Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

สำนักงานเลขาธิการแต่งตั้งที่ปรึกษา ของสำนักงานเลขาธิการคุรุสภาและรองเลขาธิการคุรุสภา

9 ตุลาคม 2556

สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา ได้แต่งตั้งที่ปรึกษาของสำนักงานเลขาธิการคุรุสภา 2 ท่าน คือ ดร.ดิเรก พรสีมา ที่ปรึกษาด้านมาตรฐานวิชาชีพ และ นายเกษม กลั่นยิ่ง ที่ปรึกษาด้านพัฒนาวิชาชีพ นอกจากนี้ คณะกรรมการคุรุสภา ในการประชุม ครั้งที่ 13/2556 มีมติแต่งตั้งรองเลขาธิการคุรุสภา จำนวน 4 คน เพื่อรับผิดชอบงาน ดังนี้

1. นายสนอง ทาหอม รับผิดชอบการปฏิบัติงานของสำนักยกย่องเชิดชูเกียรติวิชาชีพ และสำนักพัฒนาและส่งเสริมวิชาชีพ

2. ดร.สำเริง กุจิรพันธ์ รับผิดชอบการปฏิบัติงานของสำนักอำนวยการและสำนักจรรยาบรรณ วิชาชีพและนิติการ

3. นายสุรินทร์ อินทรักษา รับผิดชอบการปฏิบัติงานของสำนักมาตรฐานวิชาชีพ และสำนักทะเบียนและใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ

4. นายก๊ก ดอนสำราญ รับผิดชอบการปฏิบัติงานของสำนักนโยบายและแผน และสำนักเทคโนโลยีสารสนเทศคุรุสภาจัดประกวดคำขวัญวันครู ข้อเขียนความประทับใจที่ศิษย์มีต่อครู และบทร้อยกรอง เทิดเกียรติคุณครู เนื่องในโอกาสวันครู พ.ศ. 2557

ในโอกาสการจัดงานวันครู ครั้งที่ 58 วันที่ 16 มกราคม 2557 โดยกำหนดวัตถุประสงค์เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ “พระผู้ทรงเป็นแม่และครูแห่งแผ่นดิน” เพื่อระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ ส่งเสริมและ เชิดชูเกียรติวิชาชีพครู ส่งเสริมความสามัคคี ความร่วมมือและความเข้าใจอันดีระหว่างผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษากับประชาชนในการพัฒนา การศึกษาของชาติและสังคม อีกทั้งเพื่อดำรงไว้ ซึ่งขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงาม ของชาติ เป็นการเพิ่มพูนองค์ความรู้และทักษะ ในการประกอบวิชาชีพครู

คุรุสภาขอเชิญชวน นักเรียน นิสิต นักศึกษาและประชาชนทั่วไป ส่งคำขวัญวันครู ข้อเขียนความประทับใจที่ศิษย์มีต่อครู และบทร้อยกรอง เทิดเกียรติคุณครู เนื่องในโอกาสวันคร พ.ศ. 2557
ผู้สนใจสามารถส่งผลงานเข้าประกวดได้ที่ กลุ่มยกย่องวิชาชีพ สำนักยกย่องเชิดชูเกียรติ วิชาชีพ สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา 128/1 ถนนนครราชสีมา เขตดุสิต กรุงเทพฯ 10300 โดยวงเล็บผลงานที่ส่งเข้าประกวดไว้มุมซอง ตั้งแต่บัดนี้ จนถึงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2556 ในวันและเวลาราชการ และจะประกาศผลให้ทราบ ภายในเดือน ธันวาคม 2556

สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กลุ่มยกย่องวิชาชีพ โทรศัพท์ 0 2281 4843 หรือ www.ksp.or.th

คุรุสภา
สภาครูและบุคลากรทางการศึกษาCall Center : 0-2304-9899 www.ksp.or.th
ขอให้ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาที่ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพจะหมดอายุในปี พ.ศ. 2557
ยื่นขอต่ออายุใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ก่อนวันที่ใบอนุญาตจะหมดอายุไม่น้อยกว่า 180 วัน

–มติชน ฉบับวันที่ 10 ต.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34404&Key=hotnews

ถกร่วมมือการศึกษาเปรู

9 ตุลาคม 2556

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศธ. กล่าวว่า ตนหารือความร่วมมือด้านการศึกษากับนายโอยันตา อุมาลา ตัสโซ ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเปรู โดยไทยกับเปรูแลกเปลี่ยนทางวิชาการและการติดต่อระหว่างมหาวิทยาลัย ได้แก่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กับมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ขณะนี้มีมหาวิทยาลัยที่พร้อมจะร่วมมือกับเปรูอีก 5 แห่ง รวมทั้งมีการเรียนการสอนภาษาสเปนในร.ร.มัธยมฯ ของไทยอีก 5 แห่ง การหารือถึงกรอบความร่วมมือระหว่างเอเชียตะวันออกและละตินอเมริกา (FEALAC) ซึ่งมีเปรูเป็นประเทศสมาชิก และมีโครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการขยายความร่วมมือกัน ซึ่งการเดินทางมาเยือนไทยครั้งนี้นายโอยันตาให้ความสำคัญกับการศึกษาของรัฐบาลเปรู และอยู่ในช่วงของการปฏิรูปเช่นเดียวกัน

รมว.ศธ.กล่าวว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมารัฐบาลเปรูสนับสนุนทุนให้นักเรียนไปศึกษาต่อต่างประเทศ 1,500 ทุน แต่ยังไม่มีนักเรียนที่เดินทางมาเรียนในไทย ซึ่งมหาวิทยาลัยของเปรูมีความเป็นอิสระ แต่รัฐบาลอยากให้เน้นด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากขึ้น นอกจากนี้ในปี 2015 จะเป็นโอกาสครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-เปรู คาดหวังว่าจะมีการขยายความร่วมมือกันมากขึ้น โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับมหาวิทยาลัย และอยากให้รัฐบาลไทยสนับสนุนทุนให้นักเรียนไทยไปศึกษาต่อที่เปรูด้วย

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 10 ต.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34403&Key=hotnews

คอลัมน์: เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์: ต้องปฏิรูปผู้จะเป็นครูเสียก่อน

9 ตุลาคม 2556

เรื่องปฏิรูปการศึกษาส่วนแรกที่ต้องปฏิบัติให้บังเกิดผลก่อนอื่น คือ เรื่องของครู และหลักสูตรวิชาครู

การเรียนการสอนวิชาครู หรือสอนให้ผู้สำเร็จวิชาครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ หรือการศึกษาที่ต้องไปเป็นครูระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งแบ่งออกเป็นสองส่วนใหญ่ คือส่วนประถมศึกษา และส่วนมัธยมศึกษา

จากนั้นยังแบ่งออกเป็นสองส่วนย่อย คือส่วนของประถมศึกษาตอนต้น และส่วนของประถมศึกษาตอนปลาย กับส่วนของมัธยมศึกษาตอนต้น และส่วนของมัธยมศึกษาตอนปลาย
ด้วยเหตุที่วิชาหรือสาระการเรียนการสอนคนละรูปแบบ ดังเคยกล่าวไปแล้วว่า ผู้ที่เข้าเรียนวิชาครูต้องมีแนวทางเบื้องต้นคือความเป็นครู จะทราบได้อย่างไรว่าใครเป็นครูได้ หรือเป็นครูไม่ได้
ก่อนที่จะรับสมัครเข้าเรียนวิชาครูเพื่อเป็นครูในชั้นพื้นฐาน ต้องมีการสอบ “แววความเป็นครู” เช่นเดียวกับการสอบเข้าเรียนในวิชาศิลปะ ต้องมีการ “ฝึกมือ” และสอบวิชาวาดเขียนเป็นหลัก
แววความเป็นครูมีการทดสอบได้เช่นเดียวกับการสอบเข้าเรียนวิชาแพทย์ หรือพยาบาล ผู้ที่จะเรียนแพทย์ หรือพยาบาลได้ ต้องผ่านการทดสอบให้ผ่านขั้นตอนของวิชาชีพแพทย์ พยาบาล อย่างน้อยต้องไม่กลัว “เลือด” หรือ “แมลง” บางชนิด เช่นแมลงสาบ รวมถึงสิ่งปฏิกูลจากร่างกายมนุษย์
ส่วนวิชาครู อย่างน้อยคือความมีเมตตาธรรม การรักที่จะสอน มีความอดทน อดกลั้น โดยเฉพาะการลงโทษเด็กด้วยการ “ตี” ไม่ควรมีอยู่ในจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด

ดังเช่นกรณีผู้ปกครองชาวเชียงรายคนหนึ่งแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรเชียงรายว่าบุตรสาววัย 8 ขวบ เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเทศบาล ถูกครูผู้ชายสอนภาษาไทยใช้บรรทัดแบน ตีก้นจนบอบช้ำ เนื่องจากลืมนำการบ้านไปส่ง ทั้งยังมีเพื่อนอีก 3 คนถูกตีด้วย ซึ่งครูยอมรับว่าตีเด็กด้วยไม้บรรทัดจริงจากสาเหตุที่เด็กไม่ส่งการบ้าน แต่เป็นความตั้งใจดีเพื่อสั่งสอนให้เด็กรับผิดชอบ และตีเพียง 5 ที ทั้งรู้สึกเสียใจและขอโทษ เป็นการทำหน้าที่ครูเพื่อต้องการให้ศิษย์เป็นคนดีในอนาคต

นับนานหลายปีมาแล้วที่กระทรวงศึกษาธิการสั่งเลิกใช้ “ไม้เรียว” ลงโทษนักเรียน เพราะการลงโทษด้วยการตีเด็กนั้น ครูบางคนใช้อารมณ์และความรุนแรงกระทั่งเด็กได้รับบาดเจ็บ การลงโทษนักเรียนมีตั้งหลายร้อยหลายพันวิธี ครูที่ดีจึงไม่ควรลงโทษเด็กด้วยเหตุบางประการ เช่นไม่ส่งการบ้าน ทั้งทุกวันนี้ เรื่องการบ้านเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ควรจะยกเลิกได้ หรือให้เด็กทำที่โรงเรียนในเวลาเรียน
การเป็นครูนอกจากต้องวัดแววแล้ว ยังต้องมีการทดสอบอีกหลายประการ เช่นความเบี่ยงเบนทางเพศ โดยเฉพาะครูผู้ชายกับเด็กผู้ชาย หรือครูผู้หญิงกับเด็กผู้หญิง และครูผู้ชายกับนักเรียนหญิง ที่มีความสนิทสนมใกล้ชิดกันเกินเหตุ

ส่วนสำคัญของการเรียนครู นอกจากทางวิชาความรู้แล้ว ยังต้องมีการฝึกสอนจริง มีครูพี่เลี้ยง และครูนิเทศการสอนดูแล ขณะที่ครูต้องมีการทำงานในส่วนของอุปกรณ์การสอน และมีความพยายามสรรหาความรู้ แนวทางความคิดใหม่ ซึ่งเป็นนวัตกรรมมาถ่ายทอดให้เด็กได้เรียนรู้ ให้เด็กมีแนวทางความคิดสร้างสรรค์

ขณะนี้เป็นห้วงเวลาปิดภาคเรียนแรกของปีการศึกษา 2556 หากเป็นไปได้ มหาวิทยาลัยราชภัฏทุกแห่งที่มีคณะครุศาสตร์ ผลิตบัณฑิตเพื่อออกไปเป็นครู สมควรระดมความคิดทั้งเรื่องของหลักสูตร และการรับสมัครนักศึกษาครูในปีการศึกษาหน้า 2557 เพื่อพัฒนาคุณภาพทั้งด้านวิชาการและความเป็นครูในอีก 4-5 ปีข้างหน้า

เพราะการจะปฏิรูปการศึกษาให้สำเร็จ ทั้งเพื่อเขยิบคุณภาพการศึกษาไทยที่จัดอยู่ในอันดับต่ำสุดของกลุ่มประเทศประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนให้กลับขึ้นไปอย่างน้อยสองสามตำแหน่ง ประการแรกต้องปรับเปลี่ยนแนวทางการเรียนการสอนของครู และทัศนคติของผู้ที่จะไปเป็นครูให้ก้าวทันสมัยแห่งยุคดิจิตอลเสียก่อนไม่อย่างนั้น ความคิดทิศทางที่จะปฏิรูปการศึกษาไทยจะสูญเปล่า

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 10 ต.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34402&Key=hotnews

ม.อ.-มข.แลกเปลี่ยนเรียนรู้ประเพณี ถก 5 ประเด็นพัฒนาร่วมมหาวิทยาลัยภูมิภาค

9 ตุลาคม 2556

รายงานข่าวจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) แจ้งว่า สืบเนื่องจาก ม.อ. และมหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) ต่างมีนโยบายส่งเสริมการทำงานในลักษณะเครือข่ายความร่วมมือเพื่อการพัฒนามหาวิทยาลัย โดยการ จับมือกับมหาวิทยาลัยซึ่งมีภารกิจ ความสำเร็จและพัฒนาการที่คล้ายคลึงกัน เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ร่วมกัน เพื่อประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นทั้งแก่ทั้งสถาบันการศึกษา ชุมชนและสังคมนั้น ทั้งสองสถาบันจึงร่วมกันจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านบริหารและแนวปฏิบัติในการทำงาน มุ่งเน้นการเรียนรู้จากกรณีตัวอย่างที่มีความสำเร็จ และถือเป็นแนวปฏิบัติที่ดี รวมทั้งใช้โอกาสสร้างสัมพันธภาพอันดีระหว่างมหาวิทยาลัยต่างภูมิภาคทั้งสองสถาบัน ภายใต้ชื่อโครงการ “แลกเปลี่ยนเรียนรู้ประเพณี มข.-ม.อ.” โดยจัดขึ้นเป็นประจำปีทุกปี นับตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา ตามหัวข้อและประเด็นที่มีความสำคัญต่อการพัฒนามหาวิทยาลัยในด้านต่างๆ โดยผลัดเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างบุคลากรของแต่ละมหาวิทยาลัย เพื่อเป็นการเทียบเคียงสมรรถนะและประยุกต์ใช้เพื่อการปฏิบัติงานอย่างเหมาะสม

สำหรับโครงการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประเพณี มข.ม.อ. ประจำปี 2556 นี้ นับเป็นครั้งที่ 5 โดย ม.อ.เป็นเจ้าภาพจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20-23 ต.ค.นี้ ที่ จ.พังงา ส่วนกิจกรรมในโครงการ แบ่งหัวข้อการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ออกเป็น 5 หัวข้อ ได้แก่ การบริหารจัดการทรัพย์สิน การเตรียมความพร้อมสำหรับการเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับ การจัดขนาดองค์กรที่เหมาะสม แนวทางการนำแนวปฏิบัติที่ดีไปสู่การขยายผลในองค์กร และการขับเคลื่อนงานวิจัยและความเป็นนานาชาติ ด้านผู้ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประกอบไปด้วย ผู้บริหารทั้งส่วนกลางและระดับคณะหน่วยงาน รวมทั้งผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนั้นๆ

นอกจากนี้ทั้งสองสถาบันยังจะทำพิธีลงนามความร่วมมือว่าด้วยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประเพณี การลงนามความร่วมมือและร่วมแบ่งปันประสบการณ์ที่ได้จากการเข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ประเพณี มข.ม.อ. ในระดับคณะอีกด้วย

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 10 ต.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34401&Key=hotnews

สอศ.เล็งของบกลางปั๊มคน รองรับโครงการ ‘ 2 ล้านล.’

9 ตุลาคม 2556

เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ตั้งกรรมการระดับกระทรวง โดยมีสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นฝ่ายเลขานุการ เพื่อหารือเรื่องการผลิตกำลังคนรองรับโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและการขนส่ง มูลค่า 2.2 ล้านล้านบาท โดยได้วิเคราะห์ว่าภายใน 7 ปี ต้องการกำลังคนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) กว่า 100,000 คน เฉพาะ 3 ปีแรกต้องการกำลังคนมากกว่า 70,000 คน เพื่อรองรับโครงการใหญ่ดังกล่าวของรัฐบาล แต่ สอศ.มีกำลังผลิต ปวช.และ ปวส.ในสาขาที่เกี่ยวกับการก่อสร้าง ประมาณ 6,000 คนต่อปี และ สอศ.ไม่มีงบประมาณสำหรับเพิ่มการผลิตกำลังคนตามยอดที่โครงการใหญ่ต้องการ ขณะที่ภารกิจในการผลิตกำลังคนเป็นภารกิจของ สอศ.โดยตรง ฉะนั้น สอศ.จะเสนอให้รัฐบาลสนับสนุนงบฯ สำหรับเพิ่มกำลังผลิตแรงงานฝีมือของ สอศ.

“ตัวเลขงบฯโครงการ 2.2 ล้านล้านบาท มีแต่งบฯก่อสร้างล้วนๆ ไม่มีงบฯพัฒนากำลังคนรองรับการก่อสร้างและการบำรุงรักษาระบบเลย การโหมผลิตแรงงานฝีมือล็อตใหญ่อย่างเร่งด่วนเพื่อรองรับการก่อสร้าง รวมถึงการพัฒนาแรงงานในตลาดแรงงานให้เข้ามาทำงานในโครงการนี้ได้ ต้องใช้งบฯพอสมควร ซึ่งงบฯปกติที่ สอศ.ได้ประจำปี ไม่สามารถแบกรับได้ ฉะนั้น สอศ.จะเสนอให้รัฐบาลสนับสนุนเงินให้ สอศ.โดยอาจใช้วิธีกำหนดไว้ใน TOR ว่าบริษัทเอกชนที่ชนะประมูลโครงการนี้ ต้องเตรียมงบฯสำหรับพัฒนากำลังคนไว้ แล้วทำงานร่วมกับภาครัฐและ สอศ.ในการพัฒนากำลังคน หรือรัฐบาลอาจนำงบกลางมาใช้แทน ปัญหาคือยังไม่มีตัวเลขที่แน่นอนว่าโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมนั้น ต้องการกำลังคนรองรับจำนวนเท่าใด และในสาขาอะไรบ้าง” นายชัยพฤกษ์กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34400&Key=hotnews

สทศ.เฉลยข้อสอบโอเน็ต-แก็ต-แพ็ต ปี 58

9 ตุลาคม 2556

พญาไท * นักเรียน-ครูเตรียมเฮ สทศ.พร้อมเฉลยข้อสอบระดับชาติ ทั้งโอเน็ต-แก็ต-แพ็ต ในปี 2558 นี้ แต่ถ้านักเรียนอยากดูก่อนสามารถเข้าไปดูได้ที่ www.niets.or.th

รศ.ดร.สัมพันธ์ พันธุ์พฤกษ์ ผอ.สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) กล่าวถึงกรณีที่เครือข่ายพ่อแม่ เยาวชน เพื่อการปฏิรูปการศึกษา จะเสนอให้ สทศ.เผยแพร่ข้อสอบเก่าพร้อมเฉลยของ สทศ. เช่น ข้อสอบแบบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน (โอเน็ต) ข้อสอบทดสอบความถนัดทั่วไป (GAT) ข้อสอบทดสอบความถนัดทางวิชาการและวิชาชีพ (PAT) ว่า สทศ.ยินดีที่จะรับฟังความคิดเห็นจากเครือข่ายพ่อแม่ฯ ส่วนเรื่องข้อสอบเก่าของ สทศ.นั้น ที่ผ่านมาคณะกรรมการบริหาร สทศ.มีมติไม่ให้เผยแพร่ข้อสอบและเฉลย เพราะต้องการนำข้อสอบเก่าเก็บเข้าคลังข้อสอบ เพื่อพัฒนาข้อสอบให้มีมาตรฐาน ซึ่งขณะนี้คลังข้อสอบดำเนินการไปเกินครึ่งแล้ว และระหว่างที่ทำคลังข้อสอบมีการนำร่องใช้กับโรงเรียนต่างๆ ด้วย

ผอ.สทศ.กล่าวอีกว่า ถ้าทำคลังข้อสอบเสร็จตนจะเสนอต่อคณะกรรมการบริหาร สทศ.ว่าจะให้มีการเผยแพร่ข้อสอบได้เหมือนเดิมหรือไม่ ถ้าคณะกรรมการบริหาร สทศ.มีมติเห็นด้วย คาดว่าปี 2558 น่าจะมีการนำข้อสอบมาเผยแพร่ได้เหมือนเดิม อย่างไรก็ตาม ระหว่างนี้หากนักเรียนต้องการจะดูแนวข้อสอบต่างๆ สามารถเข้ามาดูข้อมูลได้ทางเว็บไซต์ สทศ. www. niets.or.th เพราะ สทศ.มีการเผยแพร่ข้อสอบเก่าก่อนปี 2554 ซึ่งจะใกล้เคียงกับข้อสอบที่ออกในปัจจุบัน อีกทั้งยังมีรูปแบบข้อสอบให้นักเรียนได้ดูด้วย

ส่วนยอดการรับสมัครสอบ GAT และ PAT ครั้งที่ 1/2557 สอบเดือนธันวาคม 2556 โดยเปิดรับสมัครทางเว็บไซต์ สทศ. www.niets.or.th วันที่ 1-27 ต.ค.นี้ ข้อมูลล่าสุดถึงวันที่ 8 ต.ค. นี้มีผู้สมัคร 229,059 คน ชำระเงิน 125,908 คน ซึ่งจากตัวเลขดังกล่าวถือว่าปกติ และยังมีเวลาในการสมัครและชำระเงิน แต่ตนฝากให้รีบมาดำเนินการ เพื่อที่ว่ามีปัญหาจะได้แก้ไขได้ทัน.

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34399&Key=hotnews

‘ลูกจ้าง-ภารโรง’ สพฐ.ได้เฮ ครม.เพิ่มเงินเดือนย้อนหลัง

9 ตุลาคม 2556

เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม ร.ท.หญิง สุณิสา เลิศภควัต รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติหลักการให้ปรับอัตราค่าจ้างสำหรับลูกจ้างรายเดือน นักการภารโรง และบุคลากรอื่นๆ ที่ได้รับค่าจ้างรายวันหรือรายเดือน ในลักษณะจ้างเหมา ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) โดย

1. ผู้มีวุฒิปริญญาตรีขึ้นไปเดือนละ 15,000 บาท จากเดิมได้รับ 9,140 บาท

2. ผู้มีวุฒิต่ำกว่าปริญญาตรี เดือนละ 9,000 บาท จากเดิมวุฒิอนุปริญญา ได้รับ 6,410 บาท และ ปวช. ม.3 และ ม.6. ได้รับ 5,700 บาท

โดยให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2555 – 30 กันยายน 2556 ซึ่งปัจจุบันเจ้าหน้าที่กลุ่มนี้มี 65,172 คน ต้องใช้งบประมาณ 3,300.82 ล้านบาท เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล

ร.ท.หญิง สุณิสากล่าวว่า นอกจากนี้ ครม.ได้อนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พ.ศ. … ซึ่งมีหลักการสำคัญ คือ ปรับเปลี่ยนสถานภาพมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จากมหาวิทยาลัยของรัฐที่เป็นส่วนราชการ ไปเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐและมีฐานะเป็นนิติบุคคล อีกทั้ง ครม.ยังได้อนุมัติหลักการให้ สพฐ. บรรจุนักศึกษาทุนพระราชทาน “บัณฑิตครูคืนถิ่น” ให้เป็นข้าราชการครูสังกัด สพฐ. หลังจากสำเร็จการศึกษาแล้วให้ครบทุกคนด้วย

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34397&Key=hotnews

 

เฟ้นครูดีเด่นประเทศไทย สสวท.ชวนร่วมโครงการ

8 ตุลาคม 2556

ดร.พรพรรณ ไวทยางกูร ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เปิดเผยว่า สสวท.ซึ่งเน้นความสำคัญของการปฏิบัติงานวิชาชีพครูวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี ในการที่จะเป็นกลุ่มบุคลากรหลัก ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ จึงเห็นควรให้มีการคัดเลือกครูที่มีผลงานดีเด่นด้านพัฒนาการเรียนการสอนในวิชาดังกล่าว ที่นำไปสู่การพัฒนาเยาวชนของประเทศเพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติให้เข้ารับรางวัลครูดีเด่นประเทศไทย และเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ครูผู้สอนทั่วประเทศ ได้ใช้เป็นแนวทางในการสร้างสรรค์งานด้านการเรียนการสอนที่มีประสิทธิผลต่อไป สสวท. จึงขอเชิญครูผู้มีผลงานดีเด่นในการจัดการเรียนการสอน วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี ทุกสังกัด ส่งผลงานเข้ารับการคัดเลือกรางวัลครูดีเด่นประเทศไทย จำนวน 12 รางวัลๆ ละ 100,000 บาท พร้อมโล่และเกียรติบัตร โดยสามารถส่งผลงานได้ตั้งแต่บัดนี้ จนถึงวันที่ 15 ตุลาคม 2556 ขั้นตอนการสมัครเข้าร่วมโครงการ ประกอบด้วย

1. ผู้อำนวยการโรงเรียนเป็นผู้คัดเลือกครูผู้สอนวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีที่มีผลงานและสนใจสมัครเข้าร่วมโครงการ 1 คนต่อวิชาต่อระดับ

2. ผู้อำนวยการโรงเรียนให้การรับรองผลงานและประวัติของผู้สมัคร

3. ส่งหลักฐานการสมัครทั้งหมดไปยังหน่วยงานต้นสังกัด ดังนี้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) สำนักประสานและพัฒนาการจัดการศึกษาท้องถิ่น (สน.กศ.) สำนักการศึกษากรุงเทพมหานคร (สนศ.กทม.) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.)

การคัดเลือกจะมีขั้นตอนในการคัดเลือก 3 รอบ ได้แก่ รอบแรก วันที่ 16 ตุลาคม-30 พฤศจิกายน 2556 โดยคณะกรรมการจากหน่วยงานต้นสังกัด รอบสอง วันที่ 1-30 ธันวาคม 2556 โดยคณะกรรมการกลางผู้ทรงคุณวุฒิ รอบที่สามวันที่ 1 มกราคม-25 กุมภาพันธ์ 2557 โดยคณะกรรมการกลางผู้ทรงคุณวุฒิ ประกาศผลการตัดสินผู้ได้รับรางวัล 12 รางวัล วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2557 ผู้สนใจดาวน์โหลดเอกสารข้อมูลการรับสมัครต่างๆ ได้ที่เว็บไซต์ สสวท. http://www.ipst.ac.th/tta สอบถามเพิ่มเติมที่โทร.0-2392-4021 ต่อ 3202

ที่มา: หนังสือพิมพ์บ้านเมือง

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34386&Key=hotnews

แบ่งงานรองเลขาธิการ กกอ.-ที่ปรึกษา

8 ตุลาคม 2556

ศ.พิเศษ ดร.ทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยว่า ได้มอบอำนาจให้รองเลขาธิการ กกอ. ปฏิบัติราชการแทนเลขาธิการ กกอ. มีคำสั่ง ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2556 ให้ รศ.นิติ รตะนานุกูล รองเลขาธิการ กกอ.ปฏิบัติราชการแทน สำนักนโยบายฯ, สำนักยุทธศาสตร์อุดมศึกษาต่างประเทศ และศูนย์ออสเตรเลียศึกษา ศูนย์ยุโรปศึกษา และศูนย์ศึกษาเอเปค, สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT), ศูนย์ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่าด้วยการอุดมศึกษาและการพัฒนา (SEAMEO RIHED) และ 5 สำนักงานเลขานุการเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน (AUN)

“รศ.นพ.กำจร ตติยกวี รองเลขาฯ กกอ. ดูแลสำนักส่งเสริมฯ, สำนักประสานฯ, UniNet, สถาบันคลังสมองของชาติ, สำนักพัฒนาบัณฑิตศึกษาฯ, สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ส่วน นางวราภรณ์ สีหนาท รองเลขาฯ กกอ. ดูแลสำนักมาตรฐานฯ, สำนักส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพนักศึกษาฯ และงานกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.)ส่วนกลุ่มพัฒนาระบบบริหาร กลุ่มตรวจสอบภายใน และกลุ่มงานบริหารบุคคล สำนักอำนวยการ ให้ขึ้นตรงต่อเลขาฯ กกอ.” ศ.พิเศษ ดร.ทศพร กล่าว

ศ.พิเศษ ดร.ทศพร กล่าวต่อไปว่า ส่วนสำนักบริหารงานวิทยาลัยชุมชน (วชช.)ให้รศ. ชวนี ทองโรจน์ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่น ดูแล และในราชการของสำนักอำนวยการ ยกเว้นกลุ่มงานบริหารบุคคลโครงการมหาวิทยาลัยไซเบอร์ไทย (TCU) โครงการจัดตั้งศูนย์สารสนเทศอุดมศึกษา กลุ่มส่งเสริมการสร้างและพัฒนาผู้ประกอบการ สำนักประสานและส่งเสริมกิจการอุดมศึกษา และกองทุนตั้งตัวได้ มอบอำนาจให้นายสุภัทร จำปาทอง ผู้ช่วยเลขาธิการ กกอ.ดูแลแทน

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34383&Key=hotnews

นักการศึกษาชี้ “มัธยมสายอาชีพ” ต้องเป็นของจริง ไม่ใช่เสมือนจริง

8 ตุลาคม 2556

ศ.นพ.ประเวศ วะสี เปิดเผยถึง การเปิดหลักสูตร “มัธยมสายอาชีพ” ว่า การที่โรงเรียนมีการเปิดการเรียนการสอนมัธยมสายอาชีพถือเป็นเรื่องดีที่จะทำให้เด็กมีอาชีพติดตัว หลุดพ้นจากการจัดการศึกษาที่จำเจกว่า 16 ปี ซึ่งเสียเวลาไปมาก และระบบการศึกษาของไทยมีคุณภาพต่ำ วิชาการก็อ่อน ดังนั้น การศึกษาถือเป็นการเอาชีวิตเป็นตัวประกัน เพราะเรียนจบทุกคนคาดหวังต้องมีงานทำ ซึ่งหากเพิ่มการศึกษาสัมมาชีพ เศรษฐกิจที่ตกต่ำก็จะดีขึ้น ตนเห็นว่า เมื่อการเรียนการสอนเปิดโอกาสให้เด็กออกไปเรียนรู้นอกโรงเรียนที่มีครูจำนวนมาจากการประกอบอาชีพ ก็จะช่วยให้เด็กเข้าใจชีวิตการทำงานได้มากขึ้น เพราะที่ผ่านมาสังคมให้ความสำคัญกับการศึกษา เคารพแต่คนชั้นสูง มองข้ามชาวบ้านที่ประกอบอาชีพ ถูกวางยาจากชนชั้นนำที่รังเกียจการทำงานหนัก สังคมไทยจึงขาดความเป็นธรรม เกิดการเหลื่อมล้ำทางสังคมขึ้น ทำให้มีการสร้างค่านิยมให้รังเกียจการทำงาน ดังสุภาษิตที่ว่า รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา แต่คนที่ขี้เกียจทำงานหนักจะขอให้ได้เป็นเจ้าคนนายคน นั่งกินนอนกิน ทำให้เด็กในปัจจุบันเกิดความลำบาก เพราะไม่มีการส่งเสริมการทำงาน จึงอยากทิ้งท้ายให้เยาวชนยึดคำที่ว่า ชีวิตที่ลำบากเป็นชีวิตที่เจริญ

ศ.กิตติคุณสุมน อมรวิวัฒน์ กล่าวว่า รูปแบบการเรียนสายอาชีพมีแม่แต่ครั้งอดีต ซึ่งเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกับแต่ละคน ดังเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีได้เขียนถึงเรื่องศึกษาพฤกษ์ คือต้นไม้แห่งการศึกษาชี้ให้เห็นความสำคัญของการศึกษาอย่างแท้จริง ซึ่งสมัยนั้นมีการเรียกการเรียนตามหลักสูตรว่าสามัญศึกษา ส่วนวิชาอาชีพเรียกว่าวิสามัญศึกษา เปรียบเทียบสามัญศึกษาเหมือนข้าว ส่วนวิสามัญเหมือนกับข้าว ทำให้เด็กกลายเป็นคนหัวโตแต่แขนขาลีบเพราะกินแต่ข้าวไม่มีกับข้าวไปประกอบ ฉะนั้น ผู้บริหาร ภาคี เครือข่ายที่จัดการศึกษาเน้นด้านอาชีวะ เตรียมใน 3 เรื่องคือ เตรียมใจ เตรียมตัว และเตรียมฝีมืออย่างหนัก และต้องนำเรื่องทักษะชีวิตเข้ามาสอนควบคู่กันไปด้วย เด็กต้องเรียนจากประสบการณ์จริง ทุกอย่างต้องเป็นของจริง ไม่ใช่เสมือนจริง ที่หาความจริงไม่ได้สักอย่าง จึงขอให้คิดถึงอนาคตของเด็กเป็นสิ่งสำคัญ เด็กต้องได้ดี ดังนั้น การปฏิรูปการศึกษาที่แท้จริงต้องกระจายอำนาจลงท้องถิ่น ประกาศเป็นวาระแห่งชาติเชิงพื้นที่ออกไป เพราะถ้าไม่ประกาศจะทำได้ยากมาก

ที่มา: http://www.naewna.com

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34382&Key=hotnews