กองทุน กรอ.เปิดยื่นกู้เรียน 1 แสนทุนเงื่อนไขไม่ดูรายได้ครอบครัว-ปลอดหนี้ 2ปี/ ง.ด. 1.6 หมื่นชำระคืน

14 พฤษภาคม 2556

นายอภิชาติ จีระวุฒิ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) ฐานะประธานคณะอนุกรรมการบัญชีจ่ายที่สอง กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา มีอยู่ 2 กองทุนคือ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) และกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) ซึ่งนิสิตนักศึกษาสามารถเลือกกู้จากกองทุนใดก็ได้ แต่วันนี้ก็ยังคงมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนอยู่ว่า ถ้าเคยกู้ กยศ. มาก่อนตอนเรียนระดับมัธยมศึกษา เมื่อมาเรียนระดับอุดมศึกษาแล้วต้องกู้ กยศ. ต่อเท่านั้น ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด เพราะนิสิตนักศึกษาสามารถโยกมากู้ กรอ. ได้ โดยจะมีอัตราดอกเบี้ยการกู้ยืมเท่ากันทั้ง 2 กองทุน และหลักเกณฑ์การพิจารณาอนุมัติการกู้ ก็ใช้หลักเกณฑ์เดียวกัน คือสาขาที่เป็นสาขาขาดแคลนของประเทศ โดยเน้นสาขาทางวิทยาศาสตร์ก่อน แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้ทิ้งสาขาสังคมศาสตร์เพราะมีหลายสาขาที่ยังจัดให้อยู่ โดยนิสิตนักศึกษาที่จะขอยื่นกู้สามารถดูรายละเอียดผ่านระบบ e-Studentloan ทางเว็บไซต์ www.studentloan.or.th

เลขาธิการ กกอ. กล่าวต่อไบว่าสำหรับประเด็นหลักที่แตกต่างกันระหว่าง 2 กองทุน คือ กยศ. จะมีการกำหนดรายได้ของครอบครัวไม่เกิน 200,000 บาทต่อปีขณะที่ กรอ. ไม่ดูรายได้ของครอบครัวส่วนการชำระคืน กรอ. จะใช้คืนก็ต่อเมื่อมีเงินเดือนเกิน 1.6 หมื่นบาทต่อเดือนส่วน กยศ. จะมีระยะปลอดหนี้ 2 ปีหลังจบการศึกษาแต่จะไม่พูดถึงรายได้ เพราะฉะนั้น หลังจากการศึกษา 2 ปีก็ต้องจ่ายแต่ถ้ายังไม่มีงานก็ต้องติดต่อเพื่อขอผ่อนผัน ซึ่งทั้งสองกองทุนต่างก็มีจุดเด่นที่นักศึกษาสามารถเลือกกู้ได้

“อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก กรอ. เพิ่งเปิดให้นักศึกษากู้ได้ไม่นาน นักศึกษาจึงอาจยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนอยู่ ทำให้โควตาเหลือเยอะมาก อย่างภาคเรียนที่2 ของปีการศึกษา 2555 รัฐบาลให้เป้าหมายมา 70,000 คน แต่มีคนมากู้เพียง17,000 คน สำหรับปีการศึกษา 2556 มีเป้าหมายมาถึง 100,000 คน จึงอยากเชิญชวนให้นักศึกษามายื่นกู้ กรอ.ได้ และตอนนี้ผลแอดมิสชั่นส์ก็ออกมาแล้ว นิสิตนักศึกษาที่ต้องการกู้เงินเรียนควรเตรียมตัวไปยื่นขอกู้เงินได้แล้วโดยเข้าไปศึกษารายละเอียดผ่านระบบe-Studentloan” นายอภิชาติ กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32682&Key=hotnews