เด็กกินอิ่ม เราเกือบ…ยิ้มได้

9 เมษายน 2556

สุทธิลักษณ์ สมิตะสิริ และประภา คงปัญญา หน่วยส่งเสริมโภชนาการและสุขภาวะ สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล

ปัญหางบประมาณ หรือโอกาสทบทวนการพัฒนา
“You are what you eat” คุณเป็นอย่างที่คุณรับประทาน เป็นคำพูดที่ผู้สนใจสุขภาพ อาหารและโภชนาการคุ้นเคยกันดี ถ้าเราจะช่วยกันมองให้ไกล แล้วกล่าวว่า อนาคตประเทศไทยเป็นอย่างที่เด็กไทยรับประทาน แล้วช่วยกันสังเกตเด็กๆ ในครอบครัวและชุมชนที่ใกล้ชิด อนาคตของเราน่าจะเป็นอย่างไร

ตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่แล้ว มีการเคลื่อนไหวของผู้ใหญ่ใจดีที่เห็นความสำคัญของคุณภาพอาหารเด็กในโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากกระทรวงศึกษาธิการขอให้กระทรวงมหาดไทยปรับเพิ่มงบอาหารกลางวัน การอนุมัติแผนยุทธศาสตร์กองทุนเพื่ออาหารกลางวันในปีงบประมาณ 2556-2559 เป็นเงินกว่า 3,000 ล้านบาท การรายงานผลวิจัยของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่มีข้อเสนอให้เพิ่มงบประมาณจาก 13 บาทต่อคนต่อวันเป็น 15-20 บาทต่อคนต่อวันเพื่อให้สามารถจัดเมนูอาหารตามหลักโภชนาการได้ทุกวัน การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ พัฒนาเด็กไทยสูงสมส่วน-สมองดีของกระทรวงสาธารณสุข คณะกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎรผลักดันการปรับเพิ่มงบประมาณ นอกจากนั้นสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ยังออกมา รณรงค์ทางหน้าหนังสือพิมพ์ขอบริจาคเงินเข้ากองทุนเพื่อโครงการอาหารกลางวันฯอีกด้วย
ประเทศไทยลงทุนกับอาหารเด็กในโรงเรียนมาอย่างต่อเนื่อง

ก่อนปี พ.ศ.2535 กิจกรรมโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนขึ้นกับนโยบายรัฐบาลแต่ละรัฐบาลและไม่ต่อเนื่อง แต่ก็มีความพยายามทดลองดำเนินการหลายรูปแบบอย่างน่าชื่นชมทั้งในบริบทเมืองและชนบท จนกระทั่งรัฐบาลนายกฯ อานันท์ ปันยารชุน ริเริ่มก่อตั้งกองทุนเพื่อโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนฯ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2535 เป็นต้นมา โดยกำหนดนโยบายให้เป็น กองทุนที่สามารถพัฒนากิจกรรมนี้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

ต่อมาประเทศไทยเผชิญกับปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างวิกฤต ทำให้นโยบายดังกล่าวไม่สามารถดำเนินการให้เป็นจริงตามวัตถุประสงค์ได้ นั่นคือ กิจกรรมนี้ไม่อาจดำเนินการโดยไม่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐเป็นประจำทุกปีงบประมาณ อย่างไรก็ตาม นโยบายนี้ก็ทำให้กระทรวงศึกษาธิการมีกองทุนที่สามารถใช้จ่ายในการพัฒนาอาหารเด็กในโรงเรียนอยู่ถึง 6,000 ล้านบาทในปัจจุบัน (ครบในปีงบประมาณ พ.ศ.2543)

นับเป็นความโชคดีที่ผู้บริหารระดับสูงของประเทศไทยให้ความสำคัญในเรื่องนี้ และจัดสรรงบประมาณประจำปีสนับสนุนกิจกรรมนี้มาอย่างต่อเนื่อง โดยแต่เดิมสนับสนุนเพียงร้อยละ 30 ของนักเรียนประถมศึกษา

จนกระทั่งวันที่ 19 ตุลาคม 2542 รัฐบาลนายกฯ ชวน หลีกภัย มีมติให้นักเรียนทุกคนได้อิ่มทุกวันที่ไปโรงเรียน และปัจจุบันรัฐสนับสนุนอาหารกลางวันเด็กทุกคนเป็นเงิน 13 บาทต่อวันตามนโยบายของรัฐบาลนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในปีงบประมาณ พ.ศ.2554 ประเทศไทยลงทุนกับอาหารเด็กในโรงเรียนเป็นเงิน 15,252.96 ล้านบาท หากรวมการลงทุนเรื่องนมโรงเรียนที่แยกบริหารจัดการอีก 11,040.88 ล้านบาท รวมการลงทุนเพื่ออาหารเด็กในโรงเรียนทั้งสิ้น 26,293.84 ล้านบาท และหากรัฐบาลนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ดำเนินการตามข้อเสนอจากผลการวิจัยของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยจัดสรรงบประมาณที่ 15-20 บาทต่อคน การลงทุนเฉพาะอาหารกลางวันในโรงเรียนไม่รวมนมในโรงเรียนน่าจะตกราว 17,600-23,500 ล้านบาทต่อปี ในปีงบประมาณ พ.ศ.2557

แล้วทำไมเราจึงยังยิ้มไม่ได้

เมื่อ 19 ปีมาแล้วในวันที่ 21 กรกฎาคม 2537 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ความว่า “…การที่นักเรียนปฏิบัติตามโครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวัน นอกจากจะได้ผลโดยตรง คือให้อิ่มท้องก็จะทำให้เด็กๆ เจริญเติบโตขึ้นอย่างสมบูรณ์พร้อมทั้งร่างกายและสติปัญญา สามารถศึกษาเล่าเรียน และสร้างสรรค์ความเจริญมั่นคงให้แก่ตนเองและประเทศชาติต่อไปได้

“ผลดีอีกประการหนึ่งของโครงการนี้ ที่หลายคนอาจ มองไม่เห็น ก็คือเป็นการฝึกฝนให้เด็กนักเรียนได้ปฏิบัติและเรียนรู้วิชาการต่างๆ อย่างกว้างขวาง ทั้งด้านการเกษตร การชลประทาน และโภชนาการ รวมทั้งให้รู้จักพึ่งตนเอง รู้จักทำงานร่วมกันเป็นหมู่คณะ ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างใหญ่ยิ่งในภายภาคหน้า นอกจากนี้ครู และผู้ปกครองก็จะเกิดความรู้ ความคิด ที่นำไปปรับใช้ให้บังเกิดผลดีแก่การประกอบอาชีพของตน และเมื่อผู้อื่นได้เห็น ก็จะนำไปปฏิบัติตาม ผลจากการปฏิบัติตามตัวอย่าง ก็จะยิ่งก่อเกื้อประโยชน์ขยายออกไปทั่วทั้งชุมชน นักวิชาการผู้ปฏิบัติงานพัฒนาตามโครงการต่างๆ ไม่ควรจะละเลยมองข้ามความสำคัญของกิจกรรมแม้เล็กน้อย หากจำเป็นจะต้องพิจารณาให้ลึกซึ้งรอบคอบ และละเอียดถี่ถ้วน ให้ทราบว่า ผลที่เกิดขึ้นจากโครงการนั้นจะมีขอบเขตต่อเนื่องกว้างไกลเพียงใด จักได้สามารถวางแผนงานให้สอดคล้องต้องกันทุกส่วนทุกขั้นตอน เพื่อให้เกิดผลเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ และประชาชนส่วนรวมให้ได้มากที่สุด…”

จะเห็นได้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงให้ความสำคัญเรื่องอาหารและการทำเกษตรเพื่ออาหารกลางวันที่กระบวนการเรียนรู้และการพัฒนา ซึ่งจากวันนั้นจนถึงวันนี้มีโรงเรียนจำนวนไม่น้อยที่ดำเนินการสืบสานพระราชดำริ อาทิ โครงการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่สถานศึกษา ภายใต้การสนับสนุนของสำนักกิจการพิเศษ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ที่ครอบคลุมเกือบ 10,000 สถานศึกษาทั่วประเทศ โครงการอาหารกลางวันแบบยั่งยืนโดยความร่วมมือของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาและสำนักคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกว่า 1,000 โรงเรียน โครงการหนูรักผักสีเขียวที่ดำเนินการโดยมหาวิทยาลัยขอนแก่นภายใต้การสนับสนุนของมูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียนของมูลนิธิพัฒนาชีวิตชนบทสนับสนุนโดยเครือเจริญโภคภัณฑ์อีกกว่า 400 โรงเรียน โครงการพัฒนาเด็กไทยให้เต็มศักยภาพด้วยอาหารและโภชนาการ ของวุฒิอาสาธนาคารสมองกลุ่มสุขภาพ ที่สนับสนุนโดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคาดว่าน่าจะมีอีกมากมายที่เกิดจากศักยภาพของโรงเรียน ชุมชนท้องถิ่นเองและจากการสนับสนุนของภาคเอกชนที่คาดว่าไม่น้อยทีเดียว
กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงมหาดไทยควรสำรวจให้เห็นภาพการพัฒนาที่แท้จริง หากการดำเนินการเหล่านี้ประสบผลสำเร็จน่าจะนำไปสู่การพัฒนาตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงโดยการปลูกฝังแนวคิดให้กับคนไทยรุ่นต่อไป ซึ่งนับเป็นภารกิจที่สำคัญยิ่งต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน
แต่การที่ผู้ใหญ่ใจดีทั้งหลายกำลังห่วงใยว่างบประมาณที่รัฐสนับสนุนโครงการอาหารกลางวันไม่เพียงพอจะส่งผลทำให้อาหารเด็กในโรงเรียนมีคุณภาพทางโภชนาการต่ำ จำเป็นต้องเพิ่มงบประมาณอย่างเร่งด่วนเพื่อไม่ให้กระทบต่อการพัฒนาเด็กไทยให้เต็มศักยภาพ แม้เป็นความห่วงใยอนาคตของชาติที่น่าชื่นชม แต่ในอีกแง่หนึ่งสถานการณ์ดังกล่าวนี้อาจจะเป็นกระจกเงาที่สะท้อนให้เห็นว่าการบริหารจัดการการพัฒนาโดยรวมของโครงการนี้ยังไม่ได้ก้าวไปถึงขั้นการเรียนรู้ที่ทำให้เกิดการพัฒนาที่มีพลังกว้างขวางพอและยังไม่สามารถยกระดับให้เป็นการพัฒนาแบบพอเพียงและพึ่งตนเองได้
จากสงเคราะห์เป็นพัฒนา
การที่รัฐลงทุนกับเด็กเป็นวิสัยทัศน์ที่น่ายกย่อง แต่การให้ความสำคัญต่อการบริหารจัดการอย่างบูรณาการเพื่อให้เกิดผลตามเป้าประสงค์ก็เป็นความจำเป็นเช่นกัน เพราะหากไม่ระมัดระวังอาจจะกลายเป็นการลงทุนที่ไม่นำไปสู่ผลลัพธ์ เพราะมีโครงการส่งเสริมโภชนาการเด็กในประเทศอื่นที่ถูกประเมินว่าเป็นการลงทุนที่ไม่นำไปสู่การแก้ปัญหาโภชนาการและสุขภาพตามที่ตั้งไว้แต่ก็ต้องดำเนินต่อไป เป็นเพียงการลงทุนสูญเปล่าที่ให้เพียงความรู้สึกดีๆ เท่านั้น

พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) กล่าวถึงการพัฒนาการศึกษาโดยให้แนวคิดที่นักการศึกษาควรพิจารณาว่า “การศึกษาเริ่มต้น เมื่อคนกินเป็นอยู่เป็น” แต่ในปัจจุบันยังมีผู้บริหารการศึกษา ผู้บริหารโรงเรียน ครู/อาจารย์ ผู้ปกครอง จำนวนไม่น้อยที่ยังไม่สามารถหรือไม่ให้ความสำคัญต่อการบูรณาการชีวิตกับการศึกษา หลายคนยังเห็นว่ากิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับอาหารกลางวันทำให้เสียเวลาเรียน เมื่อมีงบประมาณอาหารกลางวันมากขึ้นสถานศึกษาหลายแห่งงดกระบวนการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้องหันไปว่าจ้างคนทำอาหาร เพื่อให้ครูอาจารย์และนักเรียนมีเวลาให้กับ “การเรียนการสอนมากขึ้น” การพัฒนาความคิด ทัศนคติ จึงเป็นเรื่องสำคัญแต่มักถูกละเลย นโยบายการศึกษารวมทั้งมาตรการการติดตามและประเมินผลที่สะท้อนความเอาจริงเอาจังในการขับเคลื่อนการพัฒนาเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ดังพระบรมราโชวาทที่มีประสิทธิภาพจึงมีความสำคัญมากเพราะงบประมาณไม่ใช่คำตอบสุดท้ายที่จะนำไปสู่ความสำเร็จของการพัฒนา

ในประเทศสหรัฐอเมริกาภริยาประธานาธิบดี มิสซิส มิเชล โอบามา ได้ออกมาเป็นผู้นำในการรณรงค์เพื่อสร้างสุขภาพที่ดีของเด็กอเมริกันอย่างจริงจัง เธอดำเนินการรณรงค์ด้วยการปลูกผักสวนครัวในทำเนียบขาวร่วมกับเด็กนักเรียนอาสาสมัครหลายร้อยคน รับเป็นประธานคณะกรรมการโครงการที่ให้ความสำคัญต่อการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายในการแก้ปัญหาร่วมกันและมีการจัดโครงสร้างการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนสังคม ความก้าวหน้าของโครงการนี้รายงานตรงต่อประธานาธิบดี (www.letsmove.gov) นอกจากนั้นการเข้ามาร่วมรณรงค์ของเชฟชื่อดังที่เคยสร้างความฮือฮาจากการสร้างความตระหนักผ่านรายการโทรทัศน์ของเขาถึงคุณภาพอาหารกลางวันในโรงเรียนที่ต่ำมากในประเทศอังกฤษอย่างเจมี่ โอลิเวอร์ ที่กำลังรณรงค์หาทุนเพื่อส่งเสริมการให้การศึกษาเกี่ยวกับอาหารและโภชนาการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ก็เป็นแบบอย่างที่น่าสนใจ (www.jamieoliver.com)
ประเทศไทยควรให้ความสำคัญไม่ใช่เฉพาะตัวอาหารเท่านั้น แต่ควรตั้งโจทย์เพิ่ม “ทำอย่างไรเด็กไทยจึงจะกินเป็น พึ่งตนเองได้” กองทุนเพื่อโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนฯ และกองทุนสร้างเสริมสุขภาพน่าจะรวมพลังกันประสานให้สังคมไทยในทุกระดับเกิดความตระหนักในความสำคัญและสามารถจัดกระบวนการขับเคลื่อนทางปัญญาให้ทุกฝ่ายได้มีโอกาสเข้ามาร่วมกันดำเนินการอย่างมียุทธศาสตร์และมีการจัดการที่ดีจนประสบความสำเร็จในระดับประเทศได้ จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเด็กไทยรู้จักพึ่งตนเองในเรื่องอาหารการกิน เด็กๆ มีความรู้ในการทำการเกษตรเพื่อการบริโภค และเด็กของเราเข้าใจอาหาร คุณค่าอาหาร และสามารถทำอาหารรับประทานได้ดี และที่สำคัญเป็นคนมีสุนทรียภาพด้านอาหารการกิน
สังคมไทยทำเรื่องนี้ให้สำเร็จร่วมกันได้
เมื่อปี พ.ศ.2545 จังหวัดศรีสะเกษภายใต้การนำของภาครัฐและประชาสังคมร่วมกับสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษพัฒนาอาหารกลางวันในโรงเรียนเต็มพื้นที่ทั้งจังหวัด ภายใต้การสนับสนุนของหลายฝ่ายรวมทั้งสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) หลังจากดำเนินการไป 5 ปีสามารถสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนจนสามารถลดปัญหาโภชนาการจากร้อยละ 16 เหลือเพียงร้อยละ 6 เท่านั้น (ข้อมูลสาธารณสุขจังหวัดศรีสะเกษ) และมีบทเรียนความสำเร็จให้สามารถศึกษาเรียนรู้ขึ้นในพื้นที่อีกจำนวนหนึ่ง บทสรุปที่สำคัญของโครงการนี้อยู่ที่การสร้างความตระหนัก ความสามารถในการรวมพลังและทรัพยากรที่เกี่ยวข้องจากทุกฝ่ายเพื่อให้ชุมชนท้องถิ่นและโรงเรียนสามารถดำเนินการพัฒนาอาหารเด็กอย่างสร้างสรรค์ไปได้พร้อมๆ กัน ในระยะต่อมาจนถึงปัจจุบันยังดำเนินการต่อเนื่องโดยเน้นการจัดอาหารกลางวันตามแนวปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ศูนย์ศรีสะเกษศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ โทร.04-5643-6006)
ยี่สิบห้าปีที่แล้ว เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 60 พรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หลายฝ่ายได้ร่วมกันรณรงค์ “ฉลอง 60 พรรษามหาราชา เด็กประถมศึกษา ไม่หิวโหย” ซึ่งนับจากนั้นการพัฒนาได้มีความก้าวหน้ามาเป็นลำดับ ในปี พ.ศ.2558 ที่จะถึงนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ซึ่งทรงมีพระเมตตาต่อเด็กไทยและทรงดำเนินงานการพัฒนาโภชนาการในโรงเรียนเป็นแบบอย่างมาอย่าง ต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ.2523 จะมีพระชนมายุครบ 60 พรรษา รัฐบาลโดยกระทรวงศึกษาธิการน่าจะเป็น แกนนำในการสานพลังสังคมไทยทุกภาคส่วนก่อให้เกิดความสำเร็จอย่างอภิวัฒน์ ถวายเป็นพระราชกุศลต่อพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าฟ้าโภชนาการ และเมื่อถึงปี พ.ศ.2559 ซึ่งจะเป็นปีที่ 50 ของการดำเนินโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนของประเทศไทย เราอาจจะมีรูปธรรมความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจได้ หากทุกฝ่ายจะช่วยกันดำเนินการอย่างจริงจังเสียแต่วันนี้
เมื่อนั้นเราอาจยิ้มได้อย่างภาคภูมิ

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32401&Key=hotnews

 

Leave a Comment