5 กรกฎาคม 2556
อาชีวะเร่งสร้างเด็ก ป.ตรีสายเกษตร ตั้งเป้าเก่งทั้งปฏิบัติและภาษาหวังอัพเกรดคุณภาพรับเออีซี นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เปิดเผยว่าขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) กำลังหาแนวทางดึงเด็กให้เข้ามาเรียนสายอาชีวะเพิ่มขึ้น เนื่องจากยังมีสัดส่วนเด็กต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ โดยเฉพาะในวิทยาลัยเกษตรที่ได้รับความสนใจน้อย จึงมีแนวคิดที่จะเปิดสอนหลักสูตรอาชีวศึกษาเกษตรในระดับปริญญาตรีรองรับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมการเกษตรของไทยที่ต้องการบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะทางเกษตร รวมทั้งเรื่องภาษาเพื่อให้พร้อมรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี)
ทั้งนี้ การเปิดสอนอาชีวศึกษาเกษตรระดับปริญญาตรีสายปฏิบัติการหรือสายเทคโนโลยีนั้น สถาบันอาชีวศึกษาเกษตรทั้งหลายต้องกำหนดเป้าหมายที่จะให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่โดดเด่นชัดเจน โดยบูรณาการทรัพยากรที่มีอยู่ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการเรียนการสอน รวมทั้งให้เกิดประโยชน์ต่อตัวเด็กมากที่สุด
“ต่อไปการเปิดรับสมัครนักเรียนระดับปริญญาตรีในวิทยาลัยอาชีวะเกษตร จะไม่เน้นปริมาณ แต่เน้นเรื่องคุณภาพแทนเพื่อให้รับประกันได้ว่าเมื่อนักศึกษาเรียนจบแล้วมีคุณภาพ และมีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับของตลาดแรงงาน” นายชัยพฤกษ์ กล่าว
นอกจากนี้ นักศึกษายังต้องเน้นความร่วมมือระบบทวิภาคีกับสถานประกอบการอย่างน้อย 50% เพื่อให้เด็กได้มีประสบการณ์การทำงานในสถานประกอบการจริงได้เรียนเทคโนโลยีจริง ทำให้รู้จักบูรณาการทฤษฎีที่เรียนมากับการทำงานจริง ทำให้เด็กสามารถคิดและวิเคราะห์เป็น
สำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรีสายปฏิบัติรุ่นแรกของวิทยาลัยอาชีวะเกษตรจะต้องฝึกประสบการณ์ในสถานประกอบการต่างประเทศด้วย เพื่อให้ได้ภาษาอังกฤษ โดยจะดึงนักศึกษาที่จบระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ที่มีผลการเรียนดีเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรี เพื่อผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพและเก่งเฉพาะทาง ซึ่งจะยกระดับคุณภาพภาคเกษตรของไทยให้พร้อมแข่งขันในเวทีโลก
ที่ผ่านมาได้มีการวิเคราะห์ตัวแปรทางสังคม พบว่าประชากรส่วนใหญ่ 41% อยู่ภาคบริการ รองลงมาเป็นภาคเกษตร 38%คิดเป็น 14.7 ล้านคน ซึ่งสังคมคาดหวังว่าภาคการเกษตรจะเป็นตัวขับเคลื่อนด้านเศรษฐกิจและสังคม หลักสูตรด้านการเกษตรจึงต้องเรียนเรื่องการบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางรายได้ของเกษตรกรในอนาคต
ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33268&Key=hotnews

