์ โดยมีการเรียงลำดับบทจากง่ายไปยังยาก ซึ่งผู้เรียนจะไม่สามารถอ่านเนื้อหาหรือทำโจทย์ในบทถัดไปได้

หากว่ายังไม่ผ่านบทก่อนหน้า ทั้งนี้ในแต่ละบท ยังมีโจทย์สำหรับฝึกเขียนโปรแกรม และดูผลลัพท์ของโปรแกรมผ่านทางหน้าเว็บไซต์ได้ทันที  Challenge พักสมองจากการคิดโจทย์ยาก ๆ ในหมวด Task มาทำโจทย์ประเภทคำถาม-คำตอบ  ในหมวดนี้จะมีโจทย์หลากหลายประเภท  บางข้ออาจจะตอบได้โดยไม่ต้องค้นหาข้อมูล บางข้ออาจจะสามารถตอบได้โดยใช้กูเกิ้ลช่วยหา หรือบางข้ออาจจะต้องเขียนโปรแกรมขึ้นมาเพื่อหาคำตอบ

แหล่งที่มา/ผู้ส่ง Press Release, Local (Th/Eng

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=2422&Key=hotnews

ชี้ศูนย์เด็กเล็กต้องอยู่กับท้องถิ่น

7 กรกฎาคม 2551

นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ประชุมได้พิจารณาปัญหาของโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ที่ได้ถ่ายโอนให้แก่ อปท.ไปแล้ว เนื่องจากกำลังเกิดปัญหาขาดแคลนครู เพราะครูที่ไม่สมัครใจโอนไปสังกัด อปท.จะอยู่ช่วยราชการในโรงเรียนดังกล่าวเพียง 1 ปี จากนั้นจะกลับมาสอนในโรงเรียนสังกัด สพฐ. โดย สพฐ.จะจัดอัตราลงในโรงเรียนที่ขาดแคลนครู ซึ่งข้อมูลขณะนี้พบว่าโรงเรียนที่ถ่ายโอนไปสังกัด อปท.ขาดแคลนครูกว่า 5,000 อัตรา ที่ประชุมจึงมีมติให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) ไปเจียดงบฯ เหลือจ่ายของ สถ.มาบรรจุครูในสังกัด อปท. แต่ถ้าไม่พอให้ อปท.จังหวัดนั้น ๆ ไปจัดหางบฯ ในองค์กรของตนเองมาดำเนินการแทน และถ้ายังไม่พออีกก็ให้จัดสรรงบฯ ฉุกเฉินเร่งด่วนที่มีอยู่ใน สถ.มาใช้ โดยให้เริ่มดำเนินการจัดอัตราทดแทนตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป ส่วนครูที่ไม่สมัครใจเมื่อช่วยราชการครบ 1 ปีแล้ว

รมว.ศธ.กล่าวว่า นอกจากนี้ที่ประชุมได้พิจารณาการถ่ายโอนศูนย์เด็กเล็กของวัดให้แก่ อปท. โดยที่ประชุมมีมติเป็นหลักการว่าการจัดการศึกษาของศูนย์เด็กเล็กในวัดควรเป็นหน้าที่ของ อปท. จึงให้ดำเนินการถ่ายโอนศูนย์เด็กเล็กในวัดให้แก่ อปท. เพื่อไม่ให้เป็นภาระของวัด ส่วนกรณีของวัดใดที่ไม่สมัครใจจะถ่ายโอน ก็ให้ อปท.ไปเจรจากับเจ้าอาวาสวัด ซึ่งอาจจะเป็นการบริหารจัดการร่วมกันก็ได้.

แหล่งที่มา/ผู้ส่ง เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=2424&Key=hotnews

ม.ศรีปทุม ชลบุรี ทุ่มงบปรับระบบ ICT ครั้งใหญ่ ตั้งเป้าก้าวสู่มหาวิทยาลัยั้นนำแห่งภาคตะวันออก

7 กรกฎาคม 2551

ม.ศรีปทุม  ชลบุรี  ทุ่มทุนขยายศักยภาพระบบไอซีทีครั้งใหญ่  วางใจเฟิร์สลอจิกพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ  SPUC   Net  เล็งกวาดนักศึกษาในแถบภูมิภาคตะวันออกและประชาชนในนิคมอุตสาหกรรม  ประหยัดเวลาค่าใช้จ่ายรับพิษเศรษฐกิจซึมระยะยาวเผยได้ความรู้ทัดเทียมสถาบันการศึกษาชั้นนำในกรุงเทพ  ประกาศตั้งเป้าเป็น  ICT  Campus  ชั้นนำแห่งภาคตะวันออกเร็วๆ  นี้

ดร.บุษบา  ชัยจินดา  รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร  มหาวิทยาลัยศรีปทุม  วิทยาเขตชลบุรี  เปิดเผยถึงนโยบายด้านการเสริมสร้างประสิทธิภาพการทำงานร่วมกันของทุกหน่วยงานในมหาวิทยาลัย  รวมถึงการพัฒนาสถานศึกษาไปสู่สังคมแห่งการเรียนรู้  (Learning  Environment)  อย่างแท้จริงว่า  มหาวิทยาลัยศรีปทุม  เป็นสถาบันอุดมศึกษาเอกชนหนึ่งในห้าแห่งแรกของประเทศไทย  และในปีการศึกษา  2530  ได้ขยายวิทยาเขตไปที่จังหวัดชลบุรี

ซึ่งทางมหาวิทยาลัยฯ  ได้เล็งเห็นความสำคัญในการสร้างองค์ความรู้  การประยุกต์ใช้  ICT  ทั้งในด้านการเรียน  การสอน  การดำเนินงาน  และการให้บริการแก่นักศึกษาและบุคลากรของมหาวิทยาลัเพื่อให้เข้าถึง  ICT  อย่างเต็มประสิทธิภาพ  และให้บรรลุเป้าหมายในการเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำสำหรับคนรุ่นใหม่  จึงได้ดำเนินการจัดทำแผนและแนวทางการพัฒนา  ICT  ของมหาวิทยาลัยฯ  ให้มีความพร้อมและทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่ง  โดยมีแผนงานดังนี้

1.  แผนพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานระบบเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ  (IT Infrastructure)  2.  แผนพัฒนาบุคลากรมหาวิทยาลัยให้มีความรู้ความสามารถด้านการประยุกต์ใช้  ICT   3.  แผนพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนด้าน  ICT  ทั้งนระดับปริญญาตรีและปริญญาโทให้ตรงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม  และภาคธุรกิจ  4.  แผนการสร้างพันธมิตรและความร่วมมือกับองค์กรทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน  และสถาบันการศึกษา  ในการให้ความรู้และบริการด้านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ  รวมไปถึงการแลกเปลี่ยนบุคลากรทางด้าน  ICT  ร่วมกัน

ดร.บุษบา  กล่าวเพิ่มเติมว่า  ในปีการศึกษา  2551  มหาวิทยาลัยฯ  ได้ร่วมมือกับบริษัท  เฟิร์ส  ลอจิก  ในการพัฒนาและปรับปรุงเครื่องมือ  และระบบต่างๆ  หลายโครงการทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพความเร็ว  และระบบรักษาความปลอดภัยพร้อมติดตั้งระบบเครือข่ายไร้สายคลอบคลุมทั้งหมดภายในมหาวิทยาลัยที่เกี่ยวกับ  ICT  เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการเป็น  ICT  Campus  แห่งภาคตะวันออก

ดร.บุษบา  กล่าวเพิ่มอีกว่า ปัจจุบันมหาวิทยาลัยศรีปทุม  วิทยาเขตชลบุรี  มีอาคารสถานที่  ห้องปฎิบัติการ  อุปกรณ์การเรียนการสอน  และห้องสมุด  ที่มีความทันสมัย  เพื่อรองรับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี  นอกเนือจากโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ  SPUC  Net  กับทางบริษัท  First  Logic  แล้วนั้นมหาวิทยาลัยยังได้  ดำเนินการ  จัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมคอมพิวเตอร์  และศูนย์ทดสอบความรู้ความสามารถด้าน  ICT  เพื่อการรองรับด้านการเรียนการสอน  และการพัฒนาศักยภาพด้าน  ICT  ให้กับนักศึกษา  และบุคลากรของมหาวิทยาลัยให้มีความรู้ความสามารถในการใช้  ICT  อยู่ในระดับมาตรฐาน  ซึ่งได้เปิดศูนย์ทดสอบ  Microsoft  ขึ้นมาเพื่อรองรับด้านการเรียนการสอนในหลักสูตรของนักศึกษาที่จะต้องเรียนวิชา  Microsoft  Office  ทุกคน  พร้อมส่งเสริมให้นักศึกษาทุกคนสอบใบประกาศนียบัตร  (Certification)  ของ  Microsoft  ด้วย

สุเทพ  อุ่นเมตตาจิต  ผู้จัดการทั่วไป  บริษัท  เฟิร์ส  ลอจิก  จำกัด  กล่าวว่า  สำหรับมหาวิทยาลัยศรีปทุมนั้นเป็นลูกค้ารายสำคัญของบริษัทฯ  จากการเริ่มต้นทำความเข้าใจ  โครงสร้างระบบ  ICT  และ  วิสัยทัศน์ของมหาวิทยาลัยฯ  ทำให้บริษัท  เห็นศักยภาพการเติบโตของมหาวิทยาลัยฯ  ในอนาคตที่ชัดเจน สำหรับเป้าหมายของมหาวิทยาลัยศรีปทุม  วิทยาเขตชลบุรี  ในครั้งนี้  ถือว่าเป็นสิ่งที่ท้าทายความสามารถของบริษัทฯ  เป็นอย่างยิ่ง  ในการตอบโจทย์ให้มหาวิทยาลัยฯ  ก้าวสู่การเป็น  “ICT  Campus  ชั้นนำแห่งภาคตะวันออก”

สำหรับในเนื้องาน  ที่ทางบริษัท  เฟิร์ส  ลอจิก  จำกัด  ได้นำเสนอต่อทางมหาวิทยาลัยฯนั้น  เรามุ่งเน้นการปรับปรุงระบบ ICT  โดยแบ่งออกเป็น  3  ส่วนหลัก  โดยแต่ละส่วนจะประกอบด้วยโครงการย่อยๆ  จำนวน  11  โครงการ  จากนั้นได้ทำการ  Integrate  ระบบทั้งหมด  เข้าด้วยกัน  ทำให้ระบบ  ICT  ในเฟสนี้  ที่สามารถรองรับ  Master  plan  ของมหาวิทยาลัยศรีปทุม  วิทยาเขตชลบุรีได้ตามเป้าหมาย

1.  Network n &  Security  Infrastructure

a. โครงการปรับปรุงระบบเครือข่ายหลักของมหาวิทยาลัย

b.  โครงาการปรับปรุงระบบรักษาความปลอดภัยระบบเครือข่าย

c. โครงการปรับปรุงระบบเครือข่ายไร้สาย  (Wireless  LAN)

2. System  Infrastructure

a. โครงการปรับปรุงระบบป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์

b. โครงการปรับปรุงเครื่องแม่ข่ายเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัย

c. โครงการเพิ่มสัญญาณอินเตอร์เน็ต

d. โครงการระบบสำรองข้อมูล  (Backup  System)

e. โครงการปรับปรุงเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่ายระบบระบบ  MIS

3. Application  Infrastructure

a. โครงากรปรับปรุงระบบ  E-mail

b. โครงการระบบ  Single  Password

c. เครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่ายสำหรับระบบต่างๆ

อ.นรินทร์  พนาวาส  ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายบริหาร  มหาวิทยาลัยศรีปทุม  วิทยาเขตชลบุรี กล่าวเพิ่มเติมถึงโครงสร้างพื้นฐานระบบเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ  ซึ่งได้พัฒนาเสร็จเรียบร้อยแล้ว  แบ่งออกเป็น

1. Network n &  Security  Infrastructure

เป็นการปรับปรุงระบบเครือข่ายหลักของมหาวิทยาลัยฯ  ให้มีความเร็วสูงขึ้น  รวมถึง

ระบบรักษาความปลอดภัยระบบเครือข่าย  เพื่อป้องกันและตรวจสอบการโจมตีบนระบบ  นอกจากนี้  เรายังได้เพิ่มพื้นที่  Wireless LAN  ให้ครอบคลุมทุกอาคาร  เพื่ออำนวยความสะดวกในการใหช้งานอินเตอร์เน็ตของทั้งนักศึกษาและอาจารย์หรือเจ้าหน้าที่  มหาวิทยาลัยฯ

ขณะนี้มหาวิทยาลัย  สามารถรองรับผู้ใช้งานระบบเครือข่ายภายใน  (LAN)  พร้อมกันได้ประมาณ  800  คน  และรบบเครือข่ายไร้สาย ( Wireless LAN)  ประมาณ  400  คน  โดยมีน.ศ.ประมาณ  4,000  คน  และมีแผนที่จะพัฒนาระบบให้สามารถรองรับการใช้งานพร้อมกันได้ประมาณ  2,000  คน

2. System  Infrastructure

เป็นการเพิ่ม  Server  เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบเว็บไซต์  อีกทั้งระบบสำรอง

ข้อมูล  ปรับปรุงระบบ  MIS  และ  ระบบป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์  ทั้งนี้เพื่อลดความเสียงที่จะเกิดขึ้นในอนคตเช่น  ปัญหา  Junk  Mail  Virus  Mail  และภัยคุกคามทางธรรมชาติ

3. Application  Infrastructure

เป็นโครงการเพื่อรองรับการเพิ่มเติมขึ้นของผู้ใช้งาน  ที่มีจำนวนที่มากขึ้นเรื่อย  ให้สามารถใช้งานได้พร้อมกันอย่างต่อเนื่อง  โดยการขยายเพื่อที่จัดเก็บจดหมาย  (Mailbox)  ติดตั้งระบบ  Load  Balance  รวมถึงการทำ  Single  Password  ซึ่งกำหนดให้ผู้ใช้งานมี  Username  เพียงชุดเดียว  ซึ่งสามารถเข้าใช้งานระบบต่างๆ  ได้ตามสิทธิ์ ที่มหาวิทยาลัยฯกำหนดได้อย่างสะดวก  และช่วยลดความยุ่งยากในการดูแลระบบผู้ใช้งาน

“การลงทุนทางด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ  จะทำให้ระบบเครือข่าย  SPUC Net  มีศักยภาพโดดเด่นหลายๆ  ประการ  คือ  ระบบเครือข่าย  มีความเชื่อถือได้สูง  และมีความมั่นคงปลอดภัย,  การให้บริการครอบคลุมอย่างทั่วถึง  ทั้งบุคลากรของมหาวิทยาลัย,  และนักศึกษา,  ผู้ใช้สามารถเข้าถึงสื่อข้อมูลได้ทุกประเภท  เช่น  ข้อมูลที่อยู่ในรูปตัวอักษร  ภาพ  วีดีโอ  เป็นต้น  นักศึกษาสามารถเข้าถึงระบบเครือข่ายได้แบบทุกทีทุกเวลาทั้งภายในและนอกมหาวิทยาลัย,  การบริหารจัดการเครือข่าย  และตรวจสอบระบบสำหรับผู้ดูแลระบบ  ทำได้โดยง่ายและสะดวกขึ้น,  ผู้ใช้งานระบบเข้าถึงข้อมูลได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น,  สามารถขยายระบบในอนาคตได้อย่างไม่มีข้อจำกัด,  รองรับแอพพลิเคชั่นใหม่ๆ  ได้อย่างต่อเนื่อง,  สามารถรองรับการจัดเก็บข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์  พ.ศ.  2550”  อ.นรินทร์  กล่าว

มหาวิทยาลัยศรีปทุม  วิทยาเขตชลบุรี

มหาวิทยาลัยศรีปทุม  เป็นสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งแรกของประเทศไทย  สถาปนาเมื่อวันที่  28 พฤกภาคม  2513  ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก  สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนี  ทรงพระราชทานนาม  “ศรีปทุม”  พร้อมความหมายว่า  “เป็นบ่อเกิดแห่งวิชาที่เบิกบานเช่นดอกบัว”  และได้ขยายวิทยาเขตในปีการศึกษา  2530  ไปที่จังหวัดชลบุรี  ซึ่งได้รับพระมหากุรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์  อัครราชกุมารี  เสด็จพระราชดำเนินเปิดมหาวิทยาลัยศรีปทุมวิทยาเขตชลบุรี  เมื่อวันที่  19  กรกฎาคม พ.ศ.  2530

มหาวิทยาลัยศรีปทุม  วิทยาเขตชลบุรี  เปิดสอนหลักสูตรปริญญาตรี  ในคณะนิติศาสตร์  นิเทศศาสตร์  บริหารธุรกิจ  บัญชี  ศิลปศาสตร์  และสารสนเทศศาสตร์  และในระดับปริญญาโท  หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต  และนิติศาสตรมหาบัณฑิต  (สามารถเข้าดูรายละเอียดเพิ่มเติมของหลักสูตรต่างๆ  ได้ที่เว็ไซต์  http://www.east.spu.ac.th)

มหาวิทยาลัยศรีปทุม  วิทยาเขตชลบุรี  มีความมุ่งมั่นในการพัฒนามหาวิทยาลัย  “ชั้นนำสำหรับคนรุ่นใหม่”  อย่างแท้จริง  ด้วยการส่งเสริม  และสนับสนุนการใช้  ICT  ของบุคลากรและนักศึกษา  และยึดมั่นปณิธานในการสร้างบัณฑิตให้เป็นผู้ที่มี  “ปัญญา  เชี่ยวชาญ  เบิกบาน  คุณธรรม”  เพื่อที่บัณฑิต  ที่สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยจะได้ออสู่สังคม  การทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ  และสามารถรับไช้สังคมได้อย่างแท้จริง

–TELECOM JOURNAL ฉบับวันที่ 7 – 13 ก.ค. 2551–

แหล่งที่มา/ผู้ส่ง เทเลคอม เจอร์นัล (Th)

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=2420&Key=hotnews

10 วิธีการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี

7 กรกฎาคม 2551

ในแต่ละวันเราจำเป็นต้องรับประทานอาหารมากมาย มีคำแนะนำจากหลายสำนักให้กินนั่นห้ามกินนี่จนไม่รู้จะเชื่อใครดี วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับง่ายๆ ของการกินให้ได้ประโยชน์สูงสุด ต่อสุขภาพอย่างเต็มที่มาฝาก

1. กินอาหารเช้า เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจ และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง

2. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี

3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว

4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็น ที่จะเสริมสร้างความแข็งแรง ให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

5. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ

6. สร้างความคุ้นเคย กับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล

7. จัดน้ำชาให้ตัวเอง ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ 1 ถึง 3 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%

8. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบร็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย

9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อยย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด

10. กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วนได้

ถ้าปฏิบัติให้ได้ครบทุกข้อตามคำแนะนำข้างต้นนี้ จนเป็นนิสัย สุขภาพดีๆ จะไปไหนเสีย !!

แหล่งที่มา/ผู้ส่ง ผู้จัดการออนไลน์ (Th)

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=2418&Key=hotnews

อบจ.ขอนแก่น เจียดงบ 10 ล้าน/ปีหนุนการศึกษาเยาวชน

7 กรกฎาคม 2551

ศูนย์ข่าวขอนแก่น- อบจ.ขอนแก่นโอ่จัดงบปีละไม่ต่ำกว่า 7 ล้านบาทส่งเสริมพัฒนาเด็กและเยาวชน ดำเนินการ 3 โครงการหนัก ทั้งอบรมให้มีแก่นชีวิตมีจริยธรรม -ลดภาวะโลกร้อน และจัดติวเข้มเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยฟรี พร้อมกับขายแนวคิดเชิญชวนบรรดา ส.จ.ลงขันตั้งกองทุนช่วยเด็กนักเรียน นักศึกษาเรียนดีแต่ยากจน

นายพงษ์ศักดิ์ ตั้งวานิชกพงษ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.)ขอนแก่น กล่าวว่า อบจ.ขอนแก่น ได้ให้ความสำคัญในเรื่องการส่งเสริมพัฒนาเด็กและเยาวชนเป็นอย่างมาก แต่ละปี จะจัดงบประมาณเพื่อให้การสนับสนุนประมาณ 7 – 10 ล้านบาท ซึ่งดำเนินการต่อเนื่องมาทุกปี โดยโครงการที่ให้การสนับสนุนที่สำคัญในขณะนี้ มี 3 โครงการที่น่าสนใจ คือ โครงการเสริมสร้างชีวิตเด็กขอนแก่นให้มีแก่นชีวิต โครงการธนาคารขยะและการลดภาวะโลกร้อน และโครงการสานฝันสู่มหาวิทยาลัย

สำหรับโครงการเสริมสร้างชีวิตเด็กขอนแก่นให้มีแก่นชีวิต ได้เน้นการอบรมเด็กที่เป็นแกนนำและเด็กกลุ่มเสี่ยงต่อปัญหาทางสังคม โดยมีเป้าหมายในเด็กทั้งหมด 4,000 คน ใน 26 อำเภอของ จ.ขอนแก่น ซึ่งเป็นลักษณะการจัดค่ายอบรมแบ่งเป็น 20 รุ่นๆละ 200 คน ซึ่งขณะนี้จัดอบรมไปแล้วทั้งหมด 17 รุ่น เด็กที่ผ่านการอบรมจำนวนมากมีพัฒนาการในทางที่ดีขึ้น และหลายคนเป็นแกนนำในการพัฒนาชุมชน ทั้งมีหลายคนประสบความสำเร็จในการเรียนและการทำงาน

” โครงการเสริมสร้างชีวิตเด็กขอนแก่นให้มีแก่นชีวิต ได้เน้นให้เด็กมีระเบียบแบบแผนของชีวิต เติมเต็มทัศนคติ ความรู้ เป็นคนดี มีจริยธรรมและคุณธรรมต่อสังคม รู้จักการประหยัด ตั้งใจเรียน และช่วยเหลือแบ่งเบาภาระของผู้ปกครอง โดยเรามีวิทยากรที่มีประสบการณ์ในด้านต่างๆ รวมทั้งการกีฬาและนันทนาการ เป็นการเข้าค่าย 4 วัน 3 คืน หลังจากนั้นเรายังเข้าไปติดตามดูแลในพื้นที่ รวมทั้งเด็กมีการสร้างเครือข่ายติดต่อประสานงาน เพื่อช่วยเหลือดูแลซึ่งกันและกันอีกด้วย “นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวและว่า

ในส่วนของโครงการธนาคารขยะและการลดภาวะโลกร้อน เป็นโครงการที่มุ่งเข้าดำเนินการในโรงเรียนโดยตรง มีการตั้งเป้าหมายให้โรงเรียนเข้าร่วมโครงการปีละ 50 โรงเรียน จนถึงปัจจุบันนี้ มีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 500 โรงเรียน แต่ละโรงเรียนจะมีธนาคารขยะรีไซเคิล ซึ่งนอกจากช่วยปลูกฝังจิตสำนึกแล้ว ยังทำให้นักเรียนมีรายได้และลดรายจ่ายให้ผู้ปกครอง มีการจัดอบรมและจัดตั้งชมรมอาสาสมัครพิทักษ์สิ่งแวดล้อม การจัดรณรงค์ให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะโลกร้อน

การจัดรณรงค์ปลูกต้นไม้เป็นประจำทุกปี และรณรงค์ลดการใช้พลังงานที่ไม่จำเป็น ขณะเดียวกัน ก็มีการจัดรณรงค์ภายนอกโรงเรียน เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจและเกิดความร่วมมือจากประชาชน ในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมภายในชุมชนอีกทางหนึ่ง

นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า อีกโครงการหนึ่งที่น่าสนใจ คือโครงการสานฝันสู่มหาวิทยาลัย ซึ่งดำเนินการต่อเนื่องมานานกว่า 4 ปี โดยการจัดการเรียนการสอนพิเศษ หรือการติวเข้มให้แก่เด็กนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย เพื่อเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย โดยมีอาจารย์ในแต่ละสาขาวิชามาช่วยสอนพิเศษให้ ซึ่งแต่ละปี จะมีนักเรียนใน จ.ขอนแก่น สนใจเข้าร่วมโครงการประมาณ 1,000 – 2,000 คน และมีนักเรียนที่สามารถเข้าศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัยในแต่ละปีมากกว่าร้อยละ 70 ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค

โครงการดังกล่าวเป็นที่พึงพอใจทั้งนักเรียนและผู้ปกครอง เพราะจัดอบรมให้ฟรี ไม่ต้องเสียเงินค่าติวเตอร์ และเด็กจำนวนไม่น้อยก็สามารถสอบเรียนต่อได้สำเร็จ โดยหลังจากนี้ จะมีการชักชวนสมาชิก อบจ.ขอนแก่น ทั้ง 42 คน ลงขันตั้งกองทุนช่วยเหลือเด็กในโครงการสานฝันสู่มหาวิทยาลัย เพราะมีเด็กหลายคนที่ยากจน ถึงจะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแล้ว แต่ก็ไม่มีเงิน

” บางคนก็ส่งจดหมายหรือโทรศัพท์มาขอให้ผมช่วยเหลือด้านการเงิน ทั้งค่าใช้จ่ายส่วนตัว ค่าหอพัก และค่าหน่วยกิต แต่ อบจ.ขอนแก่น ไม่มีงบประมาณ ถ้าจัดตั้งกองทุนขึ้นได้ จะดีมาก คิดว่าสมาชิก อบจ.ขอนแก่น คงเต็มใจช่วยเหลือ”นายพงษ์ศักดิ์กล่าว

แหล่งที่มา/ผู้ส่ง ผู้จัดการออนไลน์ (Th)

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=2416&Key=hotnews

สกศ. ยกย่องเชิดชูสังคมแห่งการเรียนรู้ต้นแบบ 5 ภูมิภาค

7 กรกฎาคม 2551

สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ยกย่องสังคมแห่งการเรียนรู้ต้นแบบ 5 ภูมิภาค คาดหวังให้เป็นต้นแบบขยายผลไปสู่ชุมชนอื่นๆ ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ติดตามได้จากสารคดีชุดครูไทย

จากเจตนารมณ์สูงสุดของการศึกษา ที่ต้องการสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ การศึกษาจึงต้องเปิดกว้างให้ทุกคนมีโอกาสเข้าถึงอย่างเต็มที่ ซึ่งการเรียนรู้นอกระบบโรงเรียน และการเรียนรู้ตามอัธยาศัย ก็เป็นอีกหนึ่งหนทางสู่จุดมุ่งหมายดังกล่าว

นายอำรุง  จันทวานิช เลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวว่า สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ตระหนักถึงความสำคัญของการขับเคลื่อนนโยบายการเรียนรู้นอกระบบโรงเรียน และการเรียนรู้ตามอัธยาศัย เพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและภูมิปัญญาไทย โดยการเสริมสร้างและพัฒนาเครือข่ายการดำเนินงานพัฒนาสังคมแห่งการเรียนรู้ และได้กำหนดให้มีกิจกรรมการสรรหาและคัดเลือกสังคมแห่งการเรียนรู้ต้นแบบใน 5 ภูมิภาค ทั้งนี้เพื่อเป็นต้นแบบในการศึกษาถึงกระบวนการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้และองค์ความรู้ในการพัฒนาสังคมแห่งการเรียนรู้ในแต่ละภูมิภาค

โดยคณะทำงานสรรหาและคัดเลือกสังคมแห่งการเรียนรู้ต้นแบบ ได้พิจารณาสรรหาและคัดเลือกหน่วยงานและชุมชนที่สมควรได้รับการยกย่องเป็น “สังคมแห่งการเรียนรู้ต้นแบบ รุ่นที่ 1” แล้ว ได้แก่ ภาคเหนือ ประกอบด้วย ชุมชนบ้านสามขา จังหวัดลำปาง ชุมชนวัดเขาแก้ว จังหวัดตาก ชุมชนวัดป่าฝาง จังหวัดพะเยา ศูนย์ศึกษาสิ่งแวดล้อมศึกษาและความหลากหลายทางชีวภาพ โรงเรียนวัดหนองหล่ม จังหวัดลำพูน สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนทุ่งแพม จังหวัดแม่ฮ่องสอน

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบด้วย ชุมชนบ้านดอนมัน จังหวัดมหาสารคาม ชุมชนบ้านท่าหลักดิน จังหวัดอุดรธานี ชุมชนบ้านบัว จังหวัดขอนแก่น ชุมชนบ้านปะอาว จังหวัดอุบลราชธานี ชุมชนบ้านพิมูล จังหวัดกาฬสินธุ์ ชุมชนบ้านหนองลูกช้าง จังหวัดชัยภูมิ ชุมชนผู้ไทยเรณูนคร จังหวัดนครพนม ชุมชนวัดโพธิการาม จังหวัดร้อยเอ็ด ศูนย์ประสานงานองค์กรชุมชนตำบลเมืองลีง จังหวัดสุรินทร์ โรงเรียนพรานพร้าว จังหวัดหนองคาย

ภาคกลาง ประกอบด้วย ชุมชนบ้านโค้งตาบาง จังหวัดเพชรบุรี ชุมชนบ้านบางพลับ จังหวัดสมุทรสงคราม ชุมชนบ้านหนองกลางดง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมชนสามชุกตลาดร้อยปี จังหวัดสุพรรณบุรี องค์การบริหารส่วนตำบลถ้ำรงค์ จังหวัดเพชรบุรี

 

ภาคตะวันออก ประกอบด้วย ชุมชนบ้านทุ่งกระโปรง จังหวัดนครนายก ชุมชนบ้านยาง จังหวัดปราจีนบุรี สวนสัตว์เปิดเขาเขียว จังหวัดชลบุรี

และภาคใต้ ประกอบด้วย ชุมชนบ้านฉางหลาง และโรงเรียนกันตรังพิทยากร จังหวัดตรัง ชุมชนบ้านทุ่งใส จังหวัดนครศรีธรรมราช ชุมชนบ้านบ่อแร่ จังหวัดภูเก็ต

โดย สกศ. คาดหวังว่าสังคมแห่งการเรียนรู้ต้นแบบทั้ง 5 ภูมิภาคดังกล่าว จะเป็นต้นแบบขยายผลไปสู่ชุมชนอื่นๆ ให้ได้เรียนรู้และพัฒนาเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ต้นแบบครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศต่อไป ที่สำคัญคือการสนับสนุน ส่งเสริมให้ประชาชนทุกเพศ ทุกวัย ทุกกลุ่มเป้าหมายได้เกิดการเรียนรู้ทั้งในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการที่มุ่งมั่นพัฒนาสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต

ที่มา: สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=2414&Key=hotnews

คอลัมน์ : รอบรั้วเสมา

7 กรกฎาคม 2551

รอบรั้วเสมา นสพ.ประชาทรรศน์ ฉบับประจำวันจันทร์ที่ 7 กรกฎาคม 2551 ** ช่วงนี้ดูเหมือนว่าคนไทยจะตกอยู่ในภาวะเครียดอย่างถ้วนหน้า ทั้งจากค่าครองชีพที่สูงขึ้นอย่างหยุดไม่อยู่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งความเครียดจากการเมือง ที่เป็นปัญหาขัดแย้งต่อเนื่องกันมาหลายปี ได้แต่ภาวนาให้ปัญหาการเมืองที่เขม็งเกลียว ลดความตึงเครียดลงเสียที เพราะลำพังแค่ “ของแพง แรงงานถูก” คนไทยก็อ่วมแล้ว ** แถลงข่าวประจำสัปดาห์ของกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันก่อน “วัฒนา เซ่งไพเราะ” โฆษกกระทรวงศึกษาธิการ ออกมาแจกแจงต่อผู้สื่อข่าวว่า ต่อไปนี้การแถลงข่าวของกองงานโฆษกจะทำเป็นประจำทุกวันพฤหัสบดี โดยจะเริ่มแถลงข่าวจากประเด็นที่สังคมให้ความสนใจก่อน จากนั้นจึงจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับองค์กรต่างๆ ใน ศธ. เพื่อไม่ให้มีใครตกข่าว…แต่ได้ยินเสียงบ่นพึมพำจากสื่อมวลชนว่า การจัดวันแถลงข่าวเป็นเรื่องเป็นราวนั้นเป็นเรื่องดี แต่แหม…เรื่องที่ อ.วัฒนา เอามาแถลงนั้น ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเก่าๆ ทั้งนั้น ยังไงฝากท่านโฆษกหาข่าวใหม่ๆ มาเล่าสู่กันฟังบ้างนะ ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน ในฐานะที่เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ฝากข้อห่วงใยถึง “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” เจ้ากระทรวงคุณครูคนปัจจุบัน เรื่องการฟื้นโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุนว่า หากจะดำเนินโครงการดังกล่าว ขอให้คิดถึงเรื่องงบประมาณเผื่อล่วงหน้าไป 4 ปี เพราะเด็กที่ได้ทุนจะต้องได้รับทุนการศึกษาอย่างน้อย 4 ปี สำหรับการศึกษาระดับปริญญาตรี ดังนั้น รัฐบาลจะต้องเผื่องบประมาณตรงนี้ไว้ด้วย แม้ว่าจะเป็นโครงการดี ซึ่งจะช่วยเตรียมทรัพยากรบุคคลรองรับอนาคตของชาติ แต่ก็ต้องไม่ประมาทเรื่องงบประมาณ ยังไงก็ขอให้ท่าน รมว.ศธ. ฟังเสียง “ปู่จิตร” ไว้บ้าง เพราะถือว่าท่าน “เก๋า” ในเรื่องการศึกษาของจริง ** คณะวนศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ ร่วมกับกรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จัดการประชุมทางวิชาการระดับชาติ เรื่อง “การวิจัยพรรณพืชป่าไม้ของประเทศไทย ครั้งที่ 1” ในวันที่ 10-11 กรกฎาคม 2551 เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเจริญพระชนมายุ 80 พรรษา และครบรอบ 72 ปีคณะวนศาสตร์ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และเปิดให้เห็นความหลากหลายในพืชพรรณธรรมชาติ ผู้สนใจขอลงทะเบียนคนละ 600 บาท นักศึกษา 400 บาท สอบถามโทร.0-2579-0176 หรือ www.forest.ku.ac.th ** โรงเรียนภาษาและวัฒนธรรม สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น) จัดงาน “มหกรรมภาษาและวัฒนธรรม” ในวันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคม 2551 เวลา 09.00-16.00 น. ที่สมาคมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น) ซอยสุขุมวิท 29 ภายในงานมีการจัดนิทรรศการ กิจกรรมสาระความรู้ ความบันเทิงและเกมต่างๆ จาก 5 ภาษา 5 วัฒนธรรม ไทย ญี่ปุ่น อังกฤษ จีน และเกาหลี เข้าร่วมงานได้ฟรี สอบถามเพิ่มเติมโทร.0-2259-9160 ต่อ 1671

แหล่งที่มา/ผู้ส่ง ประชาทรรศน์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=2407&Key=hotnews