Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

ร.ร.เล็กเสนอเรียนแบบพี่-น้อง ชี้ยุบรวมยังแก้ไม่ตรงจุดต้องทบทวนทั้งระบบ

15 พฤษภาคม 2556

นายสัมนา ฉัตรบูรณจรัส ผอ.ร.ร.บ้านบุใหญ่ ต.สูงเนิน อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา แกนนำเครือข่าย ร.ร.ขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 4 (สพป.นม.4) กล่าวถึงแนวคิดการยุบรวมและควบรวมร.ร.เล็กว่า สถานศึกษาของตนอยู่ในเกณฑ์จะต้องถูกยุบรวม เนื่องจากเป็น ร.ร.ขนาดเล็ก มีนักเรียนต่ำกว่า 60 คน จากการหารือกับกลุ่มผู้บริหารและบุคลากรทางการศึกษา สพป.นม.4 ซึ่งมีร.ร.ขนาดเล็กทั้งสิ้น 119 แห่ง แยกเป็นสถานศึกษาที่มีจำนวนนักเรียนต่ำกว่า 120 คน 90 แห่ง และต่ำกว่า 60 คน 29 แห่ง

แนวทางข้อตกลงในกลุ่มเครือข่าย เห็นว่าต้องพึ่งพาอาศัยกัน มิเช่นนั้นนักเรียนของแต่ละร.ร. จะลดลงไปเรื่อยๆ ส่งผลถึงขวัญและกำลังใจบุคลากรทางการศึกษา โดยเปิดภาคเรียนใหม่ จะเริ่มใช้รูปแบบร.ร.พี่-ร.ร.น้อง โดยให้สถานศึกษาที่ตั้งอยู่ในรัศมีไม่เกิน 5 กิโลเมตร จับกลุ่มในลักษณะเรียนร่วมกัน โดยใช้ครูผู้สอน ที่ถนัดในแต่ละกลุ่มสาระวิชา รับผิดชอบในแต่ละชั้นปี ส่วนการเดินทางขอสนับสนุนจาก อปท. และ ผู้ปกครอง หากยุบร.ร.ขนาดเล็ก เป็นการแก้ปัญหาไม่ตรงจุด สพฐ. ต้องกลับมาทบทวนระบบการศึกษาด้วย

นายชลอ แยกโคกสูง ผอ.ร.ร.บ้านหมื่นไวย ต.หมื่นไวย อ.เมือง จ.นครราชสีมา สังกัด สพป.นม.1 กล่าวว่า เปิดสอนมาร่วม 60 ปี ล่าสุดเหลือนักเรียน 40 คน เป็นโจทย์ให้ครูผู้สอน ซึ่งมีเพียง 2 คน รับผิดชอบนักเรียนที่ศึกษาต่างช่วงชั้นซึ่งมีปัญหาตามมา หากระบบการศึกษาเมืองไทยมีสองมาตรฐานก็สมควรยุบ แต่ถ้าไม่ให้ยุบ สพฐ.ต้องจัดส่งครูผู้สอนมาเพิ่มเติม รวมทั้งสนับสนุนงบฯ สื่อการเรียนการสอนให้เท่าเทียมกัน จะเป็นแรงดึงดูดให้ผู้ปกครองส่งบุตรหลานมาเรียนเพิ่มขึ้น

แนวคิดการเรียนร่วมกับร.ร.ที่ตั้งอยู่ในละแวกใกล้เคียง บรรเทาปัญหาขาดครู เสนอไปแล้ว เตรียมปรับใช้ในเทอมหน้า โดยร่วมกับร.ร.ชุมชนประโดก-โคกไผ่ ที่ตั้งห่างออกไปประมาณ 1.5 ก.ม.

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 16 พ.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32706&Key=hotnews

ร.ร.เล็กเสนอเรียนแบบพี่-น้อง ชี้ยุบรวมยังแก้ไม่ตรงจุดต้องทบทวนทั้งระบบ

15 พฤษภาคม 2556

นายสัมนา ฉัตรบูรณจรัส ผอ.ร.ร.บ้านบุใหญ่ ต.สูงเนิน อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา แกนนำเครือข่าย ร.ร.ขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 4 (สพป.นม.4) กล่าวถึงแนวคิดการยุบรวมและควบรวม ร.ร.เล็กว่า สถานศึกษาของตนอยู่ในเกณฑ์จะต้องถูกยุบรวม เนื่องจากเป็น ร.ร.ขนาดเล็ก มีนักเรียนต่ำกว่า 60 คน จากการหารือกับกลุ่มผู้บริหารและบุคลากรทางการศึกษา สพป.นม.4 ซึ่งมี ร.ร.ขนาดเล็กทั้งสิ้น 119 แห่ง แยกเป็นสถานศึกษาที่มีจำนวนนักเรียนต่ำกว่า 120 คน 90 แห่ง และต่ำกว่า 60 คน 29 แห่

แนวทางข้อตกลงในกลุ่มเครือข่าย เห็นว่าต้องพึ่งพาอาศัยกัน มิเช่นนั้นนักเรียนของแต่ละร.ร. จะลดลงไปเรื่อยๆ ส่งผลถึงขวัญและกำลังใจบุคลากรทางการศึกษา โดยเปิดภาคเรียนใหม่ จะเริ่มใช้รูปแบบร.ร.พี่-ร.ร.น้อง โดยให้สถานศึกษาที่ตั้งอยู่ในรัศมีไม่เกิน 5 กิโลเมตร จับกลุ่มในลักษณะเรียนร่วมกัน โดยใช้ครูผู้สอน ที่ถนัดในแต่ละกลุ่มสาระวิชา รับผิดชอบในแต่ละชั้นปี ส่วนการเดินทางขอสนับสนุนจาก อปท. และ ผู้ปกครอง หากยุบร.ร.ขนาดเล็ก เป็นการแก้ปัญหาไม่ตรงจุด สพฐ. ต้องกลับมาทบทวนระบบการศึกษาด้วย

นายชลอ แยกโคกสูง ผอ.ร.ร.บ้านหมื่นไวย ต.หมื่นไวย อ.เมือง จ.นครราชสีมา สังกัด สพป.นม.1 กล่าวว่า เปิดสอนมาร่วม 60 ปี ล่าสุดเหลือนักเรียน 40 คน เป็นโจทย์ให้ครูผู้สอน ซึ่งมีเพียง 2 คน รับผิดชอบนักเรียนที่ศึกษาต่างช่วงชั้นซึ่งมีปัญหาตามมา หากระบบการศึกษาเมืองไทยมีสองมาตรฐานก็สมควรยุบ แต่ถ้าไม่ให้ยุบ สพฐ.ต้องจัดส่งครูผู้สอนมาเพิ่มเติม รวมทั้งสนับสนุนงบฯ สื่อการเรียนการสอนให้เท่าเทียมกัน จะเป็นแรงดึงดูดให้ผู้ปกครองส่งบุตรหลานมาเรียนเพิ่มขึ้น

แนวคิดการเรียนร่วมกับ ร.ร.ที่ตั้งอยู่ในละแวกใกล้เคียง บรรเทาปัญหาขาดครู เสนอไปแล้ว เตรียมปรับใช้ในเทอมหน้า โดยร่วมกับร.ร.ชุมชนประโดก-โคกไผ่ ที่ตั้งห่างออกไปประมาณ 1.5 ก.ม.

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 16 พ.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32706&Key=hotnews

ครม.ไฟเขียว ‘โรจนะ’ นั่งรองเลขาฯ อาชีวะ

15 พฤษภาคม 2556

เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม นาย เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบตามที่ ศธ. เสนออนุมัติแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง จำนวน 2 ราย คือ

1.นายโรจนะ กฤษเจริญ ผู้ตรวจราชการ ศธ. ไปเป็น รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.)  

2.นายสุเทพ ชิตยวงษ์ ผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ไปเป็น ผู้ตรวจราชการ ศธ.

ด้านนายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการ กอศ. กล่าวว่า นายโรจนะ ถือว่าเป็นผู้ที่มีความรู้ ความสามารถในการทำงาน ซึ่งเชื่อว่าเมื่อมาดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการ กอศ. จะสามารถทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดี เพราะนายโรจนะ ก็มาจาก สพฐ. และที่สำคัญยังเคยดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) ซึ่งขณะนี้ สอศ.อยากที่จะมีคนช่วยประสานกับทาง สช.ด้วย เพื่อจะได้ช่วยแก้ไขปัญหานักเรียนสังกัด สอศ. และอาชีวศึกษาเอกชนยกพวกทะเลาะวิวาทกัน เชื่อว่านายโรจนะจะทำได้ดี เพราะมีประสบการณ์ทางด้านนี้มาพอสมควร รวมถึงจะให้ช่วยปรับภาพลักษณ์ของ สอศ. ให้ดูดี มีความทันสมัย ดึงดูดใจนักเรียนสนใจเข้าศึกษาต่อมากขึ้น ทั้งนี้ จะต้องหารือกับรองเลขาธิการ กอศ.คนอื่นๆ ด้วยเพื่อให้การบริหารงานมีความเป็นเอกภาพมากที่สุด ส่วนที่มองว่าการย้ายข้ามห้วยมา จะเกิดข้อครหาหรือไม่นั้น ตนอยากให้ดูที่การทำงานมากกว่า และเชื่อว่านายโรจนะจะสามารถปฏิบัติงานในหน้าที่นี้ได้เป็นอย่างดี

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32704&Key=hotnews

เสริมศักดิ์’ ชี้..ประกวดสื่อฯ เกิดประโยชน์มาก

15 พฤษภาคม 2556

ทีมข่าวการศึกษาสยามธุรกิจได้มีโอกาสไปเยือนกระทรวงศึกษาธิการตามคำเชื้อเชิญของทีมประชาสัมพันธ์ โครงการประกวดสร้างสื่อการเรียนรู้…สู่แท็บเล็ต หรือ OTPC สัมภาษณ์พิเศษ ฯพณฯ พงษ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ณห้องประชุม อาคารราชวัลลภ ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่จะมีสื่อมวลชน

หลากหลายมาคอยรอสัมภาษณ์ในครั้งนี้ หลังจากที่รอคอยอยู่นานพอสมควรทุกคนก็ต้องคอยเก้อเมื่อ รมต.ศธ. ติดภารกิจไม่สามารถมาได้ แต่ก็ไม่ทำให้ผิดหวังมอบหมายให้ “นายเสริมศักดิ์พงษ์พานิช” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มานั่งสัมภาษณ์แทน

การสัมภาษณ์พิเศษเริ่มขึ้นหลังจากที่ “นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช”มานั่งพร้อมกล่าวทักทายสื่อมวลชนภายในห้องประชุมด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล โดยได้เริ่มกล่าวถึงโครงการ OTPC ว่า”โครงการนี้เกิดขึ้นเพื่อส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือยกระดับและกระจายโอกาสทางการศึกษาให้กับนักเรียนทั่วประเทศ กระทรวงศึกษาธิการโดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งรับผิดชอบด้านการพัฒนาสื่อเพื่อการเรียนรู้ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 ได้ตระหนักถึงความสำคัญและการมีส่วนร่วมของครูผู้สอนและประชาชนทั่วไปในการพัฒนาสื่อการเรียนรู้สำหรับนักเรียนรูปแบบดังกล่าวจึงจัดให้มีการประกวดสร้างสื่อการเรียนรู้…สู่แท็บเล็ตขึ้นด้วย โดยได้เปิดรับผลงานตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการมาเป็นระยะเวลา 2 เดือนครึ่ง และปิดรับผลงานที่จะส่งเข้าประกวดไปแล้วเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2556 และกำลังดำเนินการพิจารณาคัดเลือกเพื่อพิจารณาตัดสินผลงานและมอบรางวัลในวันที่28 พฤษภาคม 2556 ที่กำลังจะถึงนี้”

ทั้งนี้ “นายเสริมศักดิ์” ให้สัมภาษณ์ความคืบหน้าโครงการประกวดสร้างสื่อการเรียนรู้…สู่แท็บเล็ต ว่า “โครงการที่จัดขึ้นนี้ส่วนหนึ่งก็เพื่อเพิ่มปริมาณสื่อดิจิตอลเพื่อการเรียนรู้สำหรับนักเรียนช่วงชั้นที่ 1 และ 3 ที่หลากหลายมากขึ้น โดยทางสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งเป็นหัวเรือใหญ่ในการจัดทำโครงการนี้ ได้จัดให้มีการโรดโชว์ทุกภูมิภาคเสร็จสิ้นแล้วได้แก่ กรุงเทพมหานคร สุราษฎร์ธานีอุบลราชธานี มหาสารคาม เชียงใหม่หลังจากจบโครงการมีครู และบุคลากรทางการศึกษาส่งแอพพลิเคชั่นเข้าประกวดกว่า 2,300 ชิ้น จากผลงานที่ส่งเข้าประกวดทั่วประเทศ”

“โครงการนี้ได้แบ่งผลงานการประกวดออกเป็น 3 ประเภท คือ 1. แอพพลิเคชั่นรูปแบบเสริมการเรียน
(Learning Media) กล่าวคือแอพพลิเคชั่นเพื่อให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง เช่น แอพพลิเคชั่นการเรียนภาษาอังกฤษ แอพพลิเคชั่นเพื่อการฝึกอ่านเขียน  2. แอพพลิเคชั่นรูปแบบเสริมการสอน (Instruction Media) กล่าวคือแอพพลิเคชั่นที่ใช้เป็นสื่อช่วยครูในการสอนตัวอย่างเช่น แอพพลิเคชั่นแสดงการระเบิดของภูเขาไฟ แอพพลิเคชั่นแสดงการไหลเวียนของโลหิตในร่างกายมนุษย์ และ 3. แอพพลิเคชั่นรูปแบบสร้างองค์ความรู้(Construction Media) กล่าวคือแอพพลิเคชั่นที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถสร้างสรรค์ชิ้นงาน/ผลงานประกอบการเรียนรู้ หรือสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ ตัวอย่างเช่น แอพพลิเคชั่นการสร้างรูปทรงสามมิติ แอพพลิเคชั่นการวัดระยะทางหรือพื้นที่ เป็นต้น”

“โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้มีการพัฒนาสื่อการเรียนรู้ รูปแบบแอพพลิเคชั่น บนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์อย่างกว้างขวาง โดยเปิดโอกาสให้ทั้งเด็กครู บุคลากรทางการศึกษาและประชาชนทั่วไปมีส่วนร่วมในการผลิตสื่อเพื่อการเรียนรู้สำหรับนักเรียน รูปแบบแอพพลิเคชั่นบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ซึ่งจากการจัดงานเปิดโครงการและจัดงานแถลงข่าวได้มีสื่อมวลชนมากกว่า 20 สำนักกระจายข่าวประชาสัมพันธ์ทั้งสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ และเว็บไซต์ ที่ครอบคลุมจำนวนผู้รับข่าวสารกว่า 1 ล้านคน โดยมีผู้ที่ได้รับสื่อจากสื่อหลายๆ ด้าน สมัครเข้าร่วมโครงการทั้งหมด 3,700 คน แบ่งเป็นบุคลากรทางการศึกษา 2,500 คน และประชาชนทั่วไป 1,200 คน โดยมีจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ www.OTPCappcon.com ที่เราจัดทำขึ้นจนถึงปัจจุบัน จำนวน 100,000 ครั้ง และในระหว่างฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการได้มีครูและประชาชนที่ได้ทราบข่าวและขอให้ขยายผลการฝึกอบรมสู่เขตพื้นที่การศึกษาอย่างทั่วถึง เช่น โรงเรียนประเทียบวิทยาทาน จังหวัดสระบุรี ซึ่งเขาได้จัดการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการด้วยตนเองเพื่อส่งเสริมการสร้างสื่อใช้ในโรงเรียนฯ ด้วย”

“สำหรับรางวัลชนะเลิศในการประกวดทุกประเภทจะได้รางวัลเงินสด 100,000 บาทพร้อมโล่เกียรติยศ รวมถึงจะได้เผยแพร่ผลงานบนแท็บเล็ตของนักเรียนทั่วประเทศ และสำหรับครู หรือบุคลากรทางการศึกษา สามารถนำผลงานไปประเมินผลเพื่อเลื่อนวิทยฐานะได้อีกด้วย นอกจากนี้ก็จะมีรางวัลสำหรับรองชนะเลิศ และรางวัลชมเชยที่ลดหลั่นกันลงไป”

ก่อนจบการสัมภาษณ์พิเศษ  “นายเสริมศักดิ์”  ได้กล่าวทิ้งท้ายถึงประโยชน์
ของโครงการนี้ว่า “นอกเหนือจากรางวัลที่ได้รับแล้ว ตนยังมองถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการจัดโครงการประกวดสร้างสื่อการเรียนรู้..สู่แท็บเล็ตนี้มีอยู่ด้วยกัน 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ความร่วมมือ ความตื่นตัว จากครูและบุคลากรทางการศึกษา รวมถึงประชาชนทั่วไปในการสร้างสรรค์สื่อการเรียนรู้เพื่อพัฒนาการเรียนการสอนของเด็กไทยด้านที่ 2 ได้ชิ้นงานที่ครูสร้างขึ้นเองและใช้ประกอบการเรียนการสอนได้จริง ด้านที่ 3 ครูมีทักษะในการสร้างแอพพลิเคชั่นได้ด้วยตัวเอง ดังนั้น กระทรวงศึกษาธิการจึงมีแนวคิดที่จะขยายผล โดยการจัดโครงการประกวดสื่อในครั้งต่อไปและขยายการฝึกอบรมให้กับครูทั่วประเทศให้สามารถเข้าถึงวิธีการสร้างสื่อบนแท็บเล็ตอย่างง่าย เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมทางสมองของภาคการศึกษาไทยต่อไปด้วย”

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามธุรกิจ ฉบับวันที่ 15 – 17 พ.ค. 2556–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32703&Key=hotnews

ผุด ‘ประกาศ’ รับโอน ม.ปลายเรียน ปวส. หลังยอดสมัครต่ำกว่าเป้าหมาย ชี้สาย ‘ก่อสร้าง’ ตลาดต้องการสูง

15 พฤษภาคม 2556

มื่อวันที่ 14 พฤษภาคม นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า หลังจากที่สถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้เปิดรับนักเรียน นักศึกษา ประจำปีการศึกษา 2556 มาตั้งแต่ช่วงวันที่ 20 เมษายนที่ผ่าน จนถึงปัจจุบัน พบว่าในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) มียอดสมัคร 184,755 คน รับไว้ 146,180 คน จากแผนการรับ 187,503 คน ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) สมัคร 91,830 คน รับไว้ 76,153 คน จากแผนการรับ 127,804 คน และประกาศนียบัตรครูเทคนิคชั้นสูง (ปทส.) สมัคร 17 คน รับไว้ 17 คน จากแผนการรับ 50 คน ทั้งนี้เมื่อดูยอดสมัครทั้งสามระดับตามประเภทวิชา พบว่า สาขาวิชาอุตสาหกรรม มียอดสมัคร 148,707 คน รับไว้ 122,275 คน พาณิชยกรรม/บริหารธุรกิจ สมัคร 93,296 คน รับไว้ 73,859 คน คหกรรม สมัคร 9,034 คน รับไว้ 6,812 คน อุตสาหกรรมท่องเที่ยว สมัคร 9,417 คน รับไว้ 6,473 คน เกษตรกรรม สมัคร 7,379 คน รับไว้ 5,894 คน ศิลปกรรม สมัคร 5,771 คน รับไว้ 4,669 คน เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สมัคร 2,120 คน รับไว้ 1,731 คน ประมง สมัคร 686 คน รับ 492 คน อุตสาหกรรมสิ่งทอ สมัคร 192 รับ 145 คน โดยวิทยาลัยเทคนิค มียอดรับไว้มากที่สุด 115,470 คน รองลงมา วิทยาลัยการอาชีพ 42,442 คน และวิทยาลัยอาชีวศึกษา 36,622 คน ตามลำดับ

เลขาธิการ กอศ. กล่าวต่อว่า เมื่อดูยอดสมัครและยอดรับไว้แล้ว ในระดับ ปวช.นั้น ไม่น่าห่วงเพราะมียอดใกล้เคียงกับแผน แต่ในระดับ ปวส.นั้น ถือว่าน่าห่วง เนื่องจากมียอดสมัครและรับไว้จำนวนน้อยกว่าเป้ามาก ดังนั้นเพื่อให้มีนักเรียนมาสมัครเรียนเพิ่มมากขึ้น ทาง สอศ.จึงได้กำหนดมาตรการและแนวทางใหม่ด้วยการให้นักเรียนที่เรียนอยู่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 แล้วไม่ถนัดหรือไม่พร้อมและอยากจะเปลี่ยนมาเรียนสายอาชีวศึกษา สามารถเปลี่ยนมาเรียน ปวส.ได้ โดยสามารถโอนผลการเรียนในพื้นฐานวิชาสามัญมาเทียบกับวิชาพื้นฐานสามัญสายอาชีวศึกษาได้โดยไม่ต้องมาเรียนใหม่ และให้มาเรียนวิชาอาชีพเพิ่มเติม ซึ่งจะเป็นช่องทางหนึ่งให้มีนักเรียนสาย ปวส.เพิ่มมากขึ้น โดย สอศ.จะออกเป็นประกาศออกมาในเร็วๆ นี้ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ได้ดำเนินการเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ แม้ว่าที่ผ่านมาจะสามารถเปิดช่องให้นักเรียนสายสามัญโอนผลการเรียนมาเรียนในสายอาชีวศึกษาได้ แต่ยังไม่ได้ออกเป็นประกาศหรือมาตรการที่ชัดเจน ส่วนระดับ ปวช.นั้น ที่ผ่านมา สอศ.ได้เปิดโอกาสให้นักเรียนที่ยังไม่จบชั้น ม.3 เข้ามาเรียนระดับ ปวช.ได้อยู่แล้ว

“จากนโยบายเงินกู้ 2 ล้านล้านบาทของรัฐบาล ได้มีการวิเคราะห์ความต้องการกำลังแรงงานในระดับอาชีวศึกษาพบว่าในระดับ ปวช.มีความต้องการประมาณ 1 แสนคน ระดับ ปวส. 5 หมื่นคน โดยสาขาวิชาที่ต้องการมากที่สุดคือ สายก่อสร้าง แต่ในปัจจุบันมีคนสนใจมาเรียนด้านนี้ในสถานศึกษาสังกัด สอศ.น้อยมาก ฉะนั้นจึงอยากเชิญชวนให้มาเรียนสายนี้กันเพิ่มมากขึ้น ซึ่งในปีการศึกษา 2557 สอศ.ตั้งเป้าผลิตระดับ ปวช. 2 หมื่นคน และ ปวส. 3 หมื่นคน” นายชัยพฤกษ์กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32702&Key=hotnews

สพฐ.บ่มเพาะอัจฉริยภาพดนตรีและศิลปะ

15 พฤษภาคม 2556

ทั่วถิ่นไทยก้าวไกลการศึกษา สถิรา ปัญจมาลา นักประชาสัมพันธ์  ศูนย์สารนิเทศการศึกษาขั้นพื้นฐาน สพฐ.

ตามที่พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2545 มาตรา 10 วรรค 4 “การจัดการศึกษาสำหรับบุคคลที่มีความสามารถพิเศษต้องจัดด้วยรูปแบบ ที่เหมาะสม โดยคำนึงถึงความสามารถพิเศษของบุคคลนั้น”

สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ดำเนินการจัดการศึกษาให้มีความสอดคล้องกับเจตนารมณ์ดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการจัดหลักสูตรการเรียนการสอน การสนับสนุนสื่อ แหล่งเรียนรู้ อาคารสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวก รวมทั้งการจัดเวทีประกวด แข่งขัน เพื่อให้เยาวชนได้มีโอกาสแสดงศักยภาพทางด้านต่างๆ ทั้งด้านวิชาการ ด้านทัศนศิลป์และด้านดนตรี ในงานศิลปหัตถกรรมนักเรียน ที่จัดมาแล้ว เป็นเวลาถึง 62 ปี

จากการจัดงานพบว่า เด็กจำนวนมากมีศักยภาพสูง สมควรที่จะได้ รับการส่งเสริมสนับสนุนอย่างถูกต้อง เหมาะสมเต็มตามศักยภาพ สพฐ.จึงมีแนวคิดที่จะต่อยอดนักเรียนที่มีความสามารถพิเศษด้านทัศนศิลป์และดนตรี โดยการจัดโครงการประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อการบ่มเพาะอัจฉริยภาพด้านทัศนศิลป์และด้านดนตรีขึ้น
โดยการนำนักเรียนและครูผู้สอนของโรงเรียนที่ได้รับรางวัลชนะเลิศการแข่งขันด้านทัศนศิลป์ และด้านดนตรี จากงานศิลปหัตถกรรมนักเรียนครั้งที่ 62 จำนวน 500 คน เข้าประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เพื่อบ่มเพาะอัจฉริยภาพด้านดนตรี “ดุริยพัฒน์ อัจฉริยศิลปิน 1” ระหว่างวันที่ 29 เมษายน-4 พฤษภาคม 2556 และด้านทัศนศิลป์ “บ่มเพาะทัศนศิลป์ ต่อยอดเยาวชนนักคิดนักสร้างสรรค์” ระหว่างวันที่ 3-9 พ.ค. ณ โรงเรียน ภ.ป.ร.ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จังหวัดนครปฐม และวันที่ 9 พฤษภาคม 2556 ณ หอศิลป์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร

ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริม พัฒนาเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจของนักเรียน เกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ กระบวนการสร้างสรรค์งานทัศนศิลป์และดนตรี โดยได้รับการเติมเต็มประสบการณ์จากศิลปินผู้มีชื่อเสียง

ที่มา: http://www.matichon.co.th/khaosod

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32701&Key=hotnews

สกศ.แจงผลประเมินการจัดการศึกษา ตามนโยบาย 7 ประการของรัฐบาล

15 พฤษภาคม 2556

จากการแถลงนโยบายด้านการศึกษาของรัฐบาลต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2554 ซึ่งมีสาระสำคัญ 7 ประการ ที่ให้หน่วยงานการศึกษาทุกระดับและ ทุกสังกัดทั่วประเทศนำไปปฏิบัติเพื่อให้การจัดการศึกษามีคุณภาพและบรรลุผลตามเป้าหมาย ซึ่งสำนักงานเลขาธิการ สภาการศึกษาได้ดำเนินการติดตามผลการจัดการศึกษาตามนโยบายทั้ง 7 ประการดังกล่าวถึงความก้าวหน้า ปัญหา อุปสรรค และผลสำเร็จที่เกิดขึ้น เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายใน ภาพรวม และชี้แนะแนวทางการปฏิบัติที่เหมาะสม สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้น โดยได้รวบรวมข้อมูลจากเอกสารและสอบถามจากกลุ่มเป้าหมายทุกระดับ/ประเภทการศึกษา ทุกสังกัดและทุกจังหวัดทั่วประเทศใน 5 กลุ่ม คือ นักเรียน/นักศึกษา ครู/อาจารย์ ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารเขตพื้นที่การศึกษา/จังหวัด/องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น และผู้ปกครอง/ชุมชน โดยสุ่มกลุ่มตัวอย่างตามหลักสถิติประมาณ 140,000 คน คิดเป็นร้อยละ 1 ของประชากร และเก็บข้อมูลระหว่างเดือนมกราคม – มีนาคม 2556 สรุปผลดังนี้

“การพัฒนาคุณภาพการศึกษา” ด้านการพัฒนาการเรียนการสอนพบว่า ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาสาระของ บทเรียนและสามารถเชื่อมโยงสู่การปฏิบัติได้ มีความใฝ่รู้ ใฝ่เรียน และสามารถค้นคว้าหาความรู้จากแหล่งต่างๆ เช่น อินเทอร์เน็ต สื่อต่างๆ ได้ดี แต่ยังสามารถสรุปหรือจดบันทึกได้ในระดับปานกลาง ส่วนการพัฒนาด้านคุณธรรม จริยธรรม และประชาธิปไตย และความสามารถด้านความคิดสร้างสรรค์อยู่ในระดับมากและที่เห็นตรงกันคือควรปรับปรุงความสามารถด้านภาษาอังกฤษของผู้เรียนทุกระดับ นอกจากนี้ผู้บริหารสถานศึกษาเห็นว่ามีนักเรียนที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้อยู่ประมาณร้อยละ 10 ส่วนหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกและประชาคมอาเซียน แต่การนำหลักสูตรแกนกลางขั้นพื้นฐานไปใช้ยังมีความยุ่งยากสำหรับครู สำหรับการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาพบว่าสถานศึกษาส่วนใหญ่จะเน้นติวนักเรียนเพื่อเตรียมสอบโอเน็ต ส่วนโครงการห้องเรียนพิเศษเพื่อพัฒนาเด็กที่มีความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาต่างประเทศยังมีน้อย

“การสร้างและกระจายโอกาสทางการศึกษา” มีการสนับสนุน ในหลายรูปแบบเพื่อเปิดโอกาสให้เด็ก เยาวชน และผู้ใหญ่ได้เข้าสู่ระบบการศึกษา แต่ในขั้นพื้นฐานพบว่าผู้เรียนยังเข้าเรียนไม่ครบทุกคน และมีการออกกลางคันในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นมากที่สุด เนื่องจากอพยพตามผู้ปกครอง มีปัญหาครอบครัวและฐานะยากจน สำหรับแหล่งเรียนรู้ที่นักเรียนทั้งประถมและมัธยมใช้มากที่สุดคือ ห้องสมุดโรงเรียน พิพิธภัณฑ์ สวนสัตว์ ส่วนด้านทุนการศึกษาพบว่า ทุนสนับสนุนการศึกษาที่รัฐให้แก่เยาวชนในพื้นที่ห่างไกลยังมีอัตราต่ำ ส่วนกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกพันกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) และโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน พบว่านักเรียน นักศึกษามีความพึงพอใจในทุนดังกล่าว แต่ในระดับประถมและมัธยมแม้จะได้รับเงินอุดหนุนก็ยังต้องการทุนการศึกษา จึงไปขอทุนจากวัด มูลนิธิ สมาคมและภาคเอกชนเพิ่มเติม นอกจากนี้ยังพบว่าปีการศึกษาของคนไทย มีแนวโน้มสูงขึ้น โดยกลุ่มที่อยู่ในวัยแรงงาน (อายุ 15-59 ปี) เพิ่มขึ้นจาก 8.7 ปี ในปี 2550 เป็น 9.1 ปี ในปี 2554

“การปฏิรูปครู ยกฐานะครูให้เป็นวิชาชีพชั้นสูงอย่างแท้จริง” มีการเสริมสร้าง ความพร้อมและความเข้มแข็งของสถาบันผลิตครู โดยดำเนินงานวิจัยเพื่อจัดตั้งคลัสเตอร์ คุรุศึกษา ส่วนด้านความรู้และทักษะของครูถือว่าได้รับการพัฒนาอย่างเพียงพอ นอกจากนี้ครูยังได้รับการเสริมสร้างขวัญและกำลังใจจากโครงการครูคืนถิ่นเพื่อได้อยู่ร่วมกับครอบครัว แต่ส่งผลกระทบต่อโรงเรียนรอบนอกที่ต้องขาดแคลนครู มีการรับรองปริญญาทางการศึกษา (หลักสูตร 5 ปี) และประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพของสถาบันต่างๆ ตามมาตรฐานวิชาชีพ รวมทั้งการเสริมสร้างขวัญกำลังใจครู โดยกำหนดหลักเกณฑ์ความก้าวหน้าในอาชีพ ปรับปรุง เงินเดือนชดเชยแก่ข้าราชการและบุคลากรทางการศึกษาที่ได้รับ ผลกระทบจากการปรับเงินเดือนของภาครัฐ และการแก้ปัญหาหนี้สินครู

“จัดการศึกษาอุดมศึกษาและอาชีวศึกษาให้สอดคล้องกับ ตลาดแรงงาน” จากการสำรวจภาวะการทำงานของประชากรโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าในปี 2554 กำลังแรงงาน (อายุ 15 ปีขึ้นไป) ที่จบมัธยมศึกษาขึ้นไป อยู่ในอัตราร้อยละ 46.9 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปีแต่ในอัตราที่ไม่มากนัก นอกจากนี้พบอัตราการ ว่างงานร้อยละ 0.7 โดยระดับอุดมศึกษา มีอัตราการว่างงานสูงที่สุด รองลงมาเป็นระดับมัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลาย ประถมศึกษา ส่วนผู้ที่ไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษามีอัตราการว่างงานน้อยที่สุด อย่างไรก็ตามจำนวนผู้ว่างงานยังมีมากกว่าจำนวนที่ขาดแคลนอยู่มาก สะท้อนให้เห็นว่าแม้จะมีระดับวุฒิการศึกษาตามที่นายจ้างต้องการ แต่อาจยังมีคุณภาพหรือความสามารถที่ไม่ตรง ตามความต้องการของสถานประกอบการ ส่วนการพัฒนาระบบบริหารวิสาหกิจเพื่อการศึกษาทั้งในระดับอาชีวศึกษาและอุดมศึกษา ได้มีการจัดตั้งศูนย์บ่มเพาะวิสาหกิจในสถาบันอุดมศึกษา (UBI) และจัดการศึกษา เชิงบูรณาการกับการทำงาน (Work Integrated Learning : WIL) รวมไปถึงการขยายศูนย์ซ่อมสร้างประจำชุมชน (Fix-it Center)
“การพัฒนาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษาให้ทัดเทียมกับนานาชาติ” ประชากรอายุ 6 ปีขึ้นไปมีแนวโน้ม ใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้น ส่วนคอมพิวเตอร์พกพาที่รัฐบาล จัดให้พบว่านักเรียน ผู้ปกครอง และครูเกือบร้อยละ 90 มีความพึงพอใจ ทำให้ผู้เรียนมีความกระตือรือร้นที่ จะเรียนมากขึ้น ส่วนครูมีทักษะการใช้คอมพิวเตอร์พกพาในระดับพอใช้งานได้ แต่ยังมีโรงเรียนที่ไม่มีความพร้อมเรื่องระบบไฟฟ้า และการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่มีความเร็วเพียงพอ และมีปัญหาด้านค่าใช้จ่ายในการใช้และบำรุงรักษา ส่วนการใช้เทคโนโลยีของครูพบว่าครูส่วนใหญ่ใช้เพื่อศึกษาหาความรู้ ทำแผนการสอน เตรียมการสอน และจัดเก็บข้อมูลการเรียนของนักเรียน

“การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างทุนปัญญาของชาติ” ในช่วงปี 2553 ประเทศไทยมีบุคลากรด้านการวิจัยที่ทำงานวิจัยเต็มเวลาทั่วประเทศเพียง 0.9 คนต่อประชากร 1,000 คน เมื่อเทียบกับสิงคโปร์ซึ่งมีจำนวนบุคลากรด้านวิจัยสูงสุดในกลุ่มอาเซียนคือ 7.3 คนต่อประชากร 1,000 คน และประเทศไทยมีงบประมาณด้านการวิจัยและพัฒนาเพียงร้อยละ 0.24 ของ GDP ซึ่งต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาอื่นๆ อย่างไรก็ตามพบว่าสถาบันอาชีวศึกษาและอุดมศึกษามีการสนับสนุนงบประมาณด้านการวิจัย อยู่ในระดับมาก โดยผลวิจัยสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในเชิงพาณิชย์ได้ใน ระดับมาก

“การเพิ่มขีดความสามารถของทรัพยากรมนุษย์เพื่อรองรับการเปิดเสรีประชาคมอาเซียน” พบว่าความสามารถด้านภาษาอังกฤษ จากการทดสอบโอเน็ตชั้น ป.6, ม.3 และ ม.6 ปีการศึกษา 2555 คะแนนเฉลี่ยวิชาภาษาอังกฤษมีเพียงร้อยละ 37.0, 28.7 และ 22.1 ตามลำดับ และ TOEFL มีค่าเฉลี่ย 75 คะแนนจาก 120 คะแนน นอกจากนี้ผลการประเมินทุกภาคเห็นตรงกันว่าความสามารถในการสื่อสารด้านภาษาอังกฤษของผู้เรียนทุกระดับการศึกษาอยู่ในระดับปานกลาง และควรกำหนดให้มีหลักสูตรที่บูรณาการอาเซียนในทุกกลุ่มสาระและทุกระดับการศึกษา รวมถึงเพิ่มความเข้มข้น ในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ และจัดรายวิชาเลือกวิชาภาษาเพื่อนบ้าน ภาษาคู่ค้า ภาษาจีนเพิ่มขึ้น และควรสอนภาษามลายูใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ นอกจากนี้ ผลการประเมิน QS เกี่ยวกับมหาวิทยาลัยที่ติดอันดับมหาวิทยาลัยระดับโลกในปี 2554 มีเพียง 8 แห่ง จึงต้องมีการพัฒนาความพร้อมของคนไทยให้มากขึ้น

สนใจข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ สำนักงานเลขาธิการ สภาการศึกษา 99/20 ถนนสุโขทัย เขตดุสิต กรุงเทพ 10300 โทรศัพท์ 0-2668-7123 ต่อ 2319 เว็บไซต์ www.onec.go.th

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32700&Key=hotnews

คอลัมน์: รายงานพิเศษ: บทเรียนจากไทรน้อยครูและชุมชนร่วมจัดการ ร.ร.ขนาดเล็ก

15 พฤษภาคม 2556

สุนทร พงษ์เผ่า นโยบายยุบโรงเรียนขนาดเล็กของกระทรวงศึกษาธิการ ทำให้หลายชุมชนวิตกว่า โรงเรียนเก่าแก่อยู่คู่ชุมชนมานมนาน แต่มีนักเรียนไม่ถึง 60 คน ตามเกณฑ์อาจต้องถูกยุบ ซึ่งจะก่อปัญหาให้ผู้ปกครองที่ต้องรับ-ส่งบุตรหลาน รวมทั้งนักเรียนที่ต้องเดินทางไกลและใช้เวลามากขึ้น

ปัญหานักเรียนมีน้อยนั้นเกิดขึ้นมานานแล้ว แต่สำหรับบางพื้นที่ก็สามารถจัดการกับปัญหานี้ได้ เช่นโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็กจำนวน 3 โรงเรียนในเขต ต.ไทรน้อย อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา ที่สำเริง บุญล้ำ ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดปราสาททองต้องทำหน้าที่รักษาการผู้อำนวยการโรงเรียนอีก 2 แห่ง

สำเริง บอกเล่าประสบการณ์ว่า โรงเรียนวัดปราสาททองที่เขาเป็นผู้อำนวยการมีนักเรียน 72 คนโรงเรียนวัดไทรน้อย มี 49 คน และโรงเรียนวัดบุญกันนาวาส มี 53 คน มีข้าราชการครูรวมทั้งหมด12 คน ครูจัดจ้าง 4 คน แต่ในฐานะที่รักษาการผู้อำนวยการทั้ง 3 โรงเรียน เขาได้บูรณาการครูและงบประมาณของทั้ง 3 โรงเรียนเข้าด้วยกัน โดยทำมากว่า 10 ปีแล้ว

“นักเรียนชั้นอนุบาล-ป.3 จะให้เรียนที่โรงเรียนในชุมชน เพราะเด็กยังเล็กและผู้ปกครองมักเดินมาส่งด้วยตัวเอง โรงเรียนในชุมชนที่ใกล้บ้านจะสะดวกรวมทั้งปลอดภัยและประหยัดค่าใช้จ่าย ส่วนชั้น ป.4-6 จะให้มาเรียนรวมกันที่โรงเรียนวัดปราสาททองโดยมีรถรับส่งฟรีจากชุมชนมายังโรงเรียน”
สำเริง กล่าวว่า เด็ก ป.4-6 โตที่จะเดินทางด้วยตัวเองได้แล้ว หากไม่นำมาเรียนรวมกันก็ทำให้แต่ละโรงเรียนนักเรียนน้อยและครูไม่เพียงพอ หากมีการบริหารจัดการที่ดี โรงเรียนและชุมชนร่วมมือกันบริหารอัตรากำลังครูและงบประมาณ เท่าที่กระทรวงศึกษาธิการจัดมาให้ ยืนยันว่าสามารถรักษาโรงเรียนขนาดเล็กไว้ได้แน่นอน

“ก่อนหน้านี้เคยถามชุมชนว่าจะยุบโรงเรียนดีไหมแต่คนในชุมชนยืนยันว่าไม่ยุบ ต้องการให้มีโรงเรียนไว้ในชุมชนเหมือนที่เคยมีมานานกว่า 60-70 ปี ผมมองว่าหากจะยุบโรงเรียนควรพิจารณาเป็นแห่งๆ ไปหากที่ไหนเล็กแต่ชุมชนต้องการและมีคุณภาพทางการศึกษา สามารถใช้งบประมาณเท่าที่กระทรวงจัดมาให้อย่างคุ้มค่าก็ไม่ควรยุบ”

บทเรียนประสบการณ์ของโรงเรียนและชุมชนไทรน้อย น่าจะเป็นแนวทางให้ทุกฝ่ายหาทางออกที่เหมาะสมกับเรื่องนี้ได้

ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32699&Key=hotnews

‘ชินภัทร’ แจงปี 56 ยังไม่มีโรงเรียนเล็กถูกยุบ เร่งเขตพื้นที่สรุปแผนแก้ปัญหา 24 พ.ค. นี้

15 พฤษภาคม 2556

เมื่อวันที่ 14 พ.ค. ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่า ที่ประชุม ได้ติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กซึ่งได้มีการมอบหมายให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา 182 เขตไปจัดทำแผนการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กให้เกิดคุณภาพ มากขึ้นได้อย่างไร

โดยจะต้องส่งแผนดังกล่าวให้สพฐ.พิจารณาภายในวันที่ 24 พ.ค.นี้ โดยครั้งนี้ได้มีแนวทางเพิ่มเติมคือ ในแผนบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กนั้นเขตพื้นที่จะต้องมีความชัดเจนในเการแก้ปัญหา โดยเฉพาะโรงเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียนตั้งแต่ 60 คนลงไปจะต้องจัดทำแผนที่ตั้งของโรงเรียน การรวมกลุ่มโรงเรียน เพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรต่างๆร่วมกัน

โดยมีประเด็นที่ตั้งธงไว้สำหรับการแก้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็ก คือ การเร่งรัดพัฒนาคุณภาพ การพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารจัดการ โดยการเร่งรัดพัฒนาคุณภาพโรงเรียนเล็กนั้นนอกจากจะต้องพิจารณาเรื่องการหมุนเวียนครูสำหรับการสอน และการเคลื่อนย้ายนักเรียนแล้วควรสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ด้วย
เลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา สพฐ.ได้พัฒนาโทรทัศน์ทางไกลผ่านดาวเทียมเพื่อการศึกษา หรือ Obec Channel ซึ่งมีผังรายการต่างๆที่น่าสนใจ ซึ่งตนคิดว่าควรจะนำระบบดังกล่าวมาเติมเต็มให้กับโรงเรียนขนาดเล็กที่มีครูสอนไม่ครบชั้นและไม่ครบวิชาได้
โดยผังรายการจะมีเนื้อหาครอบคลุมการเรียนการสอนระดับประถมศึกษาเป็นหลัก แต่จะมีวิธีการที่เสริมเข้าไปคือ จะเชิญผู้บริหารและครูโรงเรียนอนุบาลประจำจังหวัด ที่ได้รับการคัดสรรว่าเป็นครูสอนเก่งสอนดี เข้ามาสอนในผังรายการด้วย ดังนั้นจะให้เขตพื้นที่และสำนักเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน สพฐ.สำรวจดูว่า โรงเรียนขนาดเล็กที่เขตพื้นที่วางแผนจะใช้โทรทัศน์ทางไกลผ่านดาวเทียมมีอุปกรณ์รับสัญญาณครบถ้วนกี่โรง

หลังจากนั้นจะให้สำนักนโยบายและแผนของสพฐ.ประมวลเป็นภาพรวมทั้งหมดของการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กซึ่งคาดว่าภายในสิ้นเดือน พ.ค.นี้ จะทราบจำนวนโรงเรียนขนาดเล็กที่ชัดเจนว่ามีโรงเรียนเล็กกี่โรงที่ยุบรวมหรือยุบเลิกทั้งหมดกี่โรง แต่ทั้งนี้การดำเนินการต่างๆจะต้องผ่านเงื่อนไขของเร่งรัดคุณภาพ ประสิทธิภาพและการหารือร่วมกับชุมชนในพื้นที่แล้ว

อย่างไรก็ตามในปี 2556 อาจจะไม่มีตัวเลขของการยุบเลิกโรงเรียนขนาดเล็กเลยก็ได้แต่การยุบรวมเป็นการดำเนินการเคลื่อนย้ายนักเรียนไปเรียนรวมกันพร้อมตั้งงบประมาณเพื่อจัดซื้อรถตู้รับส่งนักเรียน ดังนั้นยังไม่มีประเด็นให้มีการยุบเลิกโรงเรียนขนาดเล็กหรือตำแหน่งผู้บริหารจะต้องถูกตัดสิทธิไป และไม่ใช่เรื่องที่จะมาพูดกันในช่วงนี้ แต่จะมอบหมายให้เขตพื้นที่ไปจัดทำแผนการแก้ปัญหาเสนอขึ้นมา

ที่มา: หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32698&Key=hotnews

หลักสูตรใหม่…เพื่อประเทศไทยที่ดีกว่า

14 พฤษภาคม 2556

สมพงษ์ จิตระดับ สุอังคะวาทิน คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ประเทศไทยในสภาพปัจจุบันถูกรุมเร้าด้วยปัญหาวิกฤตนานัปการ คุณภาพการศึกษาตาเกือบทุกด้านในระดับโลก เด็กและเยาวชนเข้าสู่ปัญหาสังคมรุนแรงจนน่าวิตก ค่านิยมแข่งขันกันเอาเป็นเอาตาย เข้าสู่มหาวิทยาลัยมีชื่อเสียง โครงสร้างระบบหลักสูตรเรียนเพื่อจา ทดสอบจนความคิดติดกรอบกันทั้งประเทศ แนวคิดสาคัญการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรการศึกษาที่กาลังยกร่างอยู่นี้ มีปรัชญาและความเชื่อว่าหลักสูตรคือเครื่องมือสาคัญที่เปลี่ยนแปลง ยกระดับ สร้างสังคมไทยให้ดีขึ้น ด้วยการยกเลิกหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2544 ปรับปรุงอีกครั้ง 2551 ลงเสีย ในระยะแรกคณะกรรมการร่างหลักสูตรได้นาเสนอกลุ่มสาระการเรียนรู้ (Knowledge Cluster) ออกเป็น 6 กลุ่มความรู้ ทักษะสาคัญ (Generic Skills) 10 ด้าน ค่านิยมและเจตคติ (Values & Attitudes) 6 ประการ และประสบการณ์เรียนรู้ (Learning Experience) 6 เครื่องมือ ดังแผนภูมิที่นาเสนอ

ในเรื่องของ 6 กลุ่มสาระการเรียนรู้อยู่ในระดับการจัดการทาเนื้อหาให้สอดคล้องกับวัยวุฒิภาวะ ระดับชั้นเรียน ความยากง่ายของเนื้อหาด้วยการกาหนดให้เนื้อหาสาระเป็นความรู้พื้นฐานที่จาเป็นเท่านั้นสาหรับผู้เรียนใช้ในการศึกษา ทดลองทา ค้นคว้าจากแหล่งความรู้ การลงมือปฏิบัติเป็นสาคัญ เพื่อต่อยอดและสรุปความรู้ทักษะ ประสบการณ์ด้วยตนเอง นักเรียนคือ ผู้วิจัยน้อย (Students as Researchers) นอกจากนั้นยังกาหนดกรอบเวลาแต่ละชั้นปีให้เรียนได้ไม่เกิน 1,000 ชั่วโมงต่อปี ดังเช่น ชั้นประถมศึกษาตอนต้น 856 ชั่วโมง ประถมศึกษาตอนปลาย 904 ชั่วโมง และชั้นมัธยมศึกษาประมาณ 1,000 ชั่วโมง เป็นต้น

แนวคิดดังกล่าวเป็นข้อเตือนใจสำคัญให้นักการสอนวิชาต่างๆ เตือนใจตนเองว่า อย่ายัดเยียดเนื้อหา 100% ลงใน สมองเล็กๆ จนเด็กเกิดอาการเจ็บป่วย ไม่มีความสุข ดังหลักสูตรที่ผ่านมา การพาเด็กนักเรียนออกนอกห้องเรียนด้วยเครื่องมือ 6 ชนิด นับเป็นนวัตกรรมการศึกษาที่สำคัญยิ่ง เท่ากับ 6 กลุ่มสาระการเรียนรู้ทีเดียว
สำหรับเครื่องมือ 6 ชนิด ที่ช่วยสร้างเสริมประสบการณ์การเรียนรู้ให้แก่นักเรียน ได้แก่

1.การอ่านเพื่อการเรียนรู้ (Reading to Learn) เป็นทักษะสาคัญของการดาเนินชีวิตใช้การอ่านเพื่อนาไปสู่การอ่านหนังสือ การทบทวนความรู้ วิทยาการใหม่ๆ อ่านเพื่อใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ อ่านอย่างคล่องแคล่ว รักการอ่าน อ่านตลอดชีวิตเพื่อยกระดับทั้งความรู้ เจตคติ รสนิยมของนักเรียนแต่ละคน

2.การเรียนรู้แบบโครงการ (Project Learning) ให้ครูและนักเรียนช่วยกันพัฒนาโจทย์ขึ้นด้วยกัน การเสาะแสวงหาข้อมูล การลงภาคสนาม การทดลองปฏิบัติ การจดบันทึกข้อมูล การสรุปบทเรียนด้วยตนเอง โดยมีครูเป็นวิทยากรกระบวนการ ผู้ให้คาแนะนาปรึกษาต่อนักเรียน

3.เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) เป็นเครื่องมือเสาะแสวงหาความรู้เพิ่มเติมอย่างกว้างขวาง แท็บเล็ตที่แจกให้นักเรียนทุกคนสามารถเข้าสู่ห้องสมุดระบบข้อมูลที่ต้องการศึกษาค้นคว้าอย่างรวดเร็ว การต่อยอด สืบค้นเนื้อหาที่สัมพันธ์เพิ่มเติมได้อย่างไม่มีจากัด นักเรียนจะสามารถค้นคว้า มีทักษะเข้าสู่ระบบข้อมูลข่าวสาร องค์ความรู้ต่างๆ ที่มีอยู่มากมายได้ตลอดเวลา

4.คุณธรรมและความเป็นพลเมือง (Moral and Civic Education) เป็นกระบวนการสร้างและหล่อหลอมวิถีประชาธิปไตย ผ่านขั้นตอนการระบุปัญหาในชุมชน การคัดเลือกปัญหาด้วยระบบเหตุผล การรวบรวมข้อมูลของปัญหา การจัดทาแฟ้มผลงาน การพิจารณาทางเลือก หาทางแก้ไข การรับฟังความคิดเห็น การนาเสนอผู้มีอานาจตัดสินใจและการทบทวนประสบการณ์ที่ได้รับการเรียนรู้

5.การพัฒนาทางด้านร่างกายและจิตใจ (Physical and Mental Development) ให้มีกิจกรรมที่แสดงออกในรูปของกิจกรรมกีฬา สันทนาการ ชมรมต่างๆ ที่สนใจ สภานักเรียน ลูกเสือ เนตรนารี และอื่นๆ
6.การเรียนรู้ผ่านการทำงานที่สนใจ (Career Related Learning) ให้การเรียนรู้ผ่านการฝึกฝน การทางานหารายได้ระหว่างเรียนรู้ การส่งเสริมสมรรถภาพที่ตนเองถนัด การสร้างค่านิยมสัมมาชีพผ่านสถานประกอบการ การทาโครงการผู้ประกอบการรายย่อยและอื่นๆ

การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ 6 ชนิดนี้จะนาพาเด็กนักเรียนออกนอกห้องเรียนแคบๆ เรียนจากครูที่สอนหนังสือ บรรยากาศน่าเบื่อหน่าย (Passive) ไปสู่โลกของโครงการ กิจกรรม การพัฒนาโจทย์ การเข้าสู่ระบบข้อมูล การฝึกฝนกระบวนการประชาธิปไตย เรียนรู้จากการงาน ค้นคว้า บทบาทผู้สรุป การค้นพบศักยภาพของตนเองด้วยการนาความรู้พื้นฐานที่จาเป็นมาต่อยอด สร้างและสรุปองค์ความรู้ด้วยตนเองจากแหล่งความรู้ต่างๆ มากมายนอกห้องเรียน

เป็นการเรียนรู้ที่สนุกสนาน ท้าทาย ตื่นเต้น (Active) และมีผลต่อร่างกายและจิตใจตลอดเวลา

สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ฝ่ายวิจัยเพื่อท้องถิ่น ได้มีการเตรียมการโรงเรียนหลายแห่งที่สอดรับกับแนวคิดเครื่องมือ 6 ชนิด อย่างน่าสนใจ ดังตัวย่างของ นาย สมพงษ์ หลีเคราะห์ ผู้ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น จ.สตูล โรงเรียนตะโละใส ได้พัฒนาเครือข่าย 11 โรงเรียนขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 3 ปี และได้สรุปการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการวิจัย 10 ขั้นตอน คือ 1.เรียนรู้เรื่องใกล้ตัว 2.เลือกเรื่องปัญหาที่เกิดในชุมชน 3.ย้อนทวนกระบวนการ 4.พัฒนาโจทย์วิจัย 5.ตั้งคาถามย่อย 6.ศึกษาวิธีการเก็บข้อมูล 7.ศึกษาและเก็บข้อมูล 8.วิเคราะห์และประมวลผล 9. ทดลองทา 10. รายงานและนาเสนอ ภายใต้ฐานการคิดการเรียนรู้แบบชุมชนเป็นฐานและมีนิยามเรื่องใกล้ตัวที่ใช้เป็นเกณฑ์ คือ น่าสนใจ มีประโยชน์ต่อคนอื่น มีวิทยาการหรือแหล่งข้อมูลที่สามารถไปเรียนรู้ได้ มีความเป็นไปได้ มีเวลาเพียงพอ และเป็นเรื่องสอดคล้องวิถีชีวิตประชาธิปไตยและคุณธรรมจริยธรรม

ผู้เขียนได้เข้าร่วมวงเสวนาถอดองค์ความรู้กับกลุ่มผู้บริหาร คณะครู ผู้ปกครองและนักเรียน พบว่าเป็นการยากมากกว่าจะมาถึงจุดนี้ต้องใช้เวลานาน 3 ปี เพราะครูส่วนใหญ่ไม่ค่อยอยากเปลี่ยนวิธีการสอน เป็นภาระสอนไม่ทัน ผู้บริหารต้องกล้าตัดสินใจดาเนินการจริงจัง มีผู้ให้คาแนะนาพี่เลี้ยง (Mentors) คอยช่วยเหลือแก้ไขปัญหา ผู้ปกครองระยะแรกไม่ใส่ใจ และมักถามว่าสอนอะไรกัน แต่สุดท้ายเห็นด้วย พูดเสียงสั่นเครือ เพราะลูกเปลี่ยนไปมาก กล้าพูด กล้าแสดง เรียนหนังสือดีขึ้น พูดคุยกับพ่อแม่ตลอดเวลาเรื่องโจทย์ที่นามาจากโรงเรียน ความสัมพันธ์ดีขึ้น ลูกไม่เกเร เด็กดี ตั้งใจเรียน นักเรียนชอบเรียนแบบนี้ ชอบวิชาวิจัย มีความสุขมากเพราะได้ไปเรียนนอกห้องเรียน และอื่นๆ

รูปแบบของโรงเรียนตะโละใส จ.สตูล กับเครือข่าย 11 โรงเรียน เป็นตัวอย่างผลของความสาเร็จในการใช้เครื่องมือ 6 ชนิด ในการพาเด็กออกนอกห้องเรียนอันคับแคบและน่าเบื่อสู่โลกชุมชน ข้อมูลอันมากมาย ตอบโจทย์ที่ช่วยกันคิด จนบทสรุปเป็นข้อค้นพบของตัวเอง ในประเทศไทยยังมีตัวอย่างอีกมากมายที่ประผลสาเร็จ ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนไทรงาม จ.ตรัง โรงเรียนบ้านเมืองกึ้ด อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ และอื่นๆ ถ้าถามว่าการปฏิรูประบบหลักสูตรการศึกษาครั้งนี้ เด็กจะได้อะไร คาตอบที่ตรงที่สุด “สนุกกับการเรียนรู้”

และนี่คือก้าวแรกสำคัญของการเปลี่ยนแปลงทั้งระบบ อันจะนำไปสู่การปฏิรูประบบฝึกหัดครู โครงสร้างระบบ งบประมาณ บุคลากร กระบวนการเรียนรู้ ระบบ ICT จนสุดท้ายสร้างสังคมไทยใหม่ให้หายเจ็บป่วย โคม่าขั้นรุนแรงด้วยระบบการศึกษาไทยที่ดีกว่า

–มติชน ฉบับวันที่ 15 พ.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32690&Key=hotnews