‘จาตุรนต์ ฉายแสง’ ชูวาระแห่งชาติรวมพลังยกระดับคุณภาพการศึกษา

12 กรกฎาคม 2556

ที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เมื่อวันที่ 11 ก.ค. 56 นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ แถลงนโยบายและการขับเคลื่อนงานด้านการศึกษา แก่ผู้บริหารระดับสูงของ ศธ. ภายหลังเข้ารับตำแหน่งรมว.ศึกษาธิการ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 56 ที่ผ่านมา

โดยนายจาตุรนต์กล่าวว่า หลังจากที่ได้หารือและร่วมรับฟังความคิดเห็นตลอดจนข้อเสนอแนะในการทำงานของหน่วยงานต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมาจากผู้บริหารองค์กรหลักของ ศธ. จึงได้ประมวลมาเป็นนโยบายด้านการศึกษาที่ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องร่วมกันยกเครื่องการศึกษาไทยโดยในปีนี้จะประกาศให้การศึกษาเป็นวาระแห่งชาติ และเป็นปีแห่งการรวมพลังยกระดับคุณภาพการศึกษา ทั้งนี้ ได้วางเป้าหมายในการจัดการศึกษาไว้ว่า ภายในปี 2558 จะต้องมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้สามารถคิด วิเคราะห์เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ และทักษะที่จำเป็นสำหรับศตวรรษที่ 21
สำหรับนโยบายที่จะต้องเร่งดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล และสานต่องานที่ได้ดำเนินการไว้แล้วประกอบด้วย 8 นโยบาย ได้แก่

1.เร่งปฏิรูปการเรียนรู้ทั้งระบบให้สัมพันธ์เชื่อมโยงกัน เพื่อให้ผู้เรียนสามารถคิด วิเคราะห์ เรียนรู้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง โดยปฏิรูปให้มีการเชื่อมโยงกันทั้งหลักสูตร และการเรียนการสอนในโลกยุคใหม่ การพัฒนาครู ระบบการทดสอบ การวัดและประเมินผล โดยจะเริ่มจากวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และภาษาต่างประเทศ นอกจากนี้ต้องพัฒนาผลการทดสอบโครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ หรือ PISA ของนักเรียนไทยให้อยู่ในอันดับที่ดีขึ้นอย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าการปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานก็จะต้องเดินหน้าต่อไปเพราะการที่ไทยจะสามารถยืนอยู่บนเวทีการแข่งขันของนานาชาติได้ จะต้องมีการปฏิรูปการศึกษา และการพัฒนาคนที่ดี

2.ปฏิรูประบบผลิต และพัฒนาครูโดยจำนวนการผลิตจะต้องสอดคล้องกับความต้องการ มีความรู้ ความสามารถในการจัดการเรียนการสอนในโลกยุคใหม่ มีการพัฒนาระบบประเมินวิทยฐานะครูให้เชื่อมโยงกับผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน ดูแลระบบสวัสดิการครูเพื่อเพิ่มขวัญและกำลังใจ

3.เร่งนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาใช้ในการปฏิรูปการเรียนรู้สร้างมาตรฐานการเรียนการสอน และการพัฒนาครู การพัฒนาเนื้อหาสาระ เพื่อเป็นเครื่องมือให้เกิดระบบการเรียนรู้ตลอดชีวิต

4.พัฒนาคุณภาพการอาชีวศึกษาให้มีมาตรฐานเทียบได้กับระดับสากล โดยจะต้องผลักดันกรอบคุณวุฒิวิชาชีพตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ เพื่อนำมาใช้กำหนดทักษะ ความรู้ความสามารถให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้ เพื่อการมีงานทำมีความก้าวหน้า และมีค่าตอบแทนตามทักษะ ความรู้ ความสามารถ อีกทั้งต้องมีมาตรการจูงใจให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาสถานศึกษาในลักษณะทวิภาคี เพื่อเพิ่มสัดส่วนผู้เรียนอาชีวศึกษา:สามัญให้เป็น 50:50

5.ส่งเสริมให้สถาบันอุดมศึกษาเร่งพัฒนาคุณภาพและมาตรฐาน มากกว่าการขยายเชิงปริมาณ ต้องมีการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี ต้องมีการจัดอันดับสถาบันอุดมศึกษา เพื่อเป็นเครื่องมือพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานและจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อพัฒนาสู่การเป็นมหาวิทยาลัยระดับโลก

นอกจากนี้ต้องพัฒนาให้มหาวิทยาลัยไทยติดอันดับโลกมากขึ้น เพราะปัจจุบันการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกขององค์กรนานาชาติ พบว่าในกลุ่ม 351-400 มีมหาวิทยาลัยไทยติดอันดับเพียงแห่งเดียวเท่านั้น ดังนั้นต้องมาดูว่ามหาวิทยาลัยที่เหลือมีคุณภาพในการจัดการเรียนการสอนและผลิตบัณฑิตอย่างไร ซึ่งขณะนี้คำตอบในเรื่องนี้ยังไม่มีใครรู้

6.ส่งเสริมให้เอกชนและทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมจัด และสนับสนุนการศึกษามากขึ้น โดยรัฐจะเข้าไปกำกับควบคุมเท่าที่จำเป็น เพื่อรักษาคุณภาพมาตรฐาน 7.เพิ่มและกระจายโอกาสทางการศึกษาอย่างมีคุณภาพให้แก่ประชาชนทุกกลุ่มอายุ โดยเฉพาะผู้ด้อยโอกาส และพิการ ขณะเดียวกันจะต้องใช้กองทุนเงินให้กู้ยืมที่ผูกกับรายได้ในอนาคตหรือ กรอ. เป็นกลไกในการพัฒนาคุณภาพเพื่อเพิ่มโอกาสและผลิตบัณฑิตให้สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ และ 8.ให้ความสำคัญกับการพัฒนาการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้สอดคล้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม อัตลักษณ์ตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่โดยให้ความสำคัญกับความปลอดภัย การสร้างขวัญกำลังใจให้แก่นักเรียน ครู และบุคลากรทางการศึกษา

ทั้งนี้ เพื่อให้นโยบายบรรลุเป้าหมายตามที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงได้กำหนด 5 กลไกขับเคลื่อน ประกอบด้วย

1.เร่งจัดตั้งสถาบันเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา

2.จัดตั้งสถาบันวิจัยหลักสูตร และพัฒนาการเรียนการสอน รวมถึงการพัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรมการเรียนการสอน

3.สร้างความเข้มแข็งของกลไกวัดผล ตรวจสอบ ติดตาม ประเมินผล

4.เร่งรัดให้มีพระราชบัญญัติอุดมศึกษา เพื่อประกันความเป็นอิสระ และความรับผิดชอบต่อสังคม และ

5.เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ และใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด

นอกจากนี้ยังได้กำหนด 2 แนวทางบริหาร ประกอบด้วย 1.ตั้งคณะกรรมการ/คณะทำงาน เพื่อขับเคลื่อนเรื่องสำคัญต่างๆ โดยระดมภาคส่วนต่างๆ มาร่วมขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรมเริ่มต้นจากคณะกรรมการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์จากการทดสอบ PISA และ 2.จัดประชุมปฏิบัติการอย่างเป็นระบบ เพื่อการระดมความคิดเห็น และการมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนตามนโยบาย

นายจาตุรนต์กล่าวทิ้งท้ายว่าสำหรับเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันในวง การศึกษานั้น เรื่องนี้ถือเป็นนโยบายใหญ่ และสำคัญอย่างมากของรัฐบาล ซึ่งกำชับให้การทำงานในทุกองค์กรหลัก ศธ. ไม่ว่าจะเป็นการบริหารงาน หรือการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ทุกเรื่องจะต้องมีความสุจริตโปร่งใสและเป็นธรรม ส่วนกรณีการทุจริตต่างๆ ที่เกิดขึ้นใน ศธ. นั้น จะต้องดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา เพื่อหาผู้ทุจริตมาลงโทษให้ได้

“ผมขอเน้นย้ำว่า หากมีใครมาแอบอ้างชื่อไปเพื่อกระทำการใดๆ โดยมิชอบให้แจ้งมาที่ผมได้ทันที เพราะผมไม่มีนโยบายมอบให้ใครไปปฏิบัติหน้าที่แทนส่วนกรอบเวลาของการแก้ปัญหาทุจริตต่างๆ ที่เกิดขึ้นจะแล้วเสร็จได้เมื่อไหร่นั้นการทำงานทุกอย่างต้องยึดหลักความถูกต้องรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และเป็นธรรมประกอบกัน ทั้งนี้เรื่องการตรวจสอบเกี่ยวกับการทุจริตนั้น เป็นเรื่องที่จะใช้นโยบายหรือไปกำหนดรายละเอียดมากเกินไปไม่ได้เพราะจะมองว่าฝ่ายการเมืองเข้าไปยุ่งเกินไปแต่ยืนยันว่าเรื่องการทุจริตต่างๆ จะไม่เป็นมวยล้มต้มคนดูแน่นอน” นายจาตุรนต์ กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33340&Key=hotnews