สช.เข็นครูเอกชนเรียนจบป.ตรี ชง”ครม.-มท.”ลดภาษีโรงเรือน

4 มกราคม 2550

นางจรวยพร ธรณินทร์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า ในปี 2550 นี้สำนักบริหารงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ได้วางแผนที่จะยกระดับการศึกษาของครูโรงเรียนเอกชนที่ยังไม่จบการศึกษาระดับปริญญาตรี ซึ่งยังมีอยู่ประมาณ 10,000 คน จากทั้งหมด 130,000 คนทั่วประเทศ โดยใช้วิธีขอผ่อนผันกับทางคุรุสภา ซึ่งมีหน้าที่ออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู ขอให้ครูโรงเรียนเอกชนที่ยังไม่มีวุฒิปริญญาตรีเหล่านี้สามารถสอนต่อไปได้อีกระยะ ตาม พ.ร.บ.การศึกษาเอกชนที่อนุญาตให้โรงเรียนเอกชนบรรจุครูที่มีวุฒิต่ำกว่าปริญญาตรีได้ โดย สช.จะประสานกับมหาวิทยลัยราชภัฏต่างๆ ให้รับครูโรงเรียนเอกชนเข้าศึกษาต่อปริญญาตรี ขณะเดียวกันจะให้ครูเอกชนจัดทำแฟ้มสะสมผลงานรายบุคคล เพื่อเป็นการพัฒนาคุณภาพไปพร้อมๆ กันด้วย

นางจรวยพรกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ทาง สช.จะผลักดันเรื่องการขอลดหย่อนภาษีให้กับโรงเรียนเอกชน เพื่อช่วยให้มีเงินเหลือไปขยายหรือปรับปรุงคุณภาพสถานศึกษา โดยเฉพาะภาษีโรงเรือนที่ปัจจุบันยังต้องเสียในอัตราสูงเท่ากับธุรกิจอื่นๆ ซึ่งเร็วๆ นี้จะนำเสนอ ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน รัฐมนตรีว่าการ ศธ. เพื่อขอให้เสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ออกมติลดหย่อนภาษีโรงเรือนให้กับโรงเรียนเอกชน รวมทั้งขอให้ ศธ.เจรจากับกระทรวงมหาดไทย (มท.) ให้กำชับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประเมินค่ารายปีภาษีโรงเรือนและที่ดินของโรเรียนเอกชนในอัตราที่ต่ำลงด้วย

แหล่งที่มา/ผู้ส่ง ที่มา: http://www.matichon.com

moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=2338&Key=hotnews

งานถนนสายวิทยาศาสตร์ตรวจเข้ม

4 มกราคม 2550

ศ.ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) กล่าวถึงการจัดงาน “โครงการถนนคนเดินเส้นทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” ในสัปดาห์วันเด็กแห่งชาติวันที่ 9-13 มกราคม 2550 ที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ไปจนถึงบริเวณกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษา งานดังกล่าวจะเป็นนิทรรศการผู้สนใจสามารถตรวจสอบข้อมูลได้ในเว็บไซต์ http://www.most.go.th/

การจัดงานดังกล่าวยังคงดำเนินการต่อไปอย่างแน่นอน ในส่วนของความปลอดภัยไม่ต้องกังวล เนื่องจากในวันที่ 4 มกราคมนี้ ที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จะหารือกันในเรื่องมาตรการความปลอดภัย เพื่อให้งานดังกล่าวเป็นไปอย่างราบรื่น ขอให้ประชาชนทุกคนไม่ต้องวิตกในเรื่องนี้

ด้านนายบุญรักษา สุนทรธรรม ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) กล่าวว่า สดร.ได้ร่วมจัดกิจกรรมในลักษณะชุมชนวิทยาศาสตร์ พร้อมเปิดหน่วยงานด้านวิทยาศาสตร์ให้ประชาชนและเยาวชนเข้าเยี่ยมชม โดยมีกิจกรรมต่างๆ อาทิ นิทรรศการทางดาราศาสตร์ การระบายสีภาพยานอวกาศ ภาพระบบสุริยะ การประกอบโมเดลดาวเคราะห์ ดาวเสาร์ โลก ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี การเผยแพร่เรื่องดาราศาสตร์ผ่านจอคอมพิวเตอร์ทัช สกรีน หรือระบบสัมผัสผ่านหน้าจอ ยังมีกล้องสังเกตการณ์ดวงอาทิตย์ (Solar Scope) และ เครื่องมือในการบอกรายละเอียดของวัตถุบนท้องฟ้า (Sky Scout) ให้เด็กๆ ได้ทดลองใช้ นอกจากนี้ สดร. จัดงาน “ถนนคนเดินเส้นทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” ที่อุทยานการค้ากาดสวนแก้ว ในวันเสาร์ที่ 13 มกราคมนี้เช่นกัน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สดร. โทร. 0-5322-5569 หรือ www.narit.or.th

แหล่งที่มา/ผู้ส่ง ที่มา: http://www.matichon.co.th/

moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=2336&Key=hotnews

รุกสอน ปวช.เรียนคู่มัธยมสายสามัญ

4 มกราคม 2550

คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวภายหลังการประชุมผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานว่า ที่ประชุมได้เสนอให้เปิดสูตรการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนในสังกัด สพฐ. ได้เรียนสายสามัญควบคู่ไปกับสายอาชีพ เบื้องต้นที่ประชุมได้เสนอแนงทางสำหรับนักเรียนที่สนใจเรียนสาย ปวช. คือ ให้นักเรียนสามารถเรียนวิชาชีพควบคู่สายสามัญในโรงเรียนสังกัด สฑฐ.ได้ หรือให้ทางโรงเรียนส่งนักเรียนไปเรียนวิชาชีพที่สถาบันอาชีวศึกษา หรือวิทยาลัยสารพัดช่าง ช่วงวันเสาร์-วันอาทิตย์ หากกรณีโรงเรียนที่ตั้งอยู่ ในถิ่นทุรกันดาร จะเชิญอาจารย์ที่สถาบันอาชีวศึกษามาสอนในโรงเรียน

เลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ นักเรียนที่เรียนหลักสูตร ปวช.ด้วย จะได้รับวุฒิการศึกษาทั้งระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และระดับ ปวช. เพื่อให้นักเรียนที่จบการศึกษาสามารถประกอบอาชีพได้ หากนักเรียนไม่ประสงค์ที่จะศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น ขณะเดียวกันนักเรียนที่ต้องการเรียนต่อในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ก็จะมีช่องทางให้ โดย สพฐ.จะนำแนวทางดังกล่าวเสนอต่อ ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) ในสัปดาห์หน้า.

แหล่งที่มา/ผู้ส่ง ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=2335&Key=hotnews

รัฐจัดกิจกรรม วันเด็ก-วันครู เน้นรักษาความปลอดภัยเข้ม

4 มกราคม 2550

ค.ร.ม.เดินหน้าจัดกิจกรรมวันเด็กและวันครูเหมือนเดิม โดยให้แต่ละกระทรวงไปดูรายละเอียดของงาน และประสานเพิ่มความปลอดภัยไว้ล่วงหน้า ซึ่งหน่วยรักษาความปลอดภัยมั่นใจมาตรการป้องกัน มีสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นศูนย์ประสาน

ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ค.ร.ม.) ว่า ที่ประชุม ค.ร.ม. เห็นพ้องกันว่า ควรให้มีการจัดกิจกรรมวันเด็กและวันครูเหมือนเดิมที่เตรียมไว้ โดยทุกกระทรวงที่จัดกิจกรรมจะต้องกำหนดทุกอย่าง แต่เพื่อให้แน่ใจว่าการจัดงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ปลอดภัย และไม่มีเหตุการณ์เหมือนที่เกิดในช่วงปีใหม่ จะต้องไปคิดมาตรการรักษาความปลอดภัย ทั้งการเพิ่มมาตรการในแต่ละส่วนงาน กับในส่วนที่ต้องประสานกับฝ่ายที่จะดูแลรักษาความปลอดภัย เพื่อเตรียมการล่วงหน้า

ขณะที่ทุกกระทรวงตกลงกันว่าจะประสานงานวันเด็กร่วมกัน โดยมีสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นศูนย์ประสานให้ทราบว่าจะมีอะไร ที่ไหน อย่างไร โดยวันนี้ตนจะหารือกับองค์กรหลักของ ศธ. ที่จัดงานวันเด็ก เพื่อลงในรายละเอียด ก่อนมอบข้อมูลให้สำนักนายกรัฐมนตรีในวันที่ 5 ม.ค.นี้ ในส่วนของ ศธ. มีกิจกรรมค่อนข้างมาก และรับผิดชอบงานวันเด็กเป็นส่วนใหญ่ ก็จะคงกิจกรรมตามกำหนดเดิม โดยส่วนกลางจัดที่สนามเสือป่า และลานพระบรมรูปทรงม้า ซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานแทนสำหรับวันเด็กแห่งชาติปีนี้ ตรงกับเสาร์ที่ 13 มกราคม ส่วนวันครู ตรงกับวันอังคารที่ 16 มกราคม.

แหล่งที่มา/ผู้ส่ง ที่มา: กรุงเทพฯ — 4 ม.ค. –

moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=2330&Key=hotnews

จัดการครอบครัวเป็นสุขด้วยหลักบูรณาการ

4 มกราคม 2550

ว่ากันมานานแล้วว่า “สถาบันครอบครัว” เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในสังคม แต่ในปัจจุบันสังคมไทยยังขาดการเอาใจใส่ครอบครัวเพราะวิถีชีวิตสังคมเมืองที่พ่อแม่ต้องทำงานตัวเป็นเกลียวและปล่อยให้ลูกอยู่คนเดียว สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเหตุให้เกิดปัญหาในครอบครัว และอาจลุกลามกลายเป็นปัญหาสังคมในอนาคต สาขาวิชามนุษยนิเวศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช จึงจัด “โครงการศึกษาและพัฒนาสถาบันครอบครัวเชิงบูรณาการ” ด้วยการทำวิจัยนำร่องและสำรวจข้อมูลพื้นฐานของครอบครัวในเขตพื้นที่ศึกษาเพื่อวิเคราะห์ความต้องการของครอบครัวในการส่งเสริมความอบอุ่นภายในบ้าน และนำเสนอรูปแบบการพัฒนาครอบครัวแบบบูรณาการให้แก่ศูนย์พัฒนาครอบครัวชุมชน

โครงการวิจัยนี้ได้ลงพื้นที่เก็บข้อมูลและทำกิจกรรมกับครอบครัวที่มีเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี ในเขต อบต.ไทรน้อย และเทศบาลบางม่วง จ.นนทบุรี รวม 50 ครอบครัว โดยมี รศ.ดร.จิตตินันท์ เดชะคุปต์ รักษาการประธานกรรมการประจำสาขาวิชามนุษยนิเวศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ ซึ่งกิจกรรมที่ทำในโครงการนี้มีหลากหลาย อาทิ การไปเยี่ยมครอบครัวถึงบ้าน เปิดเวทีให้ครอบครัวในชุมชนแลกเปลี่ยนความคิดเห็น อบรมเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ การศึกษาและการบริหารเงินโดยคณะผู้วิจัยจะแจกสมุดบันทึกให้กับทุกครอบครัว เพื่อบันทึกรายละเอียดการใช้ชีวิตเป็นเวลา 1 เดือน

รศ.ดร.จิตตินันท์บอกว่า หลังจากจบโครงการพบว่า คนในชุมชนมีชีวิตที่ดีขึ้น รู้จักการบริหารเงิน เพราะคนในชุมชนเข้าใจว่าการเรียนรู้ไม่ได้มีแต่เฉพาะเด็กๆ ผู้ใหญ่ก็สามารถเรียนรู้ได้จากการเข้าร่วมโครงการ ซึ่งทุกคนในสังคมไทยต้องหันมามองคุณค่าที่แท้จริงของครอบครัวให้มากกว่าเดิม

“ครอบครัวต้องมีหน้าที่ดูแลเด็กบนพื้นฐานของความรัก ความเข้าใจ และเหตุผล ถ้าขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปจะเป็นการละเลยต่อสมาชิกในครอบครัว ซึ่งการพัฒนาครอบครัวต้องมาจากสมาชิกในแต่ละคนช่วยเหลือกันไม่ใช่รอความช่วยเหลือจากบุคคลภายนอก”

นางกัลยา แกล้วกล้า อายุ 30 ปี ผู้เข้าร่วมโครงการ เล่าว่า โครงการนี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนเปลงหลายอย่าง เช่น รู้จักโภชนาการที่ดี จากที่แต่ก่อนเลือกกินอาหารอะไรก็ได้ ตอนนี้เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ รู้จักวิธีใช้เงินให้คุ้มค่าด้วยการซื้อของที่มีความจำเป็นเท่านั้น และช่วยให้ระงับอารมณ์ร้อนของตนเองและลูกสาวได้อีกด้วย

ไม่มีสิ่งใดสำคัญเท่ากับความรักความอบอุ่นที่มีในครอบครัว
แหล่งที่มา/ผู้ส่ง ที่มา: http://www.matichon.co.th/

moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=2322&Key=hotnews

10 สุดยอด นวัตกรรมแห่งปี

4 มกราคม 2550

10 สุดยอดนวัตกรรมแห่งปี 2549 จัดโดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ สนช. กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ออกมาแล้ว เชื่อว่าบรรดาเอสเอ็มอีสามารถจับกระแสธุรกิจในอนาคตได้ไม่ยาก ไม่ใช่แค่ 1-2 ปี แต่หลายธุรกิจเป็นธุรกิจที่มีผลกับโลกอนาคตเลยทีเดียว เอสเอ็มอีที่มองการณ์ไกลไม่สามารถอยู่ได้โดยการซื้อลิขสิทธิ์จากประเทศอื่นเท่านั้น แต่ในฐานะที่เราเองเป็นผู้คิดเราย่อมได้เปรียบ

10 สุดยอดนวัตกรรมที่คัดเลือกมาในครั้งนี้ มีเกณฑ์ในการตัดสินโดยพิจารณาจาก 1.รูปแบบธุรกิจใหม่ 2.สนับสนุนด้วยเทคนิคทางเทคโนโลยีที่โดดเด่น 3.เป็นนวัตกรรมที่มีศักยภาพในตลาดโลก 4.มีการบริหารองค์กรที่ดี 5.มีการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา 6.ก่อให้เกิดกระแสความตื่นตัวด้านนวัตกรรม

หลายธุรกิจไล่ตามอนาคต และหลายธุรกิจกำลังอยู่ในกระแสขณะนี้

1.สเต็มเซลล์…นวัตกรรมการแพทย์ในอนาคต

ดำเนินการโดย บริษัท ไทย สเตมไลฟ์ จำกัด เป็น นวัตกรรมการรักษาโรคแทรกซ้อนในระบบเส้นเลือดของ ผู้ป่วยโรคเบาหวานโดยใช้ สเต็มเซลล์ (stem cells) กระตุ้นไขกระดูกของผู้ป่วย ช่วยในการสร้างเซลล์เนื้อเยื่อ อวัยวะ และระบบต่างๆ ภายในร่างกาย

โอกาสธุรกิจอยู่ตรงที่ขณะนี้ประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ถูกตัดขาปีหนึ่งราว 40,000 คนต่อปี ในขณะเดียวกันผู้ป่วยเหล่านี้ยังต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาตกราว 1,000,000 บาทต่อครั้ง แต่หากใช้เทคโนโลยีสเต็มเซลล์พบว่าจะมีค่าใช้จ่ายเพียง 200,000 บาทเท่านั้น สามารถประหยัดงบประมาณได้ถึง 32,000 ล้านบาทต่อปี

2.ข้าวกล้องสด…หอมกรุ่นจากท้องนา

ดำเนินการโดย บริษัท ซีเรียลเทค คอร์ปอเรชั่น จำกัด เป็นนวัตกรรมในการเก็บรักษาข้าวกล้องสดได้นานขึ้นคือราว 6-9 เดือน รักษาความสดได้เหมือนข้าวใหม่

โอกาสทางธุรกิจก็คือ ทำให้เกิดมูลค่าจากข้าวกล้องปกติราคา กิโลฯละ 20-30 บาท นวัตกรรมตัวนี้จะช่วยทำให้ราคาเพิ่มสูงขึ้นถึง 3-5 เท่า จากคุณค่าทางโภชนาการที่สูงขึ้นนั่นเอง

3.ระบบเพาะเลี้ยงปลาการ์ตูน…บ้านใหม่ของชีวิตใต้ท้องทะเล

ดำเนินการโดย บริษัท เสถียรอุตสาหกรรม จำกัด เป็นที่รู้กันว่าปลาการ์ตูนเพาะเลี้ยงยาก แต่เทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงปลาการ์ตูนของสถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล มหาวิทยาลัยบูรพาจะช่วยให้การผลิตปลาการ์ตูนส่งออกได้มากขึ้น อย่างต่ำตกประมาณเดือนละ 15,000 ตัว

คิดง่ายๆ ปลาการ์ตูนขายปลีกราคาตัวละ 16 ดอลลาร์ จำหน่ายส่งในราคาตัวละประมาณ 7-8 ดอลลาร์ หรือราว 320 บาทต่อตัว

4.สมองกล CNC ชุบชีวิตเครื่องจักรกลไทย

โดย บริษัท โนออล จำกัด ในนามของสมาคมเครื่องจักรกลไทย (TMA) เป็นการสร้างชุดควบคุมเครื่องจักรกลอัตโนมัติ (CNC controller) ที่เป็นสมองของเครื่องจักรเพื่อสั่งงานควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ เช่น การเคลื่อนที่ของชิ้นงาน การเปลี่ยนหัวกัดแบบต่างๆ การหมุนของหัวกัด การปรับระยะ ตลอดจนไปถึงการควบคุมระบบหล่อเย็น

ที่สำคัญก็คือเครื่องควบคุมสามารถทำงานร่วมกับเครื่องจักรได้หลากหลายรูปแบบ น่าจะเป็นการพลิกโฉมการพัฒนาระบบอุตสาหกรรมในประเทศไทยเลยทีเดียว นั่นก็หมายความว่าเรามีอำนาจในการแข่งขันกับต่างประเทศได้ในทางหนึ่ง

5.แป้งเด็กจากแป้งข้าวเจ้า ธุรกิจใหม่ของข้าวไทย

โดย บริษัท เนอเชอร์ แคร์ จำกัด เป็นการนำแป้งข้าวเจ้ามาใช้ทดแทน ทอลคัม (talcum) ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักที่นำเข้ามาและแป้งข้าวโพดโดยการดัดเปลงทางเคมีจนมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับแป้งฝุ่นที่ใช้กันในปัจจุบัน จุดที่น่าสนใจอยู่ที่ตลาดรวมของผลิตภัณฑ์หลังอาบน้ำมีมูลค่าตลาดราว 3,500 ล้านบาท คิดเป็นแป้งเด็กราวๆ 55% แป้งเย็น 34% แป้งหอม 9% และแป้งน้ำ 2% ในขณะที่บ้านเรานำเข้าทอลคัมปีละ 600 ล้านบาท

6.บรรจุภัณฑ์ชีวภาพ…จากธรรมชาติคืนสู่ธรรมชาติ

โดย บริษัท บรรจุภัณฑ์ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ

เพื่อสิ่งแวดล้อม จำกัด เป็นนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์จากชานอ้อย จากเดิมที่นำไปเป็นเชื้อเพลิง แต่การนำมาพัฒนาจนกลายเป็นบรรจุภัณฑ์หลากหลาย เพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ แถมยังเป็นบรรจุภัณฑ์รักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

7.ตะกร้อผิวนุ่ม เตะไม่เจ็บ

โดย บริษัท เสถียรอุตสาหกรรม จำกัด เป็นเทคโนโลยีในการผลิตพลาสติกให้มีพื้นผิวนุ่มขึ้น

เตะไม่เจ็บ โอกาสทางธุรกิจที่น่าสนใจก็คือ มูลค่าตลาดของลูกตะกร้อในประเทศปัจจุบันอยู่ราวๆ 150 ล้านบาท ซึ่งตลาดของตะกร้อพลาสติกสามารถเติบโตได้เท่าตัว เนื่องจากนโยบายในการส่งเสริมกีฬาในโรงเรียน มหาวิทยาลัย ชุมชนและหมู่บ้าน ประกอบกับตะกร้อขาดวัสดุธรรมชาติที่เริ่ม หายากขึ้นทุกวัน

8.แขนกล…สุดยอดระบบอัตโนมัติ แขนกล (Articulate Arm) บริษัท นิวสมไทยมอเตอร์เวอค จำกัด ร่วมกับสถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (FIBO) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี สำหรับใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม เคลื่อนไหวได้อิสระทั้ง 5 แกน แบกรับน้ำหนักชุดอุปกรณ์ได้ 6 กิโลกรัม ทำงานได้ต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง ตัวเลขที่น่าสนใจอยู่ตรงผลการคาดการณ์จำนวนแขนกลทั่วโลกที่จะติดตั้งเพิ่มในปี 2550 พบว่ามีมากกว่า 106,300 ตัว และมีโรงงานอุตสาหกรรมในประเทศจำนวนมากที่มีความต้องการนำไปใช้ ทางบริษัทจึงได้วางแผนการพัฒนาแขนกลขนาดเล็กราคาย่อมเยาแต่ยังคงคุณภาพสูงไว้เพื่อทำตลาดในประเทศด้วย

9.เครื่องล้าง…กระบอกไตเทียม โดย บริษัท เมดิทอป จำกัด เป็นนวัตกรรมในการล้างไตเทียม คือสามารถนำกระบอกไตเทียมที่ใช้ไปแล้วนำกลับมาใช้ได้อีก เป็นการลดการนำเข้า ลดค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยจากราคาค่าล้างไต 4,200 บาทต่อครั้ง เหลือ 2,200 บาทต่อครั้ง โอกาสทางธุรกิจไม่ต้องพูดถึง

10.เก้าอี้น้ำยางพารา…นุ่มยิ่งกว่านุ่ม โดย ห้างหุ้นส่วนจำกัด ซุ่ย สตูดิโอดีไซน์ เป็นการผลิตเก้าอี้นุ่มจาก ยางพาราต้นทุนต่ำ กระบวนการไม่ซับซ้อน เหมาะสำหรับกลุ่มลูกค้านักอนุรักษ์ธรรมชาติ ซึ่งมูลค่าของตลาดเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านมีมูลค่าทางการตลาดประมาณ 250 พันล้านบาท โดยมีอัตราการขยายตัว 10% ต่อปี

แหล่งที่มา/ผู้ส่ง ที่มา: http://www.matichon.co.th/prachachart

moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=2317&Key=hotnews

เผยครูแหกคอกยอดพุ่ง

4 มกราคม 2550

เผยครูแหกคอกยอดพุ่ง

++ ก.ค.ศ.เร่งสร้างคุณธรรม-ย้ำบทลงโทษ

นายประเสริฐ งามพันธุ์ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ.2549 สำนักงาน ก.ค.ศ.ได้พิจารณาความผิดข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ถูกดำเนินการทางวินัยยุติแล้วทั้งสิ้น 133 ราย เพิ่มขึ้นจากปีงบฯ ที่ผ่านมา 53 ราย โดยเป็นการกระทำผิดระเบียบวินัยข้าราชการมากที่สุด 30 ราย รองลงมาได้แก่ ความผิดเชิงชู้สาวอนาจาร 25 ราย และความผิดทางการพนัน 22 ราย นอกจากนี้ยังพบว่า มีการกระทำผิดล่วงละเมิดทางเพศเด็ก 5 รายด้วย โดยผู้กระทำผิดส่วนใหญ่เป็นข้าราชการครู 63 ราย ผู้อำนวยการสถานศึกษา 48 ราย บุคลากรทางการศึกษา 16 ราย ทั้งนี้ผู้กระทำผิดส่วนใหญ่จะสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ส่วนการพิจารณาโทษนั้น มีผู้ได้รับโทษร้ายแรงถูกไล่ออกจากราชการ 11 ราย และปลดออกจากราชการ 9 ราย และโทษไม่ร้ายแรง ให้ลดขั้นเงินเดือน หรือตัดเงินเดือน หรือภาคทัณฑ์ 82 ราย และไม่มีโทษ 31 ราย

“การกระทำผิดของข้าราชการครู หากเรื่องมาถึงสำนักงานก.ค.ศ.จะไม่มีการช่วยเหลือกัน ซึ่งจะมีการพิจารณาโทษในรูปของคณะกรรมการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่ครูล่วงละเมิดเพศต่อนักเรียน ซึ่งเป็นเรื่องล่อแหลมมาก และเป็นเรื่องที่สำนักงาน ก.ค.ศ. ไม่มีการให้ลดโทษอย่างแน่นอน โดยขั้นต่ำต้องถูกปลดออกจากราชการ แต่หากผู้บังคับบัญชาปิดบังพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาก็จะต้องได้รับโทษด้วย นอกจากนี้กรณีความผิดทุจริตประพฤติมิชอบต่อหน้าที่ก็เป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้เช่นกัน เพราะเราต้องการให้วงการครูมีความโปร่งใส ซึ่งโทษขั้นต่ำคือ ไล่ออก และไม่มีการลดหย่อน เพราะข้าราชการครูไม่เพียงแต่มีวินัยข้าราชการกำกับ แต่ยังมีเรื่องจรรยาบรรณวิชาชีพครูที่ต้องยึดถืออีกด้วย” นายประเสริฐ กล่าว

เลขาธิการ ก.ค.ศ. กล่าวต่อไปว่า รัฐบาลชุดนี้ได้ดำเนินนโยบายคุณธรรมนำความรู้ ซึ่งสำนักงาน ก.ค.ศ.ได้พยายามที่จะเสริมสร้างคุณธรรมให้กับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาร่วมกับต้นสังกัดของครูมาโดยตลอด โดยเดือนม.ค.2550 จะมีการจัดอบรมพัฒนาคุณภาพการบริหารการศึกษาตามระบบคุณธรรม ซึ่งจะมีผู้บริหารสถานศึกษาเข้าร่วมการอบรมคุณธรรม 200 คน และเดือนก.พ.จะมีการอบรมผู้ดำเนินการสอบสวนทางวินัยและปฏิบัติงานด้านวินัย 300 คน เพื่อไปขยายผลให้กับข้าราชการครูและบุคลากรในพื้นที่ ให้ตระหนักถึงคุณธรรมและจริยธรรม และที่สำคัญเพื่อให้รับทราบถึงวินัยและโทษเมื่อกระทำผิด นอกจากนี้สำนักงาน ก.ค.ศ.ได้เปิดหลักสูตรออนไลน์สำหรับผู้ที่มีความสนใจงานทางด้านวินัยสามารถเข้ามาค้นคว้าข้อมูลได้ที่ www.moe.go.th/webtcs

แหล่งที่มา/ผู้ส่ง ที่มา: http://www.siamrath.co.th

moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=2311&Key=hotnews

วิจิตร’ประธานเปิดยัดห่วง ยช.เอเชีย

3 มกราคม 2550

นางเนตทราย วงศ์อุปราช กรรมการผู้จัดการ บ.ไบรท์เบรน บิซิเนส จำกัด เปิดเผยว่า จากการที่ได้รับมอบหมายจากสมาคมบาสเกตบอลแห่งประเทศไทย ให้เป็นผู้ดำเนินการด้านสิทธิประโยชน์ พิธีการเปิด-ปิด และกิจกรรมต่าง ๆ ในศึกบาสเกตบอลเยาวชนหญิงอายุไม่เกิน 18 ปี ชิงชนะเลิศแห่งเอเชียครั้งที่ 18 ระหว่าง 29 ม.ค.-5 ก.พ. นี้ ที่อินดอร์สเตเดี้ยม หัวหมาก กรุงเทพฯ ซึ่งสมาคมบาสเกตบอลฯ จัดขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติในปีมหา มงคล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษา นั้น ได้เตรียมการจัดพิธี เปิด-ปิด การแข่งขันให้ยิ่งใหญ่ที่สุด

สำหรับพีธีเปิดการแข่งขัน มี ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธาน โดยกิจกรรมในวันเปิดการแข่งขันวันที่ 29 ม.ค. ที่อินดอร์สเตเดี้ยม หัวหมาก นั้น เริ่มเวลา 09.00-15.00 น. จะเป็นการแข่งขันบาสเกตบอล 3 คู่ในระดับดิวิชั่น 2 คือ มาเลเซีย-อินเดีย, ฮ่องกง – เวียดนาม และ ศรีลังกา-อินโดนีเซีย จากนั้นจะเป็นการประกวดกองเชียร์-ลีดเดอร์ ในรอบแรก เพื่อสร้างสีสันให้การแข่งขัน โดยคัดเอาแชมป์แต่ละภูมิภาคของไทยมาชิงชัยกันอีกครั้ง จนเวลา 15.30 น. จึงเริ่มเข้าสู่พิธีเปิดการแข่งขัน

ด้านการแสดงในพิธีเปิดนั้น ใช้นักเรียนกว่า 70 คน มาจากโรงเรียนที่คว้าอันดับ 1-5 ในการแข่งขันสปอร์ตแดนซ์ ฟอร์ เดอะ ควีนส์ จากการแข่งขันบาสเกตบอลนักเรียนอายุไม่เกิน 18 ปี ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ รายการ “สปอนเซอร์ ไทยแลนด์ แชม เปี้ยนชิพ 2006” จากโรงเรียนปรีชานุศาสตร์ ชลบุรี, สตรีวิทยา 2, อู่แก้ววิทยา จ.อุดรธานี และ เซนต์แมรี ดอนมอสโก จ.อุดรธานี ซึ่งจะเป็นการแสดงชุดเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่มีการฝึกซ้อมมายาวนานเพื่องานนี้ จากนั้นเวลา 16.15-22.15 น. เป็นต้นไป เป็นการแข่งขันอีก 3 คู่ในระดับดิวิชั่น 1 ได้แก่คู่แรก ทีมเยาวชนสาวไทยเปิดสนามกับสิงคโปร์ และ ไต้หวัน พบ เกาหลีใต้ ปิดท้ายด้วยจีน พบ ญี่ปุ่น

ในส่วนของการแข่งขัน จะแข่งพบกันหมดใน 2 ระดับคือ ระดับดิวิชั่น 1 ประกอบไปด้วย จีน, เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น, ไต้หวัน, ไทย และ สิงคโปร์ ขณะที่ระดับดิวิชั่น 2 ประกอบไปด้วย มาเลเซีย, อินเดีย, ฮ่องกง, ศรีลังกา, เวียดนาม, อินโดนีเซีย, และ คาซัคสถาน ซึ่งทีมอันดับดีที่สุด 2 ทีมในดิวิชั่น 2 จะได้เลื่อนชั้น ส่วนทีมบ๊วย 2 อันดับในดิวิชั่น 1 จะตกชั้น โดยโปรแกรมของทีมสาวไทยนั้น วันที่ 29 ม.ค. เวลา 16.15 น. พบ สิงคโปร์, 30 ม.ค. เวลา 19.00 น. พบ เกาหลีใต้, 31 ม.ค. เวลา 19.00 น. พบ จีน, 1 ก.พ. เวลา 19.00 น. พบ ญี่ปุ่น, 3 ก.พ. เวลา 19.00 น. พบ ไต้หวัน ขณะที่วันที่ 4 ก.พ. เป็นรอบรองฯ วันที่ 5 ก.พ. เป็นรอบชิงฯ และพิธีปิดการแข่งขัน เริ่มตั้งแต่เวลา 09.00-19.00 น. จะมีการประกวดกองเชียร์-ลีดเดอร์ รอบชิงฯ และการแสดงวงโยธวาทิตของโรงเรียนสตรีวิทยา 2

ด้าน นายสุเทพ เบ็ญจโภคี นายกสมาคมบาสเกตบอลฯ เผยว่า ทางสมาคมฯ ได้ทำการคัดเลือกนักกีฬาเยาวชนหญิงของไทยที่ดีที่สุดไว้รับมือศึกนี้ โดยมีเป้าหมายว่าต้องได้ไม่น้อยกว่าอันดับ 4 เพื่อรักษาตำแหน่งในระดับดิวิชั่น 1 ต่อไป ซึ่งทีมไทยต้องเอาชนะทีมในระดับดิวิชั่น 1 ให้ได้ไม่ต่ำกว่า 2 ทีม โดยเฉพาะนัดเปิดสนามกับสิงคโปร์นั้นมีความหมายมากที่ไทยต้องเอาชนะให้ได้ และในเกมเจอกับไต้หวันก็สูสีกับไทยมาก หากไทยเอาชนะไต้หวัน และสิงคโปร์ได้ โอกาสอยู่รอดในดิวิชั่น 1 ต่อไปก็มีสูง รวมทั้งเพื่อคัดนักบาสฯ ดาวรุ่งเข้าสู่ทีมชาติชุดซีเกมส์ ปลายปีนี้ด้วย อยากให้แฟนกีฬาเข้าไปเชียร์นักบาสฯ สาวไทยกันเยอะ ๆ เพราะรายการนี้ชมฟรี และจะมีการถ่ายทอดสดทางยูบีซีด้วย.

แหล่งที่มา/ผู้ส่ง ที่มา: –เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 3 ม.ค. 2550–

moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=2309&Key=hotnews

20ร.ร.มัธยมฯ”ขอนแก่น” ฟ้องเพิ่มศาลปกครอง เร่งโอนสถานศึกษา

3 มกราคม 2550

นายโสภณ รัตนา ประธานสมาพันธ์ครูกรมสามัญศึกษา (เดิม) แห่งประเทศไทย ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการถ่ายโอนสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ตาม พ.ร.บ.กำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2542 ในบัญชีถ่ายโอนที่ 2 ซึ่งมีจำนวน 285 โรงเรียน แต่จนถึงขณะนี้ทางกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ยังไม่มีการถ่ายโอนให้ว่า ก่อนหน้านี้ทางโรงเรียนมัธยมศึกษาในจังหวัดศรีสะเกษได้ยื่นฟ้องศาลปกครองนครราชสีมา รวมถึงโรงเรียนมัธยมศึกษาในจังหวัดขอนแก่นและมหาสารคามได้ยื่นฟ้องศาลปกครองขอนแก่น กล่าวหาผู้บริหาร ศธ. สพฐ. และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) ดำเนินการถ่ายโอนโรงเรียนให้แก่ อปท.ล่าช้า โดยเวลานี้อยู่ระหว่างการไต่สวนและขอข้อมูลเพิ่มเติมของศาล นอกจากนี้ จะมีโรงเรียนมัธยมศึกษาในจังหวัดขอนแก่นอีก 20 โรงเรียนจะยื่นฟ้องศาลปกครองขอนแก่นด้วย เพื่อบังคับให้ผู้บริหาร ศธ. สพฐ. และ สพท.เร่งถ่ายโอนโรงเรียนตามกฎหมาย

“ถึงเวลานี้แล้วผมไม่เห็นด้วยกับการที่ทาง สพฐ.จะสอบถามความสมัครใจกับทางสถานศึกษา และ อปท.ที่อยู่ในบัญชีถ่ายโอนที่ 2 อีกครั้ง เพราะได้เลยกระบวนการนี้มาแล้ว ดังนั้น ที่ต้องดำเนินการในขณะนี้คือ ต้องถ่ายโอนโรงเรียนไปตามกติกา การจะมาทำซ้ำน่าจะขัดต่อกฎหมาย” นายโสภณกล่าว และว่า ส่วนกรณีที่ทาง สพฐ.ระบุว่ามีโรงเรียนที่ขอเปลี่ยนใจกลับไปสังกัด สพฐ.นั้น ตนยังไม่เห็นว่ามีข้อมูลเรื่องนี้ แต่ในกรณีของครูที่เปลี่ยนใจมีอยู่จริง เนื่องจากกระบวนการตัดโอนอัตรากำลังต้องใช้เวลายาวนาน ครูที่ถ่ายโอนไป อปท.แล้วยังต้องสังกัดคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เนื่องจากยังตัดโอนอัตรากำลังไม่แล้วเสร็จ จึงรู้สึกสับสนวุ่นวาย

แหล่งที่มา/ผู้ส่ง ที่มา: http://www.matichon.co.th/

moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=2304&Key=hotnews

กศน.3จว.ใต้เร่งสอน”มลายู”

3 มกราคม 2550

นายจรัส หนุนอนันต์ ผู้อำนวยการศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัด (ศนจ.) ปัตตานี เปิดเผยว่า ตามที่สำนักบริหารงานการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) มอบหมายให้ศนจ.ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส สอนภาษามลายูท้องถิ่นให้แก่ข้าราชการ และผู้สนใจ ซึ่งในปี 2549 ที่ผ่านมา ศนจ.ปัตตานีได้จัดอบรมข้าราชการและผู้สนใจ จำนวน 529 คน มาจากข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ครู ฝ่ายปกครอง ฯลฯ เรียนนอกเวลาราชการ ช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ หลักสูตร 50 ชั่วโมง โดยใช้ครูอาสาสมัคร กศน.และครูชาวบ้านเป็นครูผู้สอน นอกจากนี้ ศนจ.ปัตตานีกำลังเปิดรับสมัครประชาชนทั่วไปที่ฟังและพูดภาษามาลายูท้องถิ่นไม่ได้ และสนใจอยากเรียนรู้เพื่อนำไปใช้ในการสื่อสารในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะประชาชนจากจังหวัดอื่นๆ ที่ย้ายเข้ามาประกอบอาชีพในจ.ปัตตานี ซึ่งยังไม่เข้าใจวัฒนธรรม ประเพณี ภาษา และไม่สามารถสื่อสารภาษามลายูท้องถิ่นได้ ซึ่งหากสามารถใช้ภาษามลายูท้องถิ่นได้ก็จะเกิดประโยชน์ในการประกอบอาชีพ และการประสานงานที่ดียิ่งขึ้น ผู้สนใจติดต่อสอบถามและสมัครได้ที่ศูนย์บริการการศึกษานอกโรงเรียนอำเภอทุกอำเภอในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือติดต่อที่ศนจ.ปัตตานี โทร.0-7333-3051 ศนจ.ยะลา โทร.0-7324-3156 และศนจ.นราธิวาส โทร.0-7351-4843

แหล่งที่มา/ผู้ส่ง ที่มา: http://www.matichon.co.th/

moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=2300&Key=hotnews