กยศ.ปรับเงื่อนไขจูงใจลูกหนี้ชำระคืนเงินกู้

28 สิงหาคม 2556

มติบอร์ด กยศ.สั่งแก้ปัญหาลูกหนี้ผิดนัด ห่วงสภาพคล่องทางการเงินไม่เพียงพอสำหรับปล่อยกูให้กับนักเรียน นักศึกษาในรุ่นถัดไป…

เมื่อวันที่ 27 ส.ค.2556 นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการ (บอร์ด) กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมบอร์ดมีมติให้ฝ่ายบริหารเข้าไปแก้ไขปัญหานักเรียนและนักศึกษาที่ กู้เงินยืมเงิน กยศ. แต่ผิดนัดชำระหนี้ ทำให้มียอดหนี้ค้างกว่า 1.485 ล้านราย เป็นวงเงินกู้ 136,237 ล้านบาท จากจำนวนผู้กู้ทั้งหมด 2.15 ล้านราย วงเงินกู้ 194,711 ล้านบาท ถือเป็นยอดเบี้ยวหนี้เกือบ 80% ทำให้ กยศ.อาจต้องประสบกับปัญหาสภาพคล่องในอนาคต เพราะลูกหนี้ที่กู้ยืมเงิน กยศ. ไม่ผ่อนชำระคืน ในขณะที่ กยศ. ต้องปล่อยกู้ให้แก่นักเรียนและนักศึกษารายเก่าจนกว่าสำเร็จการศึกษา ส่วนนักศึกษาใหม่ที่จะในระดับอุดมศึกษาก็จะมีจำนวนรายลดน้อยไปด้วยเพราะ กยศ.ไม่มีสภาพคล่องเพียงพอที่จะปล่อยกู้ให้แก่ผู้กู้ได้ครบทุกราย

ทั้งนี้ ในเบื้องต้น บอร์ด กยศ.เสนอให้ กยศ.ไปปรับแนวทางการทำงาน เพื่อจูงใจให้ผู้กู้ที่มีเจตนาเบี้ยวหนี้หรือไม่ เบี้ยวหนี้ก็ตาม แต่มีภาระหนี้อื่น ๆ ให้นำเงินที่เหลือใช้มาชำระหนี้กับ กยศ.ก่อนเป็นอันดับแรก กรณีที่ผู้กู้ที่ไม่เคยมีประวัติติดหนี้ค้างชำระเลย หากนำเงินมาชำระหนี้ที่เหลือทั้งหมด หรือปิดบัญชี จะได้รับส่วนลดพิเศษ 3.5% จากยอดเงินคงเหลือ ส่วนกรณีที่ ผู้กู้มีหนี้ค้างชำระ นำเงินมาชำระหนี้ทั้งหมด หรือปิดบัญชี จะได้รับการพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยปรับลง 50% ซึ่งปัจจุบัน กยศ.คิดอัตราดอกเบี้ยเพียง 1% ต่อปี สำหรับลูกหนี้ปกติ แต่หากเป็นผู้หนี้ผิดนัดชำระหนี้ เกิน 12 เดือนจะคิดเบี้ยปรับ 18% ต่อปี

ส่วนกรณีที่ผู้กู้มีเงินไม่เพียงพอ แต่ขอกลับมาเป็นลูกหนี้ที่ดี กยศ.จะงดคิดอัตราดอกเบี้ยปรับตั้งแต่งวดที่ค้างชำระหนี้ เช่น ในปีนี้ ครบกำหนดชำระหนี้ วันที่ 5 ก.ค.จนถึงปัจจุบัน ค้างชำระหนี้มาเป็นระยะเวลา 1 เดือน ก็จะไม่ถูกเรียกเบี้ยปรับในอัตราดอกเบี้ย 12% กรณีค้างไม่เกิน 12 เดือน ส่วนกรณีที่ค้างเกินกว่า 12 เดือนจะเสียดอกเบี้ยขึ้นเป็น 18% โดยมาตรการนี้ จะเปิดให้ผู้กู้สมัครใจเข้าแก้ไขหนี้กับ กยศ.ตั้งแต่เดือนพ.ย.นี้ จนถึงเดือน มี.ค.ปี 57 ส่วนการขึ้นบัญชีดำ หรือแบล็กลิสต์กับเครดิตบูโรนั้น ยังอยู่ระหว่างการแก้ไขกฎหมาย ซึ่งกรณีนี้ หากผู้กู้ไม่ชำระหนี้เกิน 5 ปี ถึงจะขึ้นแบล็กลิสต์ ซึ่งถือเป็นมาตรการที่เข้มงวด เพราะผู้กู้จะไม่สามารถทำธุรกรรมทางเงินกับสถาบันการเงินใด ๆ ได้.

ที่มา: http://www.thairath.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33882&Key=hotnews