เด็กไทย กับความสามารถในการแข่งขัน

18 กรกฎาคม 2556

ดร.เฉลิมพล ไวทยางกูร
อาจารย์ประจำ บัณฑิตวิทยาลัย ม.เกษมบัณฑิต /ผู้เชี่ยวชาญของ ศาลยุติธรรมด้านแปลและล่ามภาษาอังกฤษ

ได้มีโอกาสเข้าร่วมการประชุมสัมมนาทางวิชาการระหว่างประเทศประจำปี 2556 จัดโดยสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ในหัวข้อการศึกษาเพื่ออนาคตประเทศไทย ระหว่างวันที่ 23-25 มิถุนายน 2556 พบว่าเป็นงานสัมมนาที่ได้รับความสนใจจากบุคคลในสังคมที่มิใช่เพียงแค่ครูและบุคลากรของกระทรวงศึกษาเท่านั้น บางหัวข้อแน่นขนาดไม่มีที่ยืน ถือได้ว่าเป็นความสำเร็จของการจัดประชุมสัมมนางานหนึ่งทีเดียว การสัมมนามีความหลากหลาย จึงขอเสนอบางเรื่องบางประเด็นที่มีความประทับใจมาก

อย่างแรกก็คืองานนี้เป็นงานสัมมนาที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก ได้พบว่าคุณครูและผู้บริหารโรงเรียนทั้งภาครัฐและเอกชนจำนวนมากที่เข้าประชุมได้ใช้โอกาสซักถามและแสดงความเห็นเป็นภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว ฟังแล้วก็ใจชื้นว่าใครกันนะที่ดูหมิ่นดูแคลนครูไทยไม่รู้ภาษาอังกฤษ เอาซะเลย งานนี้ตอบโจทย์ได้พอสมควร อีกประเด็นหนึ่งที่สนใจมากคือเรื่องนโยบายการศึกษาไทยในหัวข้อการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาไทย โดยมีนักวิชาการจาก UNESCO และ OECD ร่วมเสวนาด้วย เป็นอีกหัวข้อที่มีผู้สนใจล้นออกมานอกห้อง และผู้เข้าร่วมสัมมนาได้แสดงความไม่เห็นด้วยอย่างดุเดือดเผ็ดร้อนกับหลักสูตรการศึกษาไทยที่กำลังมีการปฏิรูปอีกครั้ง แทบจะเรียกได้ว่าเหล่าวิทยากรทั้งไทยทั้งฝรั่งที่ร่วมเสวนาแทบจะนั่งไม่ติดทีเดียว

ในการสัมมนาครั้งนี้ทางสภาการศึกษาได้แสดงตัวเลขสถิติและตัวชี้วัดทางการศึกษาของประเทศไทยในหลายรูปแบบเพื่อประกอบการพิจารณา อาทิ ผลการประเมิน PISA (Program for International Student Assessment) และผลการประเมินนานาชาติ TIMSS (Trend in International Mathematics and Science Study) ซึ่งจากผลของการประเมินในปี 2009 ของ PISA พบว่าเด็กไทยทำคะแนนได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศในกลุ่ม OECD (Organization for Economic Cooperation and Development) ในทุกกลุ่มสาระ ไม่ว่าจะเป็นด้านการอ่าน ด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ และด้านทักษะที่ต้องใช้ในกระบวนการเรียนรู้ จึงทำให้เกิดความคิดที่จะปฏิรูปหรือพัฒนาหลักสูตรการศึกษาไทยอีกครั้ง

มีคำถามว่าการพัฒนาการศึกษาควรเริ่มต้นที่ตรงไหนจึงจะเป็นการตั้งต้นที่ถูกต้อง เปรียบเสมือนการเริ่มกลัดกระดุมเม็ดแรกที่ถูกต้อง ก็มีโอกาสที่กระดุมเม็ดถัดๆ ไปจะถูกกลัดได้ถูกต้อง ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 ที่สหรัฐอเมริกา มีการแสดงความเห็นโต้แย้งกันไปมาระหว่างสองแนวคิดหลัก (Two School of Thoughts) ที่มีความเห็นที่แตกต่างกัน แนวคิดแรกมาจากนักการศึกษาหัวก้าวหน้าที่มีความเชื่อว่าเด็กนักเรียนควรจะได้รับอิสระในการแสดงความคิดเห็นและเรียนรู้ด้วยตัวเอง ครูผู้สอนควรทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยง (Mentor) ในการประคับประคองเด็กนักเรียนให้คิดและแสดงออกเท่านั้น นักการศึกษาจากรัฐทางตอนกลางและตอนเหนือของสหรัฐอเมริกาส่วนใหญ่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ โดยมีมหาวิทยาลัยมิชิแกน (University of Michigan) เป็นแกนนำ

แต่ในอีกแนวคิดหนึ่งเชื่อว่าเด็กนักเรียนควรจะถูกปลูกฝังจากครูผู้มีประสบการณ์ในการอบรมสั่งสอน ชี้แนะ และกำหนดกรอบระเบียบให้เด็กเดินตามกรอบของการเรียนรู้อย่างทุ่มเทจริงจัง แนวทางนี้ได้รับการสนับสนุนจากนักการศึกษาของรัฐทางใต้ โดยมี มหาวิทยาลัยอลาบามา (University of Alabama) เป็นแกนนำ ซึ่งเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบจะเห็นได้ว่ารัฐทางเหนือและทางตอนกลางมีความเจริญมากกว่ารัฐทางใต้อยู่มาก แต่สภาพสังคมและเศรษฐกิจของรัฐทางใต้ อาทิ มลรัฐอลาบามา อาร์คันซอส์ มิสซิสซิปปี้ เท็นเนสซี หลุยส์เซียน่า มีระดับความเจริญใกล้เคียงกับประเทศกำลังพัฒนามากกว่า

โดยผิวเผินจะคิดว่าแนวคิดที่มหาวิทยาลัยมิชิแกนเป็นแกนนำมีความก้าวหน้าและน่าเชื่อถือมากกว่ามหาวิทยาลัยอลาบามาอย่างมาก ฉะนั้น แนวความคิดของนักการศึกษาจากกลุ่มมิชิแกนจึงน่าจะเป็นแนวทางที่น่าสนใจมากกว่า และนักการศึกษาของสหรัฐอเมริกาส่วนใหญ่ก็เดินตามแนวความคิดของมิชิแกนมาอย่างยาวนานหลายสิบปี ผลก็คือเด็กอเมริกันในขณะนี้มีความสามารถในการแข่งขันทางด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ลดลงอย่างมากเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศกำลังพัฒนาใหม่ๆ ในขณะนั้น เช่น จีน เกาหลีใต้ ฮ่องกง สิงคโปร์

คำถามก็คือทำไมประเทศกำลังพัฒนาหรือเพิ่งได้รับการรับรองว่าเป็นประเทศพัฒนาแล้วใหม่ๆ เหล่านี้จึงสามารถยกระดับมีความสามารถในการแข่งขันได้อย่างรวดเร็วและก้าวทันประเทศที่พัฒนาแล้วได้ ทั้งๆ ที่ประเทศเหล่านี้เป็นที่ทราบกันว่ามีระบบระเบียบในการเรียนการสอนค่อนข้างเฉียบขาดและมีกรอบระเบียบที่เข้มงวด นักเรียนมีการแข่งขันกันเองที่สูงมาก ถึงขนาดที่มีข่าวนักเรียนที่ไม่ประสบความสำเร็จในการแข่งขันกระทำอัตตวินิบาตฆ่าตัวตายอยู่บ่อยๆ

ความสำเร็จในการแข่งขันโอลิมปิกวิชาการเป็นตัวชี้วัดหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าเด็กนักเรียนมัธยมจากจีน เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ฮ่องกง แม้กระทั่งไต้หวัน และญี่ปุ่น ที่มีวัฒนธรรมการเรียนการสอนที่เข้มงวดสามารถทำคะแนนได้สูงระดับสุดยอดอยู่เป็นประจำ แม้กระทั่งเด็กไทยที่เข้าร่วมการแข่งขันก็ทำคะแนนได้สูงอย่างชนิดไม่น้อยหน้าประเทศอื่นที่เข้าร่วมการแข่งขันมาตลอด จึงทำให้ชวนคิดว่าระบบการเรียนการสอนของประเทศเหล่านี้มีความคล้ายคลึงในเชิงวัฒนธรรมการถ่ายทอดและเรียนรู้จากผู้ใหญ่มาสู่เด็กในหลายชั่วอายุคน น่าจะมีสิ่งดีๆ อยู่มากกว่าสิ่งไม่ดี

แน่นอนว่าการเรียนรู้เมื่อเริ่มต้นอาจจะอยู่ในกรอบแนวความคิดของครูอาจารย์ที่สั่งสอนอบรมเป็นหลัก แต่เมื่อถึงจุดจุดหนึ่ง เด็กจะเริ่มแสวงหาสิ่งใหม่ๆ ที่อยู่นอกกรอบ มันเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ที่อยากรู้อยากเห็นอยากทดลองอยู่แล้ว และจากการที่มีพื้นฐานที่ถูกปลูกฝังให้มีความพยายามอดทนและมุ่งมั่นที่ได้รับการถ่ายทอดตั้งแต่เล็ก ย่อมทำให้เขามีความมานะพยายามมากกว่าเด็กที่ได้รับการศึกษาอย่างมีอิสรเสรีมาตั้งแต่ต้น ผลก็คือโอกาสที่เด็กที่มีวัฒนธรรมเรียนรู้ด้วยความอดทนก็ย่อมจะประสบความสำเร็จในการคิดค้นในเรื่องใหม่ๆ ต่อยอดจากที่ครูอาจารย์เคยสอนในชั้นเรียนได้เป็นอย่างดี

เคยได้คุยกับเพื่อนชาวต่างชาติที่มาจากประเทศกำลังพัฒนาด้วยกัน เช่น จากเกาหลีใต้ อินเดีย ไนจีเรีย เราค่อนข้างมีความเห็นในแนวทางเดียวกันว่า ในเมื่อวัฒนธรรมการเรียนรู้ของคนในสังคมเราไม่เหมือนคนในสังคมตะวันตก ทำไมเราจึงต้องเอาแนวทางการศึกษาของทางตะวันตกเป็นตัวตั้งที่จะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ในเมื่อเราก็มีวัฒนธรรมการเรียนรู้ของเราเองที่ต่อเนื่องมาช้านาน และไม่ว่าจะเป็นแนวทางเปิดกว้างให้อิสรเสรีแบบแนวความคิดของมหาวิทยาลัยมิชิแกน หรือแนวเคร่งครัดในกฎระเบียบเข้มงวดด้านการเรียนการสอนแบบมหาวิทยาลัยอลาบามา ในที่สุดก็จะไปบรรจบกัน เพียงแต่เราต่างเดินอยู่บนเส้นทางที่ต่างกันเมื่อเริ่มต้นเท่านั้น

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33407&Key=hotnews