kounchanok rujjanapan

สกศ. ยกย่องเชิดชูสังคมแห่งการเรียนรู้ต้นแบบ 5 ภูมิภาค

7 กรกฎาคม 2551

สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ยกย่องสังคมแห่งการเรียนรู้ต้นแบบ 5 ภูมิภาค คาดหวังให้เป็นต้นแบบขยายผลไปสู่ชุมชนอื่นๆ ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ติดตามได้จากสารคดีชุดครูไทย

จากเจตนารมณ์สูงสุดของการศึกษา ที่ต้องการสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ การศึกษาจึงต้องเปิดกว้างให้ทุกคนมีโอกาสเข้าถึงอย่างเต็มที่ ซึ่งการเรียนรู้นอกระบบโรงเรียน และการเรียนรู้ตามอัธยาศัย ก็เป็นอีกหนึ่งหนทางสู่จุดมุ่งหมายดังกล่าว

นายอำรุง  จันทวานิช เลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวว่า สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ตระหนักถึงความสำคัญของการขับเคลื่อนนโยบายการเรียนรู้นอกระบบโรงเรียน และการเรียนรู้ตามอัธยาศัย เพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและภูมิปัญญาไทย โดยการเสริมสร้างและพัฒนาเครือข่ายการดำเนินงานพัฒนาสังคมแห่งการเรียนรู้ และได้กำหนดให้มีกิจกรรมการสรรหาและคัดเลือกสังคมแห่งการเรียนรู้ต้นแบบใน 5 ภูมิภาค ทั้งนี้เพื่อเป็นต้นแบบในการศึกษาถึงกระบวนการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้และองค์ความรู้ในการพัฒนาสังคมแห่งการเรียนรู้ในแต่ละภูมิภาค

โดยคณะทำงานสรรหาและคัดเลือกสังคมแห่งการเรียนรู้ต้นแบบ ได้พิจารณาสรรหาและคัดเลือกหน่วยงานและชุมชนที่สมควรได้รับการยกย่องเป็น “สังคมแห่งการเรียนรู้ต้นแบบ รุ่นที่ 1” แล้ว ได้แก่ ภาคเหนือ ประกอบด้วย ชุมชนบ้านสามขา จังหวัดลำปาง ชุมชนวัดเขาแก้ว จังหวัดตาก ชุมชนวัดป่าฝาง จังหวัดพะเยา ศูนย์ศึกษาสิ่งแวดล้อมศึกษาและความหลากหลายทางชีวภาพ โรงเรียนวัดหนองหล่ม จังหวัดลำพูน สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนทุ่งแพม จังหวัดแม่ฮ่องสอน

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบด้วย ชุมชนบ้านดอนมัน จังหวัดมหาสารคาม ชุมชนบ้านท่าหลักดิน จังหวัดอุดรธานี ชุมชนบ้านบัว จังหวัดขอนแก่น ชุมชนบ้านปะอาว จังหวัดอุบลราชธานี ชุมชนบ้านพิมูล จังหวัดกาฬสินธุ์ ชุมชนบ้านหนองลูกช้าง จังหวัดชัยภูมิ ชุมชนผู้ไทยเรณูนคร จังหวัดนครพนม ชุมชนวัดโพธิการาม จังหวัดร้อยเอ็ด ศูนย์ประสานงานองค์กรชุมชนตำบลเมืองลีง จังหวัดสุรินทร์ โรงเรียนพรานพร้าว จังหวัดหนองคาย

ภาคกลาง ประกอบด้วย ชุมชนบ้านโค้งตาบาง จังหวัดเพชรบุรี ชุมชนบ้านบางพลับ จังหวัดสมุทรสงคราม ชุมชนบ้านหนองกลางดง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมชนสามชุกตลาดร้อยปี จังหวัดสุพรรณบุรี องค์การบริหารส่วนตำบลถ้ำรงค์ จังหวัดเพชรบุรี

 

ภาคตะวันออก ประกอบด้วย ชุมชนบ้านทุ่งกระโปรง จังหวัดนครนายก ชุมชนบ้านยาง จังหวัดปราจีนบุรี สวนสัตว์เปิดเขาเขียว จังหวัดชลบุรี

และภาคใต้ ประกอบด้วย ชุมชนบ้านฉางหลาง และโรงเรียนกันตรังพิทยากร จังหวัดตรัง ชุมชนบ้านทุ่งใส จังหวัดนครศรีธรรมราช ชุมชนบ้านบ่อแร่ จังหวัดภูเก็ต

โดย สกศ. คาดหวังว่าสังคมแห่งการเรียนรู้ต้นแบบทั้ง 5 ภูมิภาคดังกล่าว จะเป็นต้นแบบขยายผลไปสู่ชุมชนอื่นๆ ให้ได้เรียนรู้และพัฒนาเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ต้นแบบครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศต่อไป ที่สำคัญคือการสนับสนุน ส่งเสริมให้ประชาชนทุกเพศ ทุกวัย ทุกกลุ่มเป้าหมายได้เกิดการเรียนรู้ทั้งในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการที่มุ่งมั่นพัฒนาสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต

ที่มา: สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=2414&Key=hotnews

คอลัมน์ : รอบรั้วเสมา

7 กรกฎาคม 2551

รอบรั้วเสมา นสพ.ประชาทรรศน์ ฉบับประจำวันจันทร์ที่ 7 กรกฎาคม 2551 ** ช่วงนี้ดูเหมือนว่าคนไทยจะตกอยู่ในภาวะเครียดอย่างถ้วนหน้า ทั้งจากค่าครองชีพที่สูงขึ้นอย่างหยุดไม่อยู่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งความเครียดจากการเมือง ที่เป็นปัญหาขัดแย้งต่อเนื่องกันมาหลายปี ได้แต่ภาวนาให้ปัญหาการเมืองที่เขม็งเกลียว ลดความตึงเครียดลงเสียที เพราะลำพังแค่ “ของแพง แรงงานถูก” คนไทยก็อ่วมแล้ว ** แถลงข่าวประจำสัปดาห์ของกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันก่อน “วัฒนา เซ่งไพเราะ” โฆษกกระทรวงศึกษาธิการ ออกมาแจกแจงต่อผู้สื่อข่าวว่า ต่อไปนี้การแถลงข่าวของกองงานโฆษกจะทำเป็นประจำทุกวันพฤหัสบดี โดยจะเริ่มแถลงข่าวจากประเด็นที่สังคมให้ความสนใจก่อน จากนั้นจึงจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับองค์กรต่างๆ ใน ศธ. เพื่อไม่ให้มีใครตกข่าว…แต่ได้ยินเสียงบ่นพึมพำจากสื่อมวลชนว่า การจัดวันแถลงข่าวเป็นเรื่องเป็นราวนั้นเป็นเรื่องดี แต่แหม…เรื่องที่ อ.วัฒนา เอามาแถลงนั้น ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเก่าๆ ทั้งนั้น ยังไงฝากท่านโฆษกหาข่าวใหม่ๆ มาเล่าสู่กันฟังบ้างนะ ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน ในฐานะที่เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ฝากข้อห่วงใยถึง “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” เจ้ากระทรวงคุณครูคนปัจจุบัน เรื่องการฟื้นโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุนว่า หากจะดำเนินโครงการดังกล่าว ขอให้คิดถึงเรื่องงบประมาณเผื่อล่วงหน้าไป 4 ปี เพราะเด็กที่ได้ทุนจะต้องได้รับทุนการศึกษาอย่างน้อย 4 ปี สำหรับการศึกษาระดับปริญญาตรี ดังนั้น รัฐบาลจะต้องเผื่องบประมาณตรงนี้ไว้ด้วย แม้ว่าจะเป็นโครงการดี ซึ่งจะช่วยเตรียมทรัพยากรบุคคลรองรับอนาคตของชาติ แต่ก็ต้องไม่ประมาทเรื่องงบประมาณ ยังไงก็ขอให้ท่าน รมว.ศธ. ฟังเสียง “ปู่จิตร” ไว้บ้าง เพราะถือว่าท่าน “เก๋า” ในเรื่องการศึกษาของจริง ** คณะวนศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ ร่วมกับกรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จัดการประชุมทางวิชาการระดับชาติ เรื่อง “การวิจัยพรรณพืชป่าไม้ของประเทศไทย ครั้งที่ 1” ในวันที่ 10-11 กรกฎาคม 2551 เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเจริญพระชนมายุ 80 พรรษา และครบรอบ 72 ปีคณะวนศาสตร์ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และเปิดให้เห็นความหลากหลายในพืชพรรณธรรมชาติ ผู้สนใจขอลงทะเบียนคนละ 600 บาท นักศึกษา 400 บาท สอบถามโทร.0-2579-0176 หรือ www.forest.ku.ac.th ** โรงเรียนภาษาและวัฒนธรรม สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น) จัดงาน “มหกรรมภาษาและวัฒนธรรม” ในวันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคม 2551 เวลา 09.00-16.00 น. ที่สมาคมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น) ซอยสุขุมวิท 29 ภายในงานมีการจัดนิทรรศการ กิจกรรมสาระความรู้ ความบันเทิงและเกมต่างๆ จาก 5 ภาษา 5 วัฒนธรรม ไทย ญี่ปุ่น อังกฤษ จีน และเกาหลี เข้าร่วมงานได้ฟรี สอบถามเพิ่มเติมโทร.0-2259-9160 ต่อ 1671

แหล่งที่มา/ผู้ส่ง ประชาทรรศน์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=2407&Key=hotnews

กทพ.แจกจักรยานเด็กโครงการหลวง-รุ่น2 รถ 550 คัน

7 กรกฎาคม 2551

รายงานข่าวจากการทางพิเศษแห่งประเทศไทย แจ้งว่า การทางพิเศษฯ จัดโครงการ จักรยานเพื่อเด็กไทย จากใจ กทพ. ครั้งที่ 2 โดยนำจักรยาน จำนวน 550 คัน ไปมอบให้กับโรงเรียน ในพื้นที่ความรับผิดชอบของงานพัฒนาการศึกษาและสังคมมูลนิธิโครงการหลวง และกำหนดจัดพิธีมอบจักรยาน จำนวน 450 คัน วันที่ 3 ก.ค. โดยมีหม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี องค์ประธานมูลนิธิโครงการหลวง เป็นองค์ประธานในพิธี ณ อาคารฝึกอบรมมูลนิธิโครงการหลวง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ส่วนอีก 100 คัน นายเผชิญ ไพโรจน์ศักดิ์ ผู้ว่าการ กทพ. จะนำไปมอบให้กับโรงเรียนสามัคคีสันม่วง และโรงเรียนห้วยยา อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2551

ทั้งนี้ การทางพิเศษฯได้จัดกิจกรรมเพื่อเยาวชนเป็นประจำทุกปีโดยการมอบทุนการศึกษาและอุปกรณ์การศึกษาให้แก่เยาวชนในโรงเรียนที่อยู่ใกล้เขตทางพิเศษ ซึ่งในปี 2550 ที่ผ่านมา กทพ. ได้ขยายขอบข่ายการสนับสนุนการศึกษาให้กับเยาวชนในชนบทที่มีบ้านพักอาศัยอยู่ห่างไกลจากโรงเรียน จึงทำให้เดินทางไปโรงเรียนด้วยความยากลำบาก โดยการจัดโครงการ จักรยานเพื่อเด็กไทย จากใจ กทพ. ขึ้นเป็นครั้งแรก ด้วยการมอบจักรยาน จำนวน 350 คัน ให้แก่โรงเรียน 10 แห่ง ในเขตจังหวัดเชียงใหม่, เชียงราย และลำพูน ที่อยู่ภายใต้การดูแลของงานพัฒนาศึกษาและสังคม มูลนิธิโครงการหลวง เพื่อจัดสรรให้แก่เยาวชนที่มีบ้านพักอาศัยอยู่ห่างไกลจากโรงเรียนดังกล่าวให้สามารถเดินทางมาโรงเรียนด้วยความสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งผลจากการจัดโครงการ จักรยานเพื่อเด็กไทย จากใจ กทพ. ครั้งแรกดังกล่าว สามารถยังประโยชน์ให้กับเยาวชนเป็นอย่างยิ่ง และยังมีความต้องการอีกมาก.

แหล่งที่มา/ผู้ส่ง ที่มา: http://www.thairath.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=2411&Key=hotnews

เด็กกับการพนัน ผู้ใหญ่ต้องจริงใจกว่านี้

7 กรกฎาคม 2551

ส่วนกรณีที่ตำรวจคิดว่าจะออกมาคุ้มครองเด็กที่ติดหนี้การพนัน แล้วบอกให้หนีหนี้ ไม่ต้องจ่าย หรือว่าชักดาบนั่นแหละ ต้องคิดให้รอบคอบ และควรจะมีมาตรการอะไรลงโทษเด็กพวกนี้ด้วย อย่างน้อยก็จะได้เป็นการทำให้เด็กไม่รู้สึกย่ามใจ เพราะทำไปแล้วไม่มีความผิด

การพนันสำหรับเด็กวันนี้คล้ายๆกับเป็นแฟชั่นในสถานศึกษา หากไม่เล่นมันก็เชย ดังนั้น ผู้ใหญ่ต้องเข้ามาจริงจังกับเรื่องนี้ เพราะเห็นตำรวจสรุปผลว่ามีเด็กติดการพนันแล้วเป็นหนี้เรือนแสนมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆแล้ว

ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าความเสื่อมของการหลงไปเล่นการพนันนั้นรุนแรงและสร้างความเสียหายต่อการดำรงชีวิตมากนัก ทั้งยังเป็นการก่อเวรก่อกรรม ไม่ว่าจะเป็นผู้ชนะหรือผู้แพ้ หากเป็นผู้แพ้ก็จะมีอาการท้อแท้สิ้นหวัง หลักคำสอนของพระพุทธเจ้าจะอย่างไรก็ดูแล้วไม่ล้าสมัย ใช้ได้ตลอด เพราะพระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องกิเลส เรื่องทุกข์ ทุกข์จากความโง่ ฉะนั้นอย่าให้ความอยากโง่ๆมาไสหัวเราให้ไปเล่นการพนันจนมันมาพันเนื้อพันตัว ติดหนี้ติดสินจนต้องหนีหัวซุกหัวซุน

การพนันนี่ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะแม้แต่เด็กนักเรียนยังหลงไปก่อหนี้จากมันได้เป็นเรือนแสน ถ้าเป็นจำนวน 100-200 ก็ยังพอเป็นเรื่องธรรมดา แต่นี่เป็นหลักแสน คงต้องบอกว่าเจ้าเด็กคนนี้กะโหลกพิภพ มิได้มีหัว เหมือนกับว่าเกิดมามีแต่ตัวกับกระเพาะ ส่วนหัวลืมเอามา

แล้วทีนี้ต่อไปจะหาเงินแสนที่ไหนไปใช้คืนเขา และถ้าหามาใช้ไม่ได้อะไรจะเกิดขึ้น เคยได้ยินข่าวบ้างหรือไม่ว่าไอ้พวกทวงหนี้มันโหดแค่ไหน ข่าวคราวเรื่องอย่างนี้ก็มีให้ได้ยินตลอด เดี๋ยวเกิดขึ้นที่โน่นเดี๋ยวเกิดขึ้นที่นี่

ระบบการศึกษาทำไมไม่สอนให้เด็กรู้จักควบคุมความอยากโง่ๆของตัวเองบ้าง หรือว่าอาจารย์ก็ยังทำไม่ได้ ขนาดอาจารย์บางคนยังอยากนอนกับลูกศิษย์ตัวเองเลย โดยเอาเรื่องการปรับเกรดมาเป็นตัวล่อ ส่วนเด็ก (บางคนที่ไม่ใช่คนที่เป็นข่าวคนนี้) ที่มีความอยากโง่ๆ อยากจะได้เกรดดีๆ ก็ยอมไปกับเขาก็มี มันก็เป็นเรื่องของความอยาก

กลับมาเรื่องการพนัน อย่างไรเรื่องนี้ก็มีแต่เสียกับเสีย ไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องได้เลย ถึงแม้จะเล่นได้ แต่ก็ทำให้เรายิ่งเสียนิสัย เสียสันดาน แทนที่จะรู้จักว่ามันไม่ควร จะหวังรวยลมๆแล้งๆ เพราะมีได้ก็ต้องมีเสีย เราจึงไม่ควรสนุกสนานกับเรื่องเหล่านี้ เพราะอาจทำให้เราต้องทุกข์กันภายหลังเจียนตายก็ได้

ส่วนกรณีที่ตำรวจคิดว่าจะออกมาคุ้มครองเด็กที่ติดหนี้การพนัน แล้วบอกให้หนีหนี้ ไม่ต้องจ่าย หรือว่าชักดาบนั่นแหละ ต้องคิดให้รอบคอบ และควรจะมีมาตรการอะไรลงโทษเด็กพวกนี้ด้วย อย่างน้อยก็จะได้เป็นการทำให้เด็กไม่รู้สึกย่ามใจ เพราะทำไปแล้วไม่มีความผิด เสียก็ไม่ต้องจ่าย จึงควรมีการลงโทษลงทัณฑ์เอาไว้บ้าง เอาพอสมควรในฐานะที่เป็นผู้เล่น ไม่อย่างนั้นตำรวจก็ต้องมาเหน็ดเหนื่อยกับเด็กปัญญาอ่อนพวกนี้ แต่จะว่าไปก็ไม่ใช่ปัญญาอ่อนอย่างเดียว ศีลธรรมในโรงเรียนก็จะอ่อนตามไปด้วย

อันที่จริงหากโรงเรียนได้สอนเด็กหรือได้กำชับเด็กในเรื่องดังกล่าวแล้ว แต่เด็กยังดื้อ ไม่ชื่อฟัง ยังจะเล่น ถามว่าเด็กแบบนี้ต้องลงโทษถึงจะถูกใช่หรือไม่ อาจจะให้ดร็อปเรียนสักปี แล้วจับตาดูพฤติกรรมว่ายังเล่นอยู่อีกหรือเปล่า หากยังทำอะไรซ้ำๆซากๆก็ไม่น่าจะให้เป็นนักเรียนนักศึกษา ไม่น่าจะได้รับปริญญาหรือมีดีกรีอะไรติดมาทั้งสิ้น เพราะคนอย่างนี้ได้ดีกรีไปก็ไม่มีดีอะไร เพราะเท่ากับมหาวิทยาลัยให้วุฒิบัตรเพิ่มกำลังใจกับคนเลวให้ทำความเลวได้ถนัด

นักเรียนนักศึกษาหลายคนคงจะใช้ดีกรีลูกคนรวย หรือแม้จะไม่ใช่ลูกคนรวยก็ตามมาเล่นการพนัน แต่เชื่อว่าคงไม่มีพ่อคนไหนโง่เอาเงินแสนไปให้ลูกเล่นการพนันแล้วใช้หนี้พนันแทนลูก เพราะถือว่าเกินกว่าจะกรุณาปรานีได้ จะเปรียบก็คงต้องบอกว่าชั่วเกินตัว เลวเกินตัว โง่เกินไป สำหรับเด็กที่เล่นได้ถึงขนาดนี้ หากผู้ปกครองยอมหาเงินมาช่วยคงเป็นการแพร่ความโง่ออกมาระบาดให้คนอื่น

หลวงพ่อพุทธทาสจึงเปรียบระบบการศึกษาเหมือนกับหมาหางด้วน หรือเจดีย์ยอดด้วน เพราะการพนันเหล่านี้เด็กๆในระดับอนุบาลคงยังเล่นไม่เป็น เด็กชั้นประถมฯก็ยังเล่นไม่เป็น แต่เริ่มมาเป็นกันตอนที่เรียนสูงขึ้น คือยิ่งสูงยิ่งเล่นกันเยอะ จึงเปรียบว่าการศึกษาเหมือนหมาหางด้วน คือการต่อยอดความรู้ทางการศึกษามันต่อยอดไม่จริง มีความรู้แบบไม่จริง

เพราะฉะนั้นใครที่ปล่อยให้เด็กก็ดี หรือลูกศิษย์ก็ดี โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐที่บอกว่าจะคุ้มครองป้องกันไม่ให้โต๊ะพนันบอลมาทวง จึงไม่ใช่ทางออก เพราะต้องมาตามดูแลอีก จะกลายเป็นภาระของแผ่นดิน เป็นภาระของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่ต้องมาเหน็ดเหนื่อยกับเด็กพวกนี้

หากโรงเรียนดังโรงเรียนไหนมีเด็กประเภทนี้อยู่เยอะๆก็อยากจะบอกว่าให้ลดเกรดดังได้แล้ว เพราะดังไม่จริง ดังไม่ดี ดังแบบไม่มีผลงานสร้างสรรค์ เพราะเรื่องอย่างนี้เราต้องถือว่าเป็นเรื่องแย่ๆของเด็กที่อยู่ในโรงเรียนดัง เพราะเด็กที่ติดหนี้การพนันบอลมองดูแล้วก็เหมือนกับพวกเก้งพวกกวางที่ถูกเขาไล่ล่า จะบอกว่าสมน้ำหน้าระบบการศึกษาบ้านเราก็ได้ เพราะไม่รู้จักแก้ให้มันทัน ถ้าครูบาอาจารย์สนใจจริงๆก็จะรู้ว่าลูกศิษย์คนไหนมีแนวโน้มที่จะเล่นการพนันหรือเปล่า จะได้ช่วยกันปกป้อง จะได้รู้เท่ารู้ทัน รู้แก้รู้กันก่อนจะสาย เพราะไม่อย่างนั้นก็จะต้องมาหลบๆซ่อนๆ สร้างภาระให้ตำรวจต้องคอยคุ้มครอง

ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องไม่ดีกับเด็กชั่วกันจนเกินไป เพราะจะทำให้ยุ่ง และจะทำอะไรได้ไม่ทัน

เจริญพร

แหล่งที่มา/ผู้ส่ง โลกวันนี้

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=2413&Key=hotnews

การศึกษาเพื่อผู้สูงอายุ

7 กรกฎาคม 2551

โครงสร้างประชากรไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุ โดยอัตราส่วนประชากรผู้สูงอายุจะเพิ่มจากร้อยละ 12 ในปี พ.ศ.2551 เป็นร้อยละ 21.5 ในปี พ.ศ.2568 และด้วยการแพทย์ก้าวหน้า ส่งผลให้ผู้คนมีอายุเฉลี่ยยืนยาวขึ้น 8.8 ปี ประกอบกับอัตราส่วนประชากรวัยเด็กมีแนวโน้มลดลง โดยอัตราการเจริญพันธุ์ที่เคยสูงถึง 6-7 คน เหลือเพียง 1.7 คน (2548) ซึ่งต่ำกว่าระดับทดแทน

หลายประเทศที่มีแนวโน้มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเช่นเดียวกับไทย ซึ่งต่างพยายามกำหนดนโยบายและมาตรการต่างๆ สำหรับผู้สูงอายุ ทั้งด้านสวัสดิการ การสังคมสงเคราะห์ การสาธารณสุข การบริการสาธารณะ และการศึกษา บทความนี้จะนำเสนอเฉพาะนโยบายด้านการศึกษาสำหรับผู้สูงอายุ

ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้ผู้สูงอายุใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า ชะลอภาวะสมองเสื่อมและป้องกันโรคซึมเศร้า โดยมีตัวอย่างบางประเทศ ดังนี้

เกาหลีใต้ กระทรวงสารสนเทศและการสื่อสาร (Ministry of Information and Communication : MIC) ร่วมกับสถาบันส่งเสริมการใช้ไอซีทีของเกาหลี (KADO) จัดโครงการการศึกษาไอซีทีเพื่อผู้สูงอายุที่มีอายุ 55 ปีขึ้นไป (ICT Education for the Elderly) โดยร่วมมือกับภาคเอกชน วิทยาลัย ศูนย์สวัสดิการสังคม และศูนย์สวัสดิการผู้ที่อยู่ในวัยเกษียณ เพื่อฝึกอบรมทักษะไอซีทีแก่ผู้สูงอายุเป็นเวลา 20-30 ชั่วโมง

ไต้หวัน เมื่อต้นปี ค.ศ.2008 กระทรวงศึกษาธิการไต้หวัน ได้ประกาศเพิ่มงบประมาณจำนวน 46.54 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน (NT$) เพื่อสนับสนุนการศึกษาสำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจาก ค.ศ.2007 และก่อนหน้านี้ กระทรวงศึกษาธิการก่อตั้งศูนย์การเรียนรู้ตลอดชีวิต (life-long learning centers) และศูนย์การเรียนรู้เพื่อผู้สูงอายุ (grey-haired learning centers) ในมณฑลต่างๆ

สหรัฐอเมริกา ผู้สูงอายุในสหรัฐฯ ให้ความสนใจกับการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งวิทยาลัยต่างๆ ทั่วสหรัฐฯ ได้อนุญาตให้ประชาชนที่เกษียณอายุเข้าเรียนในหลักสูตรสำหรับผู้สูงอายุ โดยเสียค่าใช้จ่ายน้อยหรือไม่เสียค่าใช้จ่ายเลย นอกจากนี้ ภายในวิทยาลัยยังมีที่พักพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่เสียค่าใช้จ่ายน้อยเช่นกัน

ข้างต้นแสดงให้เห็นว่า หลายประเทศให้ความสำคัญกับการเรียนรู้สำหรับผู้สูงอายุ ไทยก็เช่นกันต้องเร่งส่งเสริมการเรียนรู้สำหรับผู้สูงอายุ โดยอาจให้ กทม. เป็นต้นแบบการพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาด้านหลักสูตร กิจกรรมฝึกอบรม และโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ในชุมชนทั่ว กทม. เช่น สนับสนุนให้มหาวิทยาลัยเปิดหลักสูตรสำหรับผู้สูงอายุ สถาบันอาชีวศึกษาจัดโครงการและกิจกรรมเรียนรู้สำหรับผู้สูงอายุ เช่น สอนอินเตอร์เน็ต ภาษาอังกฤษ ทักษะอาชีพตามความสนใจ ฯลฯ

รวมถึงให้ผู้สูงวัยมีส่วนใช้ประสบการณ์และใช้เวลาว่างในการดูแลและพัฒนาสังคม เช่น การช่วยดูแลเด็กเล็กด้อยโอกาสในชุมชน การปันประสบการณ์และความรู้เป็นวิทยาทาน ฯลฯ เพื่อส่งเสริมผู้สูงอายุใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า ลดภาวะโรคซึมเศร้า และมีความสุข

ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์

–บางกอกทูเดย์ วันที่ 8 ก.ค. 2551–  แหล่งที่มา/ผู้ส่ง บางกอกทูเดย์ (Th)

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=2404&Key=hotnews

ราชบัณฑิตมอบ สทศ.ออกข้อสอบ โทเฟลภาษาไทย

7 กรกฎาคม 2551

ตามที่ราชบัณฑิตยสถานมีนโยบายจัดเกณฑ์มาตรฐานภาษาไทย ทั้งจัดสอบแบบทดสอบภาษาไทยเพื่อทดสอบความรู้ด้านภาษาไทยของคนไทย ในลักษณะการสอบโทเฟลภาษาอังกฤษนั้น ดร.ชลธิชา สุดมุข ราชบัณฑิตยสถาน ผู้รับผิดชอบโครงการเกณฑ์มาตรฐานภาษาไทยของราชบัณฑิตยสถาน เปิดเผยว่า ราชบัณฑิตยสถานมอบหมายให้สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) ออกข้อสอบแบบทดสอบภาษาไทย โดยระดมอาจารย์ผู้สอนด้านภาษาไทยระดับมัธยม และอุดมศึกษา ร่วมกันออกข้อสอบ จากนั้นให้มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว.) นำแบบทดสอบภาษาไทยไปทดลองใช้ โดยสุ่มตัวอย่างครู นักเรียน ทั่วประเทศ จำนวน 3,000 คน มาทดลองใช้แบบทดสอบภาษาไทย เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงแบบทดสอบให้สมบูรณ์มากขึ้น โดยสามารถวัดทักษะ 4 ด้าน ได้แก่ ฟัง พูด อ่าน เขียน ซึ่งแบบทดสอบก็จะมีทั้งปรนัย อัตนัย และการพูด ซึ่งเป็นภาคปฏิบัติ

ดร.ชลธิชา กล่าวต่อว่า คาดว่าปลายปี 2551 จะสามารถสร้างแบบทดสอบภาษาไทยได้เสร็จเรียบร้อย และใช้ทดสอบกลุ่มครูและนักเรียน โดยกลุ่มครูจะแบ่งเป็น 1.ครูอนุบาลและประถมศึกษา 2.กลุ่มที่สอนสาขาวิชาต่างๆ ซึ่งใช้ภาษาไทยเป็นสื่อในการสอน เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ กีฬา ศิลปะ สังคม 3.ครูอาชีวศึกษา 4.ครูภาษาไทย ส่วนนักเรียนแบ่งการทดสอบเป็น ป.6 ม.3 ม.6 ปวช. ปวส. และอุดมศึกษา ทั้งนี้ การทดสอบนั้นจะเปิดกว้างให้ครูและนักเรียนเข้ามาทดสอบตามความสมัครใจ โดย สทศ. รับที่จะเป็นหน่วยจัดทดสอบให้ จากนั้นราชบัณฑิตฯ จะจัดทำคู่มือเพื่อพัฒนาครู ในลักษณะสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่ง สทศ. คาดหวังว่าแบบทดสอบภาษาไทยจะมีส่วนช่วยพัฒนาให้นักเรียนไทยสอบแบบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน หรือโอเน็ต ได้ดีขึ้นด้วย

แหล่งที่มา/ผู้ส่ง ประชาทรรศน์ (Th)

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=2402&Key=hotnews

ทปอ.ฟุ้งแก้การศึกษาใต้

7 กรกฎาคม 2551

กรุงเทพฯ-07 ก.ค.–          ดร.บุญสม ศิริบำรุงสุข อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) เปิดเผยว่า จากที่ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) โดยมหาวิทยาลัยของรัฐทั้ง 26 แห่ง ได้ร่วมกันทำ “ปฏิญญาหาดใหญ่” เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาภาคใต้ ซึ่ง มอ. รับเป็นศูนย์ประสานงาน ทปอ. ในการดำเนินการเรื่องดังกล่าวนั้น ตนได้สรุปผลการแก้ปัญหาภาคใต้รายงานต่อ ทปอ. โดยสถาบันอุดมศึกษาทั้งหมดได้พิจารณาให้ทุนการศึกษาแก่นักศึกษาที่มีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในปีการศึกษา 2551 จำนวน 1,100 ทุน มีทั้งทุนยกเว้นค่าเล่าเรียน ทุนหอพัก และทุนค่าใช้จ่ายประจำวันของนักศึกษา นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยต่างๆ ยังได้กันที่นั่งเรียนสำหรับรับนักเรียนจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าเรียนด้วย ซึ่งเป็นที่น่ายินดีว่าในปีนี้เด็กจากพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เลือกเข้าเรียนต่อในสถาบันอุดมศึกษาที่หลากหลาย ทั้งมหาวิทยาลัยของรัฐ และเอกชน จากเดิมที่กระจุกตัวอยู่ที่ มอ. แห่งเดียวเท่านั้น นอกจากนี้เด็กก็ยังเลือกศึกษาต่อในสาขาที่หลากหลายมากขึ้นด้วย ไม่เฉพาะในสาขาด้านศาสนาอิสลามเหมือนในอดีตเท่านั้น

“การที่เด็กกระจายตัวไปเรียนในมหาวิทยาลัยต่างๆ นอกพื้นที่ และเรียนสาขาที่หลากหลายขึ้นนั้น เป็นผลมาจากความร่วมมือของสถาบันอุดมศึกษาทั้งหมด ที่ต้องการนำการศึกษาช่วยแก้ปัญหาในภาคใต้ จึงได้มีการจัดสรรที่เรียนให้เด็กใน 3 จังหวัด และประชาสัมพันธ์อย่างทั่วถึง ทำให้เด็กรู้ว่าเขามีโอกาสมากขึ้นที่จะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย และสามารถเรียนที่ไหนได้บ้าง ที่สำคัญการเลือกเรียนสาขาที่หลากหลายมากขึ้นของเด็กใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นเป็นเรื่องดี เพราะหลังศึกษาจบเด็กเหล่านี้จะมีโอกาสได้งานทำมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาเด็กจะเลือกเรียนสาขาเกี่ยวกับศาสนาอิสลามเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ไม่มีงานรองรับ ซึ่งการมีงานทำของเด็กในพื้นที่ดังกล่าวเป็นเรื่องสำคัญ จะสามารถแก้ปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ได้อย่างยั่งยืน และอยากให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการให้ทุนการศึกษากับเด็กในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย โดยเอกชนที่ต้องการช่วยเหลือด้านการศึกษา สามารถติดต่อได้โดยตรงที่ สกอ.” ดร.บุญสม กล่าว

แหล่งที่มา/ผู้ส่ง ประชาทรรศน์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=2396&Key=hotnews

ดันงบอาหารกลางวันเพิ่ม 3 บ.เข้า ครม.

7 กรกฎาคม 2551

นายสมเกียรติ ชอบผล รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้เสนอขอปรับเพิ่มงบประมาณค่าอาหารกลางวันนักเรียน ตามโครงการอาหารกลางวันนักเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา ที่รัฐจัดให้แก่นักเรียนชั้นอนุบาล ถึง ป.6 ที่ยากจนและด้อยโอกาส จากเดิมอัตราคนละ 10 บาทต่อวัน เป็น 13 บาทต่อวัน ตามที่กรมอนามัยได้คำนวณให้นั้น ขณะนี้ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ศึกษาธิการ ได้ลงนามเห็นชอบเรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 8 กรกฎาคมนี้ ซึ่งน่าจะได้รับการอนุมัติจาก ครม. เนื่องจากดัชนีผู้บริโภคและค่าครองชีพในปัจจุบันสูงขึ้นอย่างชัดเจน ประกอบกับตัวเลขที่เสนอไปนั้น กรมอนามัยเป็นผู้คำนวณตามหลักโภชนาการ ทั้งนี้การขอปรับเพิ่มงบประมาณดังกล่าว จะเริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ 2552 เป็นต้นไป โดยจะใช้งบประมาณปีละ 12,226 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2551 จำนวน 2,821.384 ล้านบาท

ด้าน นายสมนึก มีแสง ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาปัตตานี เขต 1 กล่าวว่า งบอาหารกลางวันที่ได้รับอยู่ขณะนี้นั้น แม้ว่าในภาพรวมจะยังจะพอดำเนินการอยู่ได้ แต่รัฐบาลก็ควรพิจารณาปรับงบดังกล่าวเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 1-2 บาท เพื่อให้การจัดอาหารกลางวันให้กับเด็กนักเรียนมีประสิทธิภาพ และครอบคลุมเด็กยากจนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม สำหรับโรงเรียนที่ประสบปัญหางบอาหารกลางวันไม่เพียงพอ เพราะค่าครองชีพสูงขึ้นมาก ก็ควรประสานกับ อปท. เพื่อหาทางแก้ปัญหา

แหล่งที่มา/ผู้ส่ง ประชาทรรศน์ (Th)

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=2400&Key=hotnews

สำรวจ Camfrog โลกมืดใน Cyber Space ของวัยทีน

5 มกราคม 2550

โดย – วรัทยา ไชยลังกา

“You” หรือ “พวกคุณ” คือบุคคลแห่งปี ของนิตยสารไทม์ ประจำปี 2549 ในฐานะ คนในยุคปัจจุบันเป็นผู้ครอบครองสื่อทั่วโลก และเป็นผู้กำหนดทิศทางประชาธิปไตยในยุคดิจิตอลที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยการสร้างสรรค์และใช้เว็บไซต์บนอินเทอร์เน็ต จนทำให้เกิดเนื้อหาข่าวสารมากมายอย่างเว็บไซต์เครือข่ายบนอินเทอร์เน็ต “มายสเปซ” และเว็บไซต์แลกเปลี่ยนไฟล์วิดีโอ “ยูทิวบ์” เป็นต้น

แต่ “You” โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนในประเทศไทยกลับใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อเล่นพนันฟุตบอล เข้าเว็บไซต์เพื่อดูภาพลามก โดยเฉพาะในยุคไร้พรมแดนได้ก้าวไปสู่การโชว์เนื้อหนังกันโจ๋งครึ่ม …ไม่…ไม่ใช่แค่นั้น พวกเขาในโลกมืดที่ไปสร้างชุมชนคนในเว็บ โชว์กันถึงขนาดการสำเร็จความใคร่ รวมไปถึงการร่วมเพศ ไม่ว่าจะต่างเพศหรือเพศเดียวกัน ผ่านโปรแกรมวิดีโอ คอนเฟอเรนซ์ที่สุดอื้อฉาว นั่นคือ “แคมฟรอก” (Camfrog)

“แคมฟรอก” เป็นโปรแกรมแชตผ่านเว็บแคม (กล้องที่ติดกับคอมพิวเตอร์ที่ทำให้สามารถเห็นหน้าของคู่สนทนาอีกฝ่ายหนึ่ง) เป็นซอฟต์แวร์ชองบริษัท แคมแชร์ (Camshare) ผลิตออกมาเพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถแชร์เว็บแคมผ่านทางอินเทอร์เน็ตได้ง่ายยิ่งขึ้น ส่วนใหญ่จะมีการพูดคุยและแสดงวิดีโอในหลายต่อหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว กีฬา ภาษา ดนตรี วัฒนธรรม หรือแม้แต่เรื่องราวที่สร้างความฮือฮามากที่สุดในเวลานี้คือ “เรื่องราวทางเพศ” มีการโชว์ภาพลามก ซึ่งกำลังระบาดในหมู่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตโดยเฉพาะนักเรียน นักศึกษา

ในประเทศไทยพบว่า มีผู้ใช้โปรแกรมนี้มากเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา และจีน โดยเฉลี่ยคนไทยเข้าไปใช้บริการถึงวันละ 1,000-2,000 คน และอยู่ดูกันตลอด 24 ชั่วโมงเลยทีเดียว ดูกันนานกว่าประเทศอื่นๆ ในโลก ทั้งที่โปรแกรมนี้ใช้กันมานานทั้งในอเมริกา จีน สเปน เยอรมนี แต่ก็มีประชาชนให้ความสนใจเพียงวันละ 100-150 คน ดูกันเพียง 2-4 ชั่วโมงเท่านั้น

หลายคนที่เข้ามาใช้โปรแกรมแคมฟรอกเพื่อหาเพื่อนคุยแก้เหงา คลายเครียด รวมไปถึงการเข้ามาศึกษาพฤติกรรมการแสดงออกที่ไม่เหมาะสมกับวัฒนธรรม ศีลธรรมอันดีของสังคมไทย

แต่สำหรับบางคน แคมฟรอกกลายเป็นช่องทางหรือเวทีการแสดงออกเพื่อให้ตนเองเป็นที่รู้จักหรือ “แจ้งเกิด” โดยคิดว่าการโชว์ตัวตนผ่านที่แห่งนี้ ซึ่งมีผู้คนสนใจดูเป็นจำนวนมาก ทำให้เป็นที่รู้จัก รายที่เคยโชว์การร่วมเพศ ก็จะมีซ้ำอีกรอบ 2 3 และ 4 แบบไม่อาย

 

สำหรับห้องสนทนาในแคมฟรอกแบ่งเป็น 2 หมวด คือ General และ 18+Only ห้องที่โชว์ลามกอนาจารจะอยู่ในหมวดหลัง และห้องที่กิตติศัพท์โด่งดังเป็นข่าวฉาวโฉ่คือ ห้อง “Junrai” เป็นห้องของคนไทยซึ่งใหญ่ที่สุดในหมวดหมู่ 18+Only มีผู้เล่นมากสุดขึ้นหลักพันเลยทีเดียว

ยิ่งกว่านั้น ช่วงเวลาที่เล่นยังเป็นตอนกลางวันแสกๆ ซึ่งเป็นช่วงเวลาของการทำงาน นอกจากห้อง “Junrai” แล้วก็จะมีห้อง “MunzSudSud” ห้อง “xxxx Thai Girl Move xxxx” ห้อง “Gay Thai Cam” ห้อง “Chaina The GreatWall” ห้อง “Yed Hia” ห้อง “OoO CHINA Myth OoO” ห้อง “SiamX” ห้อง “SilkyWomen GoCracy” เป็นต้น

การโชว์ในรูปแบบต่างๆ ในแคมฟรอก จะมี 2 รูปแบบ คือ แบบเห็นหน้าและไม่เห็นหน้า ซึ่งในแต่ละห้องจะมีการโชว์ทั้งสองรูปแบบปะปนกันไป และเป็นที่รู้กันว่าจะมีกฎของห้อง ทุกคนต้องปฏิบัติตามหากไม่ปฏิบัติตามก็จะถูก “เตะ” เป็นภาษาในการเล่นแคมฟรอก คือการถูกผู้ดูแลขับออกจากห้อง ตัวอย่างห้อง Thai GirL Move

“ยินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ โดยเฉพาะสาวๆ จะ move มาที่นี่แน่นอนครับ ห้องนี้มันเป็นกงกำกงเกวียน จากกันแล้วจะได้มาเจอกันอีก กฎของห้องนี้ ทุกคนควรอ่าน ห้ามบันทึกวิดีโอใดๆ ทุกชนิดจากภาพที่เผยแพร่ในห้องนี้โดยเด็ดขาด ห้ามพูดจาส่อเสียดให้เกิดการทะเลาะวิวาทหรือด่าดูหมิ่นผู้อื่นเด็ดขาด ห้ามสั่งสาวโชว์โดยเด็ดขาด และให้เกียรติสุภาพสตรีด้วย ห้ามนำโหวต โพสต์เว็บ แจกเบอร์โทร e-mail หน้าห้องโดยเด็ดขาด กฎต่างๆ สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า”

นอกเหนือไปจากนักแสดงสดผ่านทางเว็บแคมแล้ว ในแคมฟรอกยังรวบรวมดีเจเสียงใสๆ ที่มักเป็นผู้สร้างสรรค์เสียงเพลงที่กระตุ้นอารมณ์ ความครื้นเครง ของคนในห้องแชตรูมเอาไว้ โดยเนื้อเพลงที่เปิดจะเป็นเพลงใต้ดินที่นำมามิกซ์ให้มีเนื้อหาลามกหยาบคาย นอกจากนี้ยังมีข้อความชวนโหวต “ใครอยากให้น้อง hot girl ปลด กระดุมช่วยกด 1 ด้วยครับ” ชวนให้ติดตามและน่าขบคิดว่าผลโหวตจะออกมาเป็นอย่างไร หรืออยากรู้ตอนจบของผลโหวต เป็นการแสวงหาความต้องการบางสิ่งบางอย่างจากคนแปลกหน้าตามคำบอกเล่าผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์

โปรแกรมแคมฟรอกนี้ไม่มีใครได้รับเงินตอบแทน กลุ่มคนที่เป็นเจ้าของสร้างขึ้นมา เพื่อความสนุกเท่านั้น ถือได้ว่าเป็นการนำโปรแกรมแกรมคอมพิวเตอร์มาใช้ในทางที่ผิด สร้างค่านิยมผิดๆ ให้กับวัยรุ่น และเป็นการทำลายวัฒนธรรมของไทย

ทั้งที่โดยเนื้อแท้แล้วโรแกรมแคมฟรอกสามารถนำมาใช้ประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการจัดประชุมผ่านอินเทอร์เน็ต การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นสำหรับผู้พิการทางด้านร่างกายโดยการคุยกันด้วยภาษามือ นอกจากนี้ยังเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์

แต่ก็อย่างว่า เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่มีคุณประโยชน์นานัปการ แต่ถ้านำมาใช้ในทางที่ผิดก็ยากที่จะควบคุมผลร้าย ซึ่งจะตามมา

แหล่งที่มา/ผู้ส่ง ที่มา: กรุงเทพฯ-05 ม.ค.—โพสต์ทูเดย์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=2381&Key=hotnews

วิทยาลัยอาชีวสิงห์บุรีสอนทำปลาร้า-ขนมไทยหนุนธุรกิจท่องเที่ยวโฮมสเตย์สร้างงานชุมชน

5 มกราคม 2550

นางสาวดรุณี ญาณวัฒนา ผู้อำนวยการวิทยาลัยอาชีวศึกษาสิงห์บุรี กล่าวว่า จังหวัดสิงห์บุรี มียุทธศาสตร์ในการส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวแบบโฮมสเตย์ โดยมีกลุ่มที่เข้าร่วมโครงการและได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีทำขนมไทยไว้ใช้เลี้ยงคณะท่องเที่ยวที่เข้ามาพัก นอกจากนี้จะจัดกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวได้ฝึกทำขนมไทยอีกด้วย สำหรับการสอนทำอาหาร และขนมไทยนั้นถือเป็นอาชีพในการบริหารงานโฮมสเตย์ แล้วยังสามารถทำขายสู่ชุมชนและแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ซึ่งสามารถยกระดับความเป็นอยู่ของสมาชิกให้มีคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นอีกด้วย

โดยวิทยาลัยอาชีวศึกษาสิงห์บุรีได้เริ่มดำเนินการถ่ายทอดวิธีการทำขนมไทย ณ หมู่ที่ 1 ต.จักรสีห์ อ.เมืองสิงห์บุรีนอกจากทางวิทยาลัยฯ จะถ่ายทอดวิธีการทำขนมไทย

แก่ชุมชนแล้วทางวิทยาลัยฯ ยังมีโครงการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตปลาร้าให้กับชุมชนในจังหวัดสิงห์บุรี อีกด้วย ทั้งนี้เนื่องจากจังหวัดสิงห์บุรี เป็นแหล่งน้ำจืดซึ่งมีปลาน้ำจืดอยู่เป็นจำนวนมาก สามารถสร้างรายได้ให้กับประชาชนในจังหวัดหลาย ๆ ด้านที่มีอาชีพเลี้ยงปลาเพื่อจำหน่าย เช่น การทำปลาร้า เนื่องจากปลาร้าเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมีธาตุอาหารหลายชนิด โดยเฉพาะธาตุ อาหารโปรตีนและธาตุแคลเซียม ซึ่งช่วยบำรุงกระดูกและฟัน

วิทยาลัยอาชีวศึกษาสิงห์บุรีจึงเริ่มดำเนินงานถ่ายทอดเทคโนโลยีผลิตปลาร้า ให้แก่ชุมชนในจังหวัดสิงห์บุรี ณ บ้านบางสำราญ ต.บางมัญ อ.เมืองสิงห์บุรี, บ้านท่าข้าม ต.ท่าข้าม อ.ค่ายบางระจัน, บ้านพระงาม ต.พระงาม อ.พรหมบุรี ซึ่งทั้งสองโครงการเริ่มดำเนินงานตั้งแต่บัดนี้ จนถึงเดือนกันยายน 2550.

แหล่งที่มา/ผู้ส่ง ที่มา: –เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 5 ม.ค. 2550–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=2379&Key=hotnews