Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

‘สมรักษ์’ ให้การคดี ม.สันติภาพโลก ดีเอสไอเตรียมแจ้งข้อหาผู้บริหาร

3 กันยายน 2556
เมื่อวันที่ 2 กันยายน ที่อาคารซอฟต์แวร์ปาร์ค ถนนแจ้งวัฒนะ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี เรือเอก สมรักษ์ คำสิงห์ อายุ 40 ปี อดีตนักมวยเหรียญทองโอลิมปิกเกมส์ เข้าพบ พ.ต.ท.ศักพล สุขปาน หัวหน้าสำนักสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมาย กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก สาขา 2 เลขที่ 2991/1/19 โครงการวิสุทธานี ซอยลาดพร้าว 101/3 แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กทม.โดยไม่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) เพื่อให้ปากคำในฐานะพยานกรณีถูกติดต่อให้เข้ารับปริญญาดุษฎีบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก สาขา 2 โดยไม่ได้รับอนุญาต เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ใช้เวลาสอบปากคำนานกว่า 1 ชั่วโมง

พ.ต.ท.ศักพลกล่าวว่า ดีเอสไอตรวจสอบมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก สาขา 2 ได้แจกปริญญาไป 234 คน มีทั้งในส่วนที่เสียค่าใช้จ่ายและไม่เสียค่าใช้จ่าย มีผู้เสียหายเข้าร้องทุกข์แล้วจำนวนหนึ่ง คาดว่าอีกประมาณ 2 สัปดาห์ จะสรุปสำนวนแจ้งข้อหากับผู้ก่อตั้งและอธิการบดีมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก สาขา 2 พร้อมพวก รวม 3 คน ข้อหาตาม พ.ร.บ.สถาบันอุดมศึกษา ก่อตั้งมหาวิทยาลัยและแจกปริญญาโดยไม่ได้รับอนุญาต พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ลงข้อความอันเป็นเท็จ รวมทั้งคดีฉ้อโกง
พ.ต.ท.ศักพลกล่าวอีกว่า ส่วนผลการตรวจสอบเอกสารบันทึกการประชุมของมูลนิธิศรัทธา ที่ได้ทำหนังสือสอบถามเรื่องบริจาคเงิน 1,000 ล้านยูโร หรือประมาณ 40,000 ล้านบาท เข้ามูลนิธิศรัทธาไปยังธนาคารแห่งประเทศไทย ขณะที่ดีเอสไอเข้าค้นมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก สาขา 2 พบว่ายังไม่มีเงินบริจาคจำนวนดังกล่าวเข้ามาในประเทศไทย โดยพบข้อพิรุธน่าเชื่อว่าอาจจะเป็นการหลอกลวง เนื่องจากพบว่ามีการเสนอเงื่อนไขให้มูลนิธิศรัทธาโอนเงินเป็นค่าใช่จ่าย 3 ล้านบาท เข้าบัญชีธนาคารของผู้บริหารระดับสูงของมูลนิธิศรัทธาคนหนึ่ง หรือบัญชีของบริษัทต่างชาติที่อ้างว่าจะบริจาคเงิน 1,000 ล้านยูโร ถึงจะดำเนินการโอนเงินบริจาคจำนวนดังกล่าวเข้ามูลนิธิศรัทธา เพราะที่ผ่านมาหากมีกำหนดเงื่อนไขค่าใช้จ่ายก่อนการบริจาคส่วนใหญ่จะเป็นการหลอกลวงเอาเงินจากผู้เสียหาย
เรือเอกสมรักษ์กล่าวว่า ได้รับการติดต่อจากผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก สาขา 2 ให้เข้ารับปริญญาดุษฎีบัณฑิต รู้สึกดีใจที่ยังมีคนเห็นคุณค่าเห็นความสำคัญของเรา เมื่อเชิญมาก็มาไม่ได้จ่ายเงิน ส่วนชุดครุยเจ้าภาพเตรียมให้ เมื่อดีเอสไอเชิญมาให้การจึงยินดีให้ความร่วมมือ

–มติชน ฉบับวันที่ 4 ก.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33971&Key=hotnews

ทปอ.เตรียมวิจัยแอดฯ 360 องศา ชี้ระบบเดิมยังดีอยู่-สกอ.นัดถก 14 ก.ย.นี้

3 กันยายน 2556

ทปอ.มอบ มศว-จุฬาฯ ศึกษาวิจัยระบบแอดมิชชั่นส์แบบ 360 องศา ยันตอนนี้ระบบยังดีอยู่ แจงหาก รมว.ศึกษาฯ ให้ปรับปรุงแอดมิชชั่นส์พร้อมรับฟัง แต่ไม่อยากแก้ทุกครั้งที่เปลี่ยนรัฐมนตรี ขณะที่ สกอ.เตรียมจัดประชุมถกแอดมิชชั่นส์ 14 ก.ย.นี้

ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ทปอ.ได้มอบให้มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไปศึกษาวิจัยและประเมินผลระบบการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาในระบบกลาง หรือแอดมิชชั่นส์แบบ 360 องศา คือ

1.พิจารณาในทุกเรื่อง รอบด้าน ตั้งแต่ระบบการสอบ ข้อสอบ การจัดห้องสอบ เป็นต้น เพื่อดูว่ามีปัญหาอะไรที่ต้องปรับปรุงแก้ไข ส่วนกรณีข้อเสนอของนายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ถึงการให้ปรับปรุงระบบแอดมิชชั่นส์นั้น จริงๆ มหาวิทยาลัยพร้อมจะรับฟังอยู่แล้ว เพราะรู้ว่าไม่ว่าจะระบบเอนทรานซ์จนมาระบบแอดมิชชั่นส์ทุกระบบก็ล้วนแต่มีปัญหาทั้งสิ้น การให้ปรับปรุงระบบแอดมิชชั่นส์ เนื่องจากต้องการแก้ปัญหาการสอบรับตรงของมหาวิทยาลัยนั้น ไม่อยากให้นำระบบแอดมิชชั่นส์กับการสอบตรงมารวมกัน เพราะจริงๆ แล้วเป็นการสอบที่ไม่เหมือนกัน การสอบตรงเป็นการสอบเพื่อทำให้มหาวิทยาลัยได้นักศึกษาที่สนใจในสาขา คณะนั้นโดยตรง ขณะเดียวกัน ทปอ.ได้กำหนดความร่วมมือการสอบตรง ได้แก่ การสอบตรงต้องมีไม่เกิน 50% ของทั้งมหาวิทยาลัย

2.ขอให้การสอบตรงอยู่ช่วงเวลาเดียวกันทั้งประเทศ คือ ช่วงเดือนมกราคม 2557 เพื่อลดการวิ่งรอกสอบที่เป็นปัญหาให้ได้ ซึ่งจะดูผลว่าหากลดการวิ่งรอกได้จริงก็จะดำเนินการต่อ แต่เชื่อว่าสามารถแก้ได้

“ทปอ.ไม่ได้หยุดนิ่ง เรารู้ว่ามีปัญหาอยู่จริงและพยายามแก้อยู่ แต่เราก็ไม่อยากแก้ทุกครั้งที่เปลี่ยนรัฐมนตรี เพราะหากทำอย่างนั้นแอดมิชชั่นส์คงต้องเปลี่ยนไปแล้ว 5 ครั้งแล้ว เพราะเปลี่ยนรัฐมนตรีไป 5 คนแล้วในช่วงที่มาเป็นประธาน ทปอ. ทั้งนี้ ระบบแอดมิชชั่นส์หากเทียบกับระบบเอนทรานซ์ถือว่าเราเดินมาถูกต้องแล้ว เพราะระบบแอดมิชชั่นส์เป็นการแก้ปัญหาระบบเอนทรานซ์ที่ผ่านมา เช่น การเพิ่มรอบสอบจาก 1 ครั้ง เป็น 2 ครั้ง เพื่อป้องกันการเสียโอกาส ลดความเครียด หรือการเพิ่มผลการเรียนเฉลี่ยตลอดหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า (จีแพ็กซ์) มาเป็นสัดส่วนคัดเลือก เพื่อให้นักเรียนยังสนใจและอยู่ในห้องเรียน” ศ.ดร.สมคิด กล่าว

รศ.นพ.กำจร ตติยกวี รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา กล่าวว่า วันที่ 14 กันยายนนี้ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาจะเชิญทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาระดมความเห็นในการปรับปรุงระบบแอดมิชชั่นส์ ระบบการรับตรงผ่านระบบโควตามหาวิทยาลัย และระบบรับตรงผ่านเคลียริ่งเฮ้าส์ของ ทปอ.

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33970&Key=hotnews

ลุ้นโผซี 10 ศธ.เข้า ครม. 3 ก.ย.นี้

3 กันยายน 2556

เมื่อวันที่ 2 กันยายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 3 กันยายนนี้ นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ จะเสนอบัญชีรายชื่อแต่งตั้ง โยกย้ายข้าราชการะดับ 10 ของศธ.ขอ ความเห็นชอบจาก ครม. แทนตำแหน่ง ข้าราชการระดับ 10 ที่จะเกษียณอายุราชการ ในเดือนกันยายนทั้งหมด 7 ตำแหน่ง ดังนี้ นางเบญจลักษณ์ น้ำฟ้า รองเลขาธิการ คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.), นางอรทัย มูลคำ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบเครือข่ายและการมีส่วนร่วมกพฐ., นายสมบัติ สุวรรณพิทักษณ์ รองปลัด ศธ., นายธวัช ชลารักษ์ ผู้ตรวจราชการ ศธ., นายเกียรติศักดิ์ เสนไชย ที่ปรึกษาสำนักงาน ปลัด ศธ., นายสุรพล รัตนชัย ที่ปรึกษา สำนักงานปลัด ศธ. และนางสุนันทา แสงทอง ที่ปรึกษาคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) รวมถึงมีตำแหน่งรองเลขาธิการสภาการศึกษาว่างอยู่เดิมอีก 2 ตำแหน่ง

ทั้งนี้ผู้ที่คาดว่าจะได้รับการเสนอชื่อให้มาดำรงตำแหน่งที่ว่างลง ดังนี้ นางศิริพร กิจเกื้อกูล รองปลัดศธ. ถูกโยกกลับไปตำแหน่งเดิม คือเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.)แทนนางรัตนา ศรีเหรัญ เลขาธิการก.ค.ศ.ที่ย้ายไปเป็นรองเลขาธิการสกศ. สาเหตุเพราะนางรัตนาทำงานล่าช้าโดยเฉพาะการแก้ปัญหาทุจริตครูผู้ช่วย ฝ่ายการเมืองจึงตัดสินใจให้นางศิริพรกลับตำแหน่งเดิม, นายรังสรรค์ มณีเล็ก ผู้ตรวจราชการศธ. ลูกหม้อสพฐ.มาเป็นรองเลขาธิการสกศ., นางจุไรรัตน์ แสงบุญนำ ผู้ตรวจราชการศธ. กลับมาเป็นรองปลัดศธ. นางผานิตย์ มีสุนทร ผู้ตรวจราชการศธ. ลูกหม้อสพฐ. มาเป็นรองปลัดศธ. นายโรจนะ กฤษเจริญ รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) กลับถิ่นเดิมมาเป็นรองเลขาธิการกพฐ. คู่กับนางอ่องจิต เมธยะประภาส ผู้ตรวจราชการศธ. อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ มาเป็นรองเลขาธิการกพฐ., ส่วนนายพิษณุตุลสุข รองเลขากพฐ. ถูกเด้งมาเป็นผู้ตรวจราชการศธ. อีกรอบ และแต่งตั้งนายวณิชย์อ่วมศรี ที่ปรึกษาสอศ. มาเป็นรองเลขาธิการ กอศ.

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33968&Key=hotnews

จี้จัดชั่วโมงฝึกภาษา ครู-น.ร.อาเซียน ศธ.ชี้ ร.ร.ตื่นตัวแต่ขาดครูต่างชาติ-คุณภาพสอน

3 กันยายน 2556

สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) และอาชีวศึกษา มีการเปิดหลักสูตรมินิอิชลิชโปรแกรมมากขึ้น แต่สำหรับนักศึกษาของกศน.มีผู้เรียนหลักสูตรนี้ออกกลางคันจำนวนมาก เนื่องจากส่วนหนึ่งมีงานทำแล้ว และด้วยความไม่คุ้นเคยกับสำเนียงของชาวต่างชาติทำให้ยาก ต่อการสื่อสารให้เข้าใจและขาดความตั้งใจ “สถานศึกษาหลายแห่งในเขตนี้ มีนักเรียนชาวพม่า กัมพูชา และเวียดนาม ที่ย้ายติดตามผู้ปกครอง ซึ่งมาเป็นแรงงานกระจายอยู่ในสถานประกอบการขนาดเล็กเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่มีผลการเรียนดี โดยได้เสนอให้ร.ร.ใช้โอกาสนี้ ฝึกทักษะครู นักเรียน กับภาษาของแต่ละชาติไปพร้อมกัน และมีข้อเสนอแนะในเขตอุตสาหกรรมและในตัวเมืองนนทบุรี ปทุมธานี มีแรงงานพม่า กัมพูชา เวียดนาม ลาว มากขึ้น สพฐ.ควรมีนโยบายจัดชั่วโมงให้เด็กแต่ ละชาติแสดงออกแลกเปลี่ยนภาษาและวัฒนธรรม นอกเหนือจากเรียนรู้ภาษาอังกฤษ จีน” น.ส.จุไรรัตน์กล่าว

น.ส.จุไรรัตน์ แสงบุญนำ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่า จากผลตรวจราชการในพื้นที่เขตตรวจราชการที่ 1 และกทม. ตามนโยบายของรัฐบาล พบว่าเรื่อง การเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียน มีความคล้ายคลึงกันทุกสังกัด คือ มีความตื่นตัว และเน้นพัฒนาทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษของบุคลากรในหน่วยงาน และการอบรมพัฒนาทักษะครูไทย ที่สอนภาษาอังกฤษ โดยบางแห่งร่วมมือกับศูนย์ ERIC ตลอดจนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องอาเซียน จัดทำคู่มือการพัฒนาทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ จัดหาครูอาสามาสอนภาษาอังกฤษ และเปิดสอนภาษาจีน ญี่ปุ่น และแม้ว่าเขตพื้นที่การศึกษาหลายแห่งจ้างครูชาวต่างชาติให้กับร.ร.เพิ่มขึ้น แต่ภาพรวมยังไม่พอเพียง ทั้งด้านจำนวนและมาตรฐานคุณภาพของผู้สอนภาษา

หัวหน้าผู้ตรวจราชการ ศธ.กล่าวต่อว่า สถานศึกษาหลายแห่งทั้งของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษา ขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) และอาชีวศึกษา มีการเปิดหลักสูตรมินิอิชลิชโปรแกรมมากขึ้น แต่สำหรับนักศึกษาของกศน.มีผู้เรียนหลักสูตรนี้ออกกลางคันจำนวนมาก เนื่องจากส่วนหนึ่งมีงานทำแล้ว และด้วยความไม่คุ้นเคยกับสำเนียงของชาวต่างชาติทำให้ยาก ต่อการสื่อสารให้เข้าใจและขาดความตั้งใจ

“สถานศึกษาหลายแห่งในเขตนี้ มีนักเรียนชาวพม่า กัมพูชา และเวียดนาม ที่ย้ายติดตามผู้ปกครอง ซึ่งมาเป็นแรงงานกระจายอยู่ในสถานประกอบการขนาดเล็กเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่มีผลการเรียนดี โดยได้เสนอให้ร.ร.ใช้โอกาสนี้ ฝึกทักษะครู นักเรียน กับภาษาของแต่ละชาติไปพร้อมกัน และมีข้อเสนอแนะในเขตอุตสาหกรรมและในตัวเมืองนนทบุรี ปทุมธานี มีแรงงานพม่า กัมพูชา เวียดนาม ลาว มากขึ้น สพฐ.ควรมีนโยบายจัดชั่วโมงให้เด็กแต่ ละชาติแสดงออกแลกเปลี่ยนภาษาและวัฒนธรรม นอกเหนือจากเรียนรู้ภาษาอังกฤษ จีน” น.ส.จุไรรัตน์กล่าว

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 4 ก.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33966&Key=hotnews

ผุดโปรแกรมพัฒนาการสอน

3 กันยายน 2556

ปทุมวัน : กระทรวงไอซีทีเปิดตัวโปรแกรมประยุกต์ใช้งานบนแทบเล็ต “ไทยแลนด์ สมาร์ท เอ็ดดูเคชั่น” แพลตฟอร์มมาตรฐานเพื่อการจัดการเรียนการสอนในสถาบันการศึกษา

น.อ.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดตัว “ไทยแลนด์ สมาร์ท เอ็ดดูเคชั่น” ว่าตามนโยบายการพัฒนาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและแทบเล็ตพีซีเพื่อการศึกษาไทยในโครงการ One Tablet PC Per Child ของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กระทรวง ไอซีทีได้ทำหน้าที่เร่งผลักดันให้เกิดการพัฒนาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษาให้ทัดเทียมกับนานาชาติ และยกระดับมาตรฐานคุณภาพทางการศึกษาไทย โดยได้มอบนโยบายให้บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และทีมงานโปรแกรมเมอร์ ร่วมกันพัฒนา “ไทยแลนด์ สมาร์ท เอ็ดดูเคชั่น” เพื่อใช้ทดสอบการทำงานในโครงการพัฒนาสื่อการเรียนการสอนและแพลตฟอร์มมาตรฐาน เพื่อให้บริการระบบซอฟต์แวร์ด้านการศึกษา ด้วยระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ 3.0 ที่สามารถใช้งานได้บนอุปกรณ์แทบเล็ตและคอมพิวเตอร์พีซีบนแพลตฟอร์มยอดนิยม

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสทางการศึกษาด้วยระบบ E-learning ที่สามารถส่งความรู้ไปยังผู้เรียนโดยผ่านระบบอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมให้นักเรียนทุกคนใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์แทบเล็ตเพื่อการศึกษาให้กว้างขวาง ซึ่งถือเป็นการปฏิรูปการศึกษาให้ก้าวไกล และสอดคล้องกับรูปแบบการเรียนการสอนที่กำลังเปลี่ยนไปในอนาคต “ไทยแลนด์ สมาร์ท เอ็ดดูเคชั่น” เป็นนวัตกรรมใหม่ที่นำเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยมาผนวกกับเครือข่ายข้อมูลเชื่อมโยงหน่วยงานภาครัฐ ระบบบริการคลาวด์ และการนำศักยภาพของแทบเล็ตมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาการศึกษาในทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดการเร่งผลักดันการยกระดับคุณภาพทาง การศึกษา ทั้งด้านการพัฒนามาตรฐานหลักสูตรการเรียนรู้ ในด้านทักษะการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ใช้ในการสอน การพัฒนาการวิจัยและประเมินผล ซึ่งจะช่วยให้การพัฒนาการศึกษาเป็นไปอย่างถูกต้องและยั่งยืน

ที่มา: หนังสือพิมพ์โลกวันนี้

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33965&Key=hotnews

วิทยฐานะใหม่รูปแบบสารนิพนธ์เล็งนำร่องครู ‘วิทย์-คณิต-อังกฤษ’

3 กันยายน 2556

เมื่อวันที่ 2 กันยายน นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า หลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้มีการประชุมระดมผู้รู้พัฒนาระบบประเมินวิทยฐานะและความก้าวหน้าของครู เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาทั้งระบบนั้น ขณะนี้ สพฐ.กำลังจัดทำรายละเอียดหลักเกณฑ์การมีและเลื่อนวิทยฐานะแนวใหม่ด้วยการประเมินสมรรถนะ หรือ TPK Model ซึ่งจะมีองค์ประกอบหลักของการประเมิน ดังกล่าว ได้แก่ การประเมินสมรรถนะของ ผู้เข้ารับการประเมินทั้งสมรรถนะทางวิชาการ และสมรรถนะด้านการเรียนการสอนที่ส่งผลต่อคุณภาพของผู้เรียน โดยจะมีการนำผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ทั้งคะแนนทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (โอเน็ต) และการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน (เอ็นที) มาเป็นตัวชี้วัดการสอนของครู โดยจุดหลักสำคัญของการประเมินวิทยฐานะแนวใหม่คือ ครูต้องดี เก่ง และเด็กได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งภายในปีการศึกษา 2557 จะมีการนำร่องการประเมินวิทยฐานะแนวใหม่ในสายการสอน 3 กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่มีความพร้อม ได้แก่ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ

เลขาธิการ กพฐ. กล่าวต่อว่า นอกจากนี้แม้ครูจะมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูอยู่แล้วก็ตาม แต่หากครูมีความประสงค์จะเข้ารับการประเมินวิทยฐานะแนวใหม่ก็ต้องเข้ารับการประเมินสมรรถนะด้านความรู้ของครูด้วย ซึ่งต่อไปจะมีหน่วยงานจากภายนอกมาทำหน้าที่ประเมินสมรรถนะครูพร้อมให้ใบรับรอง เช่น สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) จะมีเครื่องมือประเมินครูสอนวิชาวิทยาศาสตร์ ซึ่งหากครูได้รับใบรับรองดังกล่าว ก็จะทำให้มีสิทธิได้รับวิทยฐานะที่สูงขึ้นได้ สำหรับการทำผลงานเพื่อประเมินวิทยฐานะแนวใหม่นี้ ครูจะไม่ต้องทำผลงานวิชาการที่มีความหนามาก แต่จะให้ครูเขียนผลงานในรูปแบบสารนิพนธ์ โดยจะเป็นการเรียบเรียงสิ่งที่ครูดำเนินการมาตั้งแต่ต้น อาทิ การเขียนงานวิจัยเชิงปฏิบัติการ และการวิจัยในห้องเรียน เป็นต้น ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ครูมีความถนัดอยู่แล้ว ส่วนครูที่คิดว่ายังไม่มีความพร้อมในการประเมินวิทยฐานะรูปแบบใหม่ก็กลับไปใช้การประเมินวิทยฐานะรูปแบบเก่าได้ เพราะยังไม่มีการยกเลิก อย่างไรก็ตาม การประเมินวิทยฐานะแนวใหม่นี้จะใช้ประเมินวิทยฐานะชำนาญการ ชำนาญการพิเศษ และเชี่ยวชาญ ทั้งนี้ สพฐ.จะสรุปเกณฑ์การประเมินวิทยฐานะแนวใหม่ เพื่อเข้าสู่การพิจารณาในการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ประมาณปลายเดือนกันยายนนี้

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33964&Key=hotnews

ก.ค.ศ.-อ.ก.ค.ศ.เขตฯยันไม่ใช่’มวยล้ม’ หนุนดึง’ครูผช.’กลับรับราชการก่อนตั้งสอบนัดชี้แจงแนวปฏิบัติ 119 เขตพื้นที่ฯ 12 ก.ย.นี้

3 กันยายน 2556

จากกรณีที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) ได้สั่งการในที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เมื่อเร็วๆ นี้ ดำเนินการให้อดีตครูผู้ช่วยที่ถูกให้ออกจากราชการ เนื่องจากปัญหาในการทุจริตสอบคัดเลือกบุคคลเพื่อเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ในตำแหน่งครูผู้ช่วย กรณีมีความจำเป็น หรือเหตุพิเศษ ว12 โดยที่ยังไม่มีการสอบสวน และไม่ได้รับโอกาสชี้แจง ให้เขตพื้นที่การศึกษาเรียกให้กลับเข้ารับราชการ เพื่อตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง และได้รับโอกาสชี้แจง เพื่อป้องกันการฟ้องร้อง ส่วนกรณีที่ให้ออกโดยดำเนินการตามกฎหมายอย่างครบถ้วนแล้ว เขตพื้นที่ฯไม่ต้องทำอะไร ส่วนกรณีที่เขตพื้นที่ฯยังไม่ได้สอบสวนข้อเท็จจริง หรือยังไม่ได้ดำเนินการ ให้ไปแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาได้มาชี้แจง เมื่อได้ผลสรุปอย่างไรก็ให้ดำเนินการตามนั้น

เมื่อวันที่ 2 กันยายน นายสมเกียรติ บุญรอด กรรมการ ก.ค.ศ.และคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) วิสามัญเกี่ยวกับการอุทธรณ์และการร้องทุกข์ เปิดเผยว่า ในการประชุม ก.ค.ศ.ที่ผ่านมา ได้พิจารณากรณีการสั่งให้ครูผู้ช่วย 344 ราย ตามรายชื่อของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ออกจากราชการ ซึ่งพบว่าการสั่งให้ออกจากราชการมีความลักลั่นกัน เพราะบางเขตพื้นที่ฯสั่งให้ออกจากราชการเลยโดยไม่ได้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง แต่บางเขตพื้นที่ฯตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง เรียกครูผู้ช่วยมาชี้แจงตาม พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางการปกครอง มาตรา 30 ก่อน ถึงสั่งให้ออกจากราชการ ซึ่งขณะนี้มีอดีตครูผู้ช่วยที่ถูกสั่งให้ออกจากราชการแล้วกว่า 100 คน หรือประมาณ 75 เขตพื้นที่ฯ จากทั้งหมด 119 เขตพื้นที่ฯ และคาดว่าเกินครึ่งถูกสั่งให้ออกจากราชการโดยไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอน ซึ่งคนกลุ่มนี้เมื่ออุทธรณ์มา อ.ก.ค.ศ.วิสามัญฯก็ต้องสั่งให้กลับไปรับราชการ และให้ดำเนินการให้ถูกต้องคือ ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง หากพบว่าผิดก็ให้ออกคำสั่งให้ออกจากราชการ โดยผู้อำนวยการสถานศึกษาที่มีอำนาจตามมาตรา 53

พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ส่วนการกลับเข้ามารับราชการนั้นผู้อำนวยการสถานศึกษาน่าจะเป็นผู้ออกคำสั่ง และต้องเสนอให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯพิจารณา

“การสั่งให้อดีตครูผู้ช่วยกลุ่มนี้เข้ารับราชการ มีการอภิปรายในที่ประชุม ก.ค.ศ.เช่นกันว่าจะเป็นมวยล้มต้มคนดูหรือไม่ ซึ่งส่วนตัวเห็นว่าไม่น่าห่วง เพราะหลักฐานต่างๆ จากดีเอสไอ และข้อมูลการวิเคราะห์คะแนนของคณะอนุกรรมการชุดที่นายชอบ ลีชอ เป็นประธาน ชัดเจนอยู่ เพียงแต่ทำให้ถูกขั้นตอนกระบวนการ โดยการตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง และให้เจ้าตัวมีโอกาสมาชี้แจง” นายสมเกียรติกล่าว

นายสานิตย์ พลศรี อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 1 กล่าวว่า เรื่องนี้เคยเสนอไว้ตั้งแต่แรกว่าควรตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงก่อนที่จะให้ครูผู้ช่วยออกจากราชการ จึงเห็นด้วยที่จะให้อดีตครูผู้ช่วยกลุ่มที่ถูกให้ออกจากราชการโดยที่ไม่มีการตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงกลับมารับราชการ แล้วตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ซึ่งตามขั้นตอนนั้นผู้อำนวยการสถานศึกษาที่ลงนามคำสั่งให้ครูผู้ช่วยออกจากราชการสามารถเพิกถอนคำสั่งได้ ทั้งนี้ การให้กลุ่มอดีตครูผู้ช่วยออกจากราชการกลับมารับราชการใหม่ ดูแล้วไม่ยุ่งยาก เพราะหากไม่ดำเนินการเช่นนี้คนที่จะโดนฟ้องก่อนคือผู้อำนวยการโรงเรียน ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่ฯ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ และ ก.ค.ศ.
ด้านนายสุบรรณ ประทุมทอง ผู้แทนครูและบุคลากรทางการศึกษา ในคณะกรรมการ ก.ค.ศ.กล่าวว่า กรณีที่สั่งให้ออกจากราชการโดยไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอน หากมีการร้องทุกข์และอุทธรณ์ และฟ้องศาลปกครอง คนกลุ่มนี้ต้องถูกสั่งให้กลับเข้ารับราชการอยู่ดี ดังนั้น การให้อดีตครูผู้ช่วยกลับเข้ารับราชการ และให้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง จึงเป็นแนวทางที่ถูกต้อง ทั้งนี้ ในการออกคำสั่งกลับเข้ารับราชการ ผู้มีอำนาจตามมาตรา 53 สามารถลงนามคำสั่ง และนำเข้าสู่การพิจารณาของ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯพิจารณาอนุมัติ

รายงานข่าวแจ้งว่า ในวันที่ 12 กันยายนนี้ ที่โรงแรมริชมอนด์ จ.นนทบุรี สำนักงาน ก.ค.ศ.จะประชุมชี้แจงกับเขตพื้นที่ฯ 119 เขต ในประเด็นการให้อดีตครูผู้ช่วยที่ถูกสั่งให้ออกจากราชการโดยไม่ถูกต้องตาม พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติฯ รวมทั้งจะชี้แจงกับเขตพื้นที่ฯที่อยู่ระหว่างการพิจารณาให้ครูผู้ช่วยออกจากราชการด้วย

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33963&Key=hotnews

คอลัมน์ : สถานีก.ค.ศ.: สรุปผลการประชุมสัมมนา อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา และ อ.ก.ค.ศ. ส่วนราชการ ภาคกลาง

2 กันยายน 2556

ประชาสัมพันธ์ สำนักงาน ก.ค.ศ.
ตามที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประธาน ก.ค.ศ. มอบหมายให้สำนักงาน ก.ค.ศ.จัดให้มีการประชุมสัมมนา อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา และ อ.ก.ค.ศ. ส่วนราชการ จำนวน 4 ครั้ง ใน 4 ภูมิภาค ซึ่งสำนักงาน ก.ค.ศ.ได้เคยนำเสนอกำหนดการประชุมสัมมนาฯ ในคอลัมน์นี้ไปแล้วนั้น

เมื่อวันที่ 20-22 สิงหาคมที่ผ่านมา สำนักงาน ก.ค.ศ.ได้จัดให้มีการประชุมสัมมนา อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา และ อ.ก.ค.ศ. ส่วนราชการ ภาคกลาง ไปแล้ว ณ โรงแรมอิมพีเรียล ควีนส์ปาร์ค กรุงเทพฯ โดยได้รับเกียรติจากนายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมสัมมนาฯ พร้อมทั้งมอบนโยบาย 8 ข้อ ให้กับ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา และ อ.ก.ค.ศ. ส่วนราชการ ในภาคกลาง นำนโยบายไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อผู้เรียนโดยเร็ว ซึ่งสรุปการมอบนโยบายในการประชุมสัมมนาโดยสังเขป คือ

จากอำนาจหน้าที่ของ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา และ อ.ก.ค.ศ. ส่วนราชการ ที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547 จะเห็นได้ว่า อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา และ อ.ก.ค.ศ. ส่วนราชการ มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการบริหารงานบุคคลในเขตพื้นที่การศึกษา ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ฝากประเด็นให้กับที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณา นำนโยบาย 8 ข้อ ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาไทยไปสู่การปฏิบัติ ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม และเชื่อมโยงกันทั้งระบบ ในประเด็นดังต่อไปนี้

1.การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนในเขตพื้นที่การศึกษา ให้สูงขึ้นได้อย่างไร โดยไม่มีความแตกต่างกันมากระหว่างโรงเรียนขนาดใหญ่ กับโรงเรียนขนาดเล็ก
2.จากความแตกต่างระหว่างผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนในโรงเรียนขนาดใหญ่ กับโรงเรียนขนาดเล็ก พบว่าอาจเป็นผลจากการขาดแคลนครูในสาขาวิชาที่เป็นเครื่องมือการเรียนรู้สำคัญๆ คือ ภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษ และการกระจุกตัวของครูในสาขาวิชาเหล่านี้ในโรงเรียนขนาดใหญ่ เพื่อการแข่งขันระหว่างโรงเรียนโดยละเลยการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของโรงเรียนขนาดเล็กในเขตพื้นที่การศึกษาเดียวกัน อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา หรือ อ.ก.ค.ศ. ส่วนราชการ ควรเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหานี้
3.ผู้ปกครองและเด็กนักเรียน ที่มีฐานะส่วนใหญ่ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการเรียนการสอนในระบบ โดยมุ่งไปที่โรงเรียนกวดวิชา เพื่อให้สอบแข่งขันเข้าเรียนในสถานศึกษาที่มีชื่อเสียงให้ได้ ในขณะที่นักเรียนที่อยู่ในถิ่นห่างไกลไม่สามารถที่จะไปเรียนกวดวิชาได้ ต้องมีการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียนให้มีคุณภาพให้ได้

ประการท้าทายเพื่อปรับทิศทางเป้าหมายการบริหารงานบุคคล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้เน้นย้ำว่า งานด้านการบริหารบุคคล ไม่ใช่เฉพาะการบริหารงานบุคคลเพื่อดูแลบุคคลอย่างเดียวโดยไม่สัมพันธ์กับการจัดการศึกษา ต้องมีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กันทั้งระบบ ให้นำไปสู่การรวมพลังยกระดับคุณภาพการศึกษาไทยให้ได้ ผลการประชุมใน ภาคอื่นๆ จะนำเสนอในโอกาสต่อไป

–มติชน ฉบับวันที่ 2 ก.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33938&Key=hotnews

ปี 57 เริ่มประเมินวิทยฐานะครูแนวใหม่

2 กันยายน 2556

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการประชุมปฏิบัติการการพัฒนาระบบการประเมินวิทยฐานะแนวใหม่ ซึ่งจัดโดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ประชุมได้เสนอแนวทางการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา มีและเลื่อนวิทยฐานะแนวใหม่ ด้วยการประเมินสมรรถนะ หรือ TPK Model ซึ่งจะประเมินสมรรถนะของผู้เข้ารับการประเมิน ทั้งสมรรถนะทางวิชาการ และสมรรถนะด้านการเรียนการสอนที่ส่งผลต่อคุณภาพของผู้เรียน โดยนำผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของนักเรียน ทั้งคะแนนแบบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน หรือโอเน็ต และการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน หรือเอ็นที มาเป็นตัวชี้วัดการสอนของครู อย่างไรก็ตามที่ประชุมได้แสดงความห่วงใยว่าหากจัดทำระบบการประเมินไม่ดี อาจส่งผลเสียต่อการเรียนการสอนในชั้นเรียน ให้กลายเป็นการเรียนการสอนเพื่อกวดวิชาโอเน็ตและเอ็นที

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่า การพัฒนาระบบวิทยฐานะแนวใหม่ เพราะต้องการให้เรื่องการประเมินวิทยฐานะ ไม่ใช่แค่เพื่อความก้าวหน้าและขวัญกำลังใจของครูแต่จะต้องเชื่อมโยงกับผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของนักเรียนโดยรวมด้วย ส่วนข้อห่วงใยเรื่องการกวดวิชาโอเน็ตและเอ็นทีนั้น การสอนของครูต้องเชื่อมโยงกับหลักสูตร และข้อสอบโอเน็ตและเอ็นทีก็ต้องออกตามหลักสูตร ซึ่งตนมองว่าจะเป็นการช่วยลดปัญหาที่นักเรียนต้องไปเรียนกวดวิชาไปในตัว และการกวดวิชาไม่ใช่สิ่งเลวร้าย หากเป็นการกวดวิชาเพื่อเพิ่มศักยภาพการเรียนของนักเรียน แต่การเรียนการสอนของครูในห้องเรียนต้องทำให้ดี เพื่อลดการกวดวิชาลง

ด้าน ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า ขณะนี้การประเมินวิทยฐานะตามหลักเกณฑ์เดิมยังไม่มีการยกเลิก เพียงแต่คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) รับหลักการให้มีการประเมินวิทยฐานะแนวใหม่ ด้วยการประเมินสมรรถนะเป็นอีกแนวทางหนึ่ง ซึ่งในปีการศึกษา 2557 จะมีการนำร่องการประเมินวิทยฐานะแนวใหม่ในสายการสอน 3 กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่มีความพร้อม ได้แก่ วิทยาศาสาสตร์ คณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ โดยจะเริ่มในช่วงชั้นที่มีเครื่องมืออยู่แล้ว คือ ป.3 ป.6 ม.3 และม.6 จากนั้นจะจัดทำเครื่องวัดและประเมินผลให้ครบทุกกลุ่มสาระและระดับชั้น เพื่อให้ใช้การประเมินแนวใหม่ได้ทั้งหมด.

–เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 2 ก.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33937&Key=hotnews

เปลี่ยนคำจบม.6 ใน 8 เดือน

2 กันยายน 2556

ตามที่ นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้มอบนโยบายแก่สำนักงานปลัด ศธ. เมื่อเร็ว ๆ นี้โดยได้พูดถึงโครงการยกระดับคุณภาพการศึกษา จบ ม.6 ใน 8 เดือน อย่างมีคุณภาพ ของสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) ซึ่งเห็นว่าเป็นโครงการที่ดี แต่การใช้คำว่า จบ ม.6 ใน 8 เดือน อาจทำให้คนยังเข้าใจผิดว่าถ้าอยากได้วุฒิ ม. 6 ให้มาเรียนกับ กศน.ใช้เวลาเพียง 8 เดือนก็ได้วุฒิ ม.6 แล้ว ง่ายกว่าการเรียนกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ได้จบง่าย ๆ อย่างที่คิด ดังนั้น จึงขอให้ กศน.มาใช้คำว่า “เทียบระดับการศึกษาขั้นสูงสุดการศึกษาขั้นพื้นฐาน”แทนคำว่า “จบ ม.6 ใน 8 เดือน”นั้น

นายประเสริฐ บุญเรือง เลขาธิการ กศน.กล่าวว่า เมื่อ รมว.ศธ. ต้องการให้ปรับถ้อยคำ กศน.ก็พร้อมที่จะดำเนินการ อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา ศธ.ได้มีการแก้กฎกระทรวงว่าด้วยการแบ่งระดับการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ให้สามารถเทียบระดับการศึกษาจากเทียบทีละชั้นมาเทียบแบบข้ามชั้นได้ ซึ่งเป็นโอกาสดีที่ให้คนมีประสบการณ์และประสบความสำเร็จในอาชีพได้นำความรู้และประสบการณ์เหล่านั้นมาเทียบระดับได้ และจากการประเมินเทียบระดับสูงสุดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เข้ามาทดสอบ พบว่า มีผู้ทำคะแนนสูงสุดในภาษาจีนได้ถึง 96 คะแนน และคอมพิวเตอร์ 80 คะแนน แสดงว่าคนที่เข้ามาเทียบระดับการศึกษาเป็นผู้มีความรู้อย่างแท้จริง

“ผมยืนยันว่าคนที่เข้ามาเทียบระดับกับ กศน.จะต้องมีความรู้ ความสามารถ และการจบต้องจบอย่างมีคุณภาพ เพราะต้องผ่านการทดสอบ 9 มาตรฐานวิชา ได้แก่ 1. การใช้คอมพิวเตอร์ 2. คณิตศาสตร์ในชีวิตประจำวัน 3. การบริหารธุรกิจเอสเอ็มอีได้ 4. ระบอบประชาธิปไตย 5. การบริหารจัดการชุมชน 6.การสนทนาภาษาอังกฤษหรือจีน 7. ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร 8. การวิจัยชุมชน และ 9. การจัดการอาหาร เพื่อครอบครัวและชุมชน โดยต้องผ่านในสัดส่วน 60% ในทุกมาตรฐาน” เลขาธิการ กศน. กล่าว.

–เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 2 ก.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33936&Key=hotnews