นักการศึกษาชี้ “มัธยมสายอาชีพ” ต้องเป็นของจริง ไม่ใช่เสมือนจริง

8 ตุลาคม 2556

ศ.นพ.ประเวศ วะสี เปิดเผยถึง การเปิดหลักสูตร “มัธยมสายอาชีพ” ว่า การที่โรงเรียนมีการเปิดการเรียนการสอนมัธยมสายอาชีพถือเป็นเรื่องดีที่จะทำให้เด็กมีอาชีพติดตัว หลุดพ้นจากการจัดการศึกษาที่จำเจกว่า 16 ปี ซึ่งเสียเวลาไปมาก และระบบการศึกษาของไทยมีคุณภาพต่ำ วิชาการก็อ่อน ดังนั้น การศึกษาถือเป็นการเอาชีวิตเป็นตัวประกัน เพราะเรียนจบทุกคนคาดหวังต้องมีงานทำ ซึ่งหากเพิ่มการศึกษาสัมมาชีพ เศรษฐกิจที่ตกต่ำก็จะดีขึ้น ตนเห็นว่า เมื่อการเรียนการสอนเปิดโอกาสให้เด็กออกไปเรียนรู้นอกโรงเรียนที่มีครูจำนวนมาจากการประกอบอาชีพ ก็จะช่วยให้เด็กเข้าใจชีวิตการทำงานได้มากขึ้น เพราะที่ผ่านมาสังคมให้ความสำคัญกับการศึกษา เคารพแต่คนชั้นสูง มองข้ามชาวบ้านที่ประกอบอาชีพ ถูกวางยาจากชนชั้นนำที่รังเกียจการทำงานหนัก สังคมไทยจึงขาดความเป็นธรรม เกิดการเหลื่อมล้ำทางสังคมขึ้น ทำให้มีการสร้างค่านิยมให้รังเกียจการทำงาน ดังสุภาษิตที่ว่า รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา แต่คนที่ขี้เกียจทำงานหนักจะขอให้ได้เป็นเจ้าคนนายคน นั่งกินนอนกิน ทำให้เด็กในปัจจุบันเกิดความลำบาก เพราะไม่มีการส่งเสริมการทำงาน จึงอยากทิ้งท้ายให้เยาวชนยึดคำที่ว่า ชีวิตที่ลำบากเป็นชีวิตที่เจริญ

ศ.กิตติคุณสุมน อมรวิวัฒน์ กล่าวว่า รูปแบบการเรียนสายอาชีพมีแม่แต่ครั้งอดีต ซึ่งเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกับแต่ละคน ดังเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีได้เขียนถึงเรื่องศึกษาพฤกษ์ คือต้นไม้แห่งการศึกษาชี้ให้เห็นความสำคัญของการศึกษาอย่างแท้จริง ซึ่งสมัยนั้นมีการเรียกการเรียนตามหลักสูตรว่าสามัญศึกษา ส่วนวิชาอาชีพเรียกว่าวิสามัญศึกษา เปรียบเทียบสามัญศึกษาเหมือนข้าว ส่วนวิสามัญเหมือนกับข้าว ทำให้เด็กกลายเป็นคนหัวโตแต่แขนขาลีบเพราะกินแต่ข้าวไม่มีกับข้าวไปประกอบ ฉะนั้น ผู้บริหาร ภาคี เครือข่ายที่จัดการศึกษาเน้นด้านอาชีวะ เตรียมใน 3 เรื่องคือ เตรียมใจ เตรียมตัว และเตรียมฝีมืออย่างหนัก และต้องนำเรื่องทักษะชีวิตเข้ามาสอนควบคู่กันไปด้วย เด็กต้องเรียนจากประสบการณ์จริง ทุกอย่างต้องเป็นของจริง ไม่ใช่เสมือนจริง ที่หาความจริงไม่ได้สักอย่าง จึงขอให้คิดถึงอนาคตของเด็กเป็นสิ่งสำคัญ เด็กต้องได้ดี ดังนั้น การปฏิรูปการศึกษาที่แท้จริงต้องกระจายอำนาจลงท้องถิ่น ประกาศเป็นวาระแห่งชาติเชิงพื้นที่ออกไป เพราะถ้าไม่ประกาศจะทำได้ยากมาก

ที่มา: http://www.naewna.com

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34382&Key=hotnews