Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

ศธ.เบรกยกระดับสกอ.เทียบ’ทบวง’เร็วไป

15 ตุลาคม 2556

“จาตุรนต์” เบรกดัน “สกอ.” เทียบเท่า “ทบวง” ชี้เน้นเรื่องปรับโครงสร้างของกระทรวงก่อน ลั่นเร่งสร้างคุณภาพบัณฑิต-งานวิจัย

จากกรณีที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) เสนอให้มีการศึกษาถึงการแยกอุดมศึกษาออกจากกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)มาเป็นกระทรวงอุดมศึกษาและการวิจัยซึ่งนายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.)แสดงความเห็นด้วยแต่เสนอว่าควรเป็นการตั้งทบวง ภายใต้ ศธ.ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุด เมื่อวันที่ 14 ต.ค.56 นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ในเวลานี้ หาก ศธ.จะเน้นเรื่องปรับโครงสร้างของกระทรวงก่อน ก็จะทำให้วงการการศึกษาและผู้ที่เกี่ยวข้องหันมาพูดกันแต่เรื่องเหล่านี้ ซึ่งตลอดช่วง10 ปีที่ผ่านมา ก็เห็นชัดแล้วว่าการเน้นแต่เรื่องการปรับโครงสร้าง ถือเป็นจุดบกพร่อง และจุดอ่อนที่สำคัญมากในการปฏิรูปการศึกษา ดังนั้นตนคิดว่าขณะนี้ควรจะมาหารือกันก่อนว่าจะจัดการอุดมศึกษาอย่างไรให้มีคุณภาพ ทั้งในเรื่องการวิจัยและผลิตบัณฑิต จากนั้นจึงไปสู่ประเด็นว่ามีความจำเป็นอย่างไรที่จะต้องปรับโครงสร้าง ซึ่งตนก็ยินดีที่จะรับฟังความคิดเห็นในเรื่องนี้

“เรื่องโครงสร้างกระทรวงทำกันมาเป็นเวลา 10 ปีแล้ว แน่นอนว่ามีปัญหาหลายอย่างที่ต้องแก้ไข ซึ่งต้องมีสักวันหนึ่งที่จะต้องมาพูดกันว่าจะปรับโครงสร้างให้เหมาะสมมากยิ่งขึ้นได้อย่างไร แต่คงไม่ใช่เวลานี้ เพราะถ้าเราย้อนมาพูด เรื่องนี้เร็วเกินไปก็จะทำให้ดึงความสนใจ จากเรื่องที่ควรจะทำ นั่นก็คือการปฏิรูปการศึกษา ปฏิรูปการเรียนการสอนการเพิ่มคุณภาพทั้งงานวิจัย การจัดการศึกษาและการผลิตบัณฑิตให้สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ เช่น การผลิตครูให้ตรงกับความต้องการ และมีคุณลักษณะที่ดี ไม่ใช่ผลิตครูจนล้นความต้องการนอกจากนี้จะต้องยกระดับมหาวิทยาลัยและผลิตบัณฑิตให้สามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้ดังนั้นผมจึงอยากให้เน้นในเรื่องเหล่านี้ก่อน” นายจาตุรนต์ กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34456&Key=hotnews

ทปอ.ย้ำมหาวิทยาลัยรับตรง ม.ค.57 ตั้ง ‘กระทรวงอุดมศึกษาและวิจัย’ อิสระ

14 ตุลาคม 2556

13 ต.ค.56 ที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้มีการหารือเรื่องระบบการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อสถาบันอุดมศึกษาในระบบรับตรงของมหาวิทยาลัยต่างๆ โดยที่ประชุมยืนยันมติเดิม และย้ำให้มหาวิทยาลัยต่างๆ จัดสอบระบบรับตรงพร้อมกันในช่วงเดือน ม.ค. ซึ่งขณะนี้ยังเหลือมหาวิทยาลัยอีกประมาณ 95% ที่ยังไม่ได้ดำเนินการจัดสอบรับตรง แต่ทั้งนี้ระบบรับตรงดังกล่าวจะเป็นการรับตรงทั่วไป ไม่รวมถึงระบบโควตา เช่น โครงการพิเศษ ที่สามารถจะดำเนินการจัดสอบได้ตามความเหมาะสม

ส่วนที่หลายฝ่ายต้องการจะให้มีการปรับระบบรับตรงในช่วงปีนี้คงเป็นไปไม่ได้แล้ว รวมทั้งที่ นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ อยากให้มหาวิทยาลัยจัดสอบรับตรงภายหลังเด็กจบการศึกษาแล้ว นั้น ทาง ทปอ.เห็นด้วยและเรื่องนี้ก็ได้มีการหารือกันมาตลอด แต่สุดท้ายติดปัญหาทางเทคนิคในการดำเนินการจัดสอบ ถ้าจะให้เลื่อนจัดสอบรับตรงในปีนี้ก็คงไม่ทัน เพราะมหาวิทยาลัยทุกแห่งได้วางแผนการดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยได้ประกาศไปแล้วล่วงหน้าว่ามหาวิทยาลัยจะจัดสอบพร้อมกันในช่วงเดือนม.ค.เพราะฉะนั้นการสอบรับตรงประจำปีการศึกษา 2557 มหาวิทยาลัยจะจัดสอบเดือน ม.ค.2557 ถ้าจะขยับการสอบก็จะทำให้รวนไปทั้งระบบ แต่เมื่อสิ้นสุดการดำเนินการจะสรุปปัญหาอุปสรรคต่างๆ ทั้งหมด เพื่อนำไปปรับใช้ในปีการศึกษา 2558

ศ.ดร.สมคิด กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้มีการหารือถึงข้อเสนอ ทปอ.ที่ให้มีการศึกษาถึงการแยกอุดมศึกษา ออกจากกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)มาเป็น กระทรวงอุดมศึกษาและการวิจัย ซึ่งเห็นตรงกันว่าจะเดินหน้าต่อไป ขณะที่ ศ.(พิเศษ) ดร.ทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (เลขาธิการ กกอ.) เห็นว่าหากจะแยกออกมาเป็นกระทรวงอุดมศึกษาและการวิจัย เป็นโจทย์ใหญ่และเป็นไปได้ยาก จึงไม่ได้เสนอให้มีการตั้งเป็นทบวง ภายใต้ ศธ. ซึ่งในประเทศไทยยังไม่เคยมีการตั้งทบวงภายใต้กระทรวงมาก่อน แต่แนวทางดังกล่าวมีการกำหนดไว้ในมาตรา 11 ของพ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวแล้วเห็นด้วยเพราะจะทำให้มหาวิทยาลัยมีความอิสระและยังมีความเชื่อมโยงกับศธ.อยู่

รศ.ดร.วันชัย ศิริชนะ อธิการบดี มฟล. ในฐานะประธานคณะทำงานศึกษา และจัดทำโครงการจัดตั้งกระทรวงอุดมศึกษาและวิจัย กล่าวว่า ส่วนตัวเห็นว่าไม่อยากให้เป็นทบวงที่อยู่ภายใต้ ศธ. แต่อยากให้เป็นทบวงอิสระ เพราะจะทำให้รัฐมนตรีประจำทบวงมีอิสระในการบริหารงาน ไม่ต้องไปขึ้นตรงต่อ รมว.ศึกษาธิการ

ขณะที่ ศ.(พิเศษ) ดร.ทศพร กล่าวว่า ได้เสนอกับที่ประชุม ทปอ. ใน 4 เรื่อง ได้แก่

1. ให้มหาวิทยาลัยต่างๆ มีบทบาทสำคัญต่อการช่วยเหลือประเทศและแข่งขันกับต่างประเทศได้ โดยเฉพาะการสร้างงานวิจัย และทำเรื่องธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ช่วยเหลือผู้ประกอบการของประเทศ และช่วยชุมชนรอบมหาวิทยาลัยให้มีความเข้มแข็งซึ่งมหาวิทยาลัยก็รับข้อเสนอดังกล่าวแล้ว

2.เรื่องการประกันคุณภาพภายในของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) และการประเมินคุณภาพภายนอกของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) ซึ่งเห็นว่า ไม่ควรมีหลักเกณฑ์เดียวที่ใช้กับทุกหน่วยงาน แต่ควรมีหลักเกณฑ์ที่หลากหลาย

3. เรื่องกฎหมายอุดมศึกษา โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลนั้นตนไม่เห็นด้วยที่จะใช้มาตรฐานเดียวกันทุกมหาวิทยาลัย แต่ควรจะกำหนดเป็นมาตรฐานขั้นต่ำที่นำไปใช้ร่วมกันได้ตามความเหมาะสม

4.เรื่องกระทรวงอุดมศึกษาฯ ซึ่ง ทปอ.ได้มีการทำเรื่องแยกเป็นกระทรวงอุดมศึกษาฯ ซึ่งจากประสบการณ์ที่ตน เป็นเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร .) เห็นว่าการตั้งกระทรวงใหม่เป็นเรื่องยาก ดังนั้น ควรมีการจัดตั้งเป็นทบวง โดยมีบทบาทเรื่องอุดมศึกษาโดยเฉพาะ เพราะถ้านำในส่วนงานวิจัยมารวมด้วยอาจจะมีปัญหากับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งยังต้องการให้มีการแยกในส่วนอุดมศึกษา ออกจากการศึกษาขั้นพื้นฐาน ด้วย

ที่มา: http://www.naewna.com

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34444&Key=hotnews

สสวท.สั่งขันนอตครู ‘วิทย์-คณิต’

14 ตุลาคม 2556

เมื่อวันที่ 13 ต.ค. นายปรีชาญ เดชศรี รอง ผอ.สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เผยข้อมูลผลวิจัยความพร้อมความมั่นใจในการสอนคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ของครูผู้สอนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 และมัธยมศึกษาปีที่ 2 ว่า ข้อมูลดังกล่าวเป็นการสำรวจความคิดเห็นของครูทั้งสองวิชา โดยครูผู้สอนเกินครึ่งไม่มีความมั่นใจในการสอน และไม่ได้เตรียมความพร้อมสำหรับจัดการเรียนการสอน โดยผลสำรวจของครูระดับ ป.4 วิชาคณิตฯ แบ่งเป็น ครูมีความพร้อมเตรียมการสอน 50 เปอร์เซ็นต์ จากค่าเฉลี่ยทั่วโลก 83 เปอร์เซ็นต์ มีความมั่นใจการสอน 47 เปอร์เซ็นต์ จากค่าเฉลี่ยทั่วโลก 75 เปอร์เซ็นต์, วิชาวิทย์ ครูมีความพร้อมเตรียมการสอน 38 เปอร์เซ็นต์ จากค่าเฉลี่ยทั่วโลก 62 เปอร์เซ็นต์, มีความมั่นใจการสอน 39 เปอร์เซ็นต์ จากค่าเฉลี่ยทั่วโลก 59 เปอร์เซ็นต์

รอง ผอ.สสวท. กล่าวต่อว่า ผลสำรวจของครูระดับ ม.2 วิชาคณิตฯ แบ่งเป็น ครูมีความพร้อมเตรียมการสอน 55 เปอร์เซ็นต์ จากค่าเฉลี่ยทั่วโลก 84 เปอร์เซ็นต์, มีความมั่นใจการสอน 39 เปอร์เซ็นต์ จากค่าเฉลี่ยทั่วโลก 76 เปอร์เซ็นต์ ส่วนวิชาวิทย์ ครูมีความพร้อมเตรียมการสอน 53 เปอร์เซ็นต์ จากค่าเฉลี่ยทั่วโลก 72 เปอร์เซ็นต์ และมีความมั่นใจการสอน 42 เปอร์เซ็นต์ จากค่าเฉลี่ยทั่วโลก 73 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ ผลการศึกษาชี้ด้วยว่า ครูมีส่วนสำคัญมากที่สุดต่อสัมฤทธิผลการศึกษาเด็ก ดังนั้น กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) จำเป็นต้องเร่งสร้างความพร้อม และความมั่นใจให้กับครู

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34448&Key=hotnews

1 อำเภอ 1 ทุน เพิ่มสายอาชีพ

14 ตุลาคม 2556

กรุงเทพฯ : “จาตุรนต์” ปรับหลักเกณฑ์ 1 อำเภอ 1 ทุน ขยายถึงสายอาชีพ ด้าน กอศ. ขอให้เด็กอาชีวะ 77 ทุน ต่อปริญญาตรีใน 13 สาขาขาดแคลนในกลุ่มอุตสาหกรรมหลัก

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงกรณีที่นางสุทธศรี วงษ์สมาน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ มีข้อเสนอให้ปรับปรุงหลักเกณฑ์การคัดเลือกโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุนใหม่ เพื่อจัดสรรทุนให้นักเรียนที่จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีโอกาสได้เข้าศึกษาต่อในระดับมัธยมฯปลาย และระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ โดยเน้นให้ทุนสายอาชีพเพิ่มมากขึ้นนั้น ขณะนี้ผู้รับทุนจากโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน ยังไม่เต็มจำนวน คิดว่าควรต้องปรับ-ปรุงหลักเกณฑ์การให้ทุนเพื่อให้มีผู้ รับทุนเพิ่มขึ้น และขยายโอกาสให้นักเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) มีโอกาสรับทุนเพิ่มขึ้นด้วย

“ขณะนี้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปสรุปปัญหาอุปสรรคเพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์การคัดเลือกทั้งหมด ส่วนนักเรียนอาชีวะอาจจะต้องจัดทำหลักเกณฑ์เฉพาะขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสให้นักเรียน สอศ. ได้รับทุนเพิ่มขึ้น”

ด้านนายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) กล่าวว่า จะนำร่างโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน (อาชีวศึกษา) ภายใต้โครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน รุ่นที่ 5 เสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการพิจารณา เพื่อขอจัดสรรทุนตามโครงการดังกล่าวให้นักเรียนและนักศึกษาสายอาชีวะ 77 ทุน เรียนต่อระดับปริญญาตรีทั้งในและต่างประเทศ เน้นสาขาที่เป็นความต้องการของประเทศใน 13 กลุ่มอุตสาหกรรมหลัก

ทั้งนี้ ผู้รับทุนต้องเรียนดี มีฐานะยากจน ครอบครัวมีรายได้ไม่เกิน 200,000 บาทต่อปี มีความประพฤติดี และคิดค้นนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆได้

ที่มา: หนังสือพิมพ์โลกวันนี้

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34447&Key=hotnews

 

มข.ผุดระบบติดตามขอตำแหน่งวิชาการใช้เทคโนฯ หนุนมหาวิทยาลัยวิจัยชั้นนำของโลก

14 ตุลาคม 2556

มหาวิทยาลัยขอนแก่นรุดหน้านำเทคโนโลยีมาช่วยในการขอตำแหน่งทางวิชาการ (ผศ. รศ. ศ.) 

รศ.พิษณุ อุตตมะเวทิน รองอธิการบดีฝ่ายบริหารทรัพยากรมนุษย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เผยถึงโครงการระบบติดตามขอตำแหน่งวิชาการว่า ในอดีต มหาวิทยาลัยขอนแก่นใช้ระบบติดตามการขอตำแหน่งวิชาการเป็นเอกสาร จากการสำรวจพบว่าเกิดอุปสรรคในการทำงานมากมาย อาทิ เอกสารส่งไม่ถึง การติดตามงานล่าช้า เป็นเหตุให้ฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ ร่วมมือกับกองการเจ้าหน้าที่ นำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วยในการจัดการระบบ เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างสะดวก รวดเร็ว ชัดเจน โปร่งใส ทุกขั้นตอน เอื้ออำนวยต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่ และสะดวกต่อการตรวจสอบสถานะของผู้ยื่นขอ ตลอดจนง่ายต่อการตรวจสอบแนวโน้มการยื่นขอตำแหน่งทางวิชาการในภาพรวมของผู้บริหารระดับสูง โดยคาดหวังว่าระบบดังกล่าวจะสามารถอำนวยความสะดวกต่อคณาจารย์สายผู้สอน และสายสนับสนุน กระตุ้นให้เกิดการยื่นขอตำแหน่งทางวิชาการมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้เพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ของมหาวิทยาลัย ในการก้าวสู่มหาวิทยาลัยวิจัยของโลกต่อไป

“ขณะนี้เราได้นำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาพัฒนาระบบติดตามการขอตำแหน่งทางวิชาการโดยการร่วมมือของกองการเจ้าหน้าที่และฝ่ายบริหารทรัพยากรมนุษย์ ระบบนี้จะช่วยลดความกังวลใจของคณาจารย์ บุคลากรที่ยื่นขอตำแหน่งทางวิชาการ เนื่องจากท่านสามารถตรวจสอบสถานการณ์ยื่นขอตำแหน่งวิชาการของท่านได้ทุกที่ทุกเวลา ผ่านเครือข่ายโซเชียลเน็ตเวิร์ค โดยเครื่องมือนี้จะมีประโยชน์ทั้งต่อผู้ยื่นขอ ฝ่ายเจ้าหน้าที่ดำเนินงาน รวมถึงผู้บริหารระดับสูง เพื่อใช้ในการติดตามแนวโน้มการยื่นขอตำแหน่งวิชาการ เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มผู้ยื่นขอตำแหน่งทางวิชาการอันจะสอดคล้องต่อวิสัยทัศน์เพื่อการเป็นมหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ” รศ.พิษณุ กล่าว

อย่างไรก็ตามคณะทำงาน ได้คิดวิเคราะห์อย่างรอบด้าน วางแผนโครงการและปฏิบัติงานเป็นระยะเวลากว่า 6 เดือน กระทั่งได้ระบบติดตามการขอตำแหน่งทางวิชาการที่มีระบบชัดเจน สะดวก รวดเร็ว และครอบคลุมทุกมิติ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับบุคลากร เจ้าหน้าที่ รวมถึงผู้บริหารระดับสูงอย่างดีที่สุด

ผศ.ดร.อิศรา ก้านจักร ผู้ช่วยอธิการบดี ฝ่ายบริหารทรัพยากรมนุษย์ กล่าวว่า แนวคิดในการพัฒนาระบบติดตามการขอตำแหน่งทางวิชาการ โดยนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยนั้น เกิดจากการที่บุคลากรหลายคนมีความวิตกกังวล ขณะที่ฝ่ายปฏิบัติงานก็ไม่สามารถจะตอบคำถามได้ครบทุกท่าน ฉะนั้นกองการเจ้าหน้าที่และฝ่ายพัฒนาทรัพยากรมนุษย์จึงนำเอาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วย โดยคาดว่าจะทำให้ผู้ที่ขอตำแหน่งทางวิชาการสามารถที่จะตรวจสอบ ดูสถานะตนเองได้ทุกที่ ทุกเวลา ประหยัด รวดเร็ว ตรงเป้าหมาย ทำให้ทุกฝ่ายสามารถขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยขอนแก่นได้ดียิ่งขึ้น

“การพัฒนาระบบนี้ได้รับความเห็นชอบจากท่านอธิการบดี ท่านรองอธิการบดีฝ่ายพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ รวมถึงท่านผู้อำนวยการกองการเจ้าหน้าที่ เพื่อมอบหมายให้คณะทำงานสร้างกระบวนการ ประสานร่วมกับเจ้าหน้าที่ภาคปฏิบัติ และโปรแกรมเมอร์ โดยนำขั้นตอนการขอตำแหน่งทางวิชาการในลักษณะเดิมมาวิเคราะห์ปัญหาการใช้งาน จนสามารถพัฒนาระบบใหม่ได้สำเร็จ ซึ่งระบบติดตามการขอตำแหน่งทางวิชาการนี้จะรองรับการทำงานทุกภาคส่วน ทั้งฝ่ายผู้ยื่นขอตำแหน่งทางวิชาการ ฝ่ายเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน ฝ่ายผู้บริหารระดับสูง รวมถึงระดับสภามหาวิทยาลัย ที่จะติดตามตรวจสอบระบบได้ทั้งกระบวนการ ทำให้กระบวนการโปร่งใส เป็นไปตามระบบการบริหารที่มีหลักธรรมาภิบาล สามารถตรวจสอบในระบบได้ ทั้งนี้กองการเจ้าหน้าที่จะมีฐานข้อมูลที่เป็นระบบ สะดวกในการทำงาน เอกสารไม่หาย ขณะที่ผู้บริหารระดับสูงสามารถเช็คแนวโน้มการยื่นขอตำแหน่งวิชาการได้ว่าขณะนี้มีการขอ ศ. รศ. ผศ. กี่คน กระบวนการติดขัดที่ขั้นตอนใด ทำไมถึงช้า ช้าเพราะอะไร สามารถที่จะคำนวณได้เลยว่าจากนโยบายที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นกำหนดมาเพื่อขับเคลื่อนการยื่นขอตำแหน่งวิชาการให้เพิ่มมากยิ่งขึ้นนั้น ทำให้บุคลากรของเรามีตำแหน่งทางวิชาการที่สูงขึ้นไหม อย่างไร ดังนั้นระบบนี้จะอำนวยความสะดวกให้กับทุกท่านได้ขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยขอนแก่นร่วมกันได้ดียิ่งขึ้น” ผศ.ดร.อิศรา กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์บ้านเมือง

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34441&Key=hotnews

วชช.เปิดเวทีแลกเปลี่ยนความคิด ‘ร่าง พ.ร.บ สถาบันวิทยาลัยชุมชน’ เน้นจัดการศึกษารูปแบบวิทยาลัยให้มีระดับทัดเทียมมหาวิทยาลัยชั้นนำ

11 ตุลาคม 2556

เตรียมความพร้อมปรับวิทยาลัยชุมชนให้มีระดับทัดเทียมกับมหาวิทยาลันชั้นนำ

เมื่อเร็วๆ นี้ ดร.กฤษณพงศ์ กีรติกร ประธานกรรมการวิทยาลัยชุมชน (วชช.) กล่าวเปิดงานโครงการสัมมนาประธานกรรมการสภาวิทยาลัยชุมชนว่า เพื่อต้องการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และเรียนรู้ร่วมกันเกี่ยวกับการจัดการศึกษารูปแบบวิทยาลัยชุมชนเพื่อกำหนดสาระสำคัญ ทิศทางของร่างพระราชบัญญัติสถาบันวิทยาลัยชุมชน รวมถึงกำกับติดตามและประเมินผล เสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างวิทยาลัยชุมชน เนื่องจากตอนนี้ในหลายๆ จังหวัดทั่วประเทศ ได้มีการตื่นตัวของ วชช.เพิ่มมากขึ้น เพื่อรองรับการเรียนการสอนในรูปแบบมหาวิทยาลัย ทาง วชช.จึงต้องจัดเตรียมความพร้อมให้มีระดับทัดเทียมเหมือนกับมหาวิทยาลัยชั้นนำแห่งอื่น

โครงการสัมมนาครั้งนี้มีการบรรยายเรื่อง “สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติสถาบันวิทยาลัยชุมชน” โดยมี ศ.วิริยะ นามสิริพันธุ์ กรรมการนโยบายไทยพีบีเอส ด้านการส่งเสริมประชาธิปไตย เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ ในขณะเดียวกัน คณะประธานกรรมการหลายท่านร่วมแสดงความคิดเห็นว่า องค์ประกอบหลักของวิทยาลัยชุมชนนั้น มี 3 ด้านด้วยกัน คือ ด้านการจัดการศึกษาเพื่อชุมชน ด้านการจัดการศึกษาเพื่ออาชีพ และด้านการจัดการศึกษาต่อยอดใบประกาศนียบัตร ซึ่งเป็นข้อเด่นชัดให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างวิทยาลัยชุมชนกับมหาวิทยาลัยทั่วๆ ไป เพื่อให้ประชาชนมีทางเลือกที่หลากหลายและเหมาะสม ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับตัวเอง

ทั้งนี้ สภาวิทยาลัยชุมชนได้บอกถึงขอบเขตของร่าง พ.ร.บ. และแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็นของคณะกรรมการ เพื่อนำไปปรับใช้ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งร่าง พ.ร.บ. ของวิทยาลัยชุมชนในขณะนี้ได้ผ่านเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรในขั้นตอนแรกแล้ว และในขั้นตอนต่อๆ ไป จึงอยากให้คณะกรรมการร่วมกันจัดเตรียมข้อมูล ข้อเสนอแนะ เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และเรียนรู้ในการพัฒนางานวิทยาลัยชุมชน เพื่อให้เกิดเป็นรูปธรรมเด่นชัดมากยิ่งขึ้นต่อไป

ที่มา: หนังสือพิมพ์บ้านเมือง

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34429&Key=hotnews

ครม.อนุมัติให้ มศว ออกนอกระบบ

10 ตุลาคม 2556

ครม.อนุมัติให้ มศว ออกนอกระบบ
รายได้ที่มหาวิทยาลัยหาได้ไม่ต้องส่งเข้าคลัง
นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(รมช.ศธ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พ.ศ. …. ที่แก้ไขปรับปรุง จากร่างที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตรวจพิจารณาแล้ว มีหลักการสำคัญ คือ ปรับเปลี่ยนสถานภาพจากมหาวิทยาลัยของรัฐ ที่เป็นส่วนราชการไปเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐและมีฐานะเป็นนิติบุคคลโดยกำหนดให้มหาวิทยาลัยไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน แต่พนักงานมหาวิทยาลัยต้องได้รับการคุ้มครอง และประโยชน์ตอบแทนไม่น้อยกว่าที่กำหนดไว้ในกฎหมายดังกล่าว แต่ไม่ตัดสิทธิที่จะประกันตนด้วยความสมัครใจ อย่างไรก็ตามส่วนรายได้ของมหาวิทยาลัยนั้นมหาวิทยาลัยจะมีรายได้ส่วนหนึ่งจากเงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้เป็นรายปีซึ่งเงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้อุทิศให้ และเงินกองทุนที่รัฐบาลหรือมหาวิทยาลัยจัดตั้งขึ้น และรายได้หรือผลประโยชน์จากกองทุน ตลอดจนรายได้ของมหาวิทยาลัยไม่เป็นรายได้ที่ต้องนำส่งกระทรวงการคลังตามกฎหมาย

ที่มา: http://www.naewna.com

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34415&Key=hotnews

ลดช่องว่างการศึกษาอาเซียน ผอ.ซีเมสแนะเลิกท่องจำสร้างพลเมืองคิดเป็นทำเป็น

10 ตุลาคม 2556

ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เมื่อวันที่ 9 ต.ค.56 นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ กล่าวปาฐกถาพิเศษตอนหนึ่งเรื่องบูรณาการความร่วมมือทางการศึกษาของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนในงานเวิลด์ไดแด็ค เอเชีย เอ็ดดูเคชั่น ลีดเดอร์ส ฟอรั่ม 2013 ว่าประเทศไทย ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง ที่ทำให้การศึกษาสามารถเข้าถึงทุกคนได้อย่างมีคุณภาพ แม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตลอดเวลา โดยเฉพาะการใช้เวลาเรียนของเด็กในห้องเรียนมากเกินไป และเด็กขาดทักษะการคิดวิเคราะห์แต่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ก็พยายามที่จะนำข้อมูลต่างๆ เหล่านี้มาพัฒนาเพื่อให้การศึกษามีคุณภาพมากยิ่งขึ้น

“เชื่อว่าขณะนี้ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต่างมุ่งพัฒนาการศึกษาดังนั้น เราจำเป็นต้องปรับระบบการศึกษา ให้เป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ ซึ่ง ศธ.ถือเป็นภารกิจสำคัญที่จะต้องมีการปฏิรูปการศึกษา และปรับปรุงผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนไทยให้ดีขึ้น โดยเฉพาะผลประเมิน PISA ตลอดจนหลักสูตรการเรียนการสอน เพื่อให้เด็กสามารถคิดวิเคราะห์ และเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ขณะเดียวกันต้องมีการพัฒนาครูให้มีคุณภาพที่สูงขึ้นด้วย โดยการประเมินครูต้องควบคู่ไปกับผลงานที่เป็นผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน” รมว.ศึกษาธิการ กล่าวและว่า ศธ.จะส่งเสริมคุณภาพของระบการศึกษาอาชีวศึกษา ให้มีมาตรฐานระดับโลก และสนองต่อความต้องการของประเทศ โดยจะมีการกำหนดกรอบให้เด็กอาชีวะมีทักษะ และมีความรู้ตามความต้องการของสถานประกอบการ นอกจากนี้จำเป็นต้องให้ภาคเอกชน และภาคอุตสาหกรรม เข้ามาร่วมฝึกอบรมทั้งเทคนิคและการศึกษา เพื่อให้การเรียนอาชีวะมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม ในปี 2558 ที่จะก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ประเทศสมาชิกจำเป็นต้องเข้าใจวัฒนธรรม และภาษาซึ่งกันและกันซึ่งภาษาอังกฤษจะเป็นภาษาหลักที่ใช้ในการสื่อสาร ดังนั้น เราจะต้องเร่งพัฒนาภาษาอังกฤษให้กับเด็กไทย รวมทั้งการนำไอซีทีมาใช้ในการสอนภาษาให้มากขึ้น และในปี2558 ศธ.จำเป็นจะต้องมุ่งส่งเสริมการศึกษาเพื่อลดช่องว่างของการพัฒนาการศึกษาในประเทศสมาชิกอาเซียน ซึ่งไทยได้สนับสนุนเรื่องนี้เพื่อให้มีการศึกษาอย่างยั่งยืน

ด้าน นายวิทยา จีระเดชากุล ผอ.สำนักงานเลขาธิการองค์การรัฐมนตรีศึกษา แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ซีเมส) กล่าวถึงภาพรวมระบบการศึกษาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในอนาคตจำเป็นต้องมีการปรับวิธีการสอนให้ผู้เรียนรู้จักคิดวิเคราะห์เป็นไม่ใช่การท่องจำเหมือนอดีต ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นในหลายประเทศ เช่นเดียวกับไทย ทั้งนี้ ในส่วนของไทยนั้นมีโจทย์ใหญ่ที่ท้าทายต่อการปรับเปลี่ยนระบบการศึกษาคือ การเปลี่ยนแปลงระบบความคิด ซึ่งทำอย่างไรให้นโยบายทางการศึกษามีความต่อเนื่อง เพราะต้องยอมรับว่าการเมืองเป็นตัวแปรสำคัญในการพัฒนาระบบการศึกษา เพราะหากคนที่เข้ามาทำหน้าที่ดูแลมีความเข้าใจระบบการศึกษาจริงๆก็จะช่วยพัฒนาได้ดีขึ้น และต้องมีการเปลี่ยนแปลงระบบ ให้มีการกระจายอำนาจจากศูนย์กลางออกไป เพื่อให้เกิดความรู้สึกถึงการมีส่วนร่วมในการพัฒนา ช่วยทำให้การยกระดับคุณภาพระบบการศึกษาของไทยทำได้เร็วขึ้น

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34413&Key=hotnews

ศธ.เอาจริง ‘ซ้ำชั้น’ เล็งประถม ดันใช้ข้อสอบเดียวทั้งประเทศ

10 ตุลาคม 2556

สพฐ.-สทศ. ‘รับลูก’ รัฐมนตรี ‘อ๋อย’  ฟื้น ‘ตกซ้ำชั้นใช้ข้อสอบปลายภาครวมทั้งประเทศ’ เล็งปีการศึกษา 2557 ซ้ำชั้นเฉพาะ’ประถมฯ’ แต่ ‘ม.ต้น’ ให้เรียนซ่อมรายวิชาที่สอบตก นำร่องข้อสอบปลายภาคเหมือนกันทั่วประเทศ

เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมมอบนโยบายแก่ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) ทั่วประเทศ ที่โรงแรมปรินซ์พาเลซ มหานาค กรุงเทพฯ ว่าได้ฝากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) หารือร่วมกันเพื่อจัดทดสอบวัดผลกลาง เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีการทดสอบกลางที่เป็นมาตรฐานและเป็นระบบ ทำให้ไม่รู้ปัญหา กว่าจะมารู้ปัญหาต้องรอการวัดผลระดับนานาชาติหรือการวัดผลเองในบางช่วงชั้นและเพียงบางวิชาเท่านั้น เช่น การวัดผลภาษาไทยระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 และชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จากการสอบวัดประเมินผลระดับชาติ (เอ็นที) และล่าสุดการทดสอบการอ่านของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่พบว่ามีนักเรียนประมาณ 2 แสนคน ที่ต้องปรับปรุง เป็นตัวอย่างให้เห็นว่าต้องมาทบ ทวนเพื่อวางระบบการวัดผลกันใหม่ ทั้งนี้ สพฐ.และ สทศ.ต้องหารือร่วมกันว่าจะออกแบบข้อสอบให้เป็นมาตรฐานได้อย่างไร และจะต้องวัดผลวิชาและระดับชั้นใดบ้าง

“ระบบการศึกษาเราจำเป็นต้องใช้การทดสอบวัดผลกลางที่เป็นมาตรฐาน บางวิชาบางสาขาต้องอิงกับมาตรฐานต่างประเทศ เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้หากต้องการยกระดับคุณภาพการศึกษา จำเป็นต้องมาคิดเรื่องระบบการทดสอบวัดผลอย่างจริงจัง ในประเทศที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ใช้ระบบวัดผลกลางเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนการจัดการศึกษา แม้ว่าตอนนี้จะมีการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (โอเน็ต) อยู่แล้ว แต่ไม่ได้มีการทำทุกชั้นเรียน” รัฐมนตรีว่าการ ศธ.กล่าว และว่า การทดสอบวัดผลกลางไม่ใช่เพื่อให้เกิดการแข่งขัน แต่เพื่อให้เกิดการพัฒนาปรับปรุงการเรียนการสอน เกิดความเข้าใจว่าเด็กเรียนแล้วได้ผลอย่างไร การวัดผลกลางเกิดการพัฒนาปรับปรุงการเรียนการสอน เกิดความเข้าใจว่าเด็กเรียนแล้วได้ผลอย่างไร การวัดผลกลางจะทำให้ทราบภาพรวมการจัดการศึกษาทั้งประเทศ อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้นการทดสอบวัดผลกลางจะมีผลต่อเกรดและคะแนนของนักเรียนด้วย โดยตนอยากให้เกิดขึ้นในปีการศึกษา 2557

ผู้สื่อข่าวถามว่า การทดสอบวัดผลกลางจะย้อนกลับไปใช้ระบบเดิมที่ใช้กันในอดีตหรือไม่ นาย จาตุรนต์กล่าวว่า เป็นเรื่องของศตวรรษที่ 21 และทั่วโลกทำกัน บังเอิญว่าสมัยก่อนการศึกษาไทยก็มีการทดสอบวัดผลกลาง เพียงแต่พอมีการเปลี่ยนมาใช้ผลการเรียนแบบหน่วยกิต ได้ทิ้งบางเรื่องที่เป็นประโยชน์ไป

ด้านนายอภิชาติ จีระวุฒิ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า จากแนวนโยบายของนายจาตุรนต์นั้น สพฐ.จะให้มีการจัดทดสอบวัดผลกลางโดยใช้ข้อสอบชุดเดียวกันทั้งประเทศในทุกชั้นปี แต่หากเริ่มพร้อมกันทุกระดับชั้น อาจจะมีปัญหาในเรื่องงบประมาณและความพร้อมของผู้ปฏิบัติ ดังนั้น จะเริ่มใช้ข้อสอบกลางในระดับชั้นที่มีผลต่อการเรียนในระดับสูงขึ้นก่อน คือ ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และ 2 โดยข้อสอบกลางจะเป็นข้อสอบมาตรฐานที่ผ่านกระบวนการพิจารณาตรวจสอบโดยชุมนุมนักวัดผลการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ สพฐ.กำลังจะตั้งขึ้น จะมีค่าความเชื่อมั่นเพียงพอที่จะส่งผลเป็น กระจกให้รู้ได้ว่าจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขการจัดการศึกษาในด้านใด เพื่อให้ได้มาตรฐานของนักเรียนทั่วประเทศที่ใกล้เคียงกัน

เลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อว่า ข้อสอบวัดผลกลางจะใช้ในการสอบปลายภาคของทุกโรงเรียนที่จัดสอบ ปีละ 2 ครั้ง และจะใช้สอบทั้ง 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เด็กเรียน โดยใน 1 วิชาใช้ข้อสอบ 60 ข้อ จะออกข้อสอบประมาณ 600-1,200 ข้อ และเลือกไปใช้สอบบางส่วน และส่วนที่เหลือเก็บไว้ในคลังข้อสอบเพื่อนำมาปรับใช้ในการสอบครั้งต่อไป ข้อสอบจะบันทึกข้อมูลลงในแผ่นซีดีให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) หรือโรงเรียนไปจัดพิมพ์ข้อสอบเอง เมื่อสอบครั้งใหม่ก็จะมีการนำข้อสอบชุดใหม่มาใช้และต่อไป(สพท.) หรือโรงเรียนไปจัดพิมพ์ข้อสอบเอง เมื่อสอบครั้งใหม่ก็จะมีการนำข้อสอบชุดใหม่มาใช้และต่อไปโรงเรียนไม่ต้องจัดทำข้อสอบปลายภาคเอง แต่ให้มาใช้ข้อสอบกลางนี้แทน สำหรับเรื่องการกวดวิชาข้อสอบให้แก่เด็กนั้น คงห้ามไม่ได้ แต่ข้อสอบที่จัดส่งไปจะเป็นข้อสอบใหม่และมีการพัฒนาตลอด ทั้งนี้ สพฐ.จะเริ่มใช้ข้อสอบกลางในระดับชั้นดังกล่าวในปีการศึกษา 2557 ขณะนี้เหลือเวลาอีกประมาณครึ่งปี จึงเชื่อว่าจะสามารถออกข้อสอบและดำเนินการเรื่องนี้เสร็จได้ทัน

“เมื่อจะมีการใช้ข้อสอบวัดผลกลาง สพฐ.จะต้องปรับปรุงระบบการวัดผลประเมินผลใหม่ด้วย โดยรัฐมนตรีว่าการ ศธ.ได้มอบให้มาทบทวนระบบการตกซ้ำชั้นใหม่ ขณะนี้ สพฐ.กำลังปรับปรุงโดยยกร่างระเบียบ ศธ.ว่าด้วยการวัดผลประเมินผลการศึกษาขั้นพื้นฐานใหม่ เพื่อจะใช้ในปีการศึกษาปี 2557 มีเนื้อหาสาระที่จะให้มีการตกซ้ำชั้นในระดับชั้นประถมศึกษา หากไม่ผ่านวิชาใดวิชาหนึ่งก็จะต้องตกซ้ำชั้น เพราะเป็นการเรียนการสอนแบบบูรณาการ ส่วนระดับมัธยมศึกษานั้นหากไม่ผ่านในรายวิชาใด จะต้องมาลงเรียนรายวิชานั้นใหม่ในภาคเรียนถัดไปหรือเมื่อโรงเรียนเปิดให้โดยไม่ต้องซ้ำชั้น นอกจากนี้แล้ว สพฐ.อาจจะต้องไปดูว่าจะต้องพิจารณาการใช้ระบบเกรดเหมือนเดิมหรือใช้ระบบเปอร์เซ็นต์ในผลการเรียนเพราะหลายประเทศมีการใช้ระบบผลการเรียนแบบเปอร์เซ็นต์” นายอภิชาติกล่าว และว่า เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ เมื่อจัดทำร่างเสร็จแล้ว จะต้องมีการรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง จากนั้นจะต้องนำเสนอรัฐมนตรีว่าการ ศธ. พิจารณาเห็นชอบลงนามต่อไป โดยเมื่อประกาศใช้ จะมีผลบังคับใช้ในโรงเรียนสังกัด สพฐ. โรงเรียนเอกชน ส่วนโรงเรียนในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน สามารถอนุโลมนำไปใช้ได้ ปกติแล้วโรงเรียนเหล่านี้ก็อิงกับ ศธ.อยู่แล้ว ส่วนโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยต่างๆ นั้น ขึ้นอยู่กับความสมัครใจว่าจะใช้การวัดผลดังกล่าวนี้หรือไม่

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34412&Key=hotnews

เคาะ’ร.ร.-อาชีวะ’เปิดเทอม 16 พ.ค. ศธ.ชี้เด็กมีเวลา 4 เดือนอ่านตำราสอบเข้าม. รับ’น.ศ.ครู’กระทบ-ไร้เวลาเตรียมฝึกสอน

10 ตุลาคม 2556

เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับผู้บริหาร ศธ. ว่าที่ประชุมได้หารือเรื่องการเลื่อนเปิด-ปิดภาคเรียนของสถานศึกษาในสังกัด ศธ. โดยที่ประชุมได้นำข้อดีและข้อเสียของการเลื่อนเปิดเทอมจาก 16 พฤษภาคม เป็น 10 มิถุนายน และการเปิดเทอมเป็นวันที่ 16 พฤษภาคมเหมือนเดิม รวมถึงนำผลการสำรวจความคิดเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้องในวงการศึกษา อาทิ นักเรียน ผู้ปกครอง ครู และผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 15,696 คน เกี่ยวกับการเลื่อนเปิดเทอม ที่ระบุว่า 54.54% เห็นด้วยกับการเปิดเทอมวันที่ 16 พฤษภาคมมาพิจารณาด้วย ซึ่งที่ประชุมได้ข้อสรุปร่วมกันว่าการเปิดเทอมวันที่ 16 พฤษภาคม จะมีข้อดีมากกว่าการเลื่อนไปเปิดเทอมวันที่ 10 มิถุนายน เพราะเมื่อคำนึงถึงการเรียนการสอนของนักเรียนส่วนใหญ่ตั้งแต่ชั้น ป.1-ม.5 จะพบว่ามีความสอดคล้องในแง่ของภูมิอากาศ และประเพณีไทย ซึ่งหากต้องเลื่อนเปิดเทอม จะทำให้เกิดผลกระทบกับสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) จะเปิดเทอมในวันที่ 16 พฤษภาคมเหมือนเดิม
รัฐมนตรีว่าการ ศธ. กล่าวต่อว่า การให้เปิดภาคเรียนเหมือนเดิม ไม่ต้องแก้ไขกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง และจะไม่กระทบต่อการขอรับเงินอุดหนุนรายหัว เพราะใช้ฐานข้อมูลนักเรียนวันที่ 10 มิถุนายน ขณะเดียวกันทาง สอศ. ยังเห็นว่าเด็กอาชีวะมีความเชื่อมโยงกับมหาวิทยาลัยน้อย และการเปิดเทอมวันที่ 16 พฤษภาคม จะสอดคล้องกับความต้องการของตลาดที่กำลังหาแรงงานมากกว่าด้วย ส่วนเด็ก ม.6 แม้ว่าการเปิดเทอมช่วงเวลาเดิม จะมีผลให้เด็กมีช่วงเวลาว่าง ค่อนข้างมากประมาณ 4 เดือนครึ่ง ก่อนที่มหาวิทยาลัยจะเปิดเทอมในช่วงกลางเดือนสิงหาคมนั้น ที่ประชุมได้พิจารณาแล้วเห็นว่าไม่น่าจะเป็นปัญหาแต่จะเป็นโอกาสดี เพราะในบางประเทศจะใช้ช่วงเวลานี้สำหรับเรียนภาษา เพิ่มเติมหรือเรียนเพื่อเตรียมความพร้อมเข้ามหาวิทยาลัย

นายจาตุรนต์กล่าวด้วยว่า สำหรับประเทศไทยเป็นโอกาสดีที่จะทำให้มหาวิทยาลัยสามารถจัดระบบการรับบุคคลเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย ซึ่งได้ขอความร่วมมือให้มหาวิทยาลัยเลื่อนการสอบรับตรงของมหาวิทยาลัยมาอยู่ในช่วงที่นักเรียนได้เรียนจบการศึกษาแล้ว เพื่อให้เด็กได้มีเวลาเตรียมตัว อย่างไรก็ตาม ในส่วนของสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) ก็เห็นด้วยว่าการจัดสอบต่างๆ ของ สทศ.ควรจัดสอบหลังนักเรียนจบการศึกษาเช่นกัน ซึ่ง สทศ.ก็ยินดีที่จะพิจารณาขยับช่วงเวลาในการสอบให้สอดคล้องกับช่วงเวลาปิดภาคเรียนที่ 2 ที่จะมีช่วงเวลาที่นักเรียนหยุดเรียนนานขึ้นด้วย

“ความจริงแล้วการเลื่อนเปิด-ปิดภาคเรียนในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาของกลุ่มประเทศอาเซียน ไม่ได้มีการเปิด-ปิดพร้อมกัน ซึ่งการเปิด-ปิดแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ

1.เปิดช่วงเดือนมกราคม

2.ช่วงเดือนมิถุนายนกรกฎาคม และ

3.ช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม

ซึ่งถือว่ามีความแตกต่างกันมาก ดังนั้น การที่ประเทศไทยจะเลื่อนเวลา เพื่อให้สอดคล้องกับกับกลุ่มประเทศอาเซียนจึงไม่ใช่ประเด็น” นายจาตุรนต์กล่าว และว่า ส่วนกรณีที่ห่วงว่าหากให้เปิดเทอมในวันที่ 16 พฤษภาคมเช่นเดิมแล้ว จะมีผลกระทบกับนักศึกษาฝึกสอนคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ที่จะไม่มีเวลาเตรียมตัวล่วงหน้าก่อนการฝึกสอนนั้น ได้มีการนำมาพูดคุยกันและเห็นว่าเป็นเพียงปัญหาข้อเดียว ฉะนั้นคงจะต้องหาวิธีแก้ไขปัญหากันต่อไป

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34410&Key=hotnews