11 มิถุนายน 2556
เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน นายภาวิช ทองโรจน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวในการปาฐกถาเรื่อง “พลิกโฉมการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน หลากหลายเส้นทางสู่การปฏิรูปการศึกษาในศตวรรษที่ 21” ที่โรงแรมแกรนด์มิราเคิล กรุงเทพฯ ว่าการพัฒนาผู้เรียนที่แท้จริง สำคัญที่ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้ด้วยตัวเอง จึงจะเกิดความรู้ที่แท้จริง ไม่ใช่จากการสอนของครูอาจารย์เพียงฝ่ายเดียว ซึ่งจากงานวิจัยเรื่องการวัดความคงอยู่ของความรู้และความจำของตัวบุคคลต่อการเรียนและสอน สหรัฐอเมริกา พบว่า หากครูสอนด้วยการให้ผู้เรียนจดบันทึกเพียงอย่างเดียว ผู้เรียนจะคงความรู้ และจำได้เพียง 5% หากผู้เรียนมีส่วนร่วมอย่างเป็นลำดับ โดยเฉพาะให้ผู้เรียนกลับไปทบทวนตำราเอง จะเพิ่มเป็น 10% หากใช้สื่อเทคโนโลยีช่วย กระตุ้นความน่าสนใจการเรียนการสอน จะเพิ่มเป็น 20% หากเรียนผ่านการสาธิตเป็นประจำ โดยเฉพาะผ่านการเห็นของจริง อย่างการเรียนแพทย์ หรือสาขาวิทยาศาสตร์ ต่างๆ จะเพิ่มเป็น 30% หากผู้เรียนได้พูด หรือแสดงออกสิ่งที่เข้าใจในชั้นเรียน และได้ลงมือปฏิบัติ จะเพิ่มเป็น 75% หากผู้เรียนได้ถ่ายทอด หรือไปสอนผู้อื่น จะเพิ่มเป็น 90% และหากผู้เรียนได้ทำโครงงาน หรือวิจัยกับสิ่งที่ศึกษาด้วยตัวเอง จะเพิ่มมากกว่านี้อีก ดังนั้น การเรียนรู้ด้วย ตัวเองเป็นการเรียนรู้ที่ยั่งยืนกว่ารูปแบบ อื่น
“การศึกษาไทยขณะนี้ กำลังทำหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานใหม่ ซึ่งเดินหน้าไปกว่า 80% ในหลักสูตรใหม่จะใส่เนื้อหาความรู้ที่เหมาะสมกับพัฒนาการของสมอง ดังนั้น ตั้งแต่ระดับประถม มัธยมต้น จะเป็นเนื้อหาแบบบูรณาการ อย่างชั้น ป.1-2 จะเน้นเรียน 3 วิชาหลัก คือคณิตศาสตร์ ภาษาไทย
ภาษาอังกฤษ และวิชาอื่นๆ จะเป็นวิชาบูรณาการ ส่วนมัธยมปลายค่อยแตก แขนงเป็นรายวิชาเยอะขึ้น เพราะมีความเฉพาะมากขึ้น แต่จะปรับลดชั่วโมงในห้องเรียน มาเปลี่ยนเป็นการเรียนนอกห้องเรียนผ่านกิจกรรมโครงงาน-ชมรมแทน คาดว่าหลักสูตรใหม่จะเริ่มใช้ในโรงเรียนนำร่อง ตั้งแต่ปีการศึกษา 2557 โดยมอบให้มหาวิทยาลัยที่มีโรงเรียนเครือข่าย มากๆ ประมาณ 30 มหาวิทยาลัย นำร่อง เป็นกลุ่มแรก ตั้งเป้าว่าจะมีโรงเรียนในเครือข่ายฯ รวมประมาณ 3,000 แห่งนำร่อง ในระดับชั้น ป.1, ป.4, ม.1 และ ม.4 ก่อน” นายภาวิชกล่าว
ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน
http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32979&Key=hotnews

