17 มิถุนายน 2556
7 กรกฎาคม 2546 ถือเป็นจุดเริ่มต้นทศวรรษของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ซึ่งเป็นผลจากการปฏิรูประบบราชการเมื่อปี พ.ศ.2545 ในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหารราชการกระทรวง ทบวง กรม โดยกระทรวงศึกษาธิการ ได้มีการยุบรวมทบวงมหาวิทยาลัยและสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติมาอยู่ภายใต้กระทรวงศึกษาธิการ แล้วปรับเป็นหน่วยงานที่มี 5 องค์กรหลัก คือสำนักงานปลัดกระทรวง สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา มีหัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรงต่อรัฐมนตรีเจ้ากระทรวง
นายอภิชาติ จีระวุฒิ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา เล่าถึงพัฒนาการอุดมศึกษาใน 10 ปีที่ผ่านมา ว่าการจัดการอุดมศึกษาไทยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดโดยเฉพาะในเรื่องของจำนวนสถาบันอุดมศึกษา เมื่อ 10 ปีที่แล้วสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษามีสถาบันอุดมศึกษาในสังกัด/ในกำกับ รวมวิทยาลัยชุมชน จำนวน 92 แห่งทั่วประเทศ แต่ในปัจจุบันได้เพิ่มเป็น 172 แห่ง ซึ่งถือเป็นการกระจายโอกาสทางการศึกษาระดับอุดมศึกษาในแนวกว้าง โดยมีหัวใจสำคัญคือ การกระจายอำนาจในการอนุมัติหลักสูตรและอนุมัติปริญญาทุกระดับให้แก่สภาสถาบันอุดมศึกษาแต่ละแห่ง เพื่อให้มีอิสระทางวิชาการอย่างเท่าเทียมกันทั้งสถาบันอุดมศึกษาของรัฐและเอกชน และในอีกมิติหนึ่งจะพบว่าการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษามีการพัฒนาศาสตร์สาขาวิชาใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งในรูปแบบสาขาวิชาเฉพาะทางและสาขาวิชาที่บูรณาการ 2 – 3 ศาสตร์มารวมกัน แสดงว่าองค์ความรู้ทางวิชาการมีการสร้างสรรค์ใหม่ทั้งแนวกว้างและแนวลึก “นับตั้งแต่ปี 2547 สกอ. ที่เป็นหน่วยงานกลางกำกับดูแลระดับอุดมศึกษา ได้ดำเนินนโยบายสำคัญเพื่อสนับสนุนคุณภาพภารกิจของสถาบันอุดมศึกษาหลายประการ ทั้งด้านมาตรฐานการอุดมศึกษา ได้กำหนดเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรระดับปริญญาตรี-โท-เอก พ.ศ. 2548 และต่อมาในปี 2552 ได้กำหนดกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ (Thai Qualifications Framework for Higher Education/TQF) เพื่อเป็นหลักการพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะและมาตรฐานผลการเรียนรู้ที่คาดหวังด้วยวงจรคุณภาพ ผ่านกลยุทธ์การเรียนการสอน การวัดและประเมินผล รวมทั้งศักยภาพคณาจารย์ด้านการประกันคุณภาพการศึกษา ได้กำหนดหลักเกณฑ์ตัวบ่งชี้การประกันคุณภาพการศึกษาภายในระดับอุดมศึกษาผ่านระบบสารสนเทศ CHE QA Online เมื่อปี 2553 ร่วมกับการตรวจเยี่ยม (Site Visit) ทุกปีการศึกษา โดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งถ้าใน 2 – 3 ปีข้างหน้า สถาบันอุดมศึกษาที่ผลการประเมินมีศักยภาพสูงมากจะสามารถปรับเข้าสู่ระบบเกณฑ์คุณภาพการศึกษาสู่ความเป็นเลิศ (EdPEx) เพื่อการแข่งขันระดับนานาชาติ แทนที่ระบบ CHE QA Online ด้านการกำหนดทิศทางนโยบาย ได้กำหนดกรอบแผนอุดมศึกษาระยะยาว 15 ปีฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2551 – 2565) เพื่อให้สถาบันอุดมศึกษาใช้เป็นกรอบแนวทางในการพัฒนาวิสัยทัศน์ พันธกิจให้เหมาะสมกับศักยภาพของ 4 กลุ่มสถาบันอุดมศึกษา และการส่งเสริมสนับสนุนนโยบายระดับโครงการ โดยการส่งเสริมภารกิจให้สถาบันอุดมศึกษาจัดตั้งศูนย์บ่มเพาะธุรกิจ (University Business Incubators) และหน่วยจัดการทรัพย์สินทางปัญญา (Technology Licensing Office) เพื่อเป็นกลไกให้สถาบันอุดมศึกษาสร้างวงจรรายได้จากการนำผลงานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์พัฒนาสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ และการผลิตภาคอุตสาหกรรม ตลอดจนมีนโยบายส่งเสริมให้จัดการศึกษาในรูปแบบสหกิจศึกษา (Cooperative Education) และขยายสู่รูปแบบการจัดการศึกษาเชิงบูรณาการกับการทำงาน(Work- integrated Learning) เพื่อส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพบัณฑิต” เลขาธิการ กกอ. กล่าว
สำหรับทิศทางการปรับตัวของอุดมศึกษาเข้าสู่ทศวรรษหน้า เลขาธิการ กกอ. กล่าวว่า การจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาในปัจจุบันถือเป็นสินค้าสาธารณะ (Public goods)ที่ประชากรโลกจากทุกประเทศสามารถเข้าถึงบริการทางการศึกษาได้อย่างเสรีโดยไม่มีขีดจำกัด อันเนื่องมาจากการพัฒนาอย่างรวดเร็วของระบบเทคโนโลยี และกลยุทธ์การบริการทางการศึกษาที่หลากหลาย ในรูปแบบ e-Learning,Distance Learning หรือการขยายวิทยาเขตขนาดเล็กของสถาบันอุดมศึกษาในประเทศอื่น กอรปกับสังคมไทยให้ความสำคัญกับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในอีก 2 ปีข้างหน้าที่กลุ่มประเทศอาเซียนจะมีการเคลื่อนย้ายอย่างเสรีด้านสินค้า บริการ แรงงานฝีมือ การลงทุน ดังนั้น ระบบอุดมศึกษาไทยควรเตรียมขับเคลื่อนการปรับตัวในทุกมิติ โดยสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาจะเน้นส่งเสริมสนับสนุนในประเด็นหลัก อาทิ (1) การสร้างเสริมคุณภาพหลักสูตรด้วยกลไกกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ (TQF) โดยมีการประกันคุณภาพการศึกษาภายในระดับอุดมศึกษาผ่านระบบ CHE QA online และการส่งเสริมให้สถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงเข้าสู่ระบบเกณฑ์คุณภาพการศึกษาสู่ความเป็นเลิศ (EdPEx) (2) การส่งเสริมระบบกำกับดูแลอุดมศึกษาโดยให้อิสระในการบริหารจัดการ (Autonomy)แก่สถาบันอุดมศึกษา โดยต้องคำนึงถึงการตรวจสอบได้(Accountability) ของสถาบันอุดมศึกษา(3) ระบบสนับสนุนงบประมาณเพื่อการวิจัยและงานสร้างสรรค์ในสถาบันอุดมศึกษาเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถเชิงการแข่งขัน และสนับสนุนการเงินอุดมศึกษาผ่านรูปแบบกองทุน กรอ. ต้องดำเนินนโยบายคู่ขนานกัน โดยมุ่งเน้นให้จัดการศึกษาในสาขาวิชาชีพขาดแคลนหรือสาขาวิชาที่เป็นไปตามแผนพัฒนากำลังคน และความต้องการของประเทศ (4) ส่งเสริมการเข้าสู่ตำแหน่งทางวิชาการของคณาจารย์ที่เป็นนักวิชาการสายรับใช้สังคมให้เข้าสู่ตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ (ผศ.) รองศาสตราจารย์ (รศ.) และศาสตราจารย์ (ศ.) โดยระบบประเมินผลงานวิจัย บริการวิชาการสร้างองค์ความรู้ และตำราที่มีความหลากหลาย
“ในขณะเดียวกันสถาบันอุดมศึกษาควรดำเนินการให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐ สังคม เศรษฐกิจ โดยสถาบันอุดมศึกษาควรกำหนดอัตลักษณ์ให้ชัดเจนว่ามุ่งหมายที่จะเป็นสถาบันอุดมศึกษาในกลุ่มเน้นการผลิตบัณฑิต หรือกลุ่มสถาบันฯ เฉพาะทาง หรือกลุ่มมหาวิทยาลัยวิจัย เพื่อแสดงการพัฒนาคุณลักษณะของบัณฑิตให้ชัดเจนนอกจากนี้สถาบันอุดมศึกษาแต่ละกลุ่มควรมีทิศทางที่ชัดเจนในบทบาทการวิจัย และสามารถนำผลงานวิจัย เทคโนโลยี ผลงานสร้างสรรค์ใช้เป็นทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property)เพื่อสร้างวงจรรายได้ของสถาบัน ทั้งนี้ การพัฒนาหลักสูตรของสถาบันอุดมศึกษาจะต้องเน้นการพัฒนาคุณภาพบัณฑิตที่มีสมรรถนะสูง ทั้งองค์ความรู้และทักษะการปฏิบัติงานได้จริง สอดคล้องตามความต้องการขององค์กรผู้ใช้บัณฑิตโดยการจัดหลักสูตรแบบ Work-integration Learning รวมทั้งพัฒนาเครือข่ายอุดมศึกษาในประเทศและเครือข่ายอุดมศึกษาระดับนานาชาติ เพื่อสร้างความร่วมมือในการพัฒนาผลงานวิจัย ถ่ายทอดแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เทคโนโลยี คณาจารย์ และนักศึกษา ตลอดจนเน้นการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนของวิทยาลัยชุมชนอย่างเหมาะสม ทั้งกลุ่มพัฒนาทักษะ และกลุ่มที่มีความสามารถศึกษาต่อในระดับสูง” เลขาธิการ กกอ. กล่าว
สถาบันอุดมศึกษาไทยจำเป็นต้องให้ความสำคัญและมุ่งเน้นคุณภาพการเรียนการสอนที่มีคุณภาพให้แก่ผู้เรียนเพื่อให้เป็นบัณฑิตที่มีคุณลักษณะตามความต้องการของตลาดแรงงานที่ขยายเป็นพื้นที่ภูมิภาคอาเซียน ซึ่งจะมีการแข่งขันด้วยศักยภาพบุคคลอย่างมาก เนื่องจากการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรี ในแง่มุมของสถาบันอุดมศึกษาจะมีคู่แข่งขันหรือคู่เทียบการให้บริการทางการศึกษาจากทั่วโลกมากขึ้น ดังนั้นแม้ว่าสถาบันอุดมศึกษาจะได้รับอิสระในการบริหารจัดการ(Autonomy) แต่ก็ต้องมีการตรวจสอบได้ (Accountability)มีธรรมาภิบาลที่ดี (Good Governance) กำกับอย่างเข้มแข็งเช่นเดียวกัน จึงจะมีประสิทธิภาพในการสร้างคุณภาพแก่บัณฑิตอุดมศึกษา ในขณะเดียวกัน การพัฒนาคุณภาพหลักสูตร คณาจารย์ และการวิจัยเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะสถาบันอุดมศึกษาที่ต้องแสวงหาเครือข่ายพันธมิตรทางวิชาการ ในขณะที่ประชาชนผู้รับบริการจะมีโอกาสเลือกใช้บริการทางการศึกษามากขึ้นเช่นกัน
ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ
http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33037&Key=hotnews