16 พฤษภาคม 2556
ศธ.-เครือข่าย รร.ขนาดเล็ก-รร.ทางเลือก ได้ทางออกตั้งกรรมการร่วมราชการ และ ปชช. พัฒนา รร.ขนาดเล็กและทางเลือกโฮมสคูล ชี้หากจะยุบโรงเรียนใดต้องฟังเสียงส่วนใหญ่เป็นหลัก พร้อมออกตัวแค่ให้ สพฐ.ไปสำรวจทำแผนพัฒนาไม่ยุบหรือควบรวมทันที ด้านตัวแทนผู้ปกครองซัดข่าวยุบทำป่วน จี้พัฒนา รร.ประกันคุณภาพเด็ก ฉะเขตฯละเลย-ครูเงินเดือนสูงแต่อู้สอน ขณะที่ “ชินวรณ์”โดดค้านสุดตัว อ้างไม่มีมาตรการรองรับวอนรบ.ทบทวน
ที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เมื่อวันที่ 15 พ.ค.56 สมาคมสภาการศึกษาทางเลือกไทยและตัวแทนเครือข่ายโรงเรียน ชุมชน (โรงเรียนขนาดเล็ก) ทั่วประเทศ ได้เข้าพบ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ และนายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เพื่อหารือถึงแนวทางแก้ไขปัญหาโรงเรียนขนาดเล็ก และได้มีการแถลงข่าวร่วมกัน โดยนายพงศ์เทพ กล่าวว่า จากการหารือและพูดคุยกัน มีโรงเรียนขนาดเล็กหลายแห่งที่ได้รับความร่วมมือจากชุมชนและจัดการศึกษาได้ดี ขณะเดียวกันก็มีการสะท้อนให้เห็นปัญหาของโรงเรียนขนาดเล็ก คือการขาดผู้บริหาร และการขาดครู ซึ่งทำให้โรงเรียนบางแห่งมีปัญหาเรื่องคุณภาพการศึกษา อย่างไรก็ตามทั้งหมดที่มาพบกันวันนี้ ต่างมีเป้าหมายเดียวกันคือ การจัดการศึกษาให้เป็นประโยชน์กับเด็ก ซึ่งจะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลปัญหาและสนับสนุนแนวทางในการพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็ก การศึกษาทางเลือก และการศึกษาแบบบ้านเรียน (โฮมสคูล)
“การที่ สพฐ.สั่งให้เขตพื้นที่ฯ ไปทำแผนพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็กนั้น ไม่ได้หมายความว่าทำเสร็จแล้วจะไปยุบรวม หรือควบรวมทันที เพราะที่สำคัญที่สุดคือต้องรับฟังความคิดเห็นของชุมชนว่ามีความคิดเห็นอย่างไร หากชุมชนไม่ให้ยุบก็ต้องส่งเสริมให้เขาอยู่ได้”
นายชัชวาล ทองดีเลิศ เลขาธิการสมาคมสภาการศึกษาทางเลือกไทย กล่าวว่า ที่จริงแล้วการจัดการศึกษาไม่ใช่เป็นบทบาทของ ศธ.แต่เพียงฝ่ายเดียว ซึ่งจะต้องเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม วันนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ทั้งนี้ในทางปฏิบัติโรงเรียนขนาดเล็กมีชุมชน มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีภาคภาคธุรกิจเอกชน วัด มาช่วยสนับสนุนอยู่แล้วดังนั้นการแก้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กต้องแก้ตรงจุดคือการมีส่วนร่วมของหลายฝ่าย ซึ่งสมาคมสภาการศึกษาทางเลือกไทย มีมาตรา 12 ชัดเจนอยู่แล้ว คือให้สิทธิพ่อ แม่ บุคคล สถาบันศาสนา สถานประกอบการ ชุมชน เอกชน จัดการศึกษาแต่ที่ผ่านมายังมีอุปสรรค ดังนั้นหากมีคณะกรรมการหลายภาคส่วนมามีส่วนร่วมจะเป็นทางออกที่สำคัญเพื่อให้ทุกฝ่ายได้มีเวทีพูดคุยกัน
ด้านตัวแทนผู้ปกครองโรงเรียนขนาดเล็ก กล่าวว่า ข่าวการยุบโรงเรียนขนาดเล็ก สร้างความรู้สึกปั่นป่วน เพราะไม่รู้ว่าจะส่งลูกไปเรียนที่ไหน เพราะชุมชนหาผ้าป่ามาพัฒนาโรงเรียนเอง ตอนนี้ไม่ได้มองว่าจะยุบโรงเรียนแล้ว แต่มองว่าจะพัฒนาโรงเรียนให้มีคุณภาพอย่างไรเขตพื้นที่ฯ ก็ไม่สนใจที่จะเข้ามาดูแลปล่อยปละละเลย ชุมชนเคยทำแผนพัฒนาโรงเรียนไปยังเขตพื้นที่ฯ ก็ไม่มีการตอบรับ ส่งผู้บริหารมาร่วมกันทำแล้วก็ย้ายผู้บริหารไป ครูก็ทำงานเช้าชามเย็นชามแล้วก็หายไป อย่างนี้นักเรียนจะมีคุณภาพ ได้อย่างไร ซึ่ง ศธ.เองก็ขึ้นเงินเดือนให้กับครู แต่คุณภาพการศึกษาของเด็กกลับ ตกต่ำลง
ที่รัฐสภา วันเดียวกัน นายชินวรณ์บุณยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) อดีตรมว.ศึกษาธิการกล่าวถึงกรณีที่ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ ให้นโยบายผู้อำนวยการเขตการศึกษาทั่วประเทศในการยุบโรงเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียนต่ำกว่า 60 คน ว่า กรณีดังกล่าวมีกระแสคัดค้าน อย่างต่อเนื่อง ซึ่งตนก็เป็นคนหนึ่งที่คัดค้านไม่เห็นด้วยที่จะยุบโรงเรียนขนาดเล็ก เพราะไม่มีมาตรการ รองรับที่ชัดเจนและไม่ตอบโจทย์ด้านการศึกษาอย่างแท้จริง เพราะตลอด 2 ปี ที่ผ่านมารัฐบาลยังไม่ให้ความสำคัญกับ เรื่องการศึกษา นอกจากนี้การยุบโรงเรียน ยังไม่ตรงกับหลักการของรัฐธรรมนูญมาตรา49 ที่บัญญัติไว้ว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาไม่น้อยกว่าสิบสองปี ที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย”
นายชินวรณ์ กล่าวต่อว่า ขอเรียกร้องให้กระทรวงศึกษาธิการหามีมาตรการชัดเจนในการรองรับการยุบโรงเรียนและขอให้เร่งส่งเสริมคุณภาพของโรงเรียน ทั้งมิติของครู ผู้บริหารโรงเรียนรวมทั้งการมีส่วนร่วมกับชุมชน และต้องการให้ภาคีเครือข่ายการศึกษาต่างๆ ร่วมมือกันติดตามเรื่องการยุบโรงเรียนของรัฐบาลชุดนี้ด้วย นอกจากนี้ตนได้ตั้งข้อสังเกตในการเตรียมจัดซื้อรถตู้เพื่อเตรียมการสำหรับรับส่งนักเรียน จำนวน 1,000 คัน คันละ 1.6 ล้านบาท
“อยากให้รัฐบาลทบทวนและนำเม็ดเงินดังกล่าวมาพัฒนาการศึกษาดีกว่าและแสวงหาพันธมิตรเครือข่ายรถ-รับส่งนักเรียนในแต่ละพื้นที่ดีกว่า อีกทั้งตนยังสงสัยว่าทำไมการยุบโรงเรียนถึงมาจัดซื้อรถตู้ได้ ซึ่งจะต้องติดตามต่อไป”
ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ
http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32716&Key=hotnews

