12 มีนาคม 2556
เมธี ครองแก้ว
เมื่อวันที่ 27 ก.พ. ที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์มติชนรายวันได้รายงานข่าวเกี่ยวกับการประชุมของคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ก.พ.อ.) ซิ่งมีมติให้แก้ไขประกาศเรื่องหลักเกณฑ์และวิธีพิจารณาตำแหน่งทางวิชาการของอาจารย์ในมหาวิทยาลัย โดยกำหนดให้เสนอผลงานทางวิชาการอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว คือจะเป็นตำราก็ได้ งานวิจัยก็ได้ หรือผลงานวิชาการในลักษณะอื่นก็ได้ ซึ่งแต่ก่อนบังคับให้อาจารย์ต้องเขียนตำราก่อนที่จะทำงานวิจัย และต้องส่งงานทั้งสองประเภท หากส่งงานวิจัยอย่างเดียวจะถูกกีดกันให้ได้ตำแหน่งด้วยความยากลำบาก
ข่าวนี้ต้องถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับอาจารย์ในมหาวิทยาลัย และเป็นการสร้างความเป็นธรรมให้เกิดในระบบการพิจารณาตำแหน่งทางวิชาการของอาจารย์ ผู้เขียนจึงอยากขอถือโอกาสนี้มีส่วนร่วมที่จะเล่าถึงประสบการณ์ความขมขื่นของตนเอง เพื่อสนับสนุนความเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้
ผู้เขียนได้รับแต่งตั้งให้เป็นศาสตราจารย์ทางเศรษฐศาสตร์ เมื่อปี 2545 หลังจากที่เป็นรองศาสตราจารย์มาเกือบ 20 ปี เรื่องนี้ไม่ได้โทษระบบ เพราะระบบเปิดช่องให้ขอตำแหน่งศาสตราจารย์ได้ภายหลังได้เป็นรองศาสตราจารย์แล้วเพียง 2 ปี เท่านั้น ที่ไม่ได้ขอ โดยให้เวลาล่วงเลยไปเป็น สิบๆ ปี อาจเป็นเพราะว่า ผู้เขียนไม่เดือดร้อนกับการเป็น รศ. นั้นประการหนึ่ง
แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ ผู้เขียนมีความตั้งใจว่าอยากจะทำวิจัยและสร้างผลงานให้ได้มากที่สุดเสียก่อนจึงจะขอ ศ. และเมื่อขอแล้วจะต้องได้ทันที
แต่แล้วผู้เขียนก็ต้องผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง เมื่อทำเรื่องขอตำแหน่งศาสตราจารย์ไปที่ทบวงมหาวิทยาลัยเมื่อปี พ.ศ.2540 ภายหลังที่ได้รับเลือกให้เป็นทั้งนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขาเศรษฐศาสตร์ (จากสภาวิจัยแห่งชาติ) และเมธีวิจัยอาวุโส สกว. (จากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย) ในปีก่อนหน้านี้ เพราะผลการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาผลงานที่ ทบวงฯ ตั้งขึ้นมา มีมติว่ายังไม่สมควรได้ตำแหน่งศาสตราจารย์ เพราะคุณภาพของผลงานยังไม่ถึงระดับที่จะเป็นศาสตราจารย์ได้
ผู้เขียนใช้เวลาอุทธรณ์อยู่ถึง 4 ปี กว่าจะได้ผลการพิจารณาในที่สุดว่าให้ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ทางเศรษฐศาสตร์ได้
อะไรคือสาเหตุแห่งความยุ่งยากในการขอตำแหน่งทางวิชาการในครั้งนี้?
ในประเทศไทยนั้นไม่เคยมีอาจารย์มหาวิทยาลัยคนไหนเลยที่ได้รางวัลนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ และเป็นเมธีวิจัยอาวุโสของ สกว. พร้อมๆ กันแล้วถูกปฏิเสธตำแหน่งศาสตราจารย์ เหมือนที่ผู้เขียนประสบมา เรื่องนี้จะโทษกรรมการผู้อ่านงานเพียงอย่างเดียวก็คงไม่ถูก คงต้องโทษระบบการพิจารณาด้วย เพราะออกแบบมาให้กรรมการต้องใช้ดุลพินิจส่วนตัวอย่างมากในการตัดสินใจ และผู้เขียนอาจต้องโทษตัวเองด้วย ที่ไม่ขอตำแหน่งศาสตราจารย์ด้วยวิธีปกติที่ชาวบ้านเขาทำกัน แต่ขอด้วยวิธีพิเศษซึ่งในอดีตไม่เคยมีใครขอเลย (ในสาขาเศรษฐศาสตร์) และเมื่อในที่สุดผู้เขียนได้เป็นศาสตราจารย์ด้วยวิธีพิเศษนี้ ก็เลยเป็นศาสตราจารย์ทางเศรษฐศาสตร์คนแรกที่ได้ตำแหน่งด้วยวิธีนี้
วิธีที่ว่านี้คืออย่างไร? ระเบียบของทบวงซึ่งใช้อยู่ในขณะนั้น กำหนดไว้ว่าอาจารย์ผู้ที่จะขอตำแหน่งศาสตราจารย์ต้องมีผลงานการสอนและงานทางวิชาการได้มาตรฐาน งานสอนนั้นไม่มีปัญหาอะไร เพราะส่วนใหญ่อาจารย์จะผ่านอยู่แล้ว จะมีปัญหาก็ที่งานทางวิชาการซึ่งมีอยู่สองส่วน คือส่วนที่เป็นตำรา และส่วนที่เป็นงานวิจัย (หรืองานอื่นๆ ซึ่งอาจทดแทนงานด้านนี้ได้) โดยปกติอาจารย์ส่วนใหญ่จะขอตำแหน่งศาสตราจารย์ด้วย วิธีที่ 1 คือ มีผลงานด้านตำราบวกกับงานวิจัย
หรือ วิธีที่ 2 ซึ่งเป็นวิธีพิเศษมีงานวิจัยแต่เพียงอย่างเดียว
ที่ว่าระบบออกแบบมาให้เป็นการเลือกปฏิบัติในทางลบต่อ วิธีที่ 2 ก็เพราะว่า ระเบียบทบวงกำหนดไว้ว่า กรรมการที่จะพิจารณาผลงานตาม วิธีที่ 1 จะมีแค่ 3 คน โดยคุณภาพของผลงานวิจัยตามวิธีที่ 1 นี้ จะต้องได้ “ดีมาก” จึงจะพิจารณาให้ผ่านได้ เพราะฉะนั้นหากกรรมการเสียงข้างมาก (คือ 2 คน ใน 3 คน) ให้ผ่าน ก็จะผ่าน แต่ถ้าผู้ขอตำแหน่งตาม วิธีที่ 2 คือ มีผลงานทางด้านวิจัยอย่างเดียว ระเบียบของทบวงฯกำหนดให้มีกรรมการพิจารณาถึง 5 คน และคุณภาพของผลงานวิจัยจะต้องได้ระดับ “ดีเด่น” จาก 4 ใน 5 คน จึงจะผ่าน จึงไม่แปลกใจเลยว่า วิธีที่ 2 คือวิธี “ปราบเซียน” ซึ่งน้อยคนนักจะเข้ามาใช้วิธีนี้
แล้วทำไมผู้เขียนถึงเข้ามาใช้วิธีนี้?
ในประการแรกนั้น ผู้เขียนไม่เคยเห็นด้วยเลยกับระบบของทบวง ที่ให้อาจารย์เขียนตำราก่อนทำงานวิจัย เมื่อ 30 ปีก่อน การจะอ้างว่าตำราภาษาไทยที่ใช้อยู่ในมหาวิทยาลัยไม่ค่อยมี จึงบังคับให้อาจารย์เขียนตำราก็พอฟังได้ แต่ก็มีผลเสีย เพราะตำราส่วนใหญ่ที่เขียนโดย อาจารย์หนุ่มๆ สาวๆ ล้วนแล้วแต่ไปลอกตำราฝรั่งเป็นส่วนใหญ่ ที่จะเขียนจากประสบการณ์ ความสามารถทางวิชาการ ซึ่งได้จากงานวิจัยของตัวเองและการทำงานทางด้านวิชาการมาเป็นเวลานานมีน้อยมาก (เพราะเพิ่งจะเข้ามามีอาชีพเป็นนักวิชาการ/อาจารย์)
ยิ่งในปัจจุบัน 30 ปีให้หลัง การบังคับให้อาจารย์ต้องเขียนตำราก่อนเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะยอมรับได้อีกแล้ว เพราะตำราที่เป็นภาษาอังกฤษที่นักศึกษาไทยควรจะเรียนรู้ให้มากขึ้นมีอยู่มากมาย และควรให้นักศึกษาไทยใช้มากขึ้นเพื่อความรู้ภาษาอังกฤษจะได้แตกฉานกว่านี้ และหากจะให้มีตำราภาษาไทย ก็ให้อาจารย์ได้ทำวิจัยสร้างชื่อเสียง ความชำนาญให้ตัวเองสักระยะหนึ่งก่อนแล้วค่อยเขียนก็ได้ จะได้ผลงานตำราที่ดีกว่าเมื่อตอนเพิ่งจบใหม่ๆ ด้วยซ้ำ
เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าภายใต้แนวคิดความเป็นเลิศทางวิชาการของอาจารย์ จะต้องให้ทำวิจัยก่อน และเมื่อวิจัยแล้วต้องเผยแพร่ด้วย ความสามารถทางวิชาการของอาจารย์จะวัดได้โดยผลงานทางวิชาการที่ได้เผยแพร่ออกไปในระดับชาติหรือนานาชาติ แล้วมีผู้เอาไปอ้างอิงหรือใช้ประโยชน์ต่อ
ด้วยเหตุนี้เองผู้เขียนจึงได้ทุ่มเททำงานวิจัยอย่างเต็มที่ตลอดเวลา 20 ปี นับจากจบปริญญาเอกมา งานวิจัยหลายชิ้นเป็นงานบุกเบิก ได้รับรางวัลและมีการตีพิมพ์และอ้างอิงอยู่เป็นอัน มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานทางด้านความยากจนและการกระจายรายได้ เมื่อตอนเอาผลงานเกือบ 50 ชิ้น ไปส่งที่ทบวง เมื่อปี 2540 ต้องใช้รถเข็นเข็นไป เพราะมีหลายกล่อง แต่ในการพิจารณาในรอบแรก ไม่มีแม้แต่ชิ้นเดียวที่กรรมการให้ “ดีเด่น” (รวมทั้งงานที่เป็นส่วนหนึ่งของการได้ รับรางวัลนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติด้วย) เพราะ ฉะนั้นผู้เขียนจึง “สอบตก” ไม่เป็นท่า แต่ก็ยังนับว่าโชคดีที่การอุทธรณ์ของผู้เขียนได้ผล เพราะมีการตั้งคณะกรรมการอ่านงานใหม่หลายชุด ซึ่งรวมถึงการต้องมีผู้อ่านจากต่างประเทศด้วย
และในที่สุดก็มีงานที่ “ดีเด่น” ทำให้สอบผ่านมาได้
อุทาหรณ์ประการหนึ่งของการประเมินผลแล้วไม่ผ่านก็คือว่า กรรมการจะต้องอ่าน งานทุกชิ้นที่ไม่ผ่าน แล้วให้เหตุผลว่าทำไมจึงไม่ผ่าน มิฉะนั้นแล้วอาจถูกฟ้องหรือกล่าวหาได้ว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ตามมาตรา 157 ของประมวลกฎหมายอาญาหากกรรมการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ
เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อผู้เขียนเสนอให้คณะกรรมการพิจารณาผลงานให้ใช้ดัชนีการอ้างอิง (Citation Index) ของผู้เขียน (ซึ่งต้องไปหามาจากห้องสมุดในต่างประเทศ เพราะเมืองไทยตอนนั้นข้อมูลนี้ยังไม่มี) แต่ก็ได้รับการปฏิเสธว่าไม่มีระเบียบให้ทำเช่นนั้นได้ แต่ในเวลาต่อมา การใช้ดัชนีอ้างอิงนี้ ทางทบวงกลับนำมาใช้ในกรณี ศ.ระดับ 10 จะขอเลื่อนเป็น ศ.ระดับ 11 แสดงถึงความไม่เป็นธรรมในระบบและความไม่คงเส้นคงวาเป็นอย่างยิ่ง
ในหลายปีที่ผ่านมา ผู้เขียนได้ทราบว่านักเศรษฐศาสตร์ไทยหลายท่าน อาทิ ดร.ปราณี ทินกร, ดร.มิ่งสรรพ์ ขาวสะอาด, ดร.ดิเรก ปัทมสิริวัฒน์, และ ดร.ตีรณ พงศ์มฆพัฒน์ ได้ตำแหน่งศาสตราจารย์ ด้วยความสามารถในทางวิจัยเป็นหลัก (ถึงแม้ว่าบางท่านยังต้องส่งผลงานตำราด้วยก็ตาม) ผู้เขียนขออนุญาตเอ่ยชื่อท่านเพื่อเป็นเกียรติกับท่านว่าเป็นผู้มีความสามารถในทางวิชาการอย่างแท้จริง
เพราะฉะนั้น การแก้ไขระเบียบให้ใช้งานอย่างเดียวอะไรก็ได้ เป็นการยกเลิกการกีดกันหรือเลือกปฏิบัติ (discriminate) ต่องานวิจัย และสิ่งซึ่งอาจเพิ่มเติมได้อีกก็คือ ว่าการประเมินคุณภาพงานวิจัยนั้นให้สามารถใช้การยอมรับในวงวิชาการได้โดยดูจากดัชนีการอ้างอิงตามที่กล่าวถึงแล้วข้างต้นในทุกตำแหน่งทางวิชาการ (จะใช้มากหรือน้อยแล้วแต่จะตกลงกัน)
อันที่จริง เป็นหน้าที่ของผู้บริหารมหาวิทยาลัยทุกคน จะต้องทำทุกวิถีทางที่จะให้อาจารย์ในมหาวิทยาลัยมีความเป็นเลิศทางวิชาการสูงสุด และทำงานให้แก่มหาวิทยาลัยอย่างเต็มที่ โดยอำนวยความสะดวกทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์หรือโอกาสในทางวิชาการ เพื่อให้อาจารย์ทุกคนเป็นเช่นนั้นได้ อันที่จริงแล้วอาจถือว่าเป็นหน้าที่ของมหาวิทยาลัยโดยตรงด้วยซ้ำที่จะคอยติดตามงานของอาจารย์ของตน โดยที่เจ้าตัวอาจไม่ต้องขอตำแหน่งทางวิชาการด้วยตัวเองก็ได้ เพราะทางมหาวิทยาลัยติดตามและประเมินผลงานอยู่แล้ว เมื่อเห็นว่าครบถ้วนเหมาะสมก็พิจารณาให้ไปเลย
วิธีนี้นอกจากจะรักษาอาจารย์ฝีมือดีๆ ให้อยู่กับมหาวิทยาลัยได้นานๆ แล้วยังเป็นการสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในแวดวงวิชาการอีกด้วย
ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน
http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32015&Key=hotnews

