Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

“ภาวิช” จี้สำนึกอธิการบดีเลิกระบบรับตรง

16 กันยายน 2556

“ภาวิช” จี้สำนึกอธิการบดีเลิกระบบรับตรงช่วยแก้ปัญหาการศึกษาชาติ เล็งเพิ่มเนื้อหาร่างกฎหมายการอุดมศึกษากำกับการรับเด็กเข้ามหาวิทยาลัย

จากกรณีนายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) มีนโยบายปรับระบบคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษานั้น วันที่ 15 ก.ย. ศ.ดร.ภาวิช ทองโรจน์ ผู้ช่วยรมว.ศธ. กล่าวว่า ขณะนี้ ศธ.ยังไม่มีโครงร่างระบบการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษาแบบใหม่ เพราะจะขอเปิดรับฟังความคิดเห็นทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องก่อน พร้อมศึกษาดูระบบการคัดเลือกฯของประเทศอื่นๆไปด้วย แต่โดยหลักการของระบบคัดเลือกฯ ใหม่นั้นจะต้องมี ได้แก่ ระบบใหม่จะต้องไม่สร้างความเดือดร้อน ความเหลื่อมล้ำระหว่างเด็กและผู้ปกครองที่มีฐานะดีและไม่ดีอย่างชัดเจน โดยเฉพาะกรณีเด็กมีฐานะจะมีโอกาสมากกว่า และจะต้องไม่ไปทำลายการศึกษาขั้นพื้นฐาน อย่างปัจจุบันการเปิดสอบรับตรง ของมหาวิทยาลัย/คณะที่ทำให้เด็กทิ้งห้องเรียน นอกจากนี้การออกข้อสอบจะต้องอยู่ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพราะหากออกข้อสอบแบบไม่คำนึงหลักสูตรเลย เด็กก็จะไม่สนใจเรียนตามหลักสูตร

“มหาวิทยาลัยต้องสำนึกตัวเองก่อน อย่างการสร้างความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในปัจจุบันถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งประเด็นนี้ก็เป็นกระจกเงาสะท้อนอยู่แล้ว อย่าให้คนอื่นไปไปกระชากแรงๆ อย่างไรก็ดี ในส่วนร่างพ.ร.บ.การอุดมศึกษา พ.ศ….ที่กำลังดำเนินการนั้น อาจต้องเพิ่มเติมหมวดว่าด้วยการรับเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษา โดยจะต้องมีเงื่อนไขและรายละเอียดอะไรบ้าง คงต้องไปจัดทำ เพราะร่างพ.ร.บ.ฯจะระบุเพียงหลักการเท่านั้น อย่างต่อไปหากยังมีกรณีเด็กมีเงินแสนถึงเข้ามหาวิทยาลัยได้ ส่วนเด็กมีเงินพันมีโอกาสน้อยกว่า ตรงนี้จะถือว่าผิดหลักการแล้ว ฉะนั้นในเรื่องนี้ต่อไปจะมีกฎหมายมาดูแล” ศ.ดร.ภาวิช กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีข้อเสนอจากเครือข่ายพ่อแม่เยาวชนเพื่อการปฏิรูปการศึกษาให้ประกาศให้มหาวิทยาลัยยกเลิกการเปิดสอบรับตรงของตัวเองไปเลย เพื่อแก้ปัญหา ศ.พิเศษ ภาวิช กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวประกาศได้ แต่มหาวิทยาลัยอาจไม่เชื่อ เพราะขณะนี้ไม่มีกฎหมายอะไรไปบังคับเขาได้ แต่จริงๆเรื่องนี้ไม่ควรใช้กฎหมายไปบังคับ เพราะอยากให้ใช้สำนึกเหมือนในอดีตที่ทำ ซึ่งตนสงสัยว่าทำไมคนที่เป็นอธิการบดีเมื่อไปรวมกลุ่มกันกลับไม่มีสำนึก ทั้งยังตะแบงไปเรื่อย อ้างว่าการศึกษาอ่อนแอ แต่จริงๆแล้วใครล่ะเป็นคนทำให้อ่อนแอ

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34111&Key=hotnews

คอลัมน์ : แวดวงการศึกษา : สสวท.คัดครูดีเด่นปทท.

13 กันยายน 2556

นางพรพรรณ ไวทยางกูร ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เปิดเผยว่า สสวท.เน้นความสำคัญของการปฏิบัติงานวิชาชีพครูวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีในการที่จะเป็นกลุ่มบุคลากรหลัก ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ จึงเห็นควรให้คัดเลือกครูที่มีผลงานดีเด่นด้านพัฒนาการเรียนการสอนในวิชาดังกล่าว ที่นำไปสู่การพัฒนาเยาวชนของประเทศเพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติให้เข้ารับรางวัลครูดีเด่นประเทศไทย และเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ครูผู้สอนทั่วประเทศได้ใช้เป็นแนวทางในการสร้างสรรค์งาน ด้านการเรียนการสอนที่มีประสิทธิผลต่อไป

จึงขอเชิญครูผู้มีผลงานดีเด่นในการจัดการเรียนการสอน วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี ทุกสังกัด ส่งผลงานเข้ารับการคัดเลือกรางวัลครูดีเด่นประเทศไทย 12 รางวัล รางวัลละ 100,000 บาท พร้อมโล่และเกียรติบัตร ส่งผลงานถึงวันที่ 15 ตุลาคม 2556 การคัดเลือกมี 3 รอบ ได้แก่ รอบแรก วันที่ 16 ตุลาคม-30 พฤศจิกายน 2556 โดยคณะกรรมการจากหน่วยงานต้นสังกัด รอบสอง วันที่ 1-30 ธันวาคม 2556 โดยคณะกรรมการกลางผู้ทรงคุณวุฒิ รอบสาม วันที่ 1 มกราคม- 25 กุมภาพันธ์ 2557 โดยคณะกรรมการกลางผู้ทรงคุณวุฒิ ประกาศผล วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2557 ดาวน์โหลดข้อมูลการรับสมัครที่ http://www.ipst.ac.th/tta โทร.0-2392-4021 ต่อ 3202

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34094&Key=hotnews

โพลเผยร้านเหล้าเกลื่อนมหาลัยจี้รัฐคุมเข้ม

13 กันยายน 2556

โพลเยาวชนเผยร้านเหล้าเกลื่อนรอบมหาลัย อึ้ง 1ใน 3 แหกกฎหมายขายใต้หอพัก จี้เร่งออกกฎหมายควบคุม

วานนี้(12ก.ย.) ที่โรงแรมฮิปโฮเทล เครือข่ายเยาวชนป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ ร่วมกับมูลนิธิเพื่อนเยาวชนเพื่อการพัฒนา สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า(สคล.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.)จัดเวทีเสวนา เนื่องในวันเยาวชนแห่งชาติ หัวข้อ “ร้านเหล้ารอบมหา’ลัย ภัยคุกคามเยาวชน…ปัญหาที่ไม่ถูกแก้” ทั้งนี้ภายในงานมีการโต้วาที “ปัญหาอยู่ที่ตัวนักศึกษาร้านเหล้าผับบาร์ไม่เกี่ยว…จริงหรือ” โดยมีนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยต่างๆกว่า 60 คน เข้าร่วม

นายธีรภัทร์ คหะวงศ์ ผู้ประสานงานเครือข่ายเยาวชนป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ เปิดเผยผลสำรวจร้านจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รอบสถานศึกษา 12 พื้นที่ ได้แก่ ม.รามคำแหง มรภ.จันทรเกษม ม.หอการค้าไทย ม.เกษตรศาสตร์ ม.ธุรกิจบัณฑิต สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มรภ.สวนสุนันทา ม.เทคนิคกรุงเทพ ม.สยาม ม.ศรีนครินทรวิโรฒ มรภ.บ้านสมเด็จเจ้าพระยา และวิทยาลัยราชพฤกษ์ ระหว่างวันที่3–10 ก.ย. 2556 ในรัศมี 300 เมตร พบว่า มีร้านจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งสิ้น 340 ร้าน เฉลี่ย 28 ร้านต่อ 1 มหาวิทยาลัย และที่น่าตกใจคือ กว่า 105 ร้าน หรือ 1 ใน 3 ที่ขายเหล้าบริเวณหอพัก ซึ่งเป็นการทำผิด พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พ.ศ. 2551 อย่างชัดเจน

นายธีรภัทร์ กล่าวว่า เครือข่ายเยาวชนฯ ยังได้สำรวจความคิดเห็นของนักศึกษามหาวิทยาลัย 16 แห่งใน กทม.และปริมณฑล จำนวน 1,608 ตัวอย่าง แบ่งเป็นชาย 46.71 % หญิง 53.29% โดยกลุ่มตัวอย่าง 74.75% ระบุว่า หากมีร้านจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ใกล้สถานศึกษาจะเป็นแรงจูงใจให้เยาวชนนักเรียน นักศึกษาดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังระบุถึงปัญหาที่พบในร้านเหล้ารอบสถานศึกษา อันดับแรก คือ ทะเลาะวิวาท 39.73% เสียการเรียน 20.28% เสียงดังรบกวน 12.87% อุบัติเหตุ11.69% คุกคามทางเพศ 7.24% ทั้งนี้ กลุ่มตัวอย่างเกินครึ่ง หรือ 64.98% เห็นด้วยอย่างยิ่ง หากมีกฎหมายมาควบคุมให้ร้านเหล่านี้อยู่ห่างจากสถานศึกษา อย่างน้อย 300 เมตร ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขเสนอมานานแล้ว แต่ยังไม่ผ่านการพิจารณาคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งรัฐบาลควรตระหนักว่าจะช่วยลดผลกระทบ ปัญหาต่างๆ รวมถึงลดการเกิดนักดื่มหน้าใหม่

นายธีรภัทร์ กล่าวว่า สิ่งที่น่าห่วงคือกลุ่มตัวอย่าง 71.08% เคยพบเห็นการใช้ศิลปินดารา นักกีฬา หรือบุคคลที่มีชื่อเสียง มาโฆษณาผ่านสื่อและกิจกรรมต่างๆ ของธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดย 48.89% มองว่าจะเป็นการสร้างแรงจูงใจ ให้เยาวชนอยากดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างไรก็ตาม กลุ่มตัวอย่าง 51.32% เห็นด้วย หากมีมาตรการห้ามธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ใช้ ศิลปิน ดารา นักกีฬาโฆษณาประชาสัมพันธ์ รวมถึงห้ามใช้เป็นภาพปรากฏบนกระป๋อง ขวด หรือหีบห่อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นอกจากนี้ นักศึกษา 58.16% ยังเห็นด้วยหากมีมาตรการห้ามโฆษณาสินค้าของบริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผ่านทางสื่อโฆษณาทุกรูปแบบด้วย

“ร้านเหล้ารอบสถานศึกษา ถือเป็นปัญหาที่เรื้อรังมานาน โดยไม่มีแนวโน้มลดลง อีกทั้งยังไม่ได้รับการแก้ไขจากผู้ที่เกี่ยวข้อง ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกชินชากับการทำผิดกฎหมายของร้านเหล้า อย่างไรก็ตาม วันเยาวชนแห่งชาติปีนี้ จึงอยากขอยาแรงจากรัฐบาลออกมาตรการควบคุมร้านเหล้าให้อยู่ห่างจากมหาวิทยาลัย 300 เมตร รวมถึงมีมาตรการห้ามศิลปินดารา นักกีฬาโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์สินค้าของบริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกรูปแบบ เนื่องจากเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ดื่ม และในเร็วๆนี้ทางเครือข่ายเยาวชนจะนำข้อมูลเข้าร้องเรียนต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.)” นายธีรภัทร์ กล่าว
ด้าน นางสาวเบญจพร บัวสำลี อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ เปิดเผยงานวิจัยล่าสุด ปี 2555 กรณีสถานการณ์ร้านเหล้ารอบรั้วมหาวิทยาลัย และผลกระทบต่อนักศึกษา พบว่า นักศึกษาสูงถึง 80.1% เห็นว่าร้านเหล้าเป็นแหล่งพบปะเพื่อนฝูง 57.0 % มองว่าเป็นแหล่งผ่อนคลาย และ 39.8% ช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชนรอบข้าง ซึ่งทัศนคติดังกล่าวมีผลต่อพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สิ่งที่น่าห่วง คือ สถิติการเข้าใช้บริการร้านเหล้า พบมากถึง 84.4% มีการดื่ม 60.2% และที่สำคัญไม่ทราบถึงผลกระทบจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 29.2% เช่น ทำลายระบบสมองหรือประสาท อุบัติเหตุ เจ็บป่วยง่าย

นางสาวเบญจพร กล่าวว่า สภาพปัญหาที่เห็นได้ชัด คือ การปล่อยปะละเลย ไม่ควบคุมดูแลธุรกิจร้านเหล้ารอบมหาวิทยาลัย ทำให้มีผลต่อทัศนคติและเกิดพฤติกรรมตอบสนองของนักศึกษา เห็นได้จากปริมาณนักศึกษาที่เข้าใช้บริการ ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นแนวทางแก้ไข มหาวิทยาลัยต้อง สอดส่องดูแลร้านเหล้าที่ผิดกฎหมาย และแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินการเอาผิด นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยต้องสนับสนุนการจัดอบรม หรือกิจกรรม ปฎิเสธเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งควรออกกฎระเบียบบทลงโทษ ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจเมื่อพบนักศึกษาอายุต่ำกว่า 20 ปีเข้าใช้บริการ รวมถึงสร้างความร่วมมือกับชุมชน เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาธุรกิจร้านเหล้ารอบสถานศึกษาและเผยแพร่ผลกระทบให้ชุมชนได้ทราบ

“ขอฝากไปยังภาครัฐให้ควรควบคุมสื่อโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างเคร่งครัด เช่น โทรทัศน์ นิตยสาร วิทยุ อินเตอร์เน็ต ฯลฯเพราะการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สามารถพบเห็นได้ทั่วไป อีกทั้งกลยุทธ์ในการทำธุรกิจนี้ยังขยายออกไปในทางเชิง CSR หรือในเชิงธุรกิจสร้างสรรค์ เพื่อกระตุ้นความรู้สึกกลุ่มลูกค้าให้เกิดมุมมองที่ดี และกลายเป็นเรื่องชินตาที่เกิดขึ้นเป็นปกติในสังคม นอกจากนี้ขอให้หน่วยงานที่มีหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย เช่น กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เข้มงวด กำกับ ติดตาม สอดส่อง ดูแล และเอาผิดลงโทษต่อผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย” นางสาวเบญจพร กล่าว

ที่มา: http://www.posttoday.com

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34090&Key=hotnews

เล็งใช้ ครม.บีบ มหา’ลัย ลดรับตรง

13 กันยายน 2556

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ กล่าวถึงข้อเสนอของคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) ที่ให้มีการปรับระบบการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อสถาบันอุดมศึกษา เพราะเป็นปัญหาซ้ำซ้อน สิ้นเปลือง ไม่เท่าเทียม และทำให้มีการกวดวิชาเพิ่ม โดยเฉพาะการรับตรงว่า ได้ทราบข้อเสนอดังกล่าวแล้วโดยประเด็นหลักๆ ที่ กกอ. เสนอ คือ ให้ลดการรับตรง และให้รับกลางมากขึ้น ซึ่งต้องไปดูว่าจะรับนักศึกษาเข้าเรียนด้วยวิธีอย่างไร เพื่อแก้ปัญหามหาวิทยาลัยต่างคนต่างรับ และแต่ละคณะก็รับกันเอง จัดสอบเอง แถมออกข้อสอบนอกหลักสูตร ซึ่งตรงกับนโยบายที่ตนกำลังดำเนินการอยู่ คือเปลี่ยนระบบคัดเลือกคนเข้ามหาวิทยาลัย ลดการสอบ โดยคณะให้จัดสอบเฉพาะที่จำเป็นจริงๆ และมาเป็นใช้ผลการสอบกลาง ซึ่งอาจจะใช้คะแนนแบบทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET)

ทั้งนี้ มหาวิทยาลัย สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) ต้องไปคิดระบบการสอบกลางร่วมกัน และควรให้สอดคล้องกับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ส่วนข้อกังวลของมหาวิทยาลัยที่เกรงว่า จะไม่สามารถคัดเลือกเด็กเข้าเรียนได้ตามต้องการนั้น เรื่องนี้ไม่น่าห่วง เพราะสามารถดูผลสอบและดูคุณสมบัติอื่นๆ ขณะเดียวกันมหาวิทยาลัยสามารถเข้ามาช่วยกำหนดการสอบได้

“เรื่องใหญ่ คือ ระบบการคัดเลือกแบบนี้ทำให้ทั้งครู เด็ก และผู้ปกครองไม่สนใจการเรียนในระบบ ทุกคนจะมุ่งไปที่ว่ามหาวิทยาลัยออกข้อสอบอย่างไร หากเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีทางที่จะปฏิรูปการศึกษาได้ อย่างไรก็ตาม หากมหาวิทยาลัยยังยืนยันแนวทางเดิมก็มีสิทธิ์ เพราะมีอิสระตามกฎหมาย แต่มหาวิทยาลัยก็ยังต้องทำตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) อยู่เหมือนกัน เพียงแต่ถ้าเราใช้มติ ครม.ออกคำสั่งตอนนี้อาจไม่ได้ผล ต้องให้ส่วนรวมเห็นปัญหาว่าระบบที่ทำอยู่ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อการจัดการศึกษาพื้นฐาน และสร้างความไม่เท่าเทียม หากสังคมไม่เข้าใจมหาวิทยาลัยไม่เปลี่ยน การปฏิรูปการศึกษาที่ทำมาก็ล้มเหลวหมด” นายจาตุรนต์ กล่าว

ที่มา: http://www.siamrath.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34089&Key=hotnews

รมช.ศึกษายันไม่มีตำราเรียนถูกไฟไหม้

13 กันยายน 2556

รมช.ศึกษายันไม่มีตำราเรียนถูกไฟไหม้ พบค่าความเสียหายไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท
จากกรณีไฟไหม้อาคารเก็บหนังสือภายในโรงพิมพ์องค์การค้าของสำนักงานคณะ กรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สกสค.) แขวงสะพานสอง เขตวังทองหลาง เมื่อกลางดึก วันที่ 12 ก.ค. ที่ผ่านมา ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้า เมื่อเวลา 13.00 น. นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.ศึกษาธิการ พร้อมด้วย นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ และคณะกระทรวงศึกษาธิการ ได้ลงพื้นที่ตรวจความเสียหายอาคารที่ถูกไฟไหม้ โดยอาคารดังกล่าวเป็นโกดังขนาดใหญ่ 2 ชั้น ตั้งอยู่บนเนื้อที่ประมาณ 3,000 ตร.ม. จากการตรวจสอบชั้นที่ 2 พบความเสียหายส่วนใหญ่เป็นหนังสือและเครื่องจักรขนาดใหญ่เสียหายไปทั้งหมด และไฟยังลุกลามไปที่บริเวณชั้นล่างเสียหายบางส่วน ด้านอาคารและโครงสร้างนั้นเสียหายไปทั้งหลัง ซึ่งคาดว่าต้องทุบทิ้งและสร้างใหม่ทั้งหมด

นายเสริมศักดิ์ กล่าวว่า ในวันนี้ตนเองและคณะได้เดินทางมาตรวจสอบรายละเอียด เบื้องต้นพบว่าสถานที่ถูกไฟไหม้นั้นเป็นอาคาร 2 ซึ่งเหตุเกิดจากชั้นบนของอาคาร และลามลงมาชั้นล่างบางส่วน โดยเสียหายหมดทั้งอาคาร แต่ไม่พบว่าว่ามีใครบาดเจ็บหรือเสียชีวิต และได้ประสานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุแล้ว ส่วนสาเหตุเบื้องต้นทราบว่าเป็นไฟฟ้าลัดวงจร แต่ก็ต้องรอผลสรุปจากทางเจ้าหน้าที่อย่างละเอียดอีกครั้ง และตนได้สั่งการไม่ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าไปในอาคารโดยเด็ดขาด เพราะเกรงว่าจะเกิดความไม่ปลอดภัย

นายเสริมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของความเสียหายนั้นพบว่าส่วนใหญ่เป็นหนังสือของบริษัทเอกชนที่ว่าจ้างให้โรงพิมพ์องค์การค้าเป็นผู้พิมพ์ให้ ส่วนเครื่องจักรเสียหายไป 14 เครื่อง รวมมูลค่าความเสียหายทั้งหมดน่าจะไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท ในส่วนกรณีที่เป็นห่วงว่าจะไหม้หนังสือตำราเรียนและส่งผลกระทบต่อการศึกษานั้น จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า หนังสือที่ถูกไฟไหม้ไปไม่มีหนังสือตำราเรียนของทางเราอยู่เลย จึงไม่มีผลกระทบอะไร

ขณะที่ พ.ต.อ.ธนวัตร วัฒนกุล ผกก.สน.โชคชัย เปิดเผยว่า เบื้องต้นได้ประสานให้ทางเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน(พฐ.) ลงพื้นที่ตรวจสอบสถานที่ถูกไฟไหม้แล้ว ส่วนสาเหตุของการเกิดเพลิงไหม้นั้น ยังไม่ได้ตัดประเด็นใดทิ้ง ทั้งอุบัติเหตุไฟฟ้าลัดวงจรและการลอบวางเพลิง ตนจึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนลงพื้นที่หาข่าวเกี่ยวกับความขัดแย้งภายในองค์กรแล้ว ซึ่งทั้งหมดจะต้องรอผลสรุปจากเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อนำมาประกอบสวนในคดีต่อไป

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34088&Key=hotnews

ศธ.ชวนร่วมงานการศึกษาอาเซียน

13 กันยายน 2556

ศธ.ชวนร่วมงานการศึกษาอาเซียน วันที่ 16 ก.ย.ที่เมืองทองธานี พบกิจกรรมมากมาย อาทิ เมืองการศึกษานานาชาติ ศูนย์ภาษาอาเซียน อาหารประจำชาติในอาเซียน

วานนี้ (12ก.ย.) นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เตรียมจัดงาน Thai Education For ASEAN Community เพื่อประกาศความพร้อมของ ศธ. และสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการนำพาประเทศไทยก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558

นอกจากนี้ยังเป็นการเผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจ และสร้างความตระหนักให้แก่นักเรียน นักศึกษา ครู-อาจารย์ บุคลากรทางการศึกษา และประชาชนทั่วไปได้เกิดการตื่นตัวในการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนด้วย ทั้งนี้งานดังกล่าวจะจัดขึ้นในวันที่ 16 ก.ย. ที่อิมแพค เอ็กซิบิชั่น ฮอลล์ 9 เมืองทองธานี ตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 น. โดยคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมชมงานไม่ต่ำกว่า 10,000 คน

“กิจกรรมภายในงานประกอบด้วย 7 โซน ได้แก่ ภาษาที่ใช้ในอาเซียน เมืองการศึกษานานาชาติ ศูนย์อาเซียนศึกษา กรอบคุณวุฒิแห่งชาติและกรอบคุณวุฒิอาเซียน ผลิตและพัฒนาครู เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้ และการเคลื่อนย้ายในอาเซียน ซึ่งในแต่ละโซนจะมีข้อมูลและกิจกรรมต่างๆ ที่น่าสนใจมากมาย อาทิ การให้ข้อมูลเกี่ยวกับกรอบความร่วมมือทางการศึกษากับต่างประเทศทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี การนำเสนอแอพพลิเคชั่นที่ให้ความรู้ภาษาอาเซียน หลักสูตรการเรียนการสอนภาษาอาเซียน และยังมีการแสดงศักยภาพเทคโนโลยีทางการศึกษาในการให้ความรู้เกี่ยวกับประชาคมอาเซียน นอกจากนี้ยังมีการแสดงของนักเรียน และการจัดแสดงการปรุงอาหารประจำชาติอาเซียนด้วย” รมช.ศึกษาธิการ กล่าว

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34087&Key=hotnews

สอนภาษาไทยแบบ 5ส – เปิดทำเนียบ ครูดีครูเด่น

12 กันยายน 2556

แม้ไม่ใช่ภาษาสากลที่ผู้คนส่วนใหญ่ทั่วโลกใช้สื่อสารกัน แต่ ครูปราณี สาระคง หรือ ครูปาน หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ประจำชั้น ป.6/9 รร.เมืองนครราชสีมา ก็ภาคภูมิใจในภาษาไทยที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติ ภาษาหนึ่งเดียวในโลก และก็อยากให้เด็กรุ่นหลังได้เรียนรู้ภาษาของชาติตัวเองได้อย่างถูกต้อง อันจะเป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาไปสู่การเรียนรู้ในระดับที่สูงขึ้นต่อไป

ครูปราณี ปัจจุบันอายุ 57 ปี รับราชการมาตั้งแต่พ.ศ. 2518 เป็นแม่พิมพ์ของชาติที่มีใจรักและศรัทธาในศาสตร์วิชาภาษาไทยอย่างถ่องแท้ และเชี่ยวชาญในการจัดการเรียนการสอนให้เด็กได้เรียนรู้ภาษาไทยอย่างลึกซึ้ง กระทั่งเกิดผลงานเด่นทำให้เด็กนักเรียนอ่านออกเขียนได้ 100% เป็นที่น่าชื่นชมยกย่อง

ครูปราณี เล่าว่า ครูมีหลักคิดที่ว่าเราต้องจัดการเรียนการสอนวิชาภาษาไทย ให้เด็กได้เรียนรู้ด้วยความสนุกสนาน เพลิด เพลิน ไม่น่าเบื่อ โดยจะมีกระบวนการคัดกรองเด็กเป็นรายบุคคลก่อนการสอน แล้วใช้หลักการพัฒนาเด็กนักเรียนแบบ 5ส คือ 1. สำรวจ เพื่อหาว่าเด็กแต่ละคนมีข้อบกพร่องทางภาษาขนาดไหน คัดกรองตั้งแต่พยัญชนะ ก-ฮ สระ ไล่มาถึงการประสมคำ อ่านเป็นคำ แล้วจะได้เด็กกลุ่มที่มีปัญหาเรื่องของภาษาไทย 2. สื่อ โดยวางแผนว่าจะใช้สื่อการสอนแบบไหนที่เหมาะสมกับการแก้ปัญหาเด็กแต่ละกลุ่ม ซึ่งจะผลิตสื่อที่หลากหลายให้เด็กได้สัมผัสจับต้อง ได้อ่าน-เขียน 3. สอน ใช้วิธีการสอนที่ไม่น่าเบื่อ เช่น มีเพลง เกมเข้าไปช่วย การตั้งคำถาม-ตอบคำถาม 4. สอบ เป็นการตรวจสอบวัดผล และ 5. เสริม มีการซ่อมเสริม เด็กคนไหนยังบกพร่องก็ต้องซ่อมเสริม ส่วนเด็กที่เก่งก็ส่งเสริม เช่น หารางวัลให้ หรือพาไปแข่งขันในเวทีต่าง ๆ

สำหรับปัญหาการเรียนการสอนภาษาไทยของเด็กยุคใหม่ ครูปราณี ยอมรับว่าเด็กจะให้ความสำคัญค่อนข้างน้อย อาจจะมองว่าเป็นวิชาที่น่าเบื่อ ครูจึงต้องพยายามสอดแทรกความรู้ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เช่น ค่ายรักการอ่าน มีฐานความรู้ต่าง ๆ ทำให้เด็กได้เรียนรู้ด้วยความสนุกสนานเพลิดเพลิน รวมถึงการส่งเสริมให้เด็กเข้าห้องสมุด ให้คะแนนในผลงานการเข้าห้องสมุด การให้รางวัลยอดนักอ่าน เป็นต้น

ครูปราณี ยังบอกอีกว่า เด็กสมัยนี้มักใช้ภาษาไทยแบบผิดเพี้ยน มีศัพท์แปลกใหม่ที่ใช้เฉพาะกลุ่มของเขาที่เริ่มเข้าสู่วัยรุ่น แต่ครูก็พยายามดึงให้นักเรียนเข้าสู่กรอบการเรียนภาษาไทยแบบดั้งเดิม อนุรักษ์ภาษา ให้เด็กได้ฝึกใช้ภาษาอย่างถูกต้อง เช่น ประกวดเล่านิทาน พร้อมย้ำกับเด็ก ๆ อยู่เสมอว่าในอนาคตอันใกล้นี้ ประเทศในกลุ่มอาเซียนจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว ภาษาอื่น ๆ เช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาจีนจะเข้ามามีบทบาทในชีวิตของเด็ก ๆ แต่เราก็อย่าหลงลืมภาษาไทย เพราะถือเป็นหัวใจและเป็นเอกลักษณ์ของตัวเราเอง

“ในฐานะที่เป็นครูภาษาไทย เราภาคภูมิใจที่สามารถถ่ายทอดภาษาให้เด็กนักเรียน ทำให้เด็กอ่านออกเขียนได้ ยิ่งเวลาที่ส่งเด็กเข้าประกวดเรื่องภาษาไทย พอได้รางวัลมาก็ดีใจมาก อะไรไม่สำคัญเท่าเด็ก เมื่อเด็กประสบความสำเร็จ เด็กมีความก้าวหน้า เราก็ภาคภูมิใจที่สุด ส่วนรางวัลครูภาษาไทยดีเด่นจากคุรุสภาที่ได้รับมาถือเป็นสิ่งตอบแทนจากความเพียรพยายาม เราทำงานหนักมาโดยตลอด ถือเป็นรางวัลแห่งความภาคภูมิใจในชีวิตที่ครั้งหนึ่งเกิดเป็นครู ซึ่งจะเป็นแรงบันดาลใจให้อุทิศตนทำงานตลอดช่วงอายุราชการที่เหลืออย่างเต็มที่เพื่ออนาคตที่ดีของเด็กนักเรียนต่อไป” ครูปราณี กล่าว.

มนัส กบขุนทด

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34074&Key=hotnews

กศน.พร้อมแก้กฎกระทรวง “อายุ 20 ปีขึ้นไป ถึงมีสิทธิ์เทียบระดับพื้นฐาน”

12 กันยายน 2556

ตามที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ ระบุว่าอาจจะต้องมีการปรับปรุงหลักเกณฑ์การเทียบระดับการศึกษาขั้นสูงสุดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ของสำนักงาน กศน. เพราะอาจส่งผลกระทบต่อการเพิ่มจำนวนผู้เรียนสายอาชีพนั้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 11 ก.ย.56 นายประเสริฐ บุญเรือง เลขาธิการ กศน. กล่าวว่า ตามกฎกระทรวงว่าด้วยการแบ่งระดับและการเทียบระดับการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2556 ที่ลงนามโดยนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีต รมว.ศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 28 ม.ค.56 ได้มีการเพิ่มข้อความในวรรค 2 ของข้อ 2 ของ กฎกระทรวงฯ ฉบับแรก พ.ศ.2546 ว่า
“สำหรับผู้เรียนซึ่งมีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ มีประสบการณ์ประกอบอาชีพเป็นหลักแหล่งไม่น้อยกว่า 3 ปี และมีพี้นความรู้ไม่ต่ำกว่าระดับประถมศึกษาอาจะนำผลการเรียน ความรู้ ประสบการณ์มาประเมินเทียบระดับการศึกษาระดับการศึกษาสูงสุดของการศึกษาขั้นพื้นฐาน ประเภทสามัญได้ ทั้งนี้ในการประเมินระดับการศึกษาดังกล่าวให้สำนักงาน กศน.และหน่วยงานกลางทางการศึกษาที่เกี่ยวข้องซึ่งหมายถึงสำนักงานทดสอบทางการศึกษา(สทศ).จัดทำมาตรฐานการเรียนรู้ ระดับการศึกษา และเครื่องมือวัดและประเมินผลไม่ต่ำกว่ามาตรฐานการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย”

ซึ่งข้อความดังกล่าวมีการกำหนดคุณสมบัติของผู้เรียนที่ชัดเจนอยู่แล้ว แต่หากนายจาตุรนต์ เห็นว่าจะมีผลกระทบต่อการเพิ่มจำนวนผู้เรียนสายอาชีวศึกษา สำนักงาน กศน. ก็พร้อมจะปรับปรุงกฎกระทรวงฯ เพื่อเพิ่มอายุของผู้เรียน หรือปรับหลักเกณฑ์ให้มีความรัดกุมยิ่งขึ้น ตามนโยบาย เพื่อให้การจัดการศึกษาเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ

“ที่จริงการเทียบระดับการศึกษามีมานานแล้วโดยกฎกระทรวงฯ ฉบับแรกออกมาตั้งแต่ปี 2546 แต่เป็นการเทียบที่ระดับ ขณะที่การเทียบระดับแบบข้ามระดับได้นี้เพิ่งดำเนินการครั้งแรกปี 2556 โดยอายุเฉลี่ยของผู้ที่เข้ารับการประเมินเทียบระดับ ก็อยู่ที่ 30-45 ปี ไม่มีคนที่อายุต่ำกว่า 20 ปีแน่นอน เพราะกฎกระทรวงฯ เขียนไว้ชัดเจน แม้แต่คนที่ไม่มีอาชีพ เช่น พระภิกษุ ก็ไม่สามารถเข้ารับการเทียบระดับได้ รวมถึงเด็กที่ยังไม่มีรายได้ยังต้องพึ่งพาพ่อแม่ก็ไม่สามารถลงทะเบียนเทียบระดับได้เช่นกัน เพราะฉะนั้น จะไม่มีศูนย์เทียบระดับใดรับผู้ที่ไม่มีคุณสมบัติเข้าโครงการได้แน่นอน” นายประเสริฐ กล่าว

ที่มา: http://www.siamrath.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34073&Key=hotnews

“ทีโอที” พัฒนาระบบไอซีทีเสริมภาคการศึกษา

12 กันยายน 2556

ทีโอที ผนึก กระทรวงศึกษาฯ พัฒนาระบบไอซีทีเสริมรากฐานการศึกษา ปรับปรุงประสิทธิภาพการให้บริการระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในโครงการ เอ็มโออีเน็ต สนองนโยบายการศึกษาแห่งชาติ-สมาร์ท ไทยแลนด์

วานนี้ (11 ก.ย.) ที่กระทรวงศึกษาธิการ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการปรับปรุงประสิทธิภาพการให้บริการระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในโครงการเอ็มโออีเน็ต (MOENet) เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการเรียนการสอน โดยนายยงยุทธ วัฒนสินธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ทีโอที กล่าวว่า ปัจจุบันทีโอทีให้บริการครอบคลุมสถาบันการศึกษากว่า 31,000 แห่งทั่วประเทศ ทั้งสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา (สอศ.) และสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.)
โดย ทีโอที จะขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ต การติดตั้งอินเทอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูงไว-ไฟ รวมถึงการปรับเพิ่มความเร็วของวงจรอินเทอร์เน็ต เพื่อเป็นไปตามเป้าหมายนโยบายด้านการศึกษาแห่งชาติ และนโยบายสมาร์ท ไทยแลนด์ ของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เพื่อเพิ่มศักยภาพระบบการศึกษาของชาติให้เติบโตก้าวหน้า เป็นประโยชน์ต่อการเรียนการสอน การติดต่อสื่อสาร และค้นคว้าหาข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพของนักเรียน ครู อาจารย์ รวมถึงการดำเนินงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ

“ทีโอที จะขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตเพิ่มความเร็วในการดาวน์โหลด 10 กิกะบิต และอัพโหลดอยู่ที่ 8 กิกะบิต ติดตั้งอินเทอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูง ทีโอที ไว-ไฟ ครอบคลุมการใช้งานในกระทรวงศึกษา การปรับเพิ่มวงจรอินเทอร์เน็ตวงจรเช่าของหน่วยงานและสถานศึกษา และดีเอสแอล วีพีเอ็น ของหน่วยงาน และสถานศึกษาที่มีระยะทางไม่เกิน 4 กม.ด้วยความเร็ว 8-10 เมกะบิต” นายยงยุธ กล่าว
นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า วิสัยทัศน์ของกระทรวงศึกษาคือยึดนักเรียนเป็นศูนย์กลาง เพื่อกระจายโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียมทั้งในเมืองและชนบท โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเครื่องมือในการยกระดับคุณภาพและการกระจายโอกาสทางการศึกษาเพื่อให้มีระบบการเรียนการสอน ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้เพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ในการเพิ่มประสิทธิภาพระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตของหน่วยงานและสถานศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการในโครงการ เอ็มโออีเน็ต ที่เริ่มดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2545

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34072&Key=hotnews

คาดปี 57 เริ่มสร้าง รร.วังไกลกังวล 2 งบฯ พันล้าน

12 กันยายน 2556

เมื่อวันที่ 11 ก.ย.56 นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.ศึกษาธิการ กล่าวภายหลังเป็นประธานประชุมคณะกรรมการดำเนินงานโครงการจัดตั้งโรงเรียนวังไกลกังวล 2 เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษา 90 พรรษา พ.ศ.2560 ว่าได้ประชุมร่วมกับคณะกรรมการ 6 คณะ ประกอบด้วย คณะกรรมการฝ่ายนโยบาย แผนและยุทธศาสตร์ คณะกรรมการฝ่ายการออกแบบและก่อสร้าง คณะกรรมการฝ่ายงบบประมาณจัดทำโครงสร้างหลักสูตรและการศึกษาทางไกล คณะกรรมการฝ่ายงบประมาณและจัดหารายได้ คณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ และคณะกรรมการฝ่ายเลขานุการ เพื่อขอให้คณะกรรมการแต่ละชุดไปจัดทำข้อมูลแผนงานและรายละเอียดที่เกี่ยวข้องตามหน้าที่รับผิดชอบ ให้เกิดความชัดเจนขึ้น เพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการที่ปรึกษาและคณะกรรมการอำนวยการจัดตั้งโรงเรียนวังไกลกังวล 2 ในการประชุมครั้งต่อไป

เบื้องต้น คณะกรรมการฝ่ายนโยบายฯ ได้เสนอต่อที่ประชุมถึงการวางแผนก่อสร้างอาคารเฟสแรก ให้เสร็จภายในระยะเวลา 3 ปี โดยคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในต้นปี 2557 นี้ และจัดทำมาสเตอร์แพลนเพื่อดำเนินการต่อเนื่องในระยะยาว ซึ่งงบประมาณในการก่อสร้างเฟสแรกนั้น กำหนดไว้ไม่เกินวงเงิน 1,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้แบ่งเป็นงบประมาณเพื่อใช้ก่อสร้างอาคาร หอพัก สนามกีฬา ห้องสมุด ศูนย์ไอซีที เป็นวงเงินประมาณ 500 ล้านบาท และอีก 500 ล้านบาทจะใช้เป็นทุนพระราชทานให้แก่นักเรียน

อย่างไรก็ตาม โรงเรียนแห่งนี้จะอยู่ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ในรูปแบบโรงเรียนราชประชนุเคราะห์ ที่ให้เด็กกินนอนที่โรงเรียน ซึ่งในส่วนของอุปกรณ์การเรียนการสอนนั้น จะเป็นหน้าที่ของ สพฐ.ในการสนับสนุนงบประมาณ จำนวน 500 ล้านบาท โดยตั้งเป็นงบผูกพัน 3 ปี

นายเสริมศักดิ์ กล่าวต่อว่า งบในการก่อสร้างและทุนพระราชทานนั้น จะใช้วิธีการระดมเงินบริจาคจากหน่วยงานภาครัฐ บริษัทเอกชน และจัดทำวัตถุมงคลเพื่อจำหน่ายเพื่อให้ประชาชนได้มีโอกาสมาร่วมสนับสนุนในการก่อสร้างโรงเรียน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือว่าจะจัดทำวัตถุมงคลอะไร จำหน่ายราคาเท่าไร ส่วนรูปแบบอาคารนั้น จะเน้นการออกแบบและการก่อสร้างที่มีเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ของความเป็นไทยที่สำคัญจะต้องสมพระเกียรติ และจะเน้นการประหยัดพลังงาน อาทิ หลังคาติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ และมีระบบรีไซเคิลน้ำเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยให้เป็นตัวอย่างอาคารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือ Green Building ขณะเดียวกันก็จะจัดให้มีอาคารที่นำเสนอโครงการพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเพื่อเป็นศูนย์เรียนรู้ชุมชนให้คนในชุมชนและผู้ที่มาศึกษาดูงาน ไม่ว่าจะเป็น เศรษฐกิจพอเพียง เกษตรทฤษฎีใหม่ และการใช้สารอินทรีย์ เป็นต้น
“ส่วนการสอนจะเน้นสอนในด้านการท่องเที่ยวและการโรงแรม กีฬา และภาษาอาเซี่ยน ขณะเดียวกันก็เน้นการเรียนการสอนทางไกลผ่านดาวเทียม สอนตั้งแต่ระดับชั้น ม.1-6 มีจำนวนผู้เรียนห้องเรียนละ 20 คน เท่านั้นโดยคาดว่าจะรับนักเรียนรุ่นแรกได้ในปีการศึกษา 2558”

นายเสริมศักดิ์ กล่าวและว่า ทั้งนี้ ได้ให้เวลาแต่ละคณะกรรมการฯ ไปจัดทำรายละเอียดเป็นเวลา 1 เดือน และจะจัดให้มีการประชุมเชิงปฏิบัติการในช่วงต้นเดือน ต.ค.อีกครั้ง ที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อกำหนดแผนการดำเนินโครงการที่ชัดเจนยิ่งขึ้น หลังจากนั้นจะได้นำเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ความเห็นชอบในการจัดตั้งโรงเรียนวังไกลกังวล 2 เป็นโรงเรียนในโครงการเฉลิมพระเกียรติต่อไป

ที่มา: http://www.siamrath.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34071&Key=hotnews