Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ เตรียมพร้อมจัดทำมาตรฐานอาชีพเทียบเท่าระดับสากลรองรับ AEC

7 ตุลาคม 2556

การพัฒนากำลังคนให้มีทักษะ ตรงกับความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ นอกจากจะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการแล้ว ยังเป็นการเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างเข้มแข็ง รัฐบาลได้ตระหนักถึงความสำคัญดังกล่าว จึงจัดตั้งสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ(องค์การมหาชน) หรือ สคช.: Thailand Professional Qualifcation Institute (Public Organization) ขึ้น ภายใต้การกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรี โดยจัดตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) พ.ศ.2554 เพื่อพัฒนากำลังคนของประเทศให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจของประเทศ

ผู้อำนวยการสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน)นายวีระชัย ศรีขจร กล่าวว่า สถาบันฯ จัดตั้งขึ้นมาเพื่อพัฒนาและผลักดันระบบคุณวุฒิวิชาชีพของไทย ด้วยการจัดทำมาตรฐานอาชีพให้ได้มาตรฐานสากล และกำหนดภารกิจองค์กรเพื่อรับรองสมรรถนะบุคคล และเป็นศูนย์กลางข้อมูลเกี่ยวกับคุณวุฒิวิชาชีพและมาตรฐานอาชีพ โดยตั้งเป้าหมายว่าจะจัดทำมาตรฐานอาชีพใน 40 กลุ่มอุตสาหกรรม ครอบคลุมกว่า 400 สาขาอาชีพสำหรับพันธกิจเร่งด่วน ของสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ คือ การผลักดันโครงการจัดทำมาตรฐานอาชีพ และกรอบคุณวุฒิวิชาชีพในสาขาที่มีผลกระทบกับความปลอดภัย และสังคมในวงกว้าง

ซึ่งตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมาสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ(องค์การมหาชน) ได้ดำเนินการจัดทำมาตรฐานอาชีพในกลุ่มอุตสาหกรรมนำร่องไปแล้ว 8 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ ปิโตรเลียมและปิโตรเคมี ก่อสร้าง เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารโลจิสติกส์ สปา ผู้ประกอบการอาหารไทย รวมถึงจัดทำมาตรฐานอาชีพและคุณวุฒิวิชาชีพ ในสาขาที่มีผลกระทบกับความปลอดภัยและสังคมในวงกว้าง เช่น อาชีพขับรถยนต์สาธารณะ รถโดยสารไม่ประจำทาง ซึ่งส่งผลต่อความปลอดภัยของประชาชนจำนวนมากและจากรายงานขององค์การอนามัยโลก พบว่า ประเทศไทยมีสัดส่วนการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนเป็นอันดับ 3 ของโลกการจัดทำมาตรฐานอาชีพของคนขับรถขนส่งสาธารณะ จึงเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน นอกจากนี้ กลุ่มผู้ควบคุมเครื่องจักรกลหนักในการก่อสร้างร่วมกับสาขาอื่นๆ ที่กำลังเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน มีเป้าหมายเพื่อพัฒนากำลังคน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและศักยภาพธุรกิจ สนับสนุนการพัฒนาประเทศ รวมทั้งเตรียมความพร้อมบุคลากรรองรับการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซีในปี 2558

นอกจากนี้ สถาบันฯ ยังได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือพัฒนากรอบคุณวุฒิวิชาชีพ ศึกษาการทดสอบการใช้ความรู้ความสามารถ และทักษะในการประกอบอาชีพ และการฝึกอบรมแบบมุ่งเน้นสมรรถนะ รวมถึงการร่วมมือพัฒนามาตรฐานอาชีพ ความร่วมมือในการพัฒนาระบบคุณวุฒิวิชาชีพและมาตรฐานอาชีพระหว่างสถาบันฯ กับองค์กรต่างประเทศซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจว่าคุณวุฒิวิชาชีพไทยนั้นได้มาตรฐานสากล และเพื่อให้สอดคล้องกับระบบการศึกษาสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) ยังได้เตรียมการอบรมและสนับสนุนสถาบันการศึกษาที่มีความพร้อมให้เป็นองค์กรที่มีหน้าที่ทดสอบและรับรองสมรรถนะของบุคคลตามมาตรฐานอาชีพ โดยร่วมกับสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมในการพัฒนาองค์กรเหล่านี้ให้เข้าสู่ระบบ ISO 17024 ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับโลกสำหรับองค์กรที่รับรองบุคคล เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถเชื่อมั่นในคุณสมบัติของบุคลากรที่ได้รับการรับรองคุณวุฒิวิชาชีพ

การพัฒนามาตรฐานอาชีพและการรับรองคุณวุฒิวิชาชีพไม่เพียงแต่เสริมศักยภาพของผู้ใช้แรงงานเท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้ประกอบการได้ผู้มีทักษะอาชีพในระดับที่ดีเข้าสู่องค์กร สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) จึงเป็นองค์กรที่ช่วยยกระดับมาตรฐานอาชีพของคนไทย ส่งเสริม สนับสนุน ยกระดับมาตรฐานความรู้ พร้อมก้าวสู่ “เออีซี” โดยใช้การพัฒนาทักษะทางอาชีพ เป็นกลยุทธ์การขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34365&Key=hotnews

นร.โซน 3 ส่อรอแท็บเล็ตยาว ลุ้นผลกวพ.อ.ชี้ขาดประมูลสุพรีมฯโมฆะ/โซน 1,2 ก็เจอเสิ่นเจิ้น อิงถังขอเลื่อนส่งด้วย

7 ตุลาคม 2556

ศึกษาธิการ * กวพ.อ.จ่อชี้ขาดจัดซื้อแท็บเล็บโซน 3 วันที่ 11 ต.ค.นี้ ชี้แนวโน้มน่าจะคล้อยตาม สพฐ.ให้ยกเลิกผลการประมูลของบริษัท สุพรีมฯ ส่งผลอาจทำให้มีการฟ้องร้อง เด็กต้องรอแท็บเล็ตนานเป็นปี ส่วนโซน 1, 2 เสิ่นเจิ้น อิงถังฯ มีปัญหาขอเลื่อนส่งเครื่องไปอีก 1 เดือน อ้างโรงงานประกอบไฟไหม้ ขณะที่จัดซื้อแท็บเล็ตปี 57 อาจต้องมีการปรับวิธีการใหม่ให้ 225 เขตพื้นที่ฯ จัดการแทนส่วนกลาง

แหล่งข่าวกรรมการบริหารนโยบาย 1 คอม พิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ต่อ 1 นักเรียน กล่าวว่า ตามที่บริษัท สุพรีม ดิสทิบิวชั่น (ไทยแลนด์) จำกัด ได้ยื่นอุทธรณ์กับคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์ (กวพ.อ.) ของกรมบัญชีกลาง กรณีที่คณะกรรมการประกวดราคาด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (อี-ออคชั่น) ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ประ กาศยกเลิกผลการประมูลอี-ออคชั่นแท็บเล็ตนักเรียนโซน 3 ไปเมื่อประมาณวันที่ 13 ก.ย.2556 นั้น ขณะนี้ กวพ.อ.กำลังพิจารณาเอกสารคำชี้แจงทั้ง 2 ฝ่าย และคาดว่าจะตัดสินได้ประมาณวันที่ 11 ต.ค.นี้ ขณะที่ผลการตัดสินจะมี 2 ทาง ได้แก่ รับการอุทธรณ์ หมายถึงสั่งให้ สพฐ.เดินหน้าจัดซื้อไปโซน 3 ไปตามผลชนะประมูล แม้จะมีข้อสังเกตว่าราคาชนะประมูลสูงอย่างมีนัยสำคัญก็ตาม หรือไม่รับการอุทธรณ์ คือเห็นตามข้อสังเกต สพฐ.ให้ยกเลิกผลการประมูล

แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า หาก กวพ.อ.พิจารณายกเลิกก็ต้องมาดูอีกว่าจะสั่งยกเลิกอย่างเดียว หรือจะพ่วงด้วยการชี้ว่าบริษัท สุพรีมฯ ฮั้วประมูลด้วยหรือไม่ ซึ่งหากสั่งยกเลิกและพ่วงคำดังกล่าวมาด้วย ก็แน่นอนว่าบริษัท สุพรีมฯ ต้องยื่นฟ้องศาลปกครองให้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวแน่ เพื่อไม่ให้บริษัทถูกแบล็กลิสต์และถูกดำเนินคดีทางกฎหมายอาญา แต่ศาลปกครองอาจพิจารณาไม่รับคำฟ้องก็ได้ เพราะเห็นตาม กวพ.อ. แต่ขั้นตอนนี้ต้องใช้เวลาพิจารณาเป็นปีซึ่งย่อมส่งผลกระทบต่อนักเรียนแน่ แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าผลการพิจารณาทั้งหมดจะออกมาในแนวทางนี้ อย่างไรก็ตาม การจัดซื้อแท็บเล็ตโซน 3 ถือเป็นการสะท้อนปัญหาการจัดซื้อแท็บเล็ตโดยส่วนกลาง ที่ผ่านมาจึงมีแนวคิดรัฐแจกคูปอง 3,000 บาทให้เด็กและผู้ปกครองนำไปซื้อแท็บเล็ตเอง แต่วิธีดังกล่าวก็มีปัญหาและช่องโหว่ เพราะผู้ปกครองอาจนำคูปองไปเลือกซื้อแท็บเล็ตที่ราคาถูกกว่าเพื่อหวังเงินทอน สุดท้ายได้แท็บเล็ตที่ไม่มีประ สิทธิภาพ และอาจผิดวัตถุประสงค์นโยบายรัฐบาล ฉะนั้นแนวคิดนี้คงใช้ได้กับเด็กกลุ่มหนึ่งเท่านั้น

สำหรับการจัดซื้อแท็บเล็ตชุดปีการศึกษา 2557 แหล่งข่าวกล่าวว่า ในทางราชการพอขึ้นปีงบประมาณใหม่ต้องเริ่มกระบวนการจัดทำสเปกและร่างทีโออาร์แล้ว แต่ในทางปฏิบัติทางกลับยังไม่เริ่มอะไร ขณะเดียวกันวิธีจัดซื้อยังต้องถกเถียง เพราะการจัดซื้อครั้งล่าสุดก็เห็นชัดแล้วว่าการจัดซื้อโดยส่วนกลางมีปัญหา ฉะนั้นอาจมีเสนอวิธีการจัดซื้อใหม่โดยให้ 225 เขตพื้นที่ฯ แยกไปจัดซื้อเอง เหมือนโรงเรียนสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่ในปีการศึกษานี้ใช้วิธีดังกล่าว จนขณะนี้มีหลายโรงเรียนได้รับเครื่องแท็บเล็ตไปแล้ว แต่สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับการเมืองว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ เพราะการให้เขตพื้นที่ฯ จัดซื้อเองยากที่จะมีเงินทอนจำนวนมากๆ ไม่เหมือนการจัดซื้อโดยส่วนกลาง

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 27 ก.ย.ที่ผ่านมา บริษัท เสิ่นเจิ้น อิงถัง อินเทลลิเจ้น คอนโทรล จำกัด ในฐานะบริษัทผู้ลงนามในสัญญาจัดซื้อแท็บเล็ตโซน 1, 2 ของนักเรียนชั้น ป.1 ทั่วประเทศรวมจำนวนทั้งสิ้น 804,742 เครื่อง ได้ส่งหนังสือขอเลื่อนการจัดสรรแท็บเล็ตงวดแรก จำนวน 100,000 เครื่อง จากกำหนดเดิมเลื่อนไปอีก 1 เดือน โดยอ้างเหตุไฟไหม้โรงงานผลิตชิ้นส่วนที่ประเทศเกาหลี เมื่อวันที่ 9 ก.ย.2556 อย่างไรก็ตาม กำหนดจัดส่งแท็บ เล็ตงวดแรกจะต้องส่งภายใน 35 วันนับจากวันเซ็นสัญญา คือวันที่ 28 ก.ย.2556.

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34364&Key=hotnews

วิทยาลัยชุมชนน่าน เสริมความเข้มแข็ง เครือข่ายภาคเหนือ

7 ตุลาคม 2556

ASTV ผู้จัดการรายวัน – ก้าวสู่ทศวรรษที่ 2 วิทยาลัยชุมชนกับการเสริมสร้างความเข้มแข็งชุมชน วชช.น่าน จัดการความรู้เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็ง เครือข่าย วิทยาลัยชุมชนภาคเหนือ
เมื่อเร็วๆ นี้ (วชช.)จัดประชุมวิชาการจัดการความรู้เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งเครือข่าย วิทยาลัยชุมชนภาคเหนือ เรื่อง “ก้าวสู่ทศวรรษที่ 2 วิทยาลัยชุมชนกับการเสริมสร้างความเข้มแข็งชุมชน” ให้แก่ประชาชนในจังหวัดน่านและจังหวัดใกล้เคียง มุ่งเน้นให้การศึกษาและฝึกอบรมด้านวิชาการและวิชาชีพ ตามความต้องการของชุมชนและส่งเสริมให้มีการพัฒนาอาชีพ และพัฒนาคุณภาพชีวิตของ บุคคล และชุมชน

รองศาสตราจารย์ชวนี ทองโรจน์ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่น สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กล่าวว่า การจัดการความรู้เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งชุมชน : เครือข่ายวิทยาลัยชุมชนภาคเหนือ เป็นหนึ่งใน สี่กลุ่มสถาบันอุดมศึกษาที่มุ่งเน้นสร้าง ความเข้มแข็งของชุมชน การพัฒนา ที่ยั่งยืน ดูแลแรงงานที่ออกจากภาคเกษตร การเรียนรู้ตลอดชีวิต การพัฒนาและเติมเต็มศักยภาพบุคล ความเข้มแข็งชุมชน” คืออะไร ? ความเข้มแข็งของชุมชนแบ่งออกเป็น 3 มิติ มี ความรู้ ความเข้าใจ ภูมิปัญญาอาชีพ วิถีปฏิบัติที่ดี มีความยั่งยืน ความสุขความสงบร่มเย็น

การวางวิทยาลัยชุมชน (Positioning) ในทศวรรษที่สอง นโยบาย วชช. จัดการศึกษาตลอด ชีวิตเพื่อเสริมสร้างชุมชนเข้มแข็ง และตรึงคนอยู่ในพื้นที่ เพื่อผลักดันให้ ไปสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ กลุ่มประชากรวัยแรงงาน (Non Age Group) อายุ 22 ปีขึ้นไป และเสริมด้วยผู้ด้อยโอกาสการศึกษา กระบวนการเรียนรู้มุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากประสบการณ์ของ ผู้เรียน ให้คิดเป็น ทำเป็น และสร้างปัญญา จัดการเรียนการสอนและฝึกอบรมในเรื่องที่ชุมชนต้องการและเสริมสร้างให้เกิดนวัตกรรมวิทยาลัยชุมชน บทบาทการสร้างความเข้มแข็งชุมชนในช่วงที่ผ่านมา จัดการศึกษา/ฝึกอบรม เพื่อตอบสนองกลุ่มเป้าหมายในจังหวัดที่ขาดโอกาสทางการศึกษา เข้าไม่ถึงการศึกษา (ระดับปัจเจกบุคคล) หลักสูตรอนุปริญญา ปวส. และประกาศนียบัตร หลักสูตรฝึกอบรม รศ.ชวนีกล่าว
“จุดเปลี่ยนของ วชช. วิทยาลัยชุมชนเดินตามกระแสหลักของอุดมศึกษาที่มุ่งปริญญาโครงสร้างการจัดการเรียนการสอนเน้นความรู้เชิงวิชาการ มากกว่าการส่งเสริมทักษะ การประกอบอาชีพ ความหลากหลาย และความแตกต่างระหว่างบุคคลสูงมาก การประกอบอาชีพและการแบ่งเวลาเพื่อการเรียนรู้ บทบาทการสร้างความเข้มแข็งชุมชนตามนโยบาย วชช. การจัดการความรู้เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งชุมชน (ระดับกลุ่มบุคคล หรือชุมชน) โดยใช้กระบวนทัศน์ในการปรับวิธีทำงานใหม่หลักสูตรอนุปริญญา ปวส. และ ปวช. ประกาศนียบัตร หลักสูตรฝึกอบรม “ภายใต้พันธกิจเดิมโดยกระบวนทัศน์ใหม่ ในการจัดการศึกษา/ฝึกอบรมเพื่อสร้างความเข้มแข็งชุมชน ของวิทยาลัยชุมชน (นโยบาย กวชช. ชุดปัจจุบัน)สอนคนชุมชน โดยคนชุมชน ใช้โจทย์ชุมชน เพื่อพัฒนาชุมชน การทบทวนนโยบายการจัดการเรียนรู้ของวิทยาลัยชุมชน ตามมติ กวชช. รูปแบบที่ 1 การจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาท้องถิ่นชุมชน : TRACK วิทยาลัยชุมชนต่อยอดโครงการจัดการความรู้เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนมุ่งส่งเสริมความร่วมมือ การพัฒนาเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต ตอบสนองความต้องการ มิติเศรษฐกิจ การสร้างรายได้ การเป็นผู้ประกอบการ ความสงบ และสันติสุขในชุมชน รูปบบที่ 2 การจัดการศึกษาเพื่อการประกอบอาชีพ : TRACK อาชีพการเลือกสรรอาชีพที่มีความต้องการระดับชาติ -ท้องถิ่น มุ่งเน้นความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะ เพื่อการประกอบอาชีพ (Com petency based Education) จัดในรูป ชุดการเรียนรู้ (Modular System) National Certificate และ Institutional Certificate รูปแบบที่ 3 การจัดการศึกษาระดับอนุปริญญา : TRACK อนุปริญญาศึกกษาต่อระดับปริญญาที่มีคุณภาพสูงมีความยืดหยุ่น และเอื้ออำนวยให้เกิดการเรียนรู้ที่ทันสมัย ปรับเข้าสู่ระบบ Modular และ หลักสูตรฐานสมรรถนะ เป็นกระบวนการของสถานศึกษาที่ต้องการปรับเปลี่ยนหลักการจัดการศึกษาที่เน้นองค์ความรู้ที่ได้จากอาจารย์ (ตำรา) ไปสู่ความสามารถในการปฏิบัติงานของผู้เรียนเป็นการ ศึกษาที่มุ่งเน้นผลของการศึกษา คือ สมรรถนะที่ตอบสนองความต้องการในตลาดแรงงานที่กำหนดโดย นายจ้าง หรือ มืออาชีพ สมรรถนะโดยธรรมชาติแล้วจะมีความ ซับซ้อน และมีปัญหาในการวัดและการประเมิน การจัดการเรียนรู้ระบบ Module การจัดกลุ่มหรือองค์ประกอบของกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาสมรรถนะของผู้เรียน เพื่อการประกอบอาชีพในระดับต่างๆ
อย่างไรก็ตาม การประชุมวิชาการจัดการความรู้เสริมสร้างความเข้มแข็ง เครือข่ายวิทยาลัยชุมชนภาคเหนือ เพื่อคัดเลือกโครงการต้นแบบในการดำเนินงานตามโครงการดังกล่าว โดยนำเสนอผลงานทางวิชาการของบุคลากรวิทยาลัยชุมชนทั่วประเทศ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่วิทยาลัยชุมชนทุกแห่งได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาจังหวัดให้มีความเจริญก้าวหน้าด้านวิชาการและด้านวิชาชีพ อันเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาประเทศต่อไป

ที่มา: หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการรายวัน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34363&Key=hotnews

‘ศิริพร’ เร่งประชุมแจงครู ผช.ว12 ดันปรับสวัสดิการ-วิทยฐานะ

7 ตุลาคม 2556

นางศิริพร กิจเกื้อกูล เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เปิดเผยว่า ในโอกาสที่เข้ารับตำแหน่งใหม่ จะเร่งรัดขับเคลื่อนงานด้านบุคลากรทางการศึกษาตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และตามภารกิจของสำนักงาน ก.ค.ศ.อย่างกรณีการสอบคัดเลือกครูผู้ช่วยกรณีที่มีความจำเป็นหรือเหตุพิเศษหรือ ว 12 ที่ยังต้องเร่งแก้ปัญหา ตนจะเร่งจัดประชุมชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้เกี่ยวข้อง ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการ ก.ค.ศ. ที่ได้สั่งการไว้แล้วตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมาในกรณีจะให้กลุ่มอดีตครูผู้ช่วย 344 ราย ตามรายชื่อของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้กลับเข้ารับราชการและเข้าสู่กระบวนการสอบสวนเพื่อให้เกิดความชัดเจนและเป็นธรรมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

เลขาธิการ ก.ค.ศ.กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ จะปรับปรุงระบบการประเมินวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่เชื่อมโยงกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน และปรับปรุงระบบสวัสดิการและการเสริมสร้างขวัญกำลังใจของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อประสิทธิภาพการเรียนการสอนและคุณภาพผู้เรียน ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการ ศธ. รวมทั้งการเตรียมประเมินวิทยฐานะตามหลักเกณฑ์ ว 13 หรือการประเมินผู้ที่มีผลงานดีเด่นเป็นที่ประจักษ์ การจัดกรอบอัตรากำลังข้าราชการครูฯและแก้ปัญหาการขาดแคลนครู ทั้งนี้ ตนจะเน้นให้ความสำคัญในการกำกับ ติดตาม ดูแล และตรวจสอบการดำเนินการของผู้ที่เกี่ยวข้องในด้านงานบริหารงานบุคคลให้มีความโปร่งใส เป็นธรรมและมีประสิทธิภาพ โดยจะจัดทำคู่มือแนวทางการปฏิบัติงาน เพื่อให้ทุกฝ่ายมีความชัดเจนมีมาตรฐาน เป็นไปในแนวทางเดียวกัน

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34362&Key=hotnews

คอลัมน์: สถานีก.ค.ศ.: การประเมินตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่น ตามมาตรา 38 ค.(2) ระดับเชี่ยวชาญ

7 ตุลาคม 2556

อุษณีย์ ธโนศวรรย์
ผอ.ภารกิจนโยบายและระบบตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษา
ตามที่ ก.ค.ศ.ได้กำหนดตำแหน่งและมาตรฐานตำแหน่งประเภทวิชาการ สายงานบริหารทรัพยากรบุคคล ระดับเชี่ยวชาญ ของบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค.(2) ซึ่งได้นำเสนอสาระสำคัญของมาตรฐานตำแหน่ง ไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนั้น ในสัปดาห์นี้จะขอนำเสนอหลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดตำแหน่งและการประเมินบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่น ตามมาตรา 38 ค.(2) ตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับเชี่ยวชาญ โดยสรุปสาระสำคัญ ดังนี้

1.หลักเกณฑ์ โดยสรุปคือ การกำหนดตำแหน่ง ต้องยึดหลักประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ความไม่ซ้ำซ้อนและประหยัด โดยไม่เพิ่มจำนวนตำแหน่งและไม่ทำให้งบประมาณรายจ่ายด้านบุคคลเพิ่มขึ้น โดยนำตำแหน่งว่างที่มีอัตราเงินเดือนมายุบรวมกับตำแหน่งที่จะกำหนดเป็นตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับเชี่ยวชาญ เพื่อให้ครอบคลุมค่าตอบแทนเฉลี่ยที่เพิ่มสูงขึ้นจากการกำหนดตำแหน่งนั้น ซึ่งจะต้องมีการประเมินค่างาน โดยยึดปริมาณงานและคุณภาพงานของตำแหน่ง ที่แสดงถึงลักษณะหน้าที่ความรับผิดชอบที่เปลี่ยนแปลงไปในระดับสูงขึ้น ซึ่งเกณฑ์การตัดสินจะพิจารณาจากการประเมินค่างานที่ ก.ค.ศ.กำหนด

2.วิธีการ
2.1 ให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาตรวจสอบหน้าที่ความรับผิดชอบ ลักษณะงานของตำแหน่งที่ ก.ค.ศ.กำหนดระดับตำแหน่งไว้ถึงระดับเชี่ยวชาญ ตามแบบประเมินค่างาน หากเห็นว่ามีปริมาณงานและคุณภาพของงานเปลี่ยนแปลงไปใน ระดับที่สูงขึ้น ให้นำข้อมูลเสนอ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา พิจารณาให้ความเห็นชอบในการเสนอขอกำหนดตำแหน่งดังกล่าว เป็นระดับเชี่ยวชาญ โดยให้จัดทำข้อมูลเสนอส่วนราชการ ตามรายละเอียดเอกสารที่ ก.ค.ศ.กำหนด
2.2 ให้ส่วนราชการตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองที่เห็นสมควร ตามความ เหมาะสม โดยมีเลขาธิการหรือรองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ได้รับมอบหมายเป็นประธาน และผู้อำนวยการสำนักพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลและนิติการเป็นกรรมการและเลขานุการ ทำหน้าที่ ตรวจสอบความถูกต้องของปริมาณงานและคุณภาพของตำแหน่งที่ขอ พิจารณากลั่นกรอง ตำแหน่งที่มีปริมาณและคุณภาพของงานที่เห็นสมควรจะเสนอขอกำหนดเป็นตำแหน่งระดับเชี่ยวชาญ จัดสรรงบประมาณหรือตำแหน่งที่จะยุบรวมประกอบการเสนอขอกำหนดตำแหน่งให้สอดคล้องกับจำนวนตำแหน่งที่เสนอขอ
2.3 ให้ส่วนราชการจัดทำแบบขอกำหนดตำแหน่ง และความเห็นของกรรมการที่เห็นว่าสมควรจะกำหนดตำแหน่งเป็นระดับเชี่ยวชาญ เสนอสำนักงาน ก.ค.ศ. โดยการยื่นคำขอกำหนดตำแหน่งให้ทำได้ปีละ 1 ครั้ง ในเดือนตุลาคม และส่วนราชการยื่นต่อสำนักงาน ก.ค.ศ. ภายในเดือนธันวาคม
2.4 ก.ค.ศ.จะประเมินค่างานตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด เมื่อ ก.ค.ศ.มีมติอนุมัติกำหนดตำแหน่งประเภทวิชาการระดับเชี่ยวชาญแล้ว ให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาดำเนินการเกี่ยวกับการประเมินบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว ตามแนวดำเนินการที่ ก.ค.ศ.กำหนด

สำนักงาน ก.ค.ศ.หวังเป็นอย่างยิ่งว่าบุคลากรทางการศึกษากลุ่มนี้ จะได้รับ การประเมินให้มีความก้าวหน้าในวิชาชีพ ถึงระดับเชี่ยวชาญ ในเร็วๆ นี้

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34361&Key=hotnews

ศธ.เล็งขยายเกณฑ์ทุนอำเภอใหม่ จัดสรรเด็ก’ม.3-สายอาชีวะ’เพิ่มเติม สนองนายกฯแก้ปัญหาน.ร.เลิกเรียน

7 ตุลาคม 2556

นางสุทธศรี วงษ์สมาน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีนโยบายที่ต้องการให้ ศธ.จัดสรรทุนการศึกษาให้หลากหลายและครอบคลุมมากขึ้นโดยต้องการให้เน้นจัดสรรทุนให้นักเรียนที่จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันมีนักเรียนที่จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ต้องออกจากระบบการศึกษาเพราะครอบครัวยากจนจึงไม่สามารถส่งเรียนต่อได้เมื่อเรียนจบทำให้ต้องเข้าสู่ตลาดแรงงานแทน ทั้งนี้ จากการเก็บข้อมูลพบว่านักเรียนที่จบระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เรียนต่อระดับมัธยมศึกษาตอนปลายแค่ 65% เท่านั้น ดังนั้น นายกรัฐมนตรีจึงอยากให้ ศธ.จัดสรรทุนให้เรียนต่อทั้งสายสามัญและอาชีวศึกษาและเน้น ให้ทุนในสาขาที่ต้องกับความต้องการของประเทศ

ปลัด ศธ.กล่าวต่อว่า ในส่วนของสำนักงานปลัด ศธ.ที่ดูแลโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุนส่งนักเรียนเรียนต่อระดับปริญญาตรีในประเทศและต่างประเทศอยู่นั้น ตนจะเสนอปรับปรุงโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุนใหม่จากเดิมทุนดังกล่าวจะมอบให้นักเรียนที่จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เท่านั้นแต่ตนจะเสนอให้ปรับหลักเกณฑ์เพื่อให้สามารถเริ่มจัดสรรทุนให้เด็กตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 เพื่อเพิ่มโอกาสในการศึกษาต่อให้แก่นักเรียนในระดับชั้นดังกล่าว โดยขณะนี้อยู่ในระหว่างศึกษารายละเอียดและต้องไปดูว่าระเบียบของทุนเปิดช่องให้ทำได้หรือไม่ และท้ายสุดจะต้องนำเสนอนายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการ ศธ. และคณะกรรมการบริหารโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุนพิจารณาก่อน

“นอกจากโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุนแล้ว อาจต้องมีการเพิ่มทุนให้เปล่าในสาขาที่ประเทศต้องการ หรือให้ทุนลักษณะเรียนไปทำงานไป รวมถึงควรขยายทุนเรียนต่อสายอาชีพในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ด้วย ขณะเดียวกัน จะต้องเปิดโอกาสให้สถานประกอบการเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษามากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีสถานประกอบการหลายแห่งมารวมจัดการศึกษาแบบทวิภาคี ผู้เรียนสามารถทำงานหารายได้ระหว่างเรียนในสถานประกอบการและจบออกมาก็มีงานรองรับ ในส่วนของโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน ควรจะเปิดช่องให้เด็กอาชีวะมีโอกาสรับทุนเพิ่มขึ้นเพราะนอกจากจะเป็นการเพิ่มโอกาสให้เด็กแล้ว ยังแก้ปัญหาผู้รับทุนได้ไม่ครบทุกอำเภอด้วย อย่างทุนรุ่น 4 ที่จะเปิดสอบรอบ 2 ในปลายเดือนตุลาคมนี้หากไม่มีผู้สอบข้อเขียนผ่านตามเกณฑ์ ครบทุกอำเภอ ก็อาจจะแก้ปัญหาโดยจัดสรรทุนให้เด็กอาชีวศึกษาแทน” นางสุทธศรีกล่าว และว่า นายกฯ ยังมอบให้ ศธ.ไปทำงานร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อวางแผนเร่งด่วนในการผลิตกำลังคนให้ตรงความต้องการของประเทศ โดยเฉพาะการผลิตกำลังคนรองรับโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมของประเทศ มูลค่า 2.2 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมอบให้ ศธ.ทำงานร่วมกันสภาพัฒนาฯ วางแผนขับเคลื่อนนโยบายพัฒนาคนตามช่วงอายุ ซึ่ง ศธ.จะเกี่ยวข้องในส่วน การวางแผนจัดการศึกษาให้เหมาะสมกับช่วงอายุ

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34360&Key=hotnews

ดึง น.ร. 3 จว.ใต้เรียน กทม.เจ๋ง เข้าเรียนมหา’ลัยครบ 1,125 คน

7 ตุลาคม 2556

นายเกษม สดงาม ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้จัด “โครงการโรงเรียนอุปถัมภ์ ปีการศึกษา 2556” คัดเลือกนักเรียนในระดับชั้นมัธยมปลายในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีผลการเรียนอยู่ในระดับดี มีความประพฤติเรียบร้อย หรือเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบ และการใช้ความรุนแรง หรือเป็นนักเรียนที่มีความสามารถพิเศษในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้าเรียนในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงในกรุงเทพฯ และโรงเรียนดังประจำจังหวัด เพื่อสร้างโอกาส สร้างความพร้อม และศักยภาพทางวิชาการ เตรียมเข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา โดยตลอด 1 ปี จะได้รับการส่งเสริมการเรียนรู้ และพัฒนาทั้งทักษะในทุกๆ ด้าน

“โครงการนี้ได้ทำอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีการศึกษา 2550 ได้ผลน่าพอใจ โดยนักเรียนที่ได้รับคัดเลือกในปีการศึกษา 2550-2555 จำนวน 1,125 คน เข้าเรียนต่อระดับอุดมศึกษาได้ทุกคน สำหรับปีการศึกษา 2556 มีนักเรียนได้รับการคัดเลือก 300 คน เข้าเรียนมัธยมปลายในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงในกรุงเทพฯ และโรงเรียนดังประจำจังหวัดที่เข้าร่วมโครงการ 45 แห่ง หลังส่งนักเรียนเข้าสู่โรงเรียนอุปถัมภ์ระยะหนึ่งแล้ว สพฐ.ได้จัดโครงการนำพ่อแม่ ผู้ปกครอง และครูที่ปรึกษาจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ขึ้นมาเยี่ยม ดูความเป็นอยู่ และทัศนศึกษาร่วมกัน 3 วัน” นายเกษมกล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34359&Key=hotnews

คอลัมน์: การศึกษา : อ่านไม่ออก…เขียนไม่ได้ปัญหา(โลกแตก) วงการศึกษาไทย!!

4 ตุลาคม 2556

กลายเป็นปัญหาใหญ่ และเป็นปัญหาเรื้อรังมานานนับสิบปี เกี่ยวกับปัญหาที่เด็กไทยส่วนหนึ่ง “อ่านไม่ออก” และ “เขียนไม่ได้”

หรือแม้จะอ่านออกและเขียนได้ แต่ก็จะพบปัญหาว่า “เขียน” หรือ “สะกดคำ” ไม่ถูกต้อง
ซึ่งที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาดังกล่าวน้อยมาก หรือแทบจะไม่มีการพูดถึงกันเลยก็ว่าได้

แต่หลังจาก ศธ. มีนโยบายเดินหน้า “ปฏิรูปการศึกษา” รอบใหม่ โดย “นายจาตุรนต์ ฉายแสง” รัฐมนตรีว่าการ ศธ. ได้ประกาศมาตรการเร่งรัดคุณภาพการอ่านรู้เรื่อง และการสื่อสารได้ “นักเรียนอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ต้องไม่มี” โดยกำหนดมาตรการให้สถานศึกษา “ปลอดการอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้”

โดยมอบหมายให้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ไปจัดทำ “เครื่องมือ” ทดสอบ เพื่อตรวจสอบ และคัดกรองความสามารถในการอ่านออกเสียง และความเข้าใจของนักเรียนชั้น ป.3 และชั้น ป.6 เพื่อวิเคราะห์สภาพปัญหา และหาวิธีแก้ไขให้ตรงจุดที่สุด

โดยได้เริ่มคัดกรองระหว่างวันที่ 9-20 กันยายน ที่ผ่านมา และเร่งรัดพัฒนาครูตามผลประเมินในเดือนตุลาคม เพื่อจัดซ่อมเสริมให้นักเรียนที่มีปัญหาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556

ส่วนปัญหาที่คาดว่าทำให้เด็กไทย อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ น่าจะมาจากหลายๆ ปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นที่ “หลักสูตร” เพราะกำหนดให้เด็กเรียนวิชาภาษาไทยน้อยเกินไป วิธีการสอนที่ให้เด็กอ่านเป็นคำ แต่ไม่ได้สอนให้เด็กสะกดคำ ทำให้เด็กอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ เป็นต้น

โดยรัฐมนตรีว่าการ ศธ. มั่นใจว่าถ้า สพฐ. กำกับ ติดตาม นิเทศ ให้ความช่วยเหลือครูภาษาไทย และให้ครูมีส่วนร่วมพัฒนาการอ่านของเด็ก เพราะพบว่าหลายโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ คือต้องดูแลนักเรียนอย่างใกล้ชิด และต้องสอนแบบเข้มข้น โดยใช้เวลาสอนเพียง 120 ชั่วโมง ก็เปลี่ยนจากเด็กที่อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ เป็นอ่านออกเขียนได้

และสิ่งที่ ศธ. จะเร่งรัดต่อไปหลังเด็กอ่านออก เขียนได้ คือ อ่านรู้เรื่อง และสื่อสารได้
ทาง สพฐ. เองคาดว่าการ “สแกน” นักเรียนที่อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ในรอบนี้ จะทำให้รู้ข้อมูลเป็นรายเขตพื้นที่การศึกษา ว่าแต่ละเขตพื้นที่การศึกษามีเด็กอยู่เท่าใดที่มีปัญหาอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ จะได้เตรียมความพร้อมครูผู้สอนในช่วงปิดภาคเรียน และเตรียมจัดการซ่อมเสริมได้ทันทีในภาคเรียนที่ 2

โดยตั้งเป้าหมายให้นักเรียนที่อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ อยู่ในกลุ่มที่ต้อง “ปรับปรุง” ลดลงเป็น “ศูนย์” ภายในสิ้นภาคเรียนที่ 2

อย่างไรก็ตาม การสแกนนักเรียนชั้น ป.3 และชั้น ป.6 ที่อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ใน 181 เขตพื้นที่การศึกษา จาก 183 เขตพื้นที่การศึกษา ที่ได้รายงานมายัง สพฐ. พบว่านักเรียนที่อ่านไม่ได้ และเป็นปัญหา “รุนแรง” ในระดับชั้น ป.6 จำนวน 7,920 คน จากทั้งหมด 441,988 คน คิดเป็น ร้อยละ 1.8 ระดับชั้น ป.3 จำนวน 25,373 คน จากทั้งหมด 442,617 คน คิดเป็น ร้อยละ 5.7

ส่วนนักเรียนที่อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ อยู่ในระดับ “ปรับปรุง” ในระดับชั้น ป.6 จำนวน 27,943 คน คิดเป็น ร้อยละ 6.3 ระดับชั้น ป.3 จำนวน 43,028 คน คิดเป็น ร้อยละ 9.7

หากแบ่งตามเขตพื้นที่การศึกษาที่มีนักเรียนอ่านไม่ได้มากที่สุด ในระดับชั้น ป.3 ได้แก่ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) ยะลา ร้อยละ 34.95 สพป.นราธิวาส เขต 2 ร้อยละ 26.25 สพป.นราธิวาส เขต 3 ร้อยละ 26.24 สพป.ปัตตานี เขต 3 ร้อยละ 25.39 สพป.นราธิวาส เขต 1 ร้อยละ 25.12 สพป.ปัตตานี เขต 1 ร้อยละ 23.80 สพป.นครพนม เขต 1 ร้อยละ 22.89 สพป.ยะลา เขต 3 ร้อยละ 21.53 สพป.เชียงใหม่ เขต 3 ร้อยละ 19.08 และ สพป.เชียงใหม่ เขต 5 ร้อยละ 17.27
ส่วนระดับชั้น ป.6 ได้แก่ สพป.ยะลา เขต 2 ร้อยละ 12.77 สพป.นราธิวาส เขต 1 ร้อยละ 10.09 สพป.ปัตตานี เขต 1 ร้อยละ 9.52 สพป.นราธิวาส เขต 3 ร้อยละ 7.56 สพป.นราธิวาส เขต 2 ร้อยละ 6.95 สพป.ปัตตานี เขต 3 ร้อยละ 6.73 สพป.เชียงใหม่ เขต 5 ร้อยละ 6.05 และ สพป.มุกดาหาร ร้อยละ 5.96

ขณะที่รัฐมนตรีว่าการ ศธ. ได้รับรายงานภาพรวมล่าสุดจาก สพฐ. จำแนกการอ่านออก เขียนได้ ดังนี้ ระดับชั้น ป.3 มีนักเรียนที่อ่านได้ แต่ไม่เข้าใจ ประมาณ 14,600 คน คิดเป็น ร้อยละ 3.2 อ่านได้ เข้าใจบ้าง ควรปรับปรุง ประมาณ 62,000 คน คิดเป็น ร้อยละ 14

เมื่อรวมกับนักเรียนที่อ่านไม่ได้ และกลุ่มที่อ่านได้ แต่อยู่ในระดับควรปรับปรุง มีจำนวนมากถึง 127,300 คน คิดเป็น ร้อยละ 1.59 อ่านได้ เข้าใจบ้าง ควรปรับปรุง ประมาณ 51,580 คน คิดเป็น ร้อยละ 11.6 และเมื่อรวมกับกลุ่มที่อ่านไม่ได้ กับกลุ่มที่อ่านได้ แต่อยู่ในระดับปรับปรุง มีจำนวนมากถึง 73,290 คน

แต่เมื่อรวมทั้ง 2 ส่วนนี้เข้าด้วยกัน จะมีนักเรียนที่อ่านไม่ได้ อ่านได้แต่อยู่ในระดับควรปรับปรุง อ่านได้แต่ไม่เข้าใจ หรืออ่านได้แต่เข้าใจบ้าง ควรปรับปรุง มีมากกว่า 200,590 คน

ปัญหาดังกล่าว นายจาตุรนต์ ยอมรับว่า “น่าเป็นห่วง” แต่ไม่อยากให้มองเป็นความผิดของ “ใคร” คนใดคนหนึ่ง ไม่อยากให้โทษว่าเป็นความผิดของครู แต่เป็นความผิดพลาดล้มเหลวของระบบการศึกษาไทยที่อยู่ระหว่างการแก้ไข

ขณะเดียวกันก็เรียกร้องให้ “ผู้บริหาร” และ “ครู” ต้องกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความจริง และหาแนวทาง “ลด” จำนวนเด็กที่อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ โดยจะดึง “ผู้ปกครอง” เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา

นอกจากปัญหาการอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ของเด็กไทยแล้ว ยังมีอีกหลายปัญหาที่ ศธ. ต้องเร่งแก้ไขโดยด่วน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปฏิรูปการสอนภาษาอังกฤษ ซึ่งนายจาตุรนต์ได้เตรียมปฏิรูปการสอนภาษาอังกฤษ หลังพบว่า กว่า 90% ผู้เรียนถูกสอนแบบท่องจำคำศัพท์ หรือเน้นไวยกรณ์มากเกินไป ส่วนการพูด หรือเขียนมีน้อยมากจนถึงขั้นไม่มีเลย จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง และปฏิรูประบบการเรียนการสอนภาษาอังกฤษของประเทศขนานใหญ่ ทั้งหลักสูตรการเรียนการสอน การวัดและประเมินผล กระบวนการผลิตและพัฒนาครู การใช้สื่อและเทคโนโลยีที่ทันสมัย

นอกจากนี้ ศธ. ยังต้องเร่งเพิ่มผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนให้ดีขึ้น การจัดตั้งสถาบันพัฒนาหลักสูตร ซึ่งเป็นองค์กรมหาชน เพื่อรองรับเมื่อจัดทำหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานเสร็จ เพื่อดูแลเกี่ยวกับหลักสูตรขั้นพื้นฐานอย่างถาวร การยกคุณภาพการศึกษาไทย ทั้งระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน และระดับอุดมศึกษา เพื่อให้การจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีต่างๆ กระเตื้องขึ้นกว่าที่เป็นอยู่

ล่าสุด “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ได้สั่งให้จัดตั้งคณะทำงานขึ้นมา 3 ชุด เพื่อให้จัดทำแผนงานให้ชัดเจน และจัดทำเป็นแผนแม่บท เพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาทั้งระบบให้เชื่อมโยงกัน

แบ่งเป็น ระยะสั้น ตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และบุคลากร
ระยะกลาง คณะทำงานบูรณาการสร้างแรงจูงใจในการสนับสนุนทุนการศึกษาจากภาครัฐ โดยปรับแก้ไขกฎเกณฑ์การให้ทุน ซึ่งอาจเพิ่มทุนการศึกษาในสายอาชีวศึกษาให้มากขึ้น
และระยะยาว คณะทำงานปฏิรูปการศึกษาทั้งระบบ โดยมี ศธ. เป็นเจ้าภาพหลัก
ก็ต้องจับตาดูว่า รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะขับเคลื่อน “การปฏิรูปการศึกษา” รอบใหม่ ได้สำเร็จหรือไม่!!

–มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 4 – 10 ต.ค. 2556–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34351&Key=hotnews

ต้องรื้อระบบการผลิตครู

4 ตุลาคม 2556

เลาะเลียบคลองผดุงฯ
ตุลย์ ณ ราชดำเนิน tulacom@gmail.com

สังเกตว่างานปฏิรูปการศึกษาไทยในทศวรรษที่ 2 ในยุคที่มี จาตุรนต์ ฉายแสง ถูกจับวางเป็นเสนาบดีการศึกษา ซึ่งมาพร้อมกับ ศ.พิเศษ ดร.ภาวิช ทองโรจน์ อดีตผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ให้มาอยู่ในตำแหน่งผู้ช่วยเสนาบดี และมี เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รับบทช่วยว่าการฯ เริ่มพูดไปในทิศทางเดียวกัน

เห็นได้จากทุกงานจะมีสูตรสำเร็จในการบรรยายหรือนโยบาย ที่เสนาบดีมอบหมายอธิบายความเพื่อให้หน่วยงาน 5 แท่ง ของ ศธ. ต้องร่วมกันขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายในทิศทางเดียวกัน โดยเฉพาะคุณภาพมาตรฐานทางการศึกษาไทยวันนี้ ซึ่งเป็นเรื่องท้าทาย ต้องทำอย่างทุ่มเทแบบไม่มีวันหยุด
จังหวะที่จะเรียกพลังความร่วมมือเพื่อยกคุณภาพการศึกษาไทยได้ คงไม่มีอะไรดีไปกว่า จี้ไปที่ตัวเลขการจัดอันดับการศึกษาไทยในเวทีนานาชาติ และการประเมินผลที่หน่วยงานในประเทศ ออกมาตีแผ่ผสมโรง

แค่นี้ก็ยากที่จะสรรหาคำแก้ต่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่กำลังตกเป็นจำเลยใหญ่น่าจะพุ่งเป้าไปที่สถาบันอุดมศึกษาซึ่งเป็นโรงงานใหญ่ในการผลิตครู ตามด้วยครูและบุคลากรทางการศึกษา ถือเป็นความสำคัญอันดับต้นๆ ที่ต้องถูกผ่าตัด

จับหางเสียงจากผู้ช่วยเสนาบดีการศึกษา ศ.พิเศษ ดร.ภาวิช ทองโรจน์ ขึ้นบรรยายในงาน 121 ปี การสถาปนาการฝึกหัดครูไทย หัวข้อ อนาคตของการผลิตครูเพื่อเป็นพลังแห่งการพัฒนาชาติ ที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร สดๆ ร้อนๆ 29 กันยายน นี้เอง

ปัจจุบันเรามีตัวเลขครูที่จะเกษียณอายุใน 15 ปีข้างหน้า ประมาณ 2.8 แสนคน และมีตัวเลขผู้ที่มีใบประกอบวิชาชีพครูอยู่แล้ว 1 ล้านคน ในจำนวนนี้ประกอบวิชาชีพครู 6 แสนคน

ขณะที่ในแต่ละปีฝ่ายผลิตจะมีผลผลิตครูออกมาเพิ่มเฉลี่ยปีละ 5 หมื่นกว่าคน ซึ่งมีความต้องการใช้ครูแทนอัตราเกษียณเต็มที่ ไม่เกินปีละ 2 หมื่นคน แต่ปรากฏว่าบางสถาบันรับนักศึกษาครู 5,600 คน ถามว่าจะเอาคุณภาพมาจากไหน ถึงกับกราบขอร้องให้เลิกรับในลักษณะนี้ เมื่อขอแล้วไม่ฟังเหตุผล สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น คือ จะต้องรื้อระบบการผลิตครูใหม่ทั้งหมดและจะมีการจัดอันดับมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนในสายครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ ให้สังคมได้รับรู้ถึงคุณภาพความน่าเชื่อถือ เพราะในชีวิตเกิดมาไม่เคยเห็นผู้บริหารการศึกษาคนใด ในโลก รับคนเข้ามาเรียนเพื่อตกงาน

หน้า 23

ที่มา: http://www.matichon.co.th/khaosod

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34348&Key=hotnews

ลดโปรเจกต์ รร.ขนาดเล็ก ‘อภิชาติ’ ให้เวลาครูสอนดี / ‘สุทธศรี’ พร้อมลุยปฏิรูปการศึกษา

4 ตุลาคม 2556

ที่กระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 56 นายอภิชาติ จีระวุฒิ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)เปิดเผยภายหลังการเข้ารับตำแหน่งเลขาธิการ กพฐ. วันแรก ถึงนโนบายเร่งด่วนที่จะดำเนินการ คือ  การกำหนดวันปิด-เปิดภาคเรียน เพื่อให้สอดคล้องกับการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษา และการจัดการศึกษาของกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งในส่วนของมหาวิทยาลัยที่เป็นสมาชิกที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ได้มีมติขยับวันเปิดภาคเรียนไปในเดือน ก.ย.โดยเริ่มตั้งแต่ปีการศึกษา 2557 ดังนั้นสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ก็ต้องมีการขยับตาม แต่รมว.ศึกษาธิการ ได้แสดงความห่วงใยเรื่องการสอบปลายภาคของนักเรียนที่จะไปตรงกับช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งอาจจะมีผลกระทบ จึงมอบหมายให้ สพฐ. หารือถึงข้อสรุปและเสนออีกครั้ง

เลขาธิการ กพฐ. กล่าวต่อไปว่า ส่วนนโยบายในการทำงานเท่าที่หารือกับรองเลขาธิการ กพฐ. ทั้ง 3 คนแล้ว เห็นว่างานในความรับผิดชอบของ สพฐ. มีมากประกอบกับมีงานนโยบายทั้งจากรัฐบาลนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ที่เมื่อสั่งการลงไปแล้วจะต้องกระเพื่อมไปถึงโรงเรียนจึงหารือกันว่าจะทำอย่างไรที่จะลดงานธุรการของครูผู้สอนให้มากที่สุด ดังนั้นสพฐ. จะต้องกลับมาทบทวนนโยบาย หรือกิจกรรมที่ปัจจุบันมีมากถึง 162 แผนงาน/โครงการ ที่ส่งไปถึงเขตพื้นที่ และโรงเรียน

“ในส่วนของโรงเรียนนั้นมีหลายขนาด ตั้งแต่เล็กจิ๋วไปจนถึงใหญ่พิเศษ บางแห่งมีครูเพียง 1-2 คน แต่ก็ต้องทำกิจกรรมแผนงานโครงการเหมือนกับโรงเรียนใหญ่ซึ่งไม่เป็นธรรม โดยจะต้องมาคลี่ดูโครงการเพื่อทำให้ชัดว่าโครงการใดไม่จำเป็นสำหรับโรงเรียนบางประเภทก็ต้องตัดออกไป ไม่ได้หมายความว่าโรงเรียนทั้ง 30,000 กว่าแห่ง จะต้องทำแผนงาน/โครงการเหมือนกันทั้งหมด อาจจะเหมือนกันแค่ 10 แผนงาน/โครงการ ส่วนโครงการอื่นๆ ก็มาดูตามกำลังความจำเป็น โครงการแบบปูพรมที่เคยทำก็น่าจะรวบพรมได้แล้วเพื่อให้ครูมีเวลาจัดการเรียนการสอนให้นักเรียนมากขึ้น ให้เด็กได้เรียนรู้ อ่านออกเขียนได้มากขึ้น เพราะการอ่านออกเขียนได้จะเป็นเครื่อง หมายในการเรียนการสอนที่สูงขึ้น” นายอภิชาติ กล่าว

ขณะที่นางสุทธศรี วงษ์สมาน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวระหว่างการมอบนโยบายให้แก่ข้าราชการในสังกัดสำนักงานปลัด ศธ. ซึ่งเป็นการเข้าทำงานในตำแหน่ง ปลัด ศธ. เป็นวันแรกว่า ตนไม่คาดคิดว่าจะได้รับตำแหน่ง ปลัด ศธ.เพราะเป็นงานที่ไกลเกินเอื้อม แต่เมื่อได้รับโอกาสนี้ก็จะมุ่งมั่นที่จะทำงาน โดยจะยึดคำสั่งสอนของนายสิปปนนท์ เกตุทัตอดีต รมว.ศึกษาธิการ ที่เคยสั่งสอนตนตั้งแต่เข้ารับราชการใหม่ๆ ว่า ให้ทำงานเพื่องานอย่าคาดหวังอะไร และสิ่งนั้นจะตามมาเอง อย่างไรก็ตาม งานในตำแหน่งดังกล่าวคงเป็นโจทย์ที่ท้าทายในเชิงบริหารมากขึ้น ซึ่งตนจะพยายามขับเคลื่อนงานต่างๆ และประสานองค์กรหลัก ศธ. ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมขับเคลื่อนงานด้านการศึกษาที่เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล และ รมว.ศึกษาธิการให้สำเร็จลุล่วงต่อไป อาทิ การปฏิรูปการศึกษาทั้งระบบให้มีความเชื่อมโยงกันการพัฒนาครูและการผลิตกำลังคนเพื่อตอบสนองความต้องการของประเทศเป็นต้น

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34347&Key=hotnews