3 กันยายน 2556
จากกรณีที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) ได้สั่งการในที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เมื่อเร็วๆ นี้ ดำเนินการให้อดีตครูผู้ช่วยที่ถูกให้ออกจากราชการ เนื่องจากปัญหาในการทุจริตสอบคัดเลือกบุคคลเพื่อเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ในตำแหน่งครูผู้ช่วย กรณีมีความจำเป็น หรือเหตุพิเศษ ว12 โดยที่ยังไม่มีการสอบสวน และไม่ได้รับโอกาสชี้แจง ให้เขตพื้นที่การศึกษาเรียกให้กลับเข้ารับราชการ เพื่อตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง และได้รับโอกาสชี้แจง เพื่อป้องกันการฟ้องร้อง ส่วนกรณีที่ให้ออกโดยดำเนินการตามกฎหมายอย่างครบถ้วนแล้ว เขตพื้นที่ฯไม่ต้องทำอะไร ส่วนกรณีที่เขตพื้นที่ฯยังไม่ได้สอบสวนข้อเท็จจริง หรือยังไม่ได้ดำเนินการ ให้ไปแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาได้มาชี้แจง เมื่อได้ผลสรุปอย่างไรก็ให้ดำเนินการตามนั้น
เมื่อวันที่ 2 กันยายน นายสมเกียรติ บุญรอด กรรมการ ก.ค.ศ.และคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) วิสามัญเกี่ยวกับการอุทธรณ์และการร้องทุกข์ เปิดเผยว่า ในการประชุม ก.ค.ศ.ที่ผ่านมา ได้พิจารณากรณีการสั่งให้ครูผู้ช่วย 344 ราย ตามรายชื่อของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ออกจากราชการ ซึ่งพบว่าการสั่งให้ออกจากราชการมีความลักลั่นกัน เพราะบางเขตพื้นที่ฯสั่งให้ออกจากราชการเลยโดยไม่ได้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง แต่บางเขตพื้นที่ฯตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง เรียกครูผู้ช่วยมาชี้แจงตาม พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางการปกครอง มาตรา 30 ก่อน ถึงสั่งให้ออกจากราชการ ซึ่งขณะนี้มีอดีตครูผู้ช่วยที่ถูกสั่งให้ออกจากราชการแล้วกว่า 100 คน หรือประมาณ 75 เขตพื้นที่ฯ จากทั้งหมด 119 เขตพื้นที่ฯ และคาดว่าเกินครึ่งถูกสั่งให้ออกจากราชการโดยไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอน ซึ่งคนกลุ่มนี้เมื่ออุทธรณ์มา อ.ก.ค.ศ.วิสามัญฯก็ต้องสั่งให้กลับไปรับราชการ และให้ดำเนินการให้ถูกต้องคือ ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง หากพบว่าผิดก็ให้ออกคำสั่งให้ออกจากราชการ โดยผู้อำนวยการสถานศึกษาที่มีอำนาจตามมาตรา 53
พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ส่วนการกลับเข้ามารับราชการนั้นผู้อำนวยการสถานศึกษาน่าจะเป็นผู้ออกคำสั่ง และต้องเสนอให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯพิจารณา
“การสั่งให้อดีตครูผู้ช่วยกลุ่มนี้เข้ารับราชการ มีการอภิปรายในที่ประชุม ก.ค.ศ.เช่นกันว่าจะเป็นมวยล้มต้มคนดูหรือไม่ ซึ่งส่วนตัวเห็นว่าไม่น่าห่วง เพราะหลักฐานต่างๆ จากดีเอสไอ และข้อมูลการวิเคราะห์คะแนนของคณะอนุกรรมการชุดที่นายชอบ ลีชอ เป็นประธาน ชัดเจนอยู่ เพียงแต่ทำให้ถูกขั้นตอนกระบวนการ โดยการตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง และให้เจ้าตัวมีโอกาสมาชี้แจง” นายสมเกียรติกล่าว
นายสานิตย์ พลศรี อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 1 กล่าวว่า เรื่องนี้เคยเสนอไว้ตั้งแต่แรกว่าควรตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงก่อนที่จะให้ครูผู้ช่วยออกจากราชการ จึงเห็นด้วยที่จะให้อดีตครูผู้ช่วยกลุ่มที่ถูกให้ออกจากราชการโดยที่ไม่มีการตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงกลับมารับราชการ แล้วตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ซึ่งตามขั้นตอนนั้นผู้อำนวยการสถานศึกษาที่ลงนามคำสั่งให้ครูผู้ช่วยออกจากราชการสามารถเพิกถอนคำสั่งได้ ทั้งนี้ การให้กลุ่มอดีตครูผู้ช่วยออกจากราชการกลับมารับราชการใหม่ ดูแล้วไม่ยุ่งยาก เพราะหากไม่ดำเนินการเช่นนี้คนที่จะโดนฟ้องก่อนคือผู้อำนวยการโรงเรียน ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่ฯ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ และ ก.ค.ศ.
ด้านนายสุบรรณ ประทุมทอง ผู้แทนครูและบุคลากรทางการศึกษา ในคณะกรรมการ ก.ค.ศ.กล่าวว่า กรณีที่สั่งให้ออกจากราชการโดยไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอน หากมีการร้องทุกข์และอุทธรณ์ และฟ้องศาลปกครอง คนกลุ่มนี้ต้องถูกสั่งให้กลับเข้ารับราชการอยู่ดี ดังนั้น การให้อดีตครูผู้ช่วยกลับเข้ารับราชการ และให้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง จึงเป็นแนวทางที่ถูกต้อง ทั้งนี้ ในการออกคำสั่งกลับเข้ารับราชการ ผู้มีอำนาจตามมาตรา 53 สามารถลงนามคำสั่ง และนำเข้าสู่การพิจารณาของ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯพิจารณาอนุมัติ
รายงานข่าวแจ้งว่า ในวันที่ 12 กันยายนนี้ ที่โรงแรมริชมอนด์ จ.นนทบุรี สำนักงาน ก.ค.ศ.จะประชุมชี้แจงกับเขตพื้นที่ฯ 119 เขต ในประเด็นการให้อดีตครูผู้ช่วยที่ถูกสั่งให้ออกจากราชการโดยไม่ถูกต้องตาม พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติฯ รวมทั้งจะชี้แจงกับเขตพื้นที่ฯที่อยู่ระหว่างการพิจารณาให้ครูผู้ช่วยออกจากราชการด้วย
ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน
http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33963&Key=hotnews