สภาพัฒน์เบรกตั้งว.อาชีวะเพิ่ม 50 แห่ง

4 มีนาคม 2556

สภาพัฒน์เบรกตั้งวิทยาลัยอาชีว ศึกษาเพิ่มกว่า 50 แห่ง เพราะประชากรวัยเด็กลดลง ส่วนวัยแรงงานปัจจุบันก็เข้าสู่ช่วงสูงอายุ แนะไปหาวิธีส่งเสริมอาชีพให้คนสูงวัย หรือเพิ่มคุณภาพและทักษะภาษาอังกฤษแข่งดีกว่า

นางสุวรรณี คำมั่น รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหรือสภาพัฒน์ กล่าวในการประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่อง “การขับเคลื่อนกรอบคุณวุฒิแห่งชาติสู่การปฏิบัติ” จัดโดยสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) เมื่อเร็วๆ นี้ว่า สังคมไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ แต่คนในสังคมยังไม่ตื่นตัวเท่าที่ควร ขณะเดียวกันรูปแบบการจ้างงานก็เปลี่ยนแปลงไป มีการเคลื่อนย้ายแรงงานไปต่างประเทศ หรือแรงงานต่างชาติไหลเข้าสู่ประเทศ เมื่อโครงสร้างประชากรของประเทศได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว แต่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กลับมีนโยบายจะตั้งวิทยาลัยอาชีวศึกษาเพิ่มขึ้นอีกกว่า50 แห่ง มาสอนด้านเทคนิคหรือวิชาช่าง ตนมองว่าคงไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง เพราะหากเรามีประชากรเกิดใหม่ลดลง วัยแรงงานก็ก้าวเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ ส่วนคนรุ่นใหม่ก็นิยมทำงานที่บ้านดังนั้นคงต้องไปมุ่งเน้นที่คุณภาพและนวัตกรรมของแรงงาน รวมทั้งการเพิ่มทักษะด้านภาษาอังกฤษ
รองเลขาธิการสภาพัฒน์กล่าวอีกว่า ประเทศไทยมีประชากรปี 2553 จำนวน 63.8 ล้านคน มีผู้สูงอายุสัดส่วน 20% ซึ่งมากกว่าจำนวนประชากรเด็ก ฉะนั้นการเปิดสถานศึกษาแต่ละระดับเพิ่มจะต้องคิดให้รอบคอบ เพราะตลาดแรงงานของเราเล็กลง เราอาจต้องหาแนว ทางการส่งเสริมอาชีพคนไทยที่เหมาะสมกับโครงสร้างที่เปลี่ยนแปลงไปอาทิ ส่งเสริมอาชีพของผู้หญิง ผู้สูงอายุ เป็นต้นขณะเดียวกันภาคอุตสาหกรรมจะต้องคำนึงถึงการจ้างแรงงานผู้สูงอายุด้วยตั้งแต่บัดนี้ ส่วนเรื่องปัญหาแรงงานที่ลดลงก็เป็นโจทย์สำคัญที่ท้าทายศธ.และองค์กรหลักทุกองค์กรที่ต้องไปดู โดยเฉพาะการต้องดึงชาวต่างชาติเข้ามาเรียนมากขึ้น เพราะหากเปิดหลักสูตรภาษาอังกฤษแล้วมีแต่คนไทยเรียน ก็ไม่เพิ่มมูลค่าแต่อย่างใด

ขณะที่ ดร.ชุมพล พรประภา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใน สกศ. กล่าวว่า การขับเคลื่อนกรอบคุณวุฒิแห่งชาติที่ช้านั้น เนื่องจากภาพรวมคุณภาพการศึกษาพื้นฐานไม่เอาไหน และผลพวงของปัญหาได้แผ่ขยายไปยังระดับการศึกษาที่สูงขึ้นทั้งอาชีวศึกษาและอุดมศึกษาจนแย่ไปหมด อย่างไรก็ตาม หากจะขับเคลื่อนกรอบคุณวุฒิแห่งชาติให้สำเร็จนั้น จะต้องไปแก้การศึกษาทั้งระบบ อย่างระดับอาชีวศึกษาก็ควรต้องเปลี่ยนหลักสูตรใหม่ทั้งหมด เพื่อจะผลิตกำลังคนให้ตอบสนองความต้องการของสถานประกอบการ ภาคเอกชนมากที่สุด

ส่วนสถาบันการอาชีวศึกษาที่จะเกิดขึ้นใหม่19 แห่งนั้น มองว่า รมว.ศึกษาธิการต้องเข้ามามีบทบาทในการคัดเลือกนายกสภาสถาบัน และกรรมการสถาบัน เพื่อให้ได้คนดีเข้ามาบริหารงานอย่าเอาผู้บริหารมหาวิทยาลัย 400 กว่าแห่งเข้ามาทำหน้าที่ควบคุม บริหาร ประเมินในกลุ่มคนเดียวกัน เพราะคนกลุ่มนี้นอกจากไม่รู้ว่าต้องขับเคลื่อนอย่างไรแล้ว ยังเคยชินกับระบบเก่าๆ ด้วยอย่างไรก็ดี เสนอให้สรรหากรรมการสภาฯ ที่มาจากตัวแทนผู้ประกอบการด้วย เพื่อจะผลิตกำลังคนให้ตรงกับโจทย์อย่างแท้จริง

“การปรับหลักสูตรของอาชีวะต้องกำหนดให้มือเปื้อนได้ แต่ต้องคิดเป็น เพราะหลักสูตรอาชีวะตอนนี้เป็นหลักสูตรกะเทย มือบอกว่าไม่เปื้อน แต่กลับเปื้อน หรือขาข้างหนึ่งก็จะทำอาชีวะอีกข้างหนึ่งก็จะสอนระดับอุดมศึกษา เลยไม่ได้ดีสักอย่าง รวมถึงต้องดึงภาคเอกชนเข้ามาช่วยผลักดัน และภาคเอกชน การศึกษาต้องเดินไปด้วยกัน ไม่ใช่ต่างคนต่างเดิน ต่างทำตามแนวทางที่ตนเองมีอยู่” ดร.ชุมพลกล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=31886&Key=hotnews

Leave a Comment