Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

10 ครูต้นแบบรางวัลพระพฤหัสบดีทองคำ

2 ตุลาคม 2556

นายสมศักดิ์ ตาไชย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) เปิดเผยว่า ขณะนี้คณะกรรมการคัดเลือกครูฯเพื่อรับรางวัล “พระพฤหัสบดีทองคำ” ประจำปี2556 ได้พิจารณาคัดเลือกครูผู้มีคุณธรรมจริยธรรมดีเด่น โดยการประเมินจากเอกสารผลงาน และให้มีการจัดแสดงนิทรรศการผลงานเชิงประจักษ์เสร็จสิ้นแล้ว โดยมีผู้ที่ได้รับรางวัลทั้งสิ้น 10 คน ดังนี้

จ่าสิบตรีโสภณฤทธิสาร ครู รร.วัดช่องลาภ จ.ราชบุรี, นางลำปาง ฉายชูวงษ์ ครู รร.บ้านแปรง จ.นครราชสีมา, นางปราณี หนูขาว ผอ.รร.วัดแก้วศิลาราม จ.ชลบุรี, นางอุดมภรณ์ อินทร์แก้วผอ.รร.บ้านนาแสน จ.สงขลา, นายเรวัต กิ่งแก้ว ผอ.รร.วัดห้วยโรง (หนึ่งนฤมิตรพิทยาคาร) จ.เพชรบุรี, นายสมชัย ชวลิตธาดา ผอ.รร.เอกชัย จ.สมุทรสาคร, นายสามารถ รอดสำราญ ผอ.รร.สิรินธรราชวิทยาลัย จ.นครปฐม,นายสุวรรณ เทียบสี ผอ.รร.ชุมชนบ้านหนองคูฯ จ.ยโสธร, นางมณฑ์ธวัล วุฒิวิชญานันท์ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา(สพม.) เขต 5 และนายสะอาด ฟองอินทร์รอง ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.)เชียงราย เขต 4

“การคัดเลือกครูที่ได้รับรางวัลจะพิจารณาจากผลงานอันเป็นที่ประจักษ์ ทั้งการประพฤติปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี โดยมีการประเมินด้านความอุตสาหะ ขยัน อดทนมุ่งมั่น และรับผิดชอบต่อผลสัมฤทธิ์ของงานการยึดมั่นในคุณธรรม จริยธรรม หลักนิติธรรมยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยวางตัวเป็นกลางทางการเมืองและเป็นผู้มีส่วนร่วมอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย สิ่งแวดล้อมรวมถึงการประเมินด้านการดำรงชีวิตตามแนวทางหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นผู้ละเว้นอบายมุขและสิ่งเสพติด เป็นผู้ใช้หรือให้ข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคล และทางราชการอย่างเป็นไปด้วยความถูกต้อง เป็นผู้ดำรงตนเป็นแบบอย่างที่ดีเหมาะสมกับสถานภาพและตำแหน่งหน้าที่ อีกทั้งเป็นผู้ประหยัดมัธยัสถ์ และอดออม”

จ่าสิบตรีโสภณ ฤทธิสาร ครู รร.วัดช่องลาภ จ.ราชบุรี หนึ่งในผู้ได้รับรางวัลกล่าวถึงหลักความพอเพียงในวิชาชีพครูว่า วิชาชีพครูนั้นเงินเดือนไม่มากไม่น้อยจึงต้องรู้จักใช้จ่ายอย่างประมาณตน และไม่ประมาทหลงไปกับรูปทรัพย์ เพราะถ้าไม่มีสติในการใช้จ่ายก็ย่อมเป็นหนี้สินรัดตัว ครูต้องรู้จักสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเอง มองถึงความจำเป็นเป็นหลัก รู้จักทำบัญชีรายรับรายจ่าย ทั้งนี้ วิชาชีพครูนั้นย่อมผูกพันกับงานสังคมอย่างเลี่ยงไม่ได้ ก็ควรทำแต่พอสมฐานะอย่าคิดเอาหน้าเอาตาจนเกินตัว
“ที่โรงเรียนเป็นหนึ่งในต้นแบบโรงเรียนเศรษฐกิจพอเพียง เป็นต้นแบบโรงเรียนวิถีพุทธ ทั้งครูและนักเรียนจึงมีหลักยึดด้านความพอเพียง รู้จักมัธยัสถ์อดออมและมีคุณธรรมควบคู่กัน ที่สำคัญคือเมื่อเด็กๆ มีสองสิ่งนี้เป็นเครื่องเตือนใจ เขาก็ยังถ่ายทอดไปถึงคนในครอบครัว ซึ่งก็หมายถึงชุมชนโดยรอบโรงเรียนอีกด้วย”

อย่างไรก็ตาม รางวัลพระพฤหัสบดีทองคำนี้จัดขึ้นเป็นปีแรก เพื่อส่งเสริมให้ครูดำเนินชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงและหลักธรรมคำสอนทางศาสนา อีกทั้งเป็นการยกย่องเชิดชูเกียรติและสร้างขวัญกำลังใจแก่ครูที่เป็นต้นแบบแก่นักเรียน และสังคมโดยจะมีพิธีมอบรางวัลอย่างเป็นทางการในวันครู 16 ม.ค.57

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34319&Key=hotnews

สกอ.เร่งดัน พ.ร.บ.การอุดมศึกษา

2 ตุลาคม 2556

ศรีอยุธยา : นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา เปิดเผยว่า รู้สึกดีใจที่ได้มาทำงานที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กสอ.) เนื่องจากเคยเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยมาก่อน และเคยร่วมงานกับ สกอ. ในช่วงที่ยังเป็นทบวงมหาวิทยาลัย ดังนั้น ไม่รู้สึกหนักใจที่จะมาบริหารงานอุดมศึกษา และที่สำคัญ สกอ. มีทีมผู้บริหารที่ทำงานเข้มแข็งอยู่แล้ว

สำหรับงานที่ สกอ. ต้องเร่งดำเนินการจะเป็นการสานต่อนโยบายของรัฐบาลและของนายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เช่น เรื่องการปรับระบบการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษา การเพิ่มเงินเดือนและสวัสดิการต่างๆของพนักงานมหาวิทยาลัย เพื่อเกิดความเท่าเทียมกับข้าราชการมหาวิทยาลัย การผลักดันร่าง พ.ร.บ.การอุดมศึกษา เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาอุดมศึกษาทั้งระบบ รวมถึงจะเข้า ไปสนับสนุนและส่งเสริมให้มหาวิทยาลัยผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพ ตรงกับความต้องการของประเทศรับตลาดแรงงานในอนาคต ตลอดจนส่งเสริมให้อาจารย์ในมหาวิทยาลัยสร้างงานวิจัยที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง และตอบโจทย์การพัฒนาประเทศ รวมทั้งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลด้วย

ที่มา: หนังสือพิมพ์โลกวันนี้

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34318&Key=hotnews

อาชีวะชงตั้ง กก.ร่วมผลิต 2.8 แสนคน รับ’โลจิสติกส์’

2 ตุลาคม 2556

เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า จากการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวงหรือเทียบเท่า ที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธาน เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้เสนอว่าถ้าจะทำให้แผนยุทธศาสตร์ประเทศเดินหน้า จะต้องมีตัวชี้วัดร่วมกันในระดับกระทรวง เดิมที สศช.เสนอ 5 ตัวชี้วัด ก่อนที่ประชุมจะเสนอเพิ่มเป็น 10 ตัวชี้วัด โดยตัวชี้วัดที่เพิ่มมาอีก 5 ตัวชี้วัดตรงกับภารกิจของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) รวมถึงสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) 2 ตัวชี้วัด คือ การยกระดับความสามารถของกำลังคนที่จะสนับสนุนโครงการปรับปรุงโครงสร้าง ด้านโลจิสติกส์และการคมนาคมขนาดใหญ่ และการปฏิรูปการศึกษาโดยพัฒนากำลังคนให้มีคุณภาพเหมาะสม

นายชัยพฤกษ์กล่าวว่า ส่วนการเตรียมกำลังประมาณ 280,000 คน รองรับการก่อสร้างขนาดใหญ่นั้น สอศ.ได้เสนอว่า 1.ควรจะมีกรรมการร่วมจาก ศธ. กระทรวงแรงงาน และภาคอุตสาหกรรม ตลอดจนบริษัทที่ได้รับสัมปทาน ในการพัฒนากำลังคนให้มีศักยภาพอย่างที่ต้องการ 2.ควรจัดทำหลักสูตรใหม่ เช่น หลักสูตรสร้างถนน หลักสูตรรางรถไฟความเร็วสูง เป็นต้น 3.ช่วยกันคิดว่าจะแบ่งการผลิตกำลังคนอย่างไร เพราะตอนนี้ สอศ.ผลิตนักศึกษาออกมายังไม่เพียงพอต่อความต้องการ เช่น ผลิตกำลังคนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ต่อปีได้ประมาณ 58,200 คน แต่ความต้องการกลับอยู่ที่ 280,000 คน และเนื่องจากโครงการนี้มีระยะเวลาแค่ 5-6 ปี จะต้องดูแลกลุ่มกำลังคนดังกล่าวไม่ให้ตกงานเมื่อเสร็จสิ้นโครงการ

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34317&Key=hotnews

จี้มหา’ลัยส่งข้อมูลรับตรง 4 ต.ค.

1 ตุลาคม 2556

นพ.กำจร ตติยกวี รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยว่า จากการที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ทำหนังสือถึงมหาวิทยาลัยของรัฐและมหาวิทยาลัยในกำกับรัฐเพื่อขอข้อมูลการรับนิสิตนักศึกษาระดับปริญญาตรี ประจำปีการศึกษา 2557 เพื่อปรับปรุงและพัฒนาระบบการรับนิสิตนักศึกษานั้น จนถึงวันที่ 30 กันยายน มีมหาวิทยาลัยส่งข้อมูลมาเพียง 27 แห่ง จาก 80 แห่ง ดังนั้น สกอ.จะเปิดรับข้อมูลจนถึงวันที่ 4 ตุลาคม เนื่องจากมหาวิทยาลัยหลายแห่งรับนิสิตนักศึกษาหลายระบบและต้องรวบรวมข้อมูลจำนวนมาก

นพ.กำจรกล่าวว่า สำหรับข้อมูลที่ขอจะเป็นรายละเอียดการรับนิสิตนักศึกษาในทุกระบบ ทุกวิธีการ ทุกคณะและสาขาวิชา ที่ไม่ใช่แอดมิสชั่นส์ เช่น จำนวนคณะ/สาขาวิชา จำนวนรับ อัตราการแข่งขัน ช่วงเวลาการรับสมัครและสอบ คุณสมบัติผู้สมัคร การสอบคัดเลือก และค่าใช้จ่ายหรือค่าธรรมเนียมการสมัครหรือสอบต่อคน ทั้งนี้ สกอ.จะนำข้อมูลเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการ ศธ. เพื่อประกอบการตัดสินใจในการพัฒนาหรือปรับปรุงต่อไป

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34308&Key=hotnews

สพฐ.ชวนครูไทยร่วมงาน EDUCA 2013 มั่นใจช่วยเด็กไทยพ้นท้ายอาเซียน

1 ตุลาคม 2556

สพฐ.ชูธง ปรับหลักสูตร เน้นทักษะมากกว่าความรู้แบบท่องจำ หวังยกอันดับการศึกษาไทยพ้นท้ายอาเซียน แนะครูเข้าร่วมงานมหกรรมการศึกษาพัฒนาวิชาชีพครู EDUCA 2013 ที่ระดมผู้เชี่ยวชาญทางการศึกษาหัวกะทิจากทั่วโลกมาบรรยาย พร้อมด้วยเวิร์คช็อปตอบโจทย์ทุกความต้องการครู

ดร.เบญจลักษณ์ น้ำฟ้า รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ) กล่าวว่า จากผลการจัดอันดับการศึกษาไทยรั้งท้ายในอาเซียน โดย World Economic Forum (WEF) ตัวชี้วัดย่อยในเรื่อง คุณภาพการศึกษาที่มีปัญหานั้น ได้มาจากความคิดเห็นของกลุ่มนักธุรกิจในเรื่องการศึกษา ซึ่งอาจสร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนได้ เพราะเป็นเรื่องความคิดเห็นตามการรับรู้ อย่างไรก็ตามข้อมูลนี้ทำให้เราต้องยอมรับว่ายังมีจุดที่เป็นปัญหาอยู่ ขณะนี้ได้มีความพยายามจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ตลอดจนถึงท้องถิ่นร่วมทำความเข้าใจที่ตรงกันเรื่องการศึกษา เนื่องจากอีก 2 ปีข้างหน้าประเทศไทยไม่เพียงแต่จะเข้าสู่ประชาคมอาเซียน เท่านั้นแต่จะเข้าสู่สนามสอบ PISA 2015 ซึ่งเป็นการวัดระดับการศึกษานานาชาติ จำเป็นต้องยกระดับหลักสูตรเพื่อให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น เน้นการเรียนการสอนแบบบูรณาการเชื่อมโยงทุกวิชาให้เป็นภาพเดียวกัน เพื่อให้เด็กได้คิดอย่างมีเหตุมีผล ไม่ใช่ท่องจำแบบที่ผ่านมา ซึ่งขณะนี้กระทรวงศึกษาธิการ กำลังเร่งผลักดันให้การศึกษาเป็นวาระแห่งชาติ แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องทำควบคู่กันไปคือ การยกระดับวิชาชีพครู โดยสนับสนุนครูให้พัฒนาตนเอง และเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ส่วนเรื่องหลักสูตรก็คงต้องจัดทำเป็นพิมพ์เขียวที่สามารถเข้าใจร่วมกันได้ทุกฝ่าย ตลอดจนสื่อสารให้ภาคประชาชนรับรู้และเข้าใจร่วมกันทั้งสังคม

ดร.เบญจลักษณ์ กล่าวอีกว่า การศึกษาไทยในอนาคตจำเป็นต้องปรับหลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน (ภาคเอกชน) รวมทั้งการใช้เทคโนโลยีที่ก้าวหน้า เพราะในอนาคตตลาดจะต้องการบุคลากรที่มีทักษะการคิดวิเคราะห์เพราะเป็นทักษะสำคัญในการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและคุณลักษณะที่ดีในการทำงาน ไม่ได้เน้นมีความรู้ได้คะแนนสูงแต่เพียงอย่างเดียว เชื่อว่าคุณภาพของการศึกษาพัฒนาขึ้นได้ และควรเน้นพัฒนาคุณภาพครูในเรื่องของการค้นหาวิธีปฏิบัติที่ดี (Best Practice)ให้ครูได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เห็นตัวแบบที่เป็นรูปธรรมซึ่งมันเป็นจริงได้ในห้องเรียน และในฐานะที่ สพฐ.เองเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในเรื่องพัฒนาวิชาชีพของครู จึงอยากแนะนำให้คุณครูทุกคนได้มีโอกาสเข้าร่วมงาน มหกรรมการศึกษาเพื่อพัฒนาวิชาชีพครู หรือ EDUCA 2013 ซึ่ง สพฐ.ได้ร่วมกับคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และบริษัท ปิโก (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) จัดงานครั้งนี้ขึ้นมา เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของคุณครู โดยครูสามารถใช้เวทีนี้ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สะท้อนปัญหา ตลอดจนได้ต้นแบบการจัดการศึกษา ที่ได้รับการยอมรับระดับนานาชาติ และการจัดการเรียนการสอนที่เป็น good practice ในระดับประเทศ เป็นทั้งความรู้สากลและแนวปฏิบัติที่นำไปปรับใช้ในสถานศึกษาของตัวเองได้เป็นอย่างดี สำหรับงาน EDUCA ครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 6 ภายใต้แนวคิด “Strong Performers and Successful Reformers” โดยภายในงานจะพบกับเวทีการประชุมและนิทรรศการหลากหลาย ทั้งการประชุมนานาชาติ การบรรยายพิเศษและการประชุมอภิปรายโดยผู้เชี่ยวชาญจากสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และ ฮ่องกง จัดคู่ขนานกันสองหัวข้อ คือ “หลักสูตร การสอนและการวัดประเมินผล” และ “ครุศึกษาเพื่ออนาคต” นอกจากนี้ยังมีการจัดทำเวิร์คช็อป ครอบคลุมความต้องการของครูไทย เช่น ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21, ICT สำหรับการสอนและการจัดการเรียนรู้, อาเซียน, การวัดและประเมินผล เป็นต้น รวมทั้งสิ้นมากกว่า 200 หัวข้อย่อย อีกทั้งยังมีการประชุมอภิปรายสำหรับผู้บริหารโรงเรียนทุกระดับ ตั้งแต่อนุบาล ประถมศึกษา และมัธยมศึกษา

ขณะเดียวกันยังมีการจัดนิทรรศการแสดงสินค้า นวัตกรรมทางการศึกษาและเทคโนโลยี โดยสาธิตในรูปแบบห้องเรียนตัวอย่าง อาทิ ห้องพัฒนาทักษะทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และห้องเรียนพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ เพื่อเตรียมความพร้อมสู่ AEC เป็นต้น EDUCA 2013 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9-11 ตุลาคม ณ อาคารอิมแพค ฟอรั่ม(ฮอลล์9) เมืองทองธานี โดยครูผู้สนใจเข้าร่วมงานสามารถสมัครและสำรองที่นั่งได้ที่ www.educathai.com หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร.02 748-7007 ต่อ 134

ที่มา: http://www.thanonline.com

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34307&Key=hotnews

ศธ.เตรียมเสนอตั้ง กก.ขับเคลื่อนหวังปรับภาพใหม่อาชีวศึกษาไทยทั้งระบบ

1 ตุลาคม 2556

ดร.กิตติ ลิ่มสกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงผลการวิจัยสถานการณ์อาชีวศึกษาและจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อพัฒนาการอาชีวศึกษาของประเทศ ที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ มอบหมายให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ร่วมกับ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ทำการวิจัย ว่า ผลการวิจัยเบื้องต้นที่ออกมานับว่าเป็นงานวิจัยที่ดี เพราะสามารถบอกถึงสถานการณ์อาชีวศึกษาที่เป็นปัจจุบัน เพื่อที่กระทรวงศึกษาธิการจะได้ผลักดันและขับเคลื่อนการอาชีวศึกษาให้เป็นไปตามนโยบายรัฐบาลที่จะเพิ่มกำลังคนด้านอาชีวศึกษา เพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจและความต้องการของประเทศได้ โดยหลังจากนี้ตนจะเสนอต่อนายจาตุรนต์ให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาภายในสัปดาห์หน้า ทั้งนี้ในการดำเนินการนั้นหากมีส่วนใดที่นอกเหนือจากอำนาจของกระทรวงศึกษาธิการก็จะเสนอต่อนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลงานด้านสังคมเพื่อให้ช่วยผลักดัน เช่น เรื่องอัตรากำลังที่เป็นปัญหาใหญ่ของอาชีวะ เป็นต้น

“สำหรับเรื่องครุภัณฑ์อาชีวศึกษาที่ทราบกันดีว่ามีปัญหาอยู่นั้น ก็จะมีการจัดระบบใหม่ โดยสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.)จะต้องมีการจัดทำบัญชีครุภัณฑ์ เพื่อทำแผนการใช้ที่ชัดเจน และในอนาคตต้องกระจายอำนาจให้สถานศึกษาจัดหาตามความต้องการเพื่อความโปร่งใสด้วย”ดร.กิตติกล่าว

ด้าน ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.) กล่าวว่า ปัญหาใหญ่ที่พบจากการวิจัยคือเรื่องบุคลากร เพราะ สอศ.มีบุคลากรที่เป็นอัตราจ้างเกือบร้อยละ 30 หรือกว่า 2 หมื่นคน และมีแนวโน้มที่ครูประจำการจะเกษียณอายุเพิ่มมากขึ้น ซึ่งขณะนี้กำลังรอผลสรุปจากการวิจัยดังกล่าว เพื่อนำมาจัดทำแผนพัฒนากำลังคนในภาพรวมของสอศ. ที่ต้องวิเคราะห์ว่าจะมีครูเกษียณอีกเท่าใด และจะมีความต้องการครูสาขาใดบ้าง และในช่วงเวลาใด ซึ่งจะต้องทำควบคู่ไปกับแผนการจัดหาครุภัณฑ์ที่ต้องมีการกระจายอำนาจการจัดซื้อด้วย นอกจากนี้สิ่งที่มองว่ามีความสำคัญและจะต้องเร่งดำเนินการคือเรื่องการแนะแนวที่สอศ.จะต้องพัฒนาครูแนะแนวเพื่อเข้าไปให้คำแนะนำเรื่องการศึกษาต่อ โดยเฉพาะกับกลุ่มนักเรียนที่จะจบชั้น ม.3 รวมถึงต้องมีโครงการพัฒนาทักษะชีวิตสำหรับเด็กช่างเป็นการเฉพาะด้วย เพราะมีเสียงสะท้อนจากสถานประกอบการจำนวนมากว่าเด็กอาชีวศึกษายังขาดทักษะในหลายด้าน รวมทั้งยังมีความอดทนน้อยด้วย

Source – มติชนออนไลน์ (Th)

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34306&Key=hotnews

“พนิตา” ย้ำถ้าเลือกได้ขอทำงาน ศธ.หลังเกษียณ

1 ตุลาคม 2556

“พนิตา” ย้ำหลังเกษียณถ้าเลือกได้อยากกลับมาช่วยทำงานที่กระทรวงศึกษาธิการมากกว่ากระทรวงการพัฒนาสังคมฯ แต่จะขอเวลาไปสักการะสังเวชนียสถานที่อินเดีย-เนปาลก่อน ส่วนงานในหน้าที่ปลัด ยืนยันไม่แตะต้องทุกโครงการที่รอต่อสัญญาตั้งแต่ 1 ต.ค.ชี้เป็นมารยาทต้องรอให้ปลัดคนใหม่ตัดสินใจ

วานนี้ (30ก.ย.) นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวถึงกรณีมีกระแสข่าวได้รับการทาบทามให้กลับเข้าทำงานในตำแหน่งรมช.ศธ.ภายหลังเกษียณอายุราชการว่า ไม่ทราบ เพราะเรื่องตำแหน่งตนไม่ได้เป็นคนแต่งตั้งและไม่มีสิทธิ์เสนอตัวเอง ที่ผ่านมาก็มีข่าวลือมากเหมือนกันภายในพรรค แต่ยืนยันว่าไม่เคยเสนอตัวเอง ทั้งนี้ภายหลังเกษียณอายุราชการแล้วจะเดินทางไปสักการะสังเวชนียสถานที่อินเดีย-เนปาล เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต แต่ไม่ได้ทำบุญเสริมดวงหรือขอพรใดๆ เพราะที่ผ่านมาถือว่าได้รับสิ่งที่พึงปรารถนาครบถ้วนแล้ว หลังจากนี้ไปจะเป็นกำไรเพื่อชีวิต แต่หากใครต้องการให้ตนทำงานเพื่อประเทศชาติก็ยินดี รวมถึงไม่ปฏิเสธถ้าจะได้รับแต่งตั้งให้ทำงานใน ศธ. แต่ถ้าจะให้เลือกระหว่างการทำงานที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) ตนขอเลือกทำงานให้กับ ศธ.

“ถ้าจะให้เลือกระหว่าง พม.กับ ศธ. พี่ก็เลือกกระทรวงศึกษาธิการนะคะ เพราะงาน ศธ.เป็นงานต้นทางของปัญหา ถ้าเรามาอยู่ ศธ. ได้ผลิตเด็กออกมาเป็นอนาคตของชาติได้อย่างใจเราต้องการ ปัญหาสังคมจะหมดไปเยอะเลย ส่วนงานที่ พม.ถือเป็นปลายเหตุ แต่อย่างไรก็ตามเราคงเลือกเองไม่ได้” นางพนิตา กล่าวและว่า นิสัยของตนเป็นคนเดินหน้าแล้วไม่กลับหลัง นับตั้งแต่เข้ามารับหน้าที่ ศธ. เวลามีคนนำเรื่องที่ พม.มาเล่าให้ฟังก็จะรับฟังไว้ แต่จะไม่เข้าไปวุ่นวาย ตนเป็นคนไม่ชอบเข้าไปยุ่งยากวุ่นวายกับหน่วยงานเก่าที่ออกมา สำหรับ ศธ.ก็เช่นกัน จะต้องให้เกียรติปลัดคนใหม่ ซึ่งตนได้แจ้ง ดร.สุทธศรี ไปแล้วว่า โครงการต่างๆ ที่รอการต่อสัญญาตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.56 เป็นต้นไปนั้น ตนไม่ได้อนุมัติเพราะถือเป็นมารยาทในการทำงานที่ต้องรอปลัดคนใหม่ ซึ่งขณะนี้มีหลายเรื่องที่จะให้อนุมัติต่อสัญญาตั้งแต่ 1 ต.ค.56 ไปจนถึง 30 ก.ย.57 แต่ตนก็บอกไปว่าหมดวาระแล้ว อนุมัติให้ไม่ได้ เก็บไว้ให้ปลัดคนใหม่เป็นคนอนุมัติเอง เพราะว่าปีที่แล้ว โดนอนุมัติก่อนเรามาเยอะมาก เป็นลังเลย เราก็สงสัยว่าทำไมไม่รอ เพราะมันเป็นเรื่องของมารยาท ไม่ควรคาบเกี่ยวกัน

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34304&Key=hotnews

“ชินภัทร” เผยหลังเกษียณยังอยากช่วยงานการศึกษา

1 ตุลาคม 2556

“ชินภัทร” สดชื่นหลังอำลาตำแหน่งเลขาธิการกพฐ.เผยรู้สึกเรื่องหนักกำลังคลี่คลายออกไป ยืนยันมีผลงานสร้างประโยชน์ให้แก่วงการศึกษาไว้มาก พร้อมยินดีกลับมาช่วยงานศธ.ถ้าเจ้ากระทรวงต้องการ

วานนี้ (30ก.ย.) ที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) เปิดเผยในโอกาสอำลาตำแหน่งเนื่องจากเกษียณอายุราชการว่า ตนได้ฝากข้าราชการ สพฐ.ให้เดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายที่สำคัญอย่างจริงจัง อาทิ การรณรงค์แก้ปัญหาอ่านออกเขียนได้ การยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเด็กเพื่อเตรียมพร้อมรับการทดสอบในโครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ หรือ พิซ่า ในอีก 2 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะกรณีการสรุปบทเรียนจากประสบการณ์การดำเนินโครงการแท็บเล็ตเสนอต่อนายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศธ. เพื่อลดข้อติดขัดในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง เพื่อให้การจัดสรรเครื่องคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตรวดเร็วขึ้นและได้ผลสัมฤทธิ์ของโครงการตามเจตนารมณ์รัฐบาลในการใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนอย่างแท้จริง ทั้งนี้ตนไม่เป็นห่วงการทำงานของเลขาธิการกพฐ.คนใหม่ เพราะเป็นผู้มีความรู้ในงานของ สพฐ.อยู่แล้ว และเชื่อมั่นว่าจะสามารถขับเคลื่อนให้บุคลากรสามารถปฏิบัติงานได้อย่างดี

ดร.ชินภัทร กล่าวต่อไปว่า ตนมั่นใจว่าตลอดเวลาสี่ปีที่ผ่านมา ได้ริเริ่มงานไว้หลายเรื่อง ถ้าจะทบทวนทุกเรื่องคงใช้เวลานาน ยกตัวอย่างเพียง 2-3 เรื่องเพื่อให้สื่อมวลชนได้ระลึกด้วยว่า ถ้าพูดถึงการศึกษาไม่ใช่ว่า สพฐ.จะมีแต่ความล้มเหลวและผิดพลาด เพราะในความจริงเราประสบความสำเร็จหลายเรื่อง อาทิ โรงเรียนมาตรฐานสากล โรงเรียนดีประจำตำบล หรือการบริหารโรงเรียนรูปแบบนิติบุคคล นอกจากนี้เรื่องการพัฒนาไอซีทีเพื่อการเรียนการสอนก็ถือว่าก้าวหน้าไปมาก ทั้งนี้ตนรู้สึกภาคภูมิใจในการทำงานที่ สพฐ. แม้ว่าจะเป็นงานที่หนักชนิดที่ว่าถ้าใครไม่มาทำก็ไม่มีทางรู้ว่าหนักอย่างไร เนื่องจากปริมาณงานมาก แต่ก็ได้ทุ่มเทมาโดยตลอด จนกระทั่งวันนี้กำลังจะก้าวพ้นไป ด้วยความรู้สึกสดชื่น เพราะรู้สึกว่า อะไรที่มันทับถมอยู่บนบ่ากำลังจะคลี่คลายออกไป

” ผมรู้สึกทั้งโล่งใจและปลอดโปร่ง แต่บางครั้งก็รู้สึกเสพติดงานหนัก ดังนั้นจึงยินดีหาก รมว.ศธ.อยากใช้ประสบการณ์ความรู้ของผมเพื่อประโยชน์ต่อวงการศึกษา ซึ่งในช่วงแรกคงจะขอไปสูดอากาศลึกๆ ก่อนให้เต็มปอด หลังจากนั้นก็ขึ้นอยู่กับรมว.ศธ.ว่าอยากให้ทำอะไร เพราะเคยมาพูดที่นี่ไว้ว่าประสบการณ์ความรู้ก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อกระทรวงศึกษาธิการก็รอสักพัก” ดร.ชินภัทร กล่าว

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34303&Key=hotnews

18 กลุ่มอาชีพมีเฮ! เทียบวุฒิค่าแรง สกศ.เผย ‘กรอบคุณวุฒิ’ ใกล้คลอด

1 ตุลาคม 2556

น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ เลขาธิการสภาการศึกษา เปิดเผยความคืบหน้าการจัดทำกรอบคุณวุฒิแห่งชาติว่า สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ได้รับมอบหมายจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ดำเนินการจัดทำกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ เพื่อนำเสนอขอความเห็นชอบจาก ครม. และประกาศใช้ต่อไป โดย สกศ.ได้จัดทำกรอบคุณวุฒิแห่งชาติทั้งหมด 18 กลุ่มอาชีพ ใกล้เสร็จเรียบร้อย คาดว่าในสัปดาห์นี้จะสามารถนำเสนอนายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ

อย่างไรก็ตาม สกศ.จะนำกรอบคุณวุฒิแห่งชาติของไทย ไปเทียบกับกรอบคุณวุฒิอาเซียนด้วย ซึ่งขณะนี้กำลังดำเนินการอยู่ และถือว่าไทยมีความก้าวหน้าในการจัดทำกรอบคุณวุฒิแห่งชาติมากที่สุดในอาเซียน และประมาณเดือน พ.ย.56 นี้ จะมีการประชุมเชิงปฏิบัติการที่ประเทศไทยเพื่อนำร่องเรื่องการเทียบคุณวุฒิอาเซียนด้วย

“เมื่อมีกรอบคุณวุฒิแห่งชาติใช้แล้ว แรงงานที่ไม่ได้อยู่ในระบบการศึกษา แต่มีประสบการณ์ มีฝีมือ จะสามารถนำองค์ความรู้ ทักษะที่ได้จากการทำงานขอเทียบออกมาเป็นวุฒิการศึกษาได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อเจ้าตัว ทั้งในแง่ของนำไปเทียบค่าแรง และนำไปใช้ในการศึกษาต่อเพื่อเพิ่มเติม” น.ส.ศศิธารา กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สกศ.ได้จัดทำสมรรถนะและมาตรฐาน (Competency and Standard) ของกรอบคุณวุฒิวิชาชีพจำนวน 18 กลุ่มอาชีพ ได้แก่
1.ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร
2.ยานยนต์
3.การบริการอิเล็กทรอนิกส์ไฟฟ้า เครื่องกล และเทคโนโลยีสารสนเทศ (ICT)
4.ประมง
5.บริการดูแลสุขภาพและผู้สูงอายุ
6.ยางพาราและผลิตภัณฑ์ยาง
7.สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม
8.การท่องเที่ยวและสปา
9.ผลิตภัณฑ์ไม้และเครื่องเรือน
10.โลจิสติกส์
11.เทคโนโลยีการผลิต เครื่องมือโลหะและพลาสติก
12.การทดสอบ ตรวจสอบและรับรอง
13.อัญมณีและเครื่องประดับ
14.การค้าปลีก
15.การบริหารสินทรัพย์
16.การประกันภัย
17.ปิโตรเคมี
และ 18.ก่อสร้าง

ทั้งนี้โครงสร้างกรอบคุณวุฒิแห่งชาติของไทยแบ่งออกเป็น 9 ระดับ (1-9) ตั้งแต่พื้นฐานจนถึงปริญญาเอก แต่ละระดับจะมีการกำหนดสมรรถนะหรือความสามารถในการปฏิบัติงานไว้โดยเชื่อมโยงกับระดับวุฒิการศึกษา ขณะที่กรอบคุณวุฒิอาเซียนจะมีทั้งหมด 8 ระดับ ซึ่งจะต้องมีการจัดระบบเทียบเคียงกรอบคุณวุฒิของไทยและอาเซียน

ที่มา: http://www.siamrath.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34302&Key=hotnews

สพฐ.เผยแจกคูปอง 3 พันบาทซื้อแท็บเล็ตเอง

1 ตุลาคม 2556

สพฐ.ทดสอบแนวคิดแจกคูปองเงินสด 3 พันบาท ให้พ่อแม่ซื้อแท็บเล็ตเองปี 57 ย้ำยังเป็นเพียงข้อเสนออยู่

นายเอนก รัตน์ปิยะภาภรณ์ ผู้อำนวยการเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ ในประชุมสัมมนาวิชาการและเครือข่ายคนทำงานเพื่อขับเคลื่อน มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ในหัวข้อเด็กไทยกับไอที ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มีนโยบายแจกแท็บเล็ตให้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และมัธยมศึกษาปีที่ 1 และขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการในปีการศึกษา 2556 อยู่ ซึ่งได้นำเสนอแนวคิดการจัดซื้อแท็บเล็ตในปีงบประมาณ 2557 เพื่อแจกให้กับเด็กชั้น ป.1 และ ม.1 โดยแจกคูปองเงินสดใบละ 3,000 บาทให้กับผู้ปกครองนักเรียนนำไปซื้อแท็บเล็ตเอง ภายใต้สเปกกลางที่หน่วยงานราชการกำหนด จำนวนเงิน 3,000 บาท ผู้ปกครองสามารถซื้อเครื่องแท็บเล็ตจากประเทศจีนได้ หรือหากใครที่ต้องการเครื่องอื่น ๆ เช่น ไอแพด ซัมซุง ฯลฯ ก็เพิ่มเงินส่วนต่างเอง

“แนวคิดเรื่องแจกคูปองนี้เป็นเพียงข้อเสนอหนึ่งจากผู้เข้าร่วมในการประชุมกลุ่มย่อย ภายใต้การประชุมรวมพลังปฏิรูปการศึกษา ครั้ง 2 เมื่อวันที่ 22 กันยายนที่ผ่านมาเท่านั้นยังไม่ได้เป็นข้อยุติ เนื่องจากระหว่างการประชุมมีผู้ตั้งคำถามถึงแนวทางหรือแนวโน้มที่การจัดหาและใช้แท็บเล็ตในอนาคต ขณะเดียวกันก็มีข้อคิดเห็นจากผู้ปกครองบางส่วนระบุว่าแท็บเล็ตจากจีนนั้นคุณภาพไม่ดี จึงเกิดเป็นข้อเสนอขึ้นมาว่าเป็นไปได้หรือไม่ หากจะใช้วิธีการแจกเป็นคูปองเงินสดเพื่อให้พ่อแม่ไปเลือกซื้อเครื่องแท็บเล็ตให้ลูกตามที่ต้องการ หากใครอยากได้ที่ดีกว่าก็เพิ่มเติมเงินส่วนต่างเอง ซึ่งนอกจากจะได้เครื่องตามคุณภาพที่ต้องการแล้ว วิธีการนี้จะช่วยลดปัญหาการจัดซื้อโดยหน่วยงานราชการ เพราะปัจจุบันที่ดำเนินการจัดซื้อแท็บเล็ตปีการศึกษา 2556 นั้นหลายฝ่ายมองว่ามีปัญหาล่าช้าไม่ได้ตามเป้าหมาย เพราะฉะนั้น แนวคิดนี้จึงเป็นลักษณะของการโยนหินถามทาง และดูผลตอบกลับจากผู้ปกครองว่าเห็นด้วยหรือไม่ หรือมีความคิดเห็นอย่างไรเท่านั้น” นายเอนก กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับความคืบหน้าในการทำสัญญากับบริษัทที่ชนะการประมูล คือ บริษัท เซิ่นเจิ้น อิงถัง ซึ่งชนะการประมูลในโซนที่ 1 (ภาคกลางและภาคใต้) ป.1 จำนวน 431,105 เครื่อง และ โซน 2 (ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) ระดับ ป.1 จำนวน 373,637 เครื่อง และบริษัท จัสมิน เทเลคอมซิสเต็มส์ จำกัด (มหาชน) ที่ชนะการประมูลโซนที่ 4 โซน 4 (ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) ม.1 และครู จำนวน 402,889 เครื่อง ขณะนี้ทั้ง 3 โซนได้มีการทำสัญญาเรียบร้อยแล้วเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากนี้ทั้ง 2 บริษัท จะต้องจัดส่งเครื่องแท็บเล็ตงวดแรกภายหลังเซ็นสัญญา 35 วัน

ส่วนโซนที่ 3 (ภาคกลางและภาคใต้) ม.1 จำนวน 426,683 เครื่อง ที่บริษัท สุพรีม ดิสทิบิวชั่น (ไทยแลนด์) จำกัด ชนะประมูล แต่เนื่องจากคณะกรรมการบริหารนโยบายคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตพกพาต่อหนึ่งนักเรียน มีมติให้ยกเลิกการประมูลและสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ประกาศยกเลิกแล้วนั้น ขณะนี้ บ.สุพรีมฯ ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อ คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์ (กวพอ.) ของกรมบัญชีกลาง เรียบร้อยและต้องรอผลการพิจารณาภายใน 30 วัน

ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34301&Key=hotnews