Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

ผอ.ร.ร.หนุน ‘จาตุรนต์’ ปฏิรูปเรียนรู้ วิเคราะห์ดี-เสียปรับสอบเข้ามหา’ลัย

20 สิงหาคม 2556

เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม นายวันชัย ทองเกิด ผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมวัดมกุฏกษัตริย์ ให้สัมภาษณ์กรณีนายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มีนโยบายปฏิรูปการเรียนรู้ทั้งระบบ โดยให้เพิ่มขีดความสามารถทักษะการคิดคำนวณ คิดวิเคราะห์ ความสามารถในการอ่าน และทักษะทางภาษาของนักเรียนว่า เห็นด้วยที่จะยกระดับคุณภาพการศึกษาทุกระดับ โดยให้ความสำคัญกับการเรียนในห้องเรียน โดยเฉพาะเรื่องการอ่านที่คงไม่ใช่แค่อ่านออกเขียนได้ แต่ควรเพิ่มทักษะเรื่องการคิดวิเคราะห์และการอ่านอย่างเข้าใจด้วย ทั้งนี้ ยอมรับว่าในส่วนของนักเรียนระดับประถมศึกษาที่เลื่อนขึ้นมาเรียนระดับมัธยมศึกษา มีบางส่วนที่มีปัญหาอ่านไม่ออกเขียนไม่คล่อง รวมถึงมีปัญหาการเขียนที่ไม่สามารถสื่อความหมายได้ โดยแนวทางแก้ปัญหาคือ ต้องเน้นการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมการเรียนการสอน โดยใช้เทคนิคต่างๆ ในห้องเรียน รวมถึงการพัฒนาคุณภาพครู

นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) กล่าวว่า ที่นายจาตุรนต์มีข้อเสนอให้ปรับระบบการคัดเลือกเข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัย โดยให้เหลือระบบเดียวเพื่อลดภาระการสอบของนักเรียนนั้น คงต้องรอดูรายละเอียดให้ชัดเจนก่อนว่า จะปรับไปในทิศทางใดอย่างไร เป็นวิธีที่สามารถลดปัญหาที่เกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ เพราะเรื่องนี้มีผล กระทบต่อนักเรียนโดยตรง ดังนั้น การดำเนินการต่างๆ จึงต้องสอบถามความคิดเห็นให้รอบด้าน รวมถึงวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียก่อนตัดสินใจ และจะต้องประกาศให้นักเรียนและผู้ปกครองทราบล่วงหน้าอย่างน้อย 3 ปี

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33759&Key=hotnews

‘ชินภัทร’ เยี่ยมควบรวม ร.ร.เล็ก

20 สิงหาคม 2556

เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) พร้อมคณะเข้าตรวจเยี่ยมการควบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก ที่โรงเรียนบ้านบ่อแบบหนองหญ้าม้าวิทยา อ.เมืองหนองคาย ซึ่งเป็นศูนย์การเรียนเครือข่ายร่วมพัฒนา “จตุภาคี” มีนายประกอบ กุลเกลี้ยง ผอ.สพป.หนองคาย เขต 1 พร้อมคณะผู้บริหารโรงเรียน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คณะครู นักเรียน และผู้ปกครองนักเรียนกว่า 300 คนให้การต้อนรับ

สำหรับศูนย์การเรียนเครือข่ายร่วมพัฒนา “จตุภาคี” ประกอบด้วยโรงเรียนขนาดเล็กรวมตัวกัน 4 โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนบ้านโคกคอน, โรงเรียนพระธาตุบังพวน, โรงเรียนโคกคำทุ่งสว่างวิทยา และโรงเรียนบ่อแบบหนองหญ้าม้าวิทยา ซึ่งโรงเรียนทั้ง 4 เป็นโรงเรียนขนาดเล็กมีครูไม่ครบชั้นเรียน ดังนั้นโรงเรียนทั้ง 4 แห่งจึงพร้อมใจกันและมีมติร่วมกันระดมแนวคิดที่ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบเรียนร่วมกัน โดยใช้บุคลากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์ ปัจจุบันมีนักเรียนรวม 262 คน ครู 17 คน

นายชินภัทรกล่าวว่า การควบรวมโรงเรียนขนาดเล็กเข้าด้วยกัน ถือเป็นนโยบายของ สพฐ.ที่จะแก้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียนน้อย ครูไม่ครบชั้น การควบรวมของศูนย์การเรียนเครือข่ายร่วมพัฒนา “จตุภาคี” ของโรงเรียนทั้ง 4 แห่งนี้ทำได้ประสบผลสำเร็จ สมควรนำออกเผยแพร่เพื่อให้เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับโรงเรียนขนาดเล็กอื่นๆ ต่อไป

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33758&Key=hotnews

แย้มชื่อโยกบิ๊กกระทรวงศึกษาฯ

20 สิงหาคม 2556

เผยโผรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายบิ๊กข้าราชการศธ. “อภิชาติ” เลขาฯสกอ.จ่อคุมสพฐ. ขณะที่เก้าอี้ปลัดกระทรวงยังไม่ชัด

เมื่อวันที่ 19 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การแต่งตั้งและโยกย้ายข้าราชการระดับสูงทั้งระดับ 10,11 ของกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) มีกระแสข่าวว่า โผรายชื่อการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูง ศธ.ล่าสุด ทดแทนข้าราชการระดับสูงที่เกษียณอายุราชการ นั้นออกมาแล้ว โดยผู้ที่จะมานั่งเก้าอี้แทน นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และนางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัดศธ. มีกระแสข่าวว่า นายอภิชาติ จีระวุฒิ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.)จะขึ้นมารับตำแหน่ง เป็นเลขาธิการ สพฐ. โดยมี ศ.ทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) รับตำแหน่งเป็นเลขาธิการ สกอ.แทน

อย่างไรก็ดี ตำแหน่งปลัด ศธ.นั้น ยังมีความไม่ชัดเจนในตำแหน่งนี้ โดยระหว่างนายกมล รอดคล้าย รองเลขาธิการ สพฐ. ในอดีตคณะทำงานของนายจาตุรนต์ ฉายแสง สมัยเป็นรมว.ศธ.สมัยแรก กับนางสุทธศรี วงศ์สมาน รองเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ในฐานะพี่น้องร่วมสถาบันมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และเป็นคนจัดทำเอกสารนโยบายและยุทธศาสตร์ ศธ.ของนายจาตุรนต์ โดยทั้งคู่ ต่างถือเป็นคนสนิท จึงยังไม่มีความชัดเจนในตำแหน่งนี้

ที่มา: http://www.posttoday.com

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33757&Key=hotnews

เปิดใจ 2 นักเรียนไทยหลังบินกลับจากอียิปต์

20 สิงหาคม 2556

เปิดใจ 2 นักเรียนไทยทั้งน้ำตา หลังบินกลับจากอียิปต์ เดินทางถึงประเทศไทย
นางรุสนา หะยีอาแว อายุ 26 อาชีพแม่บ้าน เปิดเผยภายหลังที่เดินทางมาถึงประเทศไทยด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มว่า ตนเดินทางไปศึกษาที่ประเทศอียิปต์ ในกรุงไคโร ตั้งแต่อายุ 19 ปี โดยอยู่ที่ประเทศอียิปต์มาแล้ว 7 ปี ซึ่งขณะนี้ได้ศึกษาจบระดับปริญญาตรีแล้ว และได้มีครอบครัวโดยมีสามีเป็นคนไทย และมีลูกสาววัย 2 เดือน ซึ่งลูกสาวได้เกิดที่ประเทศอียิปต์ อย่างไรก็ตามนางรุสนา ได้เล่าช่วงที่เกิดเหตุการณ์รุนแรงให้ฟังว่า ได้อาศัยอยู่แต่ภายในบ้านพัก โดยไม่ได้ออกไปไหน นอกจากไปตลาดที่อยู่ใกล้บ้านเพื่อไปซื้ออาหาร ซึ่งช่วงที่เกิดเหตุรุนแรงยังส่งผลให้น้ำและไฟฟ้า หยุดเป็นระยะ
รวมถึงสัญญาณโทรศัพท์ด้วย ส่วนสิ่งที่ตัดสินใจเดินทางกลับมาไทย เพราะได้ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดและเห็นว่าสถานการณ์เริ่มรุนแรงมากขึ้น รู้สึกไม่ปลอดภัยและเป็นห่วงลูก แต่ถึงอย่างไรก็ตามตนจะเดินทางกลับไปที่กรุงไคโรอีกครั้งภายหลังที่เหตุการณ์ความรุนแรงสงบลง เพื่อไปเลี้ยงลูกสาวที่นั่น และเมื่อลูกสาวโตก็จะเดินทางกลับมาเป็นครูที่ประเทศไทย

ขณะที่นายจิรายุ ยูเต๊ะ อายุ 18 ปี อาชีพนักศึกษา เปิดเผยทั้งน้ำตาภายหลังที่เดินทางถึงประเทศไทยว่า ได้เดินทางไปศึกษาที่กรุงไคโร ประเทศอียิปต์เป็นเวลา 3 เดือนแล้ว และเมื่อเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงขึ้น ก็ได้อาศัยอยู่แต่ภายในบ้านพัก เมื่อจะออกไปซื้อของร้านค้าบางร้านก็ปิด จึงจำเป็นที่ต้องใช้ชีวิตเท่าที่หาได้ โดยทุกครั้งที่ออกไปหาซื้ออาหารจะมีความเสี่ยงมาก แต่ก็ต้องเสี่ยงเพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่ต่อไปได้ อย่างไรก็ตามช่วงที่เกิดเหตุการณ์ได้ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด ซึ่งครอบครัวที่ประเทศไทย ก็ได้โทรศัพท์มาคุยทุกวัน โดยสัญญาณโทรศัพท์ก็ขัดข้องเป็นระยะ ส่วนสาเหตุที่เดินทางกลับมายังประเทศไทยเพราะครอบครัวเป็นห่วง แต่ถึงอย่างไรเมื่อเหตุการณ์สงบลง ก็จะเดินทางกลับไปเรียนต่อ ซึ่งไม่ได้มีความกลัว เพราะสนใจเรื่องเรียนมากกว่า

ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33756&Key=hotnews

“จาตุรนต์” ยอมรับปีนี้นักเรียนอาจได้แท็บเล็ตช้า

20 สิงหาคม 2556

“จาตุรนต์”ยอมรับปีนี้นักเรียนชั้น ป.1 และ ม.1อาจได้รับแท็บเล็ตล่าช้า แต่ยืนยันโครงการนี้ไม่ล่มอย่างแน่นอน

วานนี้(19 ส.ค.) นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยความคืบหน้าการจัดซื้อคอมพิวเตอร์พกพา หรือแท็บเล็ต ให้แก่นักเรียนชั้นป.1 และ ม.1 ประจำปีการศึกษา 2556 ว่า ขณะนี้ยังไม่ได้มีการจัดซื้อแท็บเล็ตทั้ง 4 โซน ประกอบด้วย โซน 1 สำหรับนักเรียน ป.1 ภาคกลางและภาคใต้ ,โซน 2 สำหรับนักเรียน ป.1 ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ,โซน 3 สำหรับนักเรียน ม.1 ภาคกลางและภาคใต้ และโซน 4 สำหรับนักเรียน ม.1 ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งแม้ว่าโซนที่ 1, 2 และ 4 จะมีการประกวดราคาจัดซื้อจัดจ้างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่เนื่องจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ส่งบันทึกมาและมีข้อความบางส่วนตีความได้ว่ามีข้อสงสัยในการประกวดราคาฯ ของโซน 1, 2 และ 4 โดยแม้ว่าจะไม่มีนัยยะสำคัญ แต่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ก็จำเป็นต้องหารือกับ สตง. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อน ขณะที่โซน 3 ตนได้สั่งให้ทบทวนแล้ว เพราะหาก สตง.สั่งให้ทบทวน แต่ยังเดินหน้าดำเนินการต่อไปก็อาจจะโดนคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบได้

“ปีนี้นักเรียนชั้น ป.1 และ ม.1 คงจะได้รับแท็บเล็ตช้าอย่างแน่นอน แต่ยืนยันว่าโครงการนี้จะไม่ล่ม เพราะเมื่อพิจารณาผลในเรื่องการเรียนการสอนเมื่อใช้แท็บเล็ตจะเห็นได้ชัด ซึ่งแม้ว่าอาจจะมีปัญหาบ้าง เช่น เด็กชอบเล่นเกม และใช้เวลาไม่เป็นประโยชน์เท่าที่ควร แต่เมื่อดูผลส่วนใหญ่จากการศึกษาวิจัย การสำรวจความคิดเห็น หรือแม้แต่การลงพื้นที่ไปดูด้วยตนเอง ทุกสิ่งก็ยืนยันตรงกันหมดว่า เด็กที่เรียนรู้โดยใช้แท็บเล็ตจะเรียนรู้ได้เร็ว และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเด็กจะดีกว่าเด็กที่ไม่ได้ใช้แท็บเล็ตอย่างเห็นได้ชัด เด็กจะมีความกระตือรือร้นที่จะเรียน และสนใจเรียนมากกว่า” นายจาตุรนต์ กล่าวและว่า อย่างไรก็ตามการจัดซื้อแท็บเล็ตของปีนี้ที่ล่าช้าออกไปนั้น ถือเป็นเรื่องสุดวิสัย เพราะติดปัญหาที่ระบบการจัดซื้อจัดจ้างของไทยซึ่งจะต้องมีการกำหนดสเปค โดยจุดนี้ก็จะโยงไปสู่ปัญหาว่าล็อกสเปคหรือไม่ ดังนั้นเมื่อมีการจัดซื้อทั้ง 4 โซนเสร็จสิ้นแล้ว ตนจะมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบาย 1 คอมพิวเตอร์พกพา หรือแท็บเล็ต ต่อ 1 นักเรียน ไปประมวลปัญหาทั้งหมดเพื่อให้การดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างในปีต่อไปไม่เกิดปัญหา และเกิดความล่าช้าเช่นนี้อีก

แหล่งข่าวจากคณะกรรมการบริหารนโยบาย 1 คอมพิวเตอร์พกพา หรือแท็บเล็ต ต่อ 1 นักเรียน กล่าวว่า ขณะนี้ สพฐ. ได้เสนอขออนุมัติจาก รมว.ศึกษาธิการ เพื่อดำเนินการจัดซื้อแท็บเล็ตในโซน 1 และ 2 กับ บริษัท เซิ่นเจิ้น อิงถัง อินเทลลิเจ้นท์ คอนโทรล จำกัด แล้ว ซึ่งอยู่ระหว่างการรอ รมว.ศึกษาธิการ ลงนามอนุมัติ แต่ทั้งนี้คาดว่า รมว.ศึกษาธิการคงจะรอหนังสือตอบข้อหารือเกี่ยวกับการจัดซื้อดังกล่าวจากกรมบัญชีกลางว่าจะสามารถดำเนินการจัดซื้อได้หรือไม่ รวมถึงผลการหารือในการประชุมคณะกรรมการบริหารฯ ในวันที่ 22 ส.ค.นี้ก่อน ส่วนการจัดซื้อในโซน 4 นั้น คาดว่าคงต้องรอให้มีการประกาศยกเลิกการจัดซื้อในโซน 3 ให้เรียบร้อยก่อน เพราะกังวลว่าหากผลการประมูลในโซน 3 รอบใหม่มีราคาที่แตกต่างกับโซน 4 อาจจะถูกกว่าหรือแพงกว่ามาก ก็อาจจะเป็นปัญหาตามมาในภายหลังอีกได้ ดังนั้นจึงรอให้การประมูลในโซน 3 เสร็จเรียบร้อยก่อน จึงจะดำเนินการในโซน 4 ต่อไป

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33755&Key=hotnews

ด่วน! รับสมัครสอบแข่งขันทุนศึกษาต่อระดับปริญญาตรี – โท ในต่างประเทศ 6 ทุน

19 สิงหาคม 2556

ด่วน! รับสมัครสอบแข่งขันทุนศึกษาต่อระดับปริญญาตรี – โท ในต่างประเทศ 6 ทุน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33724&Key=news19

 

 

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33739&Key=hotnews

คอลัมน์ : สถานี ก.ค.ศ. : เกณฑ์เชิงประจักษ์ฉบับใหม่(1)

19 สิงหาคม 2556

จรุงรัตน์ เคารพรัตน์
ผอ.ภารกิจระบบตำแหน่งและวิทยฐานะที่ 1
ตามที่ ก.ค.ศ.กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ผู้มีผลงานดีเด่นที่ประสบผลสำเร็จเป็นที่ประจักษ์ มีวิทยฐานะหรือเลื่อนเป็นวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ และวิทยฐานะเชี่ยวชาญ เรียกโดยทั่วไปว่า เกณฑ์เชิงประจักษ์ หรือเกณฑ์ ว5/2554 โดยมีการยื่นขอรับการประเมิน และมีคณะกรรมการไปประเมิน ณ สถานที่ปฏิบัติงานมาแล้ว 1 รอบ ซึ่งในการประเมินของคณะกรรมการพบว่าองค์ประกอบของการประเมินบางหัวข้อไม่ชัดเจน หรือไม่สอดคล้องกับบริบทการปฏิบัติงานของผู้ขอรับการประเมิน จึงได้นำเสนอข้อคิดเห็นต่างๆ เกี่ยวกับปัญหาและอุปสรรคของหลักเกณฑ์การประเมินเพื่อให้ ก.ค.ศ.พิจารณา ซึ่ง ก.ค.ศ.พิจารณาแล้วเห็นควรให้มีการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตามที่คณะกรรมการเสนอแนะ โดยให้สำนักงาน ก.ค.ศ.จัดประชุมผู้แทนคณะกรรมการผู้ประเมินเพื่อระดมความคิดเห็นเพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการดังกล่าวให้มีความชัดเจนและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น และได้มีการนำเสนอ ก.ค.ศ.เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบแล้ว ซึ่ง ก.ค.ศ.ได้มีมติยกเลิกหลักเกณฑ์ ว5/2554 โดยกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้มีผลงานดีเด่นที่ประสบผลสำเร็จเป็นที่ประจักษ์มีวิทยฐานะหรือเลื่อนเป็นวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ และวิทยฐานะเชี่ยวชาญ ทุกตำแหน่ง ฉบับใหม่ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้

1.ผู้ขอรับการประเมินต้องมีคุณสมบัติเฉพาะสำหรับวิทยฐานะที่ขอรับการประเมิน ตามมาตรฐานวิทยฐานะ ที่ ก.ค.ศ.กำหนด นับถึงวันที่ยื่นขอรับการประเมิน กรณีผู้ขอรับการประเมินยังไม่ได้รับการพัฒนาก่อนแต่งตั้งตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.ค.ศ.กำหนด ให้ถือว่ามีคุณสมบัติตามข้อนี้

2.ผู้ขอรับการประเมินต้องมีภาระงานในหน้าที่และความรับผิดชอบของตำแหน่งที่ขอรับการประเมิน โดยสายงานการสอน มีภาระงานสอนตามที่ ก.ค.ศ.กำหนด สำหรับสายงานบริหารสถานศึกษา สายงานบริหารการศึกษา และสายงานนิเทศการศึกษา ต้องมีภาระงานในหน้าที่และความรับผิดชอบเต็มเวลา

3.ได้ปฏิบัติงานตามหน้าที่ความรับผิดชอบในตำแหน่งที่ขอรับการประเมินย้อนหลัง 3 ปี ติดต่อกัน นับถึงวันที่ยื่นคำขอ

4.มีผลงานดีเด่น ได้รับรางวัลสูงสุดระดับชาติขึ้นไป หรือมีผลงานดีเด่นที่ส่วนราชการต้นสังกัดพิจารณาเห็นว่าเป็นผลงานที่มีคุณภาพเทียบเคียงกับผลงานที่ได้รับรางวัลสูงสุดระดับชาติขึ้นไป กรณีเสนอขอวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ ไม่น้อยกว่า 2 รางวัล และวิทยฐานะเชี่ยวชาญ ไม่น้อยกว่า 3 รางวัล ภายใน 3 ปี โดยต้องเป็นผลงานดีเด่นที่ตรง หรือสอดคล้องกับสาขา/สาขาวิชา/กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่ขอรับการประเมิน หากได้รับรางวัลเกิน 3 ปี ต้องมีหลักฐานแสดงการพัฒนาผลงานและใช้ประโยชน์อย่างต่อเนื่อง

นอกจากสาระสำคัญ 4 ข้อดังกล่าวข้างต้น ยังมีสาระสำคัญที่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ควรได้รับความรู้อีกหลายข้อ จะนำเสนอในสัปดาห์ถัดไป

–มติชน ฉบับวันที่ 19 ส.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33738&Key=hotnews

ศธ.หากลยุทธ์ดึงเด็กสามัญเรียนอาชีวะ

19 สิงหาคม 2556

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ประชุมได้หารือถึงผลงานวิจัยจากต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จในการสร้างกำลังคนสายอาชีพ เช่น เยอรมนี ที่พบว่าการให้นักเรียนสายสามัญเข้าไปเรียนรู้ในสถาบันอาชีวศึกษาเป็นช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เช่น 2 สัปดาห์ ช่วยให้เด็กเข้าใจการเรียนสายอาชีพและสนใจเลือกเรียน สายอาชีพเพิ่มขึ้น จึงได้มอบนโยบายให้สำนักงานคณะกรรมการ การอาชีวศึกษา (สอศ.) นำแนวคิดนี้ไปศึกษาความเป็นไปได้ อย่างน้อยถ้าไม่สามารถส่งนักเรียนไปทดลองเรียนได้ ก็อาจทำในลักษณะ จัดโปรแกรมไปทัศนศึกษาดูการเรียนการสอนของวิทยาลัยอาชีวศึกษาที่อยู่ใกล้ ๆ โรงเรียน เพื่อให้นักเรียนได้มีโอกาสเรียนรู้ว่า การเรียนสายอาชีพนั้นมีการเรียนอะไรกันบ้าง และได้มีโอกาสรู้ว่าสายอาชีพเมื่อเรียนจบออกมาแล้วมีงานทำซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก

นายจาตุรนต์ กล่าวต่อไปว่า แม้ว่าจะต้องมีการดำเนินการ หลาย ๆ ด้านไปพร้อมกันเพื่อให้นโยบายปรับสัดส่วนผู้เรียนประสบความสำเร็จ แต่สิ่งสำคัญสุด คือ ต้องเปลี่ยนค่านิยมการเรียนสายอาชีพให้ได้ สื่อสารกับผู้ปกครองและนักเรียนให้เข้าใจว่าผู้ที่เรียนจบระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นสูง (ปวส.) มีโอกาสทำรายได้สูงกว่าผู้ที่จบปริญญาตรี และนอก จากการปรับเปลี่ยนเรื่องค่านิยมแล้วจะต้องปรับเปลี่ยนระบบแนะแนวด้วย ปัจจุบันยังมีปัญหาแย่งเด็กระหว่างสายสามัญกับสายอาชีพ อยู่ เพราะฉะนั้นต้องทำความเข้าใจกับสำนักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริม การศึกษาเอกชน (สช.) ไม่ให้แย่งเด็กหรือปิดกั้นเด็กมาเรียนสาย อาชีพ

“กรรมการบอร์ด กอศ.จากภาคเอกชนที่ดูแลนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ให้ข้อมูลว่าเฉพาะนิคมอุตสาหกรรมแห่งนั้นที่เดียวต้อง การแรงงานฝีมือภายใน 5 ปีกว่า 5 แสนคน ขณะที่มีนักเรียนจบมัธยมศึกษาตอนต้น แค่ปีละ 9 แสนคน หากครึ่งหนึ่งเลือกเรียนต่อสายอาชีพ เฉพาะนิคมอุตสาหกรรมแห่งนั้นแห่งเดียวก็ต้องการแรงงานปีละกว่า 1 แสนคนแล้ว เพราะฉะนั้นการเพิ่มผู้เรียนสายอาชีพจึงไม่มีปัญหาเรื่องตำแหน่งงานรองรับ” รมว.ศธ. กล่าว.

–เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 19 ส.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33737&Key=hotnews

ชูธง ปฏิรูปการศึกษาเพิ่มทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ และภาษา

19 สิงหาคม 2556

ประชุมปฏิรูปนัดแรก “จาตุรนต์” ชูธงเพิ่ม 3 ด้านทั้งการอ่าน การคิดวิเคราะห์ และด้านภาษา ระบุที่ประชุมเห็นพ้องถึงเวลาต้องปรับระบบคัดเด็กเข้าอุดมศึกษา เน้นความเท่าเทียม ลดภาระย้ำหากปรับแจ้งล่วงหน้าอย่างน้อย 3 ปี

วานนี้ (18 ส.ค.) ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จัดประชุมสัมมนาการปฏิรูปการเรียนรู้ทั้งระบบ : ปรับการเรียน เปลี่ยนการสอน มี นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดและมีผู้บริหาร ศธ. และนักวิชาการด้านการศึกษาเข้าร่วม
รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การปฏิรูปการเรียนรู้ครั้งนี้จะต้องตั้งคำถามก่อนว่าต้องการวางตำแหน่งของประเทศไทยไว้ตรงไหนของอาเซียน ขณะที่ประเทศอื่น ๆ พัฒนาคนไปไกลถึงไหนแล้วแต่คุณภาพของคนไทยยังอยู่ในระดับคะแนนเฉลี่ยแค่ 30-40 % เพราะฉะนั้น ต้องมาวางตำแหน่งประเทศไทยให้เหมาะสมและสื่อสารให้เข้าใจกันทั้งประเทศจึงจะทำให้เกิดความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ได้ อีกทั้ง การปฏิรูปการเรียนรู้โดยยึดคะแนนพิซ่าเป็นเกณฑ์นั้น จริง ๆ แล้ว ประเทศที่ประสบความสำเร็จในการจัดการศึกษาอย่างไต้หวัน ฟินแลนด์ หรือฮ่องกง นั้นไม่ได้ยึดผลการประเมินพิซ่าเป็นหลักแต่ใช้วิธีคัดคนที่เก่งที่สุดในประเทศ 12% มาเป็นครู ขณะที่ประเทศญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา รวมถึงไทยใช้คะแนนพิซ่าเป็นตัวนำในการพัฒนาการจัดการศึกษา เพราะฉะนั้น ประเทศไทยควรจะรวบทั้งสองอย่างมารวมกัน คือ ให้ความสำคัญทั้งการไต่อันดับพิซ่า และการปฏิรูปการเรียนรู้

“สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ปัจจุบันประเทศไทยมีประชากรแค่ 12% ที่คิดนอกกรอบเป็นและเป็นกำลังสำคัญของประเทศ อีก 63% คิดเป็นแต่ทำอะไรไม่ได้เป็นผู้ตาม และอีก 25% คิดไม่เป็นทำอะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้น ภาระสำคัญก็คือจะต้องพัฒนาคนใน 2 กลุ่มให้ได้” รศ.ดร.สมพงษ์ กล่าวและว่า ส่วนเรื่องการปรับหลักสูตรนั้นถือว่ามาถูกทางแล้วแต่ยังมีประเด็นสำคัญ คือ การเตรียมความพร้อมของครูและผู้บริหาร เพราะจุดอ่อนที่สำคัญในการปฏิรูปการศึกษาอยู่ที่ ครู จะต้องมีการเปลี่ยนความคิดและเปลี่ยนวิธีสอนของครูไทยให้ได้ ขณะที่ ต้องยอมรับให้ได้ว่าในระบบการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาในระบบกลาง (แอดมิชชัน) หรือโควตา และรับตรง เวลานี้เป็นระบบการแย่งเด็กและดึงเงินในกระเป๋าจากผู้ปกครอง ซึ่งขณะนี้มหาวิทยาลัยมีอิสระมากทั้งที่ความจริงแล้วควรจะใช้อำนาจรัฐโดยเฉพาะกลไกของงบประมาณมาเป็นเครื่องมือกำกับดูแล

ด้าน นายประวิต เอราวรรณ คณบดีคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (มมส.) และประธานที่ประชุมคณบดีครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย กลุ่ม 16 สถาบันเก่าแก่ กล่าวว่า ที่ผ่านมาคณะศึกษาฯ มมส. ได้ทำการวิจัยมุมมอง ผลกระทบและผลลัพธ์ ที่เกิดขึ้นจากระบบการศึกษาในปัจจุบันให้กับสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) โดยสอบถามนักเรียนระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา อาชีวศึกษา ผู้ปกครอง ครูผู้สอน จำนวน 33,000 คน พบว่า ครูและผู้บริหารมีความพึงพอใจกับระบบการศึกษาและหลักสูตรการเรียนการสอนที่ใช้ในปัจจุบัน ขณะที่นักเรียนและผู้ปกครองยังไม่พอใจ

ทั้งนี้ ยังศึกษาถึงรากฐานที่สำคัญของปัญหา พบว่า นักเรียนไม่ได้รับการส่งเสริมให้รักการอ่าน พออ่านไม่ออก อ่านไม่เข้าใจ วิเคราะห์ไม่เป็น ทำให้การเรียนในระดับที่สูงขึ้นไปมีปัญหา และกลายเป็นทุกข์ของนักเรียน โดยพบว่านักเรียนที่จบระดับประถมศึกษาและเข้าเรียนต่อระดับมัธยมศึกษา มีปัญหาเรื่องการอ่าน 12.6% สังกัดสำนักงานส่งเสริมการสึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศรับ (กศน.) มีปัญหาเรื่องการอ่าน 5.37%นอกจากนั้น ยังพบว่าโรงเรียนให้ความสำคัญกับกิจกรรมในเรื่องการอ่าน การเขียน การวิเคราะห์ แต่ยังมุ่งในเชิงของการแข่งขันที่พบว่าไม่มีนัยยะสำคัญกับเด็กโดยรวม แต่มีนัยยะสำคัญกับเด็กบางคนเท่านั้น

“แนวทางแก้ปัญหา ต้องให้ความสำคัญและฝึกเด็กให้รักการอ่าน และไม่ใช่แค่อ่านออกเท่านั้น แต่ต้องอ่านและมีความเข้าใจตั้งแต่ระดับอนุบาล จนถึงระดับป.3 รวมถึงจะต้องฝึกให้เขารู้จักตัวเอง พร้อมเรียนรู้เผชิญปัญหา รู้จักค้นหาความรู้ใหม่ ๆ และวิธีการเรียนรู้ที่ดีที่สุดคือ การเรียนรู้จากปัญหา” นายประวิต กล่าว

ด้าน นายจาตุรนต์ กล่าวว่า ที่ประชุมมีความเห็นค่อนข้างสอดคล้องกันว่า ผลสัมฤทธิ์ในทักษะต่าง ๆ ของนักเรียน ทั้งความสามารถในการคิดคำนวณ คิดวิเคราะห์ และความสามารถในการอ่านทักษะทางภาษา ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ จึงฟันธงได้ว่าเป้าหมายของการปฏิรูปการศึกษาครั้งนี้ คือการเพิ่มความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การเพิ่มความสามารถทางภาษา และความสามารถในการคิดคำนวณ ซึ่งทั้ง 3 ทักษะนี้ เป็นวิชาพื้นฐานสำหรับการประเมินพิซ่า เพราะฉะนั้นเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่าต้องการไต่อันดับการประเมินพิซ่า กับเป้าหมายการปฏิรูปการเรียนรู้ครั้งนี้ถือเป็นเรื่องเดียวกัน อย่างไรก็ตาม การจะบรรลุเป้าหมายของการปฏิรูปการเรียนรู้ทั้ง 3 เรื่องจะต้องมีการปรับเปลี่ยนทั้งระบบ เชื่อมโยงสู่การปรับหลักสูตร การทดสอบประเมินผลให้สอดคล้องกันด้วย ส่วนเรื่องการสอบเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย ที่ประชุมเห็นสอดคล้องกันว่ามีความจำเป็นจะต้องปรับ และต้องเป็นระบบที่มีหลักประกันว่า จะสามารถคัดเลือกเด็กที่สามารถเรียนได้จริง ๆ การสอบจะต้องมีความเท่าเทียม และต้องไม่กระทบกับการปฏิรูปการศึกษาในภาพรวม ส่วนข้อเสนอที่ให้นำกลไกของงบประมาณมาใช้กำกับมหาวิทยาลัยถือเป็นแนวทางที่ดี แต่อาจจะไม่ง่ายนัก แต่จะให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) คณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) ฯลฯ จะต้องร่วมกันคิด
“สุดท้ายระบบการคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยควรจะเป็นระบบเดียวกัน และลดภาระการสอบของนักเรียน และต้องไม่เป็นระบบที่ลดความสนใจในห้องเรียนของเด็ก ผมประกาศมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าจะต้องปรับ เปลี่ยน และจากการพูดคุยวันนี้ทำให้มีความมั่นใจมากขึ้นว่าไม่เปลี่ยนไม่ได้ ไม่เปลี่ยนจะเกิดความเสียหายเชื่อว่าน่าจะมีการพูดคุยกันและนำมาสู่ข้อสรุป แต่จะต้องแจ้งให้นักเรียนได้ทราบล่วงหน้าอย่างน้อย 3 ปี”นายจาตุรนต์ กล่าว

Source – ASTV ผู้จัดการออนไลน์ (Th)

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33736&Key=hotnews

“จาตุรนต์” รับฟังความเห็นแผนพัฒนาการศึกษาจังหวัดชายแดนใต้

19 สิงหาคม 2556

“จาตุรนต์” ลงใต้ รับฟังความเห็นแผนพัฒนาการศึกษาจังหวัดชายแดนใต้ห่วงครูขาด คุณภาพเด็กถดถอย “ภาษา-วิทยาศาสตร์” เล็งสอนอาชีพเสริม

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่าจากการประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการรับฟังความคิดเห็นเพื่อพัฒนาการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อวันที่ 17 ส.ค.56 ที่โรงแรมเซาท์เทิร์น จ.ปัตตานี ซึ่งเป็นการรับฟังความเห็นจากองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาต่างๆ ได้แก่ ผู้ปกครอง กรรมการสถานศึกษา กำนันผู้ใหญ่บ้าน ครูผู้บริหารสถานศึกษาภาครัฐ เอกชน สื่อมวลชน องค์กรทางศาสนา นักเรียนอาชีวะ อุดมศึกษา วิทยาลัยชุมชน กศน. และสถานประกอบการภาคธุรกิจ โดยมีข้อเสนอแนะจำนวนมากที่จะนำไปวิเคราะห์เพื่อจัดทำแผนพัฒนาการศึกษาในพื้นที่ทั้งระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว
นายจาตุรนต์ กล่าวต่อไปว่า จากการจัดประชุมกลุ่มย่อยสามารถสรุปความเห็นที่เป็นความต้องการร่วมกันได้ได้หลายประการ อาทิ การแก้ปัญหาการจัดการศึกษในพื้นที่ ที่มีความยากลำบากเป็นพิเศษ การขาดแคลนครูและบุคลากรทางการศึกษา การขาดครูผู้เชี่ยวชาญที่ตรงตามสาขา รวมถึงเวลาและความสะดวกในการสอน เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบ นอกจากนี้ยังมีปัญหาขาดแคลนอาคารสถานที่ วัสดุอุปกรณ์ สื่อการเรียนการสอน ที่ทันสมัย และที่สำคัญคือการให้ความสนใจกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยเฉพาะทางด้านภาษาที่ค่อนข้างต่ำ รวมถึงนักเรียนมีความต้องการเรียนพิเศษหรือติวเข้ม และการเรียนด้านวิทยาศาสตร์โดยมีห้องทดลองหรือห้องแลป และต้องการมีอาชีพเสริมระหว่างปิดเทอมด้วย

“ภายหลังจากรับฟังความเห็นแล้วจะมีการนำข้อเสนอต่างๆ ไปวิเคราะห์และจัดลำดับความสำคัญ เพื่อให้เกิดภาพที่ชัดเจนของความต้องการเพื่อนำไปจัดทำแผนปฏิบัติการ โดยเรื่องใดที่สามารถดำเนินการได้เลยโดยไม่ต้องรอปีงบประมาณหรือปีการศึกษาก็จะให้ดำเนินการทันที เช่น การติวเข้ม การจ้ดหาสื่อที่ทันสมัย เครื่องกีฬา หรือกิจกรรมพัฒนาครู ส่วนเรื่องที่ยังไม่สามารถดำเนินการได้ทันทีก็จะจัดทำเป็นแผนปฏิบัติการที่มีความชัดเจนเป็นระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาวต่อไป เช่น การแก้ปัญหาขาดแคลนครูให้สามารถสอนตรงตามสาขาวิชาเอกมากขึ้น การปรับหลักสูตรให้สอดคล้องกับสภาพพื้นที่ เนื่องจากบางพื้นที่เด็กมีเวลาเรียนน้อย ซึ่งส่งผลกระทบต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน นอกจากนี้ต้องทำให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานกับการอาชีวศึกษา ที่ต้องมีความเชื่อมโยงและส่งเสริมอาชีพให้ตรงกับความต้องการของประชาชนมากขึ้นด้วย” นายจาตุรนต์ กล่าว

ที่มา: http://www.siamrath.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33735&Key=hotnews