Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

สพฐ.-สอศ.หันหลังปฏิทินอาเซียน กลับใจ ‘ปิด-เปิดเทอม’ 16 พ.ค. ตามเดิม/จาตุรนต์เรียกประชุมสรุป 9 ต.ค.

8 ตุลาคม 2556

ศึกษาธิการ * “อ๋อย” เรียกทุกฝ่ายประชุมสรุปปฏิทินการศึกษาวันที่ 9 ตุลาคมนี้ หลังจาก สพฐ.-สอศ.กลับใจใช้ปฏิทินเดิม เป็นเปิดเทอม 1 วันที่ 16 พ.ค. ไม่ใช่เปิดวันที่ 10 มิ.ย.แล้ว ระบุเหมาะสมกับฤดูกาลของไทย

วันที่ 7 ตุลาคม นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหารองค์กรหลักของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ว่า ที่ประชุมได้มีการหยิบยกเรื่องการเลื่อนเปิดปิดภาคการศึกษาของสถานศึกษาในสังกัด ศธ.ตามกลุ่มประเทศอาเซียน และนำมติที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ซึ่งกำหนดจะเลื่อนเปิด-ปิดภาคการศึกษาของมหาวิทยาลัยสมาชิกพร้อมกันทั้งหมดในปีการศึกษา 2557 มาหารือ ทั้งนี้ พบว่าสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) เริ่มมีความเห็นไปในทางเดียวกัน และมีแนวโน้มที่จะให้สถานศึกษาในสังกัด สพฐ.และ สอศ.กลับไปเปิดภาคการศึกษาที่ 1 เหมือนเดิม ในช่วงวันที่ 16 พฤษภาคมของทุกปี แม้ว่าก่อนหน้านี้ สพฐ.และ สอศ.จะมีมติให้เลื่อนเปิดภาคการศึกษาที่ 1 เป็นวันที่ 10 มิถุนายน เริ่มปีการศึกษา 2557 ก็ตาม

รมว.ศธ.กล่าวอีกว่า แนวคิดที่จะให้กลับมาเปิดภาคการศึกษาในช่วงเวลาเดิมนั้นไม่ได้เป็นนโยบายของตน แต่เป็นเพราะผลจากการสำรวจความคิดเห็นผู้ที่เกี่ยวข้อง และผลจากการศึกษาและวิจัยข้อดี-ข้อเสียต่างๆ ที่ผู้รับผิดชอบไปดำเนินการ ดังนั้นเพื่อให้เรื่องนี้มีข้อสรุปที่ชัดเจน ตนจะเชิญทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาหารือร่วมกันอีกครั้งในวันที่ 9 ตุลาคมนี้ ซึ่งจะหารือให้ได้ข้อยุติ จากนั้นจะได้ประกาศชี้แจงให้ผู้ที่เกี่ยวข้องรับทราบอย่างเป็นทางการต่อไป ทั้งนี้ ที่ผ่านมาในการประชุมผู้บริหารองค์กรหลักของ ศธ.ได้มีการหารือเรื่องนี้เป็นระยะอยู่แล้ว แต่ตนต้องการให้เป็นเหตุผลร่วมกันของผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพราะขณะนี้ต้องได้ข้อสรุปที่เป็นระบบและเหตุผลที่ชัดเจนได้แล้ว

นายอกนิษฐ์ คลังแสง รองเลขาธิการคณะกรรม การการอาชีวศึกษา กล่าวว่า การเลื่อนเปิด-ปิดภาคการศึกษาของสถานศึกษาสังกัด สอศ.จะยึดโยงกับ สพฐ. เนื่องจากการรับนักเรียนมาเรียนอาชีวะจะรับจากเด็ก สพฐ.เป็นหลัก ดังนั้นหาก สพฐ.มีแนวโน้มที่จะเลื่อนการเปิด-ปิดภาคการศึกษากลับไปเหมือนเดิม สอศ.ก็จะยึดตามนั้น ทั้งนี้ จากเหตุผลที่ได้มีการหารือกันในที่ประชุมองค์กรหลัก เห็นว่าการเปิด-ปิดภาคการศึกษาตามช่วงเวลาเดิมมีความเหมาะสม ทั้งในเรื่องของฤดูกาลและวัฒนธรรมของประเทศไทย นอกจากนี้ในส่วนของ สอศ.ก็เห็นว่าการเปิด-ปิดภาคการศึกษาในช่วงเวลาเดิมเหมาะสมกับฤดูกาลที่เด็กสามารถจะสามารถช่วยเหลือพ่อแม่ทำไร่ทำนาได้ อย่างไรก็ตาม รมว.ศึกษาธิการให้กลับไปจัดทำข้อดี-ข้อเสียให้ชัดเจนเพื่อนำมาพิจารณาตัดสินอีกครั้ง.

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34381&Key=hotnews

อาชีวะโหมทวิภาคีดึงคนรุ่นใหม่เรียนเพิ่ม

8 ตุลาคม 2556

โพสต์ทูเดย์อาชีวะเร่งเพิ่มความร่วมมือทวิภาคี พร้อมเปิดหลักสูตรใหม่รับตลาดอาเซียน หวังดึงเด็กเรียนเพิ่ม

นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ สอศ. ได้นำร่องให้วิทยาลัยอาชีวะใน จ.ตาก และจ.กำแพงเพชร ร่วมกับภาคเอกชนในพื้นที่พัฒนาหลักสูตรการเรียนร่วมกัน เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการแรงงานในพื้นที่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมเสื้อผ้าสำเร็จรูปและอุตสาหกรรมการเกษตร ซึ่งหากโครงการนี้ประสบความสำเร็จจะใช้เป็นโมเดลในการพัฒนาพื้นที่อื่นต่อไป

พร้อมกันนี้ ได้ร่วมมือกับกลุ่มอุตสาหกรรม (คลัสเตอร์) ทำแผนการผลิตบุคลากรระดับชาติ ทั้งด้านจำนวนหลักสูตร และทักษะที่สอดคล้องกับความต้องการของบริษัทขนาดใหญ่ ธุรกิจกลางและขนาดย่อม ร่วมมือกับสมาชิกอาเซียนเช่น ลาว เวียดนาม โดยเปิดหลักสูตรร่วมระดับ ปวส. กับวิทยาลัยอาชีวะในเวียงจันทน์ ที่วิทยาลัยกุมภวาปี จ.อุดรธานี เปิดการเรียนการสอนได้ในปีการศึกษาหน้า ผู้เรียนจบหลักสูตรจะได้รับประกาศนียบัตร2 ใบ และต้นเดือน ต.ค.นี้ จะเดินทางไปหารือความร่วมมือกับสำนักงานการอาชีวศึกษากับประเทศพม่า

ขณะเดียวกัน ภาคเอกชน เช่น สมาคมโรงแรมไทยพร้อมเข้าโครงการทวิภาคีโดยจัดตารางเรียนให้นักศึกษา ปวช. เรียนวิชาสามัญ 1 ปี เมื่อขึ้นปี2 ให้ทำงาน5 วัน เรียนวิชาสามัญ 1 วัน โดยหากเรียนจบวุฒิ ปวช. สมาคมโรงแรมยืนยันว่านักศึกษาจะมีงานทำ 100% ขณะที่สถาบันปิโตรเลียมที่ทดลองจัดการเรียนการสอนปิโตรเคมีในสถาบันอาชีวศึกษาก็ประสบความสำเร็จ นักศึกษาเรียนจบแล้วมีงานทำทันที

นายชัยพฤกษ์ กล่าวว่า หากสถาบันอาชีวะทุกแห่งจัดระบบการเรียนการสอนแบบทวิภาคีอย่างจริงจัง ตั้งแต่รับสมัครผู้เรียน จัดทำหลักสูตรร่วมกับเอกชน ให้ค่าตอบแทนการฝึกอาชีพ มีการประเมินผลอย่างต่อเนื่องมีการสร้างแรงจูงใจ ยกย่องภาคเอกชนที่ร่วมโครงการทวิภาคี ขณะที่นักศึกษาเรียนจบแล้วได้รับค่าตอบแทนที่สูงขึ้น เชื่อว่าจะทำให้การสอนทวิภาคีได้ผลดียิ่งขึ้น และทำให้คนรุ่นใหม่สนใจเรียนสายอาชีพเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34380&Key=hotnews

ม.เอกชนจี้ ม.รัฐปรับระบบรับนักศึกษา

8 ตุลาคม 2556

ดร.พรชัย มงคลวนิช อธิการบดี ม.สยาม นายกสมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) เปิดเผยว่า จากการที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) มีนโยบายที่จะปรับระบบการรับสมัครบุคคลเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษานั้น ในส่วนของ สสอท.ต้องการแสดงจุดยืนว่า เห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าว โดยเฉพาะการกำหนดให้มหาวิทยาลัยรัฐหันมาใช้ระบบคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษาด้วยระบบกลางการรับนิสิต นักศึกษาหรือแอดมิชชั่นกลางให้มากขึ้น เพราะจากข้อมูลพบว่า มหาวิทยาลัยของรัฐใช้ระบบแอดมิชชั่นกลางในการรับเด็กประมาณ 30% และรับตรง 70% ซึ่งตนมองว่าเป็นการสิ้นเปลืองงบฯ ในการจัดสอบแอดมิชชั่น เพราะมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ร่วมรับกลางพอเป็นพิธี แต่ในทางปฏิบัติจริงไปเน้นรับตรงกันหมด ส่งผลให้เกิดปัญหาการวิ่งรอกสอบ และทำให้นักเรียนไม่สนใจห้องเรียน จึงอยากให้มีการกำหนดให้ชัดเจนว่า มหาวิทยาลัยรัฐแต่ละแห่งจะรับจำนวนเท่าใด เพื่อให้มหาวิทยาลัยเอกชนวางแผนรับนักศึกษาได้ถูก ไม่ใช่เปิดรับตรงแล้วก็เปิดรับกลางถ้ายังไม่พอก็เปิดรับตรงอีกตลอดเวลาแบบนี้

“นอกจากนี้ผมอยากเสนอให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) เข้ามาทำหน้าที่จัดการสอบแอดมิชชั่น เพราะ สกอ.รู้และเข้าใจในระบบต่าง ๆ ของทุกกลุ่มมหาวิทยาลัยดีที่สุด ขณะเดียวกันอยากให้แบ่งภารกิจระหว่างมหาวิทยาลัยรัฐกับเอกชนให้ชัดเจน รวมถึงจัดสรรงบฯพัฒนาอาจารย์โดยแบ่งจากทุนของมหาวิทยาลัยรัฐอย่างน้อย 30% มาให้อาจารย์มหาวิทยาลัยเอกชน เพราะเราจำเป็น ต้องพัฒนาไปพร้อมกัน”ดร.พรชัยกล่าว

ดร.มัทนา สานติวัตร อธิการบดี ม.กรุงเทพ กล่าวว่า การยกเลิกระบบรับตรงเลยคงเป็นไปไม่ได้ เพราะการรับตรงเป็นการให้โอกาส เด็กโควตาในพื้นที่หรือเด็กกลุ่มสอบเข้ารายวิชาที่ต้องใช้ความรู้เฉพาะทาง แต่ก็ต้องมีสัดส่วนที่เหมาะสมและเปิดรับเพียงรอบเดียวพร้อมกัน โดยอยากเรียกร้องให้มหาวิทยาลัยรัฐเสียสละเข้าร่วมปรับระบบการ คัดเลือกคนเข้ามหาวิทยาลัย เพราะที่ผ่านมาไม่มีมหาวิทยาลัยไหนยอมกัน จึงทำให้เกิดปัญหาจากการแย่งกันรับตรง ทั้งนี้การจำกัดการรับตรงใช้ไม่ได้กับมหาวิทยาลัยเอกชน เพราะไม่ได้ใช้ภาษีของรัฐในการบริหารจัดการ.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34379&Key=hotnews

 

กกอ.ตามจิก ม.นอกที่ตั้งไร้คุณภาพ

8 ตุลาคม 2556

รศ.ดร.คุณหญิงสุมณฑา พรหมบุญ ประธานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม กกอ. มีมติเห็นชอบผลการตรวจประเมินการจัดการศึกษา นอกสถานที่ตั้งปีงบประมาณ 2555-2556 รวมทั้งสิ้น 47 สถาบัน 146 ศูนย์ 357 หลักสูตร/สาขาวิชา โดยผลการประเมินมีดังนี้ ระดับผ่าน 65 หลักสูตร ระดับต้องปรับปรุง 90 หลักสูตร และไม่ผ่าน 202 หลักสูตร ซึ่งจากผลการประเมินแสดงว่า หลักสูตรที่เปิดสอนนอกสถานที่ตั้ง ส่วนใหญ่ยังไม่ได้มาตรฐาน ขณะที่ กกอ.ก็พยายามให้มหาวิทยาลัยไม่เปิดสอนนอกที่ตั้งเพิ่มขึ้น และหลักสูตรใดที่ไปเปิดสอนนอกสถานที่ตั้งแล้วแต่ไม่มีคุณภาพก็ต้องปิดลง นอกจากนี้ กกอ.ยังกำชับให้คณะอนุกรรมการติดตามและประเมินผลของ กกอ.ทำงานเชิงรุกในการติดตามและประเมินผลหลักสูตรที่เปิดสอนนอกสถานที่ตั้งอย่าง เข้มงวด เพื่อสร้างคุณภาพให้แก่ผู้เรียน

“การตรวจประเมินผลหลักสูตรนอกสถานที่ตั้ง นั้น เป็นการตรวจตามเนื้อผ้าไม่มีการกลั่นแกล้งใครทั้งสิ้น เพราะต้องการคุณภาพจริง ๆ แต่ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่า อาจจะมีบางมหาวิทยาลัยที่แอบไปเปิดสอนนอกสถานที่ตั้งแต่ไร้คุณภาพ  โดยที่สำนักงานคณะกรรมการ การอุดมศึกษา (สกอ.) ไม่ทราบ  ดังนั้น หากใครรู้ว่ามีมหาวิทยาลัยใดเปิดสอนนอกสถานที่ตั้งโดยหลักสูตรไม่ผ่านการรับทราบจาก สกอ.  ขอแจ้งเข้ามาได้เพื่อจะ ได้ไปตรวจสอบ แต่ถ้าปล่อยไปและประชาชนไม่รู้ไปเรียนจบออกมาก็จะมีปัญหาเสียเงินและเสียเวลา ไม่ได้รับปริญญาและที่สำคัญสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ไม่ตีราคาวุฒิการศึกษาให้ด้วย” ประธาน กกอ. กล่าว.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34378&Key=hotnews

ศธ.ดันปฏิรูปการศึกษาทั้งระบบ

8 ตุลาคม 2556

วังจันทรเกษม : “จาตุรนต์” ดึง สศช. ร่วมปฏิรูปการศึกษา หวังพัฒนาทุกด้านการศึกษาเพื่อปูพื้นฐานของประเทศ ดันตั้งคณะทำงานแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน ตั้งเป้ามอบทุนสายอาชีวะสร้างคนรองรับงาน

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังประชุมกับ ผู้บริหารองค์กรหลักของ ศธ. โดยเร่งดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในการปฏิรูปการศึกษา สืบเนื่องจากการที่นายกรัฐมนตรีได้ประชุมการปฏิรูปการศึกษาร่วมกับผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) โดยได้เสนอทิศทางการพัฒนาการศึกษา การผลิต และการพัฒนากำลังคนในอนาคตเป็น 2 ระยะ ได้แก่ ระยะสั้นและระยะยาว

ทั้งนี้ เห็นชอบให้มีการตั้งคณะทำงาน 3 ชุดคือ 1.คณะทำงานเฉพาะกิจแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานและบุคลากร โดยมี สศช. เป็นผู้ประสานงาน 2.คณะทำงานบูรณาการสร้างแรงจูงใจในการสนับสนุนทุนการศึกษาจากภาครัฐ โดยปรับ แก้ไขกฎเกณฑ์การให้ทุน ซึ่งอาจเพิ่มในสายอาชีวศึกษาให้มากขึ้น มี สศช. เป็นผู้ประสานงาน 3.คณะทำงานจัดทำ Blueprint การศึกษาของประเทศซึ่งครอบคลุมทุกด้านและทุกช่วงวัย

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 12 ต.ค. นี้ จะลงพื้นที่ จ.ยะลาและปัตตานี เพื่อให้ประชาชนเห็นภาพนโยบาย กิจกรรม และแนวทางดำเนินการอย่างจริงจังของ ศธ. ที่ได้เริ่มดำเนินการตามความต้องการของพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมทั้งจะชี้แจงถึงแนวทางการดำเนินการของ ศธ. ตามข้อเรียกร้องต่างๆ เช่น เรื่องครูอัตราจ้าง เงินเพิ่มค่าเบี้ยเสี่ยงภัย ฯลฯ

ล่าสุดจากการที่ตนและคณะผู้บริหาร ศธ. ได้ลงพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นจังหวัดที่ประสบเหตุอุทกภัยอย่างหนัก เพื่อตรวจสถานการณ์และให้ความช่วยเหลือนั้น จะปล่อยคาราวานใหญ่ของ ศธ. พร้อมทั้งเปิดเป็นศูนย์รับบริจาคและช่วยเหลือประชาชนที่ประสบเหตุอุทกภัยด้วย

ที่มา: หนังสือพิมพ์โลกวันนี้

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34377&Key=hotnews

เมื่อเด็กชายแดนใต้สนใจภาษาอังกฤษ

8 ตุลาคม 2556

ปัจจุบันภาษาอังกฤษได้กลายเป็นภาษาที่สองของชาวอาเซียนไปแล้ว เคียงคู่ภาษาที่หนึ่งอันเป็นภาษาประจำชาติของแต่ละคน ยิ่งใกล้เข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 คนไทยก็ยิ่งตื่นตัวให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษกันมากขึ้น เพราะต้องยอมรับว่าภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางของโลก เป็นภาษากลางของมนุษยชาติ เป็นภาษาที่มนุษย์บนโลกใช้ติดต่อระหว่างกันเป็นหลัก หลายชาติจึงบรรจุวิชาภาษาอังกฤษเป็นแกนหลักของหลักสูตรการศึกษาทุกระดับตั้งแต่ปฐมวัยไปจนถึงการศึกษาตลอดชีวิต

ในส่วนของ วิทยาลัยอาชีวศึกษายะลา ได้เล็งเห็นความสำคัญของการใช้ภาษาอังกฤษ เพื่อรองรับความเจริญของโลก และเตรียมรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 เช่นกัน จึงได้เน้นจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษให้มีความเข้มข้นมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันวิทยาลัยมีนักศึกษาเรียนโปรแกรมภาษาต่างประเทศธุรกิจ สาขางานภาษาอังกฤษ ในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ถึง 259 คน

นายมะนูซี เจะแต นายกองค์การวิชาชีพในอนาคตแห่งประเทศไทย หน่วยวิทยาลัยอาชีวศึกษายะลา นักศึกษาโปรแกรมภาษาต่างประเทศธุรกิจ สาขางานภาษาอังกฤษ ชั้นปีที่ 2 บอกถึงเหตุผลที่เลือกเรียนภาษาอังกฤษว่า หลังจากม.6 ระหว่างปิดภาคเรียน ได้ไปปฏิบัติศาสนกิจ ดาวะห์ ที่ประเทศอินเดีย ปรากฏว่า เมื่อถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองสนามบินอินเดีย เกิดปัญหาในการสื่อสารภาษาอย่างมาก เพราะสื่อสารไม่เข้าใจกัน เกือบจะไม่ได้เข้าเมือง หากไม่เจอชาวอินโดนีเซียรายหนึ่งเข้ามาช่วยสื่อ ทำให้เกิดความมุ่งมั่นว่า เมื่อกลับมาเมืองไทยต้องเรียนภาษาอังกฤษให้ได้ จึงได้มาสมัครเรียนที่วิทยาลัยอาชีวศึกษายะลา ซึ่งปัจจุบันสามารถพูดคุยภาษาอังกฤษได้แล้ว และตั้งใจไว้ว่าหลังจบการศึกษาจะไปอินเดียอีกครั้งหนึ่ง เพื่อทดสอบการใช้ภาษาอังกฤษและถ้าเป็นไปได้จะไปเรียนต่อปริญญาตรีที่อินเดียอีกด้วย ส่วนในอนาคตตั้งใจจะทำงานด้านธุรกิจเครื่องเพชรระหว่างประเทศ

ในขณะที่ นางสาวสาปียะห์ ดอเลาะ อายุ 20 ปี บ้านกียา หมู่ที่ 3 ต.ปะกาฮารัง อ.เมืองปัตตานี ชั้นปีที่ 2 ภาษาอังกฤษ เล่าว่า เกือบไม่มีโอกาสทางการศึกษาแล้ว เพราะฐานะทางบ้านยากจน อาศัยอยู่กับพ่อและแม่ที่มีอายุมากแล้ว จึงไม่มีทุนพอที่จะเรียนหนังสือ เมื่อรู้ว่าที่วิทยาลัยอาชีวศึกษาเปิดสอนภาษาอังกฤษธุรกิจ และมีค่าใช้จ่ายน้อย จึงได้มาสมัครเรียน ปัจจุบันคิดว่าการไม่มีเงิน ไม่ใช่อุปสรรคในการเรียนอีกแล้ว เพราะทางสถานศึกษาเปิดโอกาสให้เรา เพียงแต่เราจะมีความตั้งใจมากน้อยแค่ไหน ซึ่งในอนาคตอยากจะเรียนต่อเอกภาษาอังกฤษให้จบถึงปริญญาตรี มั่นใจว่าเมื่อเปิดประเทศเข้าสู่ประชาคมอาเซียนแล้ว เราจะมีต้นทุนด้านภาษาอังกฤษ ซึ่งคงไม่ยากนักที่จะเข้าถึงงานดี ๆ ได้อย่างแน่นอน

นางนัฐธมล ก่ำสี อาจารย์ผู้สอนภาษาอังกฤษ บอกว่า ตนมีภูมิลำเนาอยู่ที่กาฬสินธุ์ แต่มาทำหน้าที่สอนที่วิทยาลัยอาชีวศึกษายะลาในสาขาภาษาอังกฤษ 4 ปีแล้ว และมีความสุขที่ได้ถ่ายทอดความรู้ให้แก่นักศึกษาโดยการจัดการเรียนการสอนจะเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ

ด้าน นายอิสมัน อิสสะมะแอ ผู้อำนวยการวิทยาลัยอาชีวศึกษายะลา เปิดเผยว่า สำนัก งานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้มอบหมายให้วิทยาลัยอาชีวศึกษายะลาจัดการเรียนการสอนโดยใช้ภาษาต่างประเทศที่มีหลักสูตรเป็นสากล และเชื่อมโยงกับประเทศต่าง ๆ ในอาเซียนเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ทางวิทยาลัยจึงจัดสอนสาขาวิชา “ภาษาต่างประเทศธุรกิจ” ในระบบ Mini English Program หรือ MEP และขยายในบางสาขาวิชาชีพที่จะรองรับการพัฒนาให้เป็นตลาดร่วม เป็นการผลิตอันเดียวกัน ตลอดจนพัฒนาบุคลากรให้มีความสามารถในการแข่งขันระดับสูง โดย สอศ. ได้สนับสนุนงบประมาณให้ 1,050,000 บาท ในการพัฒนาสถานศึกษา และจัดตั้งศูนย์อาชีวศึกษาอาเซียน รวมถึงการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน

“เรายังให้ทุนแก่นักเรียนจากประเทศสมาชิกอาเซียนได้เข้ามาเรียนที่นี่ เช่น นักศึกษาจากอินโดนีเซีย ในขณะเดียวกันทางวิทยาลัยก็ส่งเสริมการปูพื้นฐานทางภาษาด้วยการส่งนักศึกษาออกไปฝึกงาน ณ แหล่งเรียนรู้ตามสถานประกอบการในจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว เพื่อให้นักเรียนนักศึกษาได้มีโอกาสพัฒนาทักษะการใช้ภาษาในการสื่อสารจากสถานการณ์จริง ซึ่งได้รับการตอบรับจากสถานประกอบการทุกแห่งว่าวิทยาลัยอาชีวศึกษายะลาผลิตกำลังคนได้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานอย่างแท้จริง”

แม้ในพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมอย่าง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่กระแสของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป คงเป็นแง่คิดให้ผู้ปกครองได้ปรับทัศนคติหรือค่านิยมใหม่ เพื่อหันมาสนับสนุนและส่งเสริมบุตรหลานได้เรียนด้านอาชีวศึกษา มีภาษารองรับควบคู่กับการปฏิบัติศาสนกิจ มีรายได้ระหว่างเรียน จบแล้วมีงานทำแน่นอน หรือเรียนต่อปริญญาตรีสายเทคโนโลยีในระบบทวิภาคี ในสถาบันการอาชีวศึกษาทั่วประเทศ ก็เป็นอีกหนึ่งหนทางที่น่าสนใจเช่นกัน.
อับดุลการิม รามันห์สิริวงศ์

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34376&Key=hotnews

สพฐ.ยกระดับคุณภาพผู้เรียน

7 ตุลาคม 2556

นายกมล รอดคล้าย รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวว่า ตามที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศธ. ให้นโยบายเพื่อยกระดับคุณภาพผู้เรียน 8 นโยบาย และเป้าหมายตามตัวบ่งชี้ 4 ประการนั้น นายอภิชาติ จีระวุฒิ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานคนใหม่ เห็นว่ามีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสำนักนโยบายและแผนการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) 5 เรื่อง คือ 1.ปฏิรูปการเรียนรู้ทั้งระบบ 2.การพัฒนาครู 3.การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ปฏิรูปการเรียน 4.ส่งเสริมให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วม และ 5.เพิ่มและกระจายโอกาสทางการศึกษา

นายกมลกล่าวต่อว่า ในการปฏิรูปการเรียนรู้ สพฐ.จะเน้น 2 เรื่อง คือ

1.การพัฒนาการสอนวิชาหลัก คือ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาไทย ภาษาต่างประเทศ ซึ่งวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ สพฐ.ร่วมกับ สสวท. พัฒนาครู รวมทั้งผู้เรียนด้าน Numeracy และเทคนิคการจัดการเรียนการสอนตามแนวการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ (PISA) ส่วนแผนระยะยาว สพฐ.จะสนับสนุนการวิจัย การสร้างชุมชนการเรียนรู้ เป็นต้น ส่วนภาษาต่างประเทศระยะสั้นภายในเดือนต.ค.นี้ สพฐ.มีแผนจะพัฒนาศักยภาพครูด้านภาษาอังกฤษ ภาษาอาเซียนและภาษาต่างประเทศที่ 2 เป็นต้น

2.พัฒนาทักษะการคิด สพฐ.จะสร้างความเข้าใจในแนวทางการจัดกิจกรรมทักษะการคิด การประเมินผลการคิดภายในเดือนพ.ย.นี้ แล้วนำไปจัดทำวีดิทัศน์รวบรวมเทคนิคการสอนคิด และวิจัยพัฒนานวัตกรรมการสอนคิดต่อไป

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 8 ต.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34369&Key=hotnews

สอศ.ติว 27 วิทยาลัย รับประเมินรอบ 3

7 ตุลาคม 2556

ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า ในเร็ว ๆ นี้ตนจะหารือนอกรอบกับ ศ.ดร.ชาญณรงค์ พรรุ่งโรจน์ ผอ.สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา(สมศ.) เพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิดในการประเมินคุณภาพภายนอกสถานศึกษา รอบ 4 พ.ศ. 2559-2563 เพื่อขอปรับปรุงตัวบ่งชี้ในการประเมิน เนื่องจากสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) มีการจัดการศึกษาระบบทวิภาคีร่วมกับสถานประกอบการ และสถาบันการศึกษา ต่างประเทศ โดยเฉพาะระดับปริญญาตรี ในสถาบันการอาชีวศึกษา ที่เป็นระบบทวิภาคี 100% จึงจำเป็นต้องกำหนดหลักเกณฑ์และ ตัวบ่งชี้ให้สอดคล้องกับการจัดการเรียนการสอน

เลขาธิการ กอศ.กล่าวต่อไปว่า การประเมินคุณภาพภายนอกสถานศึกษา รอบที่ 3 พ.ศ. 2554-2558 ซึ่งได้ประเมินมา 3 ปีแล้วสถานศึกษา 421 แห่งเข้ารับการประเมินแล้ว 394 แห่ง พบว่าสถานศึกษาที่เข้ารับการประเมิน ปี 2554-2555 ไม่ผ่านการประเมิน 8 แห่ง ซึ่งต้องรับการประเมินใหม่ภายใน 2 ปีนับจากวันที่วิทยาลัยรับทราบ ส่วนสถานศึกษาที่เข้ารับการประเมินในปี 2556 ขณะนี้ยังไม่ทราบผล อย่างไรก็ตามสำหรับอีก 27 แห่งที่จะเข้ารับการประเมิน รอบ 3 ซึ่งจะเริ่มในเดือนธ.ค. สอศ.จะเข้าไปทำความเข้าใจในจุดที่สถานศึกษายังอ่อนอยู่ โดยเฉพาะตัวบ่งชี้ที่ 4 ผลงานที่เป็นโครงงานทางวิชาชีพ หรือสิ่งประดิษฐ์ของผู้เรียนที่ได้นำมาใช้ประโยชน์ ตัวบ่งชี้ที่ 5 ผลงานที่เป็นนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์ งานสร้างสรรค์ หรืองานวิจัยของครูที่ได้นำไปใช้ประโยชน์ และตัวบ่งชี้ที่ 12 ผลการสร้างการมีส่วนร่วมในการประกันคุณภาพ

“นอกจากนี้อีก 2 ปีข้างหน้า ปริญญาตรีรุ่นแรกจะจบออกมา สถาบันการอาชีวศึกษาจะต้องเข้ารับการประเมินในระดับอุดมศึกษา ก็ต้องมาทำหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินให้สอดคล้องกับภารกิจของสถาบันการอาชีวศึกษา ซึ่งสถาบันควรต้องรู้ตัวก่อนเข้ารับการประเมิน ว่าจะต้องถูกประเมินในด้านใดและอย่างไรบ้าง” ดร.ชัยพฤกษ์ กล่าว.

–เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 8 ต.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34368&Key=hotnews

42 มหา’ลัยเปิดข้อมูลการรับนักศึกษา

7 ตุลาคม 2556

รศ.นพ.กำจร ตติยกวี รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ได้ทำหนังสือส่งถึงมหาวิทยาลัยของรัฐและมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐหรือมหาวิทยาลัยนอกระบบ เพื่อขอข้อมูลการรับนิสิตนักศึกษา ระดับปริญญาตรี ประจำปีการศึกษา 2557 ในทุกระบบ ทุกวิธีการ ทุกคณะและสาขาวิชา ที่ไม่ใช่การรับในระบบกลางการรับนิสิตนักศึกษาหรือแอดมิชชั่นกลางโดยขยายเวลาการให้ส่งข้อมูลถึงวันที่ 4 ก.ย.ปรากฏว่าจากจำนวนมหาวิทยาลัยที่ต้องส่งข้อมูล 78 แห่ง มีส่งข้อมูลมาแล้ว 42 แห่ง ซึ่ง สกอ.จะต้องวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดเสนอต่อ รมว.ศึกษาธิการ เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาตัดสินใจในการพัฒนาหรือปรับปรุงระบบการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษา ที่จะทำให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด

รศ.นพ.กำจร กล่าวอีกว่า สำหรับมหาวิทยาลัยที่ส่งข้อมูลมาแล้วได้แก่ ม.ศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ม.บูรพา ม.เชียงใหม่ ม.แม่ฟ้าหลวง ม.เทคโนโลยีสุรนารี ม.วลัยลักษณ์ ม.ทักษิณ ม.มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย สถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา ม.นเรศวร ม.มหาสารคาม ม.แม่โจ้ สถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน มหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) เชียงราย มรภ.เชียงใหม่ มรภ.ลำปาง มรภ.นครสวรรค์ มรภ.เพชรบูรณ์ มรภ.สกลนคร มรภ.อุดรธานี มรภ.บุรีรัมย์ มรภ.อุบลราชธานี มรภ.สุรินทร์ มรภ.ราชนครินทร์ มรภ.เทพสตรี มรภ.รำไพพรรณี มรภ.นครปฐม มรภ.เพชรบุรี มรภ.นครศรีธรรมราช มรภ.สงขลา มรภ.ภูเก็ต มรภ.สุราษฎร์ธานี มรภ.จันทรเกษม มรภ.สวนดุสิต มรภ.พระนคร มรภ.สวนสุนันทา มรภ.ชัยภูมิ มรภ.ศรีสะเกษ ม.เทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี มทร.กรุงเทพ มทร.สุวรรณภูมิ และ มทร.ตะวันออก.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34367&Key=hotnews

เด็กสาธิตเก่งน้อยลงฟ้องปัญหาศึกษาไทย

7 ตุลาคม 2556

ศ.พิเศษ ดร.ภาวิช ทองโรจน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ในวันที่ 7ต.ค.นี้ ตนจะเสนอนายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) แต่งตั้งคณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการประเมินตามโครงการนานาชาติของนักเรียนระดับการศึกษาภาคบังคับ หรือ วอร์รูมพิซ่า โดยในส่วนของคณะทำงานระดับปฏิบัติการจะเสนอให้ ดร.ธงชัย ชิวปรีชา อดีตผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เป็นประธาน พร้อมกันนี้จะเชิญตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมในวอร์รูม ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) และสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ซึ่งดูแลกลุ่มโรงเรียนสาธิต เนื่องจากเด็กนักเรียนสาธิตเป็นนักเรียนกลุ่มที่ทำคะแนนสอบพิซ่าได้ดีที่สุดในกลุ่มนักเรียนไทยทั้งหมด โดยผลคะแนนที่ออกมาสูงกว่าเกณฑ์เฉลี่ย ซึ่งเทียบเท่าหรือมากกว่ากลุ่มเด็กนักเรียนในสหรัฐอเมริกา แต่อย่างไรก็ตามผลคะแนนของกลุ่มเด็กสาธิต แม้จะอยู่ในระดับสูง แต่ก็พบว่าแนวโน้มผลคะแนนก็ยังลดลงทุกปี แสดงให้เห็นว่าการศึกษาไทยในภาพรวมกำลังน่าเป็นห่วงจริง ๆ จึงต้องมีการวิเคราะห์และพัฒนาผลคะแนนเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่ม

ศ.พิเศษ ดร.ภาวิช กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ตนจะเสนอให้คณะทำงานดังกล่าวมีตัวแทนจาก สสวท.เข้าร่วมในวอร์รูมด้วย เพราะในการสอบพิซ่า มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับรายวิชาคณิตศาสตร์และวิทยา ศาสตร์ที่ สสวท.รับผิดชอบอยู่

“อย่างไรก็ตามในการสอบพิซ่าปี ค.ศ. 2015 จะมีการสอบรายวิชาบังคับเพิ่มขึ้นอีก 1 หัวข้อ คือ เรื่องการแก้ปัญหาร่วมกัน หรือ Collaborative Problems Solving อีกทั้งยังมีการเพิ่มการสอบวิชาไม่บังคับแต่มีความน่าสนใจอีก 1 หัวข้อด้วย คือ เรื่องความรู้ด้านการเงิน หรือ Financial Literacy ดังนั้น จะเห็นว่าโครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ หรือ การสอบพิซ่า นับวันยิ่งมีความสำคัญมากขึ้น เพราะผลการสอบสามารถช่วยสะท้อนให้เห็นถึงผลของการ เตรียมคนเพื่อการก้าวไปอยู่ในโลกยุคใหม่อย่างแท้จริง” ผู้ช่วยรัฐมนตรี กล่าว.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34366&Key=hotnews