Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

ส่งเสริมเรียนรู้ภาษาจีนต่อกรกับโลกยุคใหม่

27 สิงหาคม 2556

จากประชากร 6,000 ล้านคนทั่วโลก มีคนที่พูดภาษาจีนมากถึง 1,050 ล้านคนเลยทีเดียว ประเทศจีนมีประชากรและมีบทบาทในสังคมโลก ทั้งในแง่การเติบโตและการแข่งขันทางเศรษฐกิจ ภาษาจีนกลางจึงกลายเป็นภาษาที่ทรงอิทธิพลภาษาหนึ่งของโลก กระทรวงศึกษาธิการของจีนสำรวจความสนใจของคนทั่วโลก พบว่ามีคนต่างชาติสนใจจะเรียนภาษาจีนกลางมากถึง 100 ล้านคนในปี 2015

เพื่อให้เยาวชนไทยก่อเกิดการเรียนรู้ และสร้างรากฐานความได้เปรียบทางภาษาพร้อมรับการแข่งขัน บริษัท นานมี จำกัด จัดโครงการประกวดทักษะภาษาจีนนานมี ครั้งที่ 3 ชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยเด็กไทยจะได้พัฒนาความรู้ทางด้านภาษาจีนอย่างรอบด้าน และเชื่อมความสัมพันธ์ ไทย-จีน ซึ่งเป็นมิตรประเทศกันมายาวนาน

คุณหญิงอารยา พิบูลนครินทร์ ราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี กล่าวว่า สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงตรัสว่า พระองค์ทรงศึกษาภาษาจีนมากว่า 30 ปี ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ทั้งประวัติศาสตร์จีน วรรณคดีหรือพงศาวดารจีนที่มีผู้แปลเป็นภาษาไทย เพราะการอ่านวรรณคดีหรือพงศาวดาร นอกจากจะทำให้มีความรู้แตกฉานในภาษาแล้ว ยังช่วยให้รอบรู้ปัญหาชีวิตและเข้าใจโลกได้ดี นอกจากนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงรักใคร่และผูกพันกับประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นอย่างมาก โดยเสด็จฯ เยือนจีนมาแล้วถึง 34 ครั้ง ตั้งแต่ปี 2524 อีกทั้งยังทรงศึกษาภาษาจีน ตลอดจนศิลปวัฒนธรรมจีน อย่างลึกซึ้งถึงแก่น จนได้รับพระสมัญญานามจากประเทศจีนให้ทรงเป็น “ทูตสันถวไมตรีไทย-จีน” โดยประชาชนชาวจีนเทิดทูนและยกย่องพระองค์ให้ทรงเป็นหนึ่งใน “มิตรที่ดีที่สุดในโลก” สื่อจีนกล่าวขวัญถึงพระองค์ว่า “เจ้าหญิง “ผู้ทรงรอบรู้เรื่องจีน” ทั้งได้ทรงพระราชนิพนธ์แปลวรรณกรรมจีนต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี

ปรีญาณี สุพุทธิพงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท นานมี จำกัด เปิดเผยว่า จัดโครงการนี้อย่างต่อเนื่องทุกปี เพื่อส่งเสริมและพัฒนาทักษะทางภาษาจีนแก่เยาวชนไทย ตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา ซึ่งในปีนี้มีนักเรียนนักศึกษาเข้าร่วมการประกวดกว่า 210 ทีม กว่า 500 คน จากสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ ซึ่งเชื่อว่าจะสร้างให้เด็กไทยมีความสามารถในการแข่งขัน มีพลังในการก้าวทันโลกอย่างทัดเทียมและรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมเรื่องคุณธรรมและจริยธรรม อาทิ ความกตัญญู ความเรียบง่าย ซึ่งสอดแทรกอยู่ในภาษา ปรัชญา โคลงกลอน นิทาน และบทเพลงของวัฒนธรรมจีน เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตให้ประสบความสำเร็จอย่างเป็นสุข

ด.ช.ชินธันย์ หลู หรือน้องนีโอ อายุ 8 ขวบ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จาก โรงเรียนนานาชาติไทยสิงคโปร์ ผู้ชนะการประกวดรับรางวัลยอดเยี่ยมระดับชั้นประถมต้น ได้รับถ้วยพระราชทานฯ เล่าว่า ได้เลือกท่องกลอนภาษาจีน ซึ่งเป็นเรื่องราวของความรักที่แม่มีต่อลูก เป็นบทกลอนที่ไพเราะและมีความหมายเตือนใจ ให้ลูกทุกคนนึกถึงความรักที่แม่มีให้ลูกเสมอ และหาทางตอบแทนบุญคุณ แสดงความกตัญญูเพื่อให้แม่มีความสุข การเตรียมตัวก่อนมาประกวดใช้เวลาพอสมควรในการทำความเข้าใจความหมายอย่างถ่องแท้ เพื่อให้การอ่านเป็นไปได้อย่างมีอารมณ์และความรู้สึก มีการเว้นจังหวะและออกเสียงสูงต่ำ เพื่อสร้างให้ผู้ฟังเกิดความสนใจ สิ่งที่อยากฝากไว้ในการเรียนภาษาจีนคือต้องขยัน หมั่นฝึกฝนออกเสียงอยู่เสมอ จะทำให้การเรียนภาษาจีนง่ายขึ้น

ด.ญ.พรปวีณ์ ฐิติชัยวรภัทร หรือน้องลิลลี่ อายุ 11 ปี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จากโรงเรียนประชาวิทย์ จ.ลำปาง ผู้ชนะรางวัลยอดเยี่ยมระดับประถมศึกษาตอนปลาย เล่าว่า เรียนภาษาจีนตั้งแต่ชั้นอนุบาล วันนี้เลือกการแสดงเล่านิทานจีน ซึ่งแม้จะเป็นนิทาน แต่ความยากอยู่ที่การถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกด้วยน้ำเสียงและท่าทาง นิทานจีนมักสอดแทรกข้อคิดและคติเตือนใจ ทำให้ผู้เล่าและผู้ฟังได้แง่มุมที่เป็นประโยชน์นำไปใช้ในชีวิตประจำวันด้วย สำหรับการเรียนภาษาจีนของคนไทยถือว่าได้เปรียบ เพราะภาษาจีนมีความคล้ายคลึงกับภาษาไทยที่มีวรรณยุกต์ และรูปประโยค ส่วนเคล็ดลับการเรียนภาษาจีนให้ได้ผลดี คือควรฝึกฝนกับเรื่องราวในชีวิตประจำวัน พูดกับคนรอบข้าง อ่านหนังสือ ฟังเพลงจีน และดูโทรทัศน์ช่องภาษาจีน จะทำให้เรียนรู้ภาษาจีนได้เร็วขึ้น หากโตขึ้นมั่นใจว่าจะได้ใช้ภาษาจีนแน่นอน เพราะที่บ้านเป็นโรงงานผลิตเซรามิกอยู่ที่ลำปาง ซึ่งต้องมีการค้าขายกับจีนและคนทั่วโลก จึงอยากนำความรู้ด้านภาษาจีนไปช่วยธุรกิจของที่บ้าน

โลกที่หมุนเร็วเพราะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จึงควรพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ โดยเฉพาะด้านภาษาเพื่อใช้ในการติดต่อสื่อสาร เพิ่มโอกาสในการแข่งขัน และยังสามารถเรียนรู้ชีวิตความเป็นอยู่ วัฒนธรรมอันดีงามระหว่างกันด้วย

ที่มา: หนังสือพิมพ์บ้านเมือง

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33874&Key=hotnews

ศธ.เร่งวางแผนทำไอทีเพื่อการศึกษา

27 สิงหาคม 2556

ศธ.เตรียมทำแผนระยะยาวปรับปรุงการการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการศึกษาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมผลักดันจัดตั้งสถาบันเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาให้เป็นองค์กรกลางในการกำหนดทิศทางนโยบายการใช้สื่อเทคโนโลยีพื่อการเรียนการสอน

วานนี้ (26ส.ค.) นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า ศธ.กำลังเตรียมทำแผนระยะยาวเพื่อปรับปรุงการการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการศึกษาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการศึกษา เป็นเรื่องที่มีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นกระแสทั้งโลก ซึ่งประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบจากกระแสนี้ และจะต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา ศธ. ได้มีการใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาในการจัดการเรียนการสอนมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณากันต่อไป คือ เรื่องของสื่อที่จะนำมาใช้กับแท็บเล็ต โดยปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มีสื่อที่ผลิตแล้ว 2 รูปแบบ คือแบบออฟไลน์ 5 วิชา ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และสังคมศึกษา ชั้นประถมศึกษาปีที่1-ป.3 จำนวน 2,310 บทเรียน ส่วนมัธยมศึกษาปีที่1 และม.3 มี 1,020 บทเรียน และยังมีแอพพลิเคชั่นสำหรับแท็บเล็ต ชั้น ป.2 วิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ 400 เรื่อง และที่กำลังพัฒนาของชั้น ป.2 ป.3 ใน 5 วิชาหลัก อีก 1,100 เรื่อง

นายจาตุรนต์ กล่าวต่อไปว่า สพฐ. ได้ทำวิจัยผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนที่ใช้แท็บเล็ตในปี 2554-2555 พบว่า นักเรียน ป.1 ในวิชาภาษาไทย มีคะแนนเพิ่มขึ้น 56.82 % คณิตศาสตร์ 55.45 % วิทยาศาสตร์ 56.14 % สังคม 52.95% วิชาศิลปะ 53.64 % การอาชีพ 54.55% สุขศึกษา 57.27% ส่วนภาษาอังกฤษ 62.05 และยังพบว่า การใช้แท็บเล็ตมีข้อดี คือ เด็กสนุกสนาน มีแรงจูงใจในการเรียน และช่วยให้เด็กที่เรียนรู้ช้า หรือเด็กพิเศษมีพัฒนาการที่ดีขึ้นแต่สิ่งที่เป็นปัญหา คือ เนื้อหาในแท็บแล็ตส่วนใหญ่ยังเหมือนในหนังสือเรียน มีปัญหาทางเทคนิค เช่น แบตเตอรี่หมดเร็ว เครื่องร้อน เป็นต้น และหลายพื้นที่ยังไม่มีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง เช่น ภาคใต้ และปัญหาที่ครูบางส่วนยังไม่มีแท็บแล็ต และไม่มีทักษะด้านไอซีทีทำให้ไม่สามารถสอนนักเรียนได้

“ขณะนี้ทราบว่า มีการผลิตครูเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาไว้แล้วจำนวนมาก แต่ยังติดปัญหาเรื่องอัตราบรรจุ และที่สำคัญติดเรื่องใบประกอบวิชาชีพ เพราะฉะนั้นจะต้องมีการกำหนดวิสัยทัศน์ให้ชัดเจนว่าต่อไปจะต้องมีครูเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา โรงเรียนละ 1 คน ดังนั้นต่อไปจะต้องมีครูเทคโนโลยีฯ เพิ่มกว่าหมื่นคน“ นายจาตุรนต์กล่าว

ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่าการพัฒนาครูมีส่วนสำคัญกับการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้อย่างจริงจัง เพื่อแก้ปัญหาขาดครูทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ ซึ่งหากมีการใช้เทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสมแล้ว แนวคิดการใช้ครู 1 คนต่อนักเรียน 25 คน ก็อาจปรับเปลี่ยนไป โดยอาจใช้ระบบการสอนทางไกล ซึ่งสามารถใช้ครู 1 คนต่อนักเรียน 1,000 คนได้ โดยศธ.จะต้องกำกับดูแลการเรียนการสอนทางไกลให้บรรลุผลอย่างแท้จริง ซึ่งที่ผ่านมาเคยมีการเสนอให้จัดตั้งสถาบันเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาเพื่อเป็นองค์กรกลางในการกำหนดทิศทางนโยบายการใช้สื่อเทคโนโลยีการเรียนการสอน แต่ยังไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร เพราะการจัดตั้งสถาบันดังกล่าวจะเป็นการรวมหน่วยงานหลายแห่งเข้าด้วยกันเป็นองค์การมหาชนดังนั้นภารกิจหลักของศธ.จะต้องเร่งผลักดันจัดตั้งสถาบันนี้ขึ้นมาให้ได้ เพื่อให้การพัฒนาสื่ออิเลคทรอนิกส์เดินหน้าต่อไปได้

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33871&Key=hotnews

27 สิงหาคม 2556

อธิการฯ หนุนจัดอันดับมหา’ลัย ปธ.ทปอ.ขอ ‘เกณฑ์กลาง-ไม่เพิ่มภาระ’ ‘ประสาท’ แนะแบ่ง 3 กลุ่ม – ห่วงแตกแยก

นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยถึงกรณีที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิ (ศธ.) มีนโยบายที่จะจัด อันดับมหาวิทยาลัยไทย เพื่อให้มหาวิทยาลัยแข่งขันและพัฒนาคุณภาพให้ใกล้เคียงกันว่า ปัจจุบันมีหลายหน่วยงานจัดอันดับมหาวิทยาลัยอยู่แล้ว ทั้งในระดับโลก ระดับภูมิภาค และระดับประเทศ วิธีการจัดอันดับของแต่ละหน่วยงานก็จะมีตัวชี้วัดไม่เหมือนกัน อาทิ ของ Quacquarelli Symonds หรือ QS ก็จะให้คะแนนความมีชื่อเสียงของมหาวิทยาลัย หรือ Times Higher Education ก็จะเน้นจำนวนงานวิจัย ดังนั้น ถ้ารัฐบาลจะจัดอันดับมหาวิทยาลัยในประเทศไทย ส่วนตัวก็เห็นด้วย แต่อยากให้ระวัง 2 เรื่อง คือ การจัดอันดับจะต้องหาเกณฑ์ที่เป็นกลาง เพราะถ้าเกณฑ์มีความแตกต่างกันมากเกินไป ก็จะส่งผลที่แตกต่างกัน อาทิ เน้นเรื่องงานวิจัยมากๆ มหาวิทยาลัยที่เน้น ทางวิทยาศาสตร์ ก็จะได้เปรียบกว่ามหาวิทยาลัยทางสังคม เน้นความมีชื่อเสียง มหาวิทยาลัยเก่าแก่ก็จะได้เปรียบมหาวิทยาลัยใหม่ๆ ขณะเดียวกันจะต้องเป็นเกณฑ์ที่ได้รับการยอมรับจากมหาวิทยาลัยด้วย อีกประการหนึ่งคือ ไม่ควรให้มหาวิทยาลัยต้องกรอกเอกสารตัวชี้วัดต่างๆ มากเกินไป เพราะขณะนี้มหาวิทยาลัยต้องกรอกเอกสารให้หน่วยงานต่างๆ จนไม่มีเวลา ทำงานแล้ว หรือถ้าเป็นไปได้ ควรจะนำข้อมูลการศึกษาจากแหล่งที่มีอยู่แล้วมาใช้ประกอบการจัด อันดับ

นายประสาท สืบค้า อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) กล่าวว่า ตนไม่เห็นด้วยถ้าจะมีการจัดอันดับภาพรวมมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ เพราะแต่ละแห่งมีความเข้มแข็งและความถนัดแตกต่างกัน จะมาแข่งขันกันไม่ได้ อีกทั้งจะไม่ยุติธรรม แต่ถ้ามีการแบ่งกลุ่มมหาวิทยาลัยให้ชัดเจนอย่างน้อย 3 กลุ่ม คือ กลุ่มวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กลุ่มสังคมศาสตร์ และกลุ่มมหาวิทยาลัยสมบูรณ์แบบ มีตัวชี้วัดที่ดีและเป็นธรรม หรือจะจัดอันดับเป็นรายโปรแกรมวิชา/คณะ ตนก็สนับสนุนและคิดว่าน่าจะดี เพราะจะทำให้การวัดหรือจัดอันดับแม่นยำ แต่ถ้าจะจัดอันดับกันจริง ต้องมาดูว่าจะจัดอย่างไรให้เป็นเอกภาพ อย่าให้เกิดการแตกแยก และอิจฉากัน นอกจากนี้ ข้อมูลที่เก็บมานั้นต้องน่าเชื่อถือ ทันสมัย และไม่ไปขัดแย้งกับข้อมูลของหน่วยงานต่างๆ ที่นำไปวัดและประเมินมหาวิทยาลัย เช่น ข้อมูลจากสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) เป็นต้น

นายชูศักดิ์ ลิ่มสกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) กล่าวว่า ส่วนตัวไม่ขัดข้อง ถ้าจะมีการจัดอันดับมหาวิทยาลัยไทย เพราะขณะนี้มีหน่วยงานต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศก็จัดอันดับมหาวิทยาลัยไทยอยู่แล้ว แต่เกณฑ์หรือตัวชี้วัดในการจัดอันดับต้องชัดเจน และที่สำคัญจัดอันดับเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาของมหาวิทยาลัย ชี้สถานะของมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งอยู่จุดไหน และต้องช่วยยกระดับคุณภาพจริงๆ โดยใครอ่อนแอด้านไหน ต้องเสริมให้เข้มข้นขึ้น

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33879&Key=hotnews

สสวท.วอนเอกชนขยายกิจกรรมเพื่อสังคมด้านการศึกษา

27 สิงหาคม 2556

สสวท.วอนเอกชนถ่ายทอดองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญเพื่อร่วมพัฒนาคุณภาพเยาวชนของชาติผ่านกิจกรรมซีเอสอาร์ หรือกิจกรรมความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร

วานนี้ (26 ส.ค.) ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.มนตรี จุฬาวัฒนฑล ประธานกรรมการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า ปี 2558 เป็นยุคประชาคมอาเซียน (ASEAN Community – AC) ซึ่งจะมีการเคลื่อนย้ายเสรีของแรงงานวิชาชีพ อาทิ วิศวกร นักสำรวจ สถาปนิก แพทย์ พยาบาล ฯลฯ ดังนั้นประเทศไทยจึงจำเป็นต้องเร่งปรับยุทธศาสตร์การจัดการการศึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโดยเน้นความรู้ และทักษะที่เหมาะสมกับการประกอบอาชีพ โดยพัฒนาระบบการศึกษาในปัจจุบันให้เป็นระบบสะเต็มศึกษา หรือแนวทางการจัดการศึกษาที่เป็นการบูรณาการวิทยาศาสตร์ วิศวกรรม เทคโนโลยี และคณิตศาสตร์ โดยเน้นการนำความรู้ไปใช้แก้ปัญหาในชีวิตจริง
ประธานกรรมการสสวท.กล่าวต่อไปว่า ในการพัฒนาการศึกษาวิทยาศาสตร์ของไทยนั้น สิ่งจำเป็นสำคัญอย่างหนึ่งคือ การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน โดยทั้งภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และเอกชนควรมีบทบาทเข้ามาร่วมจัดสะเต็มศึกษา เพราะหน่วยงานเหล่านี้จะเป็นผู้ใช้ผู้ที่สำเร็จการศึกษาสายสามัญ สายอาชีวะ และอุดมศึกษาในการปฏิบัติงานเกี่ยวการผลิต การแปรรูป และการขนส่งสินค้าจากภาคเกษตร อุตสาหกรรม การก่อสร้าง และการรักษาความมั่นคง ดังนั้นรัฐจึงควรออกมาตรการทางกฎหมาย ส่งเสริม หรือให้สิทธิประโยชน์เพื่อชักนำให้บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในการปฏิบัติงานในสายวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในหน่วยงานต่างๆ มีโอกาสมาช่วยแนะนำผู้เรียน และช่วยครูให้สามารถแนะนำผู้เรียนทำโครงงานวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับกิจการของหน่วยงาน และให้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินกิจกรรมความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร หรือ ซีเอสอาร์ (Corporate Social Responsibility : CSR )”

“บริษัทเอกชนหลายแห่งมีทั้งองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญ มีนักวิทยาศาสตร์เฉพาะด้าน และมีผลงานวิจัยโดดเด่นซึ่งขณะนี้ สสวท. ได้มีจุดเริ่มต้นที่ดีกับบริษัทเอกชนหลายแห่งที่ยื่นมือเข้ามาสนับสนุนด้านวิทยาศาสตร์ศึกษา เช่น บริษัทอินเทลไมโครอิเล็กทรอนิกส์ที่ให้การสนับสนุนผลักดันสเต็มศึกษาสู่ผู้บริหารสถานศึกษาในอาเซียน เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่การศึกษาไทย และการศึกษาในประชาคมอาเซียน หรือบริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) ที่เข้ามาร่วมผลิตสื่อเรียนรู้ “วิทยาศาสตร์กับความงาม” สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นทั่วประเทศ ซึ่งการที่เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมผ่านการทำซีเอสอาร์ถือว่ามีความสำคัญและจำเป็นมาก” ประธานกรรมการ สสวท. กล่าว

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33870&Key=hotnews

มหา’ลัยไม่ขัด “จาตุรนต์” จัดอันดับ แนะวางเกณฑ์ให้ชัด

27 สิงหาคม 2556

มหา’ลัย ไม่ขัดแนวคิด “จาตุรนต์” ให้จัดอันดับ แต่เสนอควรวางเกณฑ์ให้ชัด และจัดกลุ่มประเภทอย่าเหมารวม โดยเฉพาะอย่าสร้างภาระในการเก็บรวบรวมข้อมูลให้ใช้ร่วมกันได้

ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวถึงกรณีที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการศึกษาธิการ (ศธ.) มีนโยบายที่จะจัดอันดับมหาวิทยาลัยไทย เพื่อให้มหาวิทยาลัยแข่งขันและพัฒนาคุณภาพใกล้เคียงกัน ขณะเดียวกันบอกสังคมให้ได้รับรู้ว่ามหาวิทยาลัยแต่ละแห่งเน้นการเรียนการสอนทางด้านใด และอยู่ในอันดับที่เท่าไหร่ของประเทศนั้น ว่าปัจจุบันมีหลายหน่วยงานจัดอันดับมหาวิทยาลัยอยู่แล้วทั้งในระดับโลก ระดับภูมิภาค และระดับประเทศ ทั้งนี้ วิธีการจัดอันดับของแต่ละหน่วยงานก็จะมีตัวแปรไม่เหมือนกัน อาทิ ของ Quacquarelli Symonds หรือ QS ก็จะให้คะแนนความมีชื่อเสียงของมหาวิทยาลัย หรือของนิตยสาร TIMES ที่มีการจัดอันดับโยมีหลักเกณฑ์เฉพาะในการเช่นกัน

“หากรัฐบาลจะจัดอันดับมหาวิทยาลัยในประเทศไทยส่วนตัวก็เห็นด้วย แต่อยากให้ระวัง 2 เรื่อง คือ การจัดอันดับจะต้องหาเกณฑ์ที่เป็นกลาง เพราะถ้าเกณฑ์มีความแตกต่างกันมากเกินไป ก็จะส่งผลที่แตกต่างกัน อาทิ เน้นเรื่องงานวิจัย มาก ๆ มหาวิทยาลัยที่เน้นทางวิทยาศาสตร์ก็จะได้เปรียบกว่ามหาวิทยาลัยทางสังคม เน้นชื่อเสียง มหาวิทยาลัยเก่าแก่ก็จะได้ เปรียบมหาวิทยาลัยใหม่ ๆ ขณะเดียวกันจะต้องเป็นเกณฑ์ที่ได้รับการยอมรับจากมหาวิทยาลัยด้วย และที่สำคัญ ไม่ควรให้มหาวิทยาลัยต้องกรอกเอกสารตัวชี้วัดต่าง ๆ มากเกินไป เพราะขณะนี้มหาวิทยาลัยต้องกรอกเอกสารให้หน่วยงานต่าง ๆ จนไม่มีเวลาทำงาน หรือถ้าเป็นไปได้ ควรจะนำข้อมูลจากแหล่งที่มีอยู่แล้วมาใช้”ศ.ดร.สมคิด กล่าว

ด้าน ศ.ดร.ประสาท สืบค้า อธิการบดีมหาวิทาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) กล่าวว่า ตนไม่เห็นด้วยถ้าจะมีการจัดอันดับภาพรวมมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ เพราะแต่ละแห่งมีความเข้มแข็งและความถนัดแตกต่างกันจะมาแข่งขันกันไม่ได้ อีกทั้งจะไม่ยุติธรรม ดังนั้น ต้องจัดกลุ่มมหาวิทยาลัยให้ชัดเจนอย่างน้อย 3 กลุ่ม คือ กลุ่มวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กลุ่มสังคมศาสตร์ และกลุ่มมหาวิทยาลัยสมบูรณ์แบบ มีตัวชี้วัดที่ดีและเป็นธรรม หรือจะจัดอับดับเป็นรายโปรแกรมวิชา คณะตนก็สนับสนุนและคิดว่าน่าจะดี เพราะจะทำให้การวัดหรือจัดอันดับแม่นยำ แต่ถ้าจะจัดอันดับกันจริงต้องมาดูว่าจะจัดอย่างไรให้เป็นเอกภาพ อย่าให้เกิดการแตกแยก และอิจฉากัน นอกจากนี้ ข้อมูลที่เก็บมานั้นต้องน่าเชื่อถือ ทันสมัย และไม่ไปขัดแย้งกับข้อมูลของหน่วยงานต่าง ๆที่นำไปวัดและประเมินมหาวิทยาลัย เช่นข้อมูลจากสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา(สมศ.) สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) เป็นต้น

ขณะที่ รศ.ดร.ชูศักดิ์ ลิ่มสกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์( ม.อ.) กล่าวว่า ส่วนตัวไม่ขัดข้องถ้าจะมีการจัดอันดับมหาวิทยาลัยไทย เพราะขณะนี้ก็มีหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศก็จัดอันดับมหาวิทยาลัยไทยอยู่แล้ว แต่เกณฑ์หรือตัวชี้วัดในการจัดอันดับต้องชัดเจน และที่สำคัญจัดอันดับ เพื่อพัฒนาคุณการศึกษาของมหาวิทยาลัย ชี้สถานะของมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งอยู่จุดไหน และต้องช่วยยกระดับคุณภาพจริง ๆโดยใครอ่อนแอด้านไหนต้องเสริมให้เข้มข้นขึ้น

–ASTVผู้จัดการออนไลน์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33869&Key=hotnews

สพฐ.แจงอบรมศีลธรรมครู รร.ในฝัน ไม่บังคับต้องวัดพระธรรมกาย

27 สิงหาคม 2556

นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวชี้แจงกรณีข้าราชการครู ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ร้องเรียนกับมูลนิธิแห่งหนึ่งว่า ได้รับความเดือดร้อนจากคำสั่ง สพฐ.ให้เข้าร่วมกิจกรรมการประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติธรรม โครงการโรงเรียนในฝัน รุ่นครูทั้งโรงเรียน ซึ่งระบุให้อบรมจริยธรรมกับเครือข่ายวัดพระธรรมกาย ว่า โครงการนี้ สพฐ.ได้จัดร่วมกับพระสังฆาธิการทั่วประเทศ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น มูลนิธิและเปรียญธรรมสมาคมแห่งประเทศไทยฯ และมูลนิธิพัฒนาการศึกษาเพื่อศีลธรรม ซึ่งเป็นการอบรมปฏิบัติธรรมที่วัด สำนัก หรือศูนย์ ทุกภูมิภาคจำนวน 52 แห่งทั่วประเทศ โดยต้องการเน้นให้ครูทุกคนมีบทบาทในการส่งเสริมศีลธรรม

“กรณีที่บอกว่ามีการสั่งให้หยุดเรียนเพื่อให้ครูมาร่วมโครงการนั้น ขอชี้แจงว่าเป็นเรื่องที่ทางโรงเรียน และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) ต้องหารือถึงความเหมาะสม และต้องไม่กระทบต่อการเรียนการสอน ทั้งนี้ ผมยืนยันว่าโครงการนี้เป็นการพัฒนาครู เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดี เป็นการพัฒนาผู้เรียนให้มีอีคิว (EQ) ตลอดจนพฤติกรรมความประพฤติที่พึงประสงค์ ซึ่งที่ผ่านมาเรามักจะโยนความรับผิดชอบให้ครูเพียงคนเดียว สุดท้ายแล้วก็ไม่มีพลังที่จะแก้ไขปัญหา ดังนั้นหากครูทั้งโรงเรียนได้เข้าอบรมศีลธรรม ก็น่าจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น”นายชินภัทร กล่าว

ที่มา: http://www.siamrath.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33867&Key=hotnews

รัฐบาลพัฒนา “ศูนย์เด็กเล็ก-รร.อนุบาลกว่า 46,000 แห่ง” ปลอดโรค สุขภาพเด็กดี พัฒนาการครบถ้วน

27 สิงหาคม 2556

รัฐบาลไทย เร่งลงทุนสร้างคุณภาพเด็กปฐมวัยไทยอายุต่ำกว่า 5 ขวบ ที่มีปีละกว่า 6 ล้านคน ให้เติบโต เป็นทรัพยากรมนุษย์รุ่นใหม่ มีสุขภาพกาย-จิตดี มีไอคิว อีคิวสูง เพียบพร้อมด้วยคุณธรรม จริยธรรม โดยพัฒนาศูนย์เด็กเล็กและโรงเรียนอนุบาลที่มีทั่วประเทศกว่า 46,000 แห่ง ให้เป็นสถานที่ปลอดโรค มีคุณภาพมาตรฐาน ทั้งด้านโภชนาการ พัฒนาการ วิชาการ ตั้งเป้าดำเนินการครบ 100 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2563

วานนี้ (26สิงหาคม 2556) นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายแพทย์ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และผู้บริหารจากกระทรวงต่างๆ ร่วมเปิดตัวโครงการรณรงค์ “การป้องกันควบคุมโรคและภัยสุขภาพในศูนย์เด็กเล็กและโรงเรียนอนุบาลคุณภาพ – ปลอดโรค ปี 2556” ที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลเมืองบางบัวทอง (วัดบางไผ่) ต.บางรักพัฒนา อ. บางบัวทอง จ. นนทบุรี

นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายดูแลประชาชนชาวไทยตลอดช่วงชีวิต ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา เด็กปฐมวัย วัยเรียน วัยทำงาน และวัยสูงอายุ โดยในกลุ่มเด็กปฐมวัยอายุต่ำกว่า 5ปี ที่มีปีละประมาณ 6ล้านคน เป็นช่วงวัยที่สำคัญที่สุดของการเจริญเติบโตและพัฒนาการทุกๆ ด้าน ถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่เป็นจุดเริ่มต้นของการวางรากฐานคุณภาพชีวิต จิตใจ ของบุคคลเมื่อเป็นผู้ใหญ่ ให้เป็นทรัพยากรที่มีค่าของประเทศ เป็นกำลังหลักในการพัฒนาประเทศสืบไป จึงมีนโยบายเร่งยกระดับคุณภาพชีวิตเด็กกลุ่มนี้ ให้ได้รับการพัฒนาครอบคลุม ครบทุกด้านทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ คุณธรรม จริยธรรม อย่างมีคุณภาพและต่อเนื่อง เปรียบเสมือนเป็นการลงทุน เพื่ออนาคตของประเทศ

การดำเนินการตามนโยบายดังกล่าว รัฐบาลจะเร่งยกมาตรฐานศูนย์เด็กเล็กที่มีประมาณ 20,000แห่ง และโรงเรียนอนุบาลทั่วประเทศที่มีประมาณ 26,000แห่ง รวม 46,000แห่ง เป็นสถานที่ปลอดโรคติดต่อ มีความปลอดภัยต่อเด็ก เด็กได้รับการดูแลเลี้ยงดูตามหลักวิชาการ ทั้งเรื่องโภชนาการ ความสะอาด พัฒนาการสติปัญญา อารมณ์สังคม สร้างความมั่นใจให้ผู้ปกครอง ในการนำบุตรหลานเข้ามาสู่ระบบศูนย์เด็กเล็กและโรงเรียนอนุบาล เตรียมพร้อมก่อนเข้าสู่ระบบการศึกษาสมบูรณ์แบบ โดยได้ให้ 3กระทรวงหลักที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงศึกษาธิการ ทำงานบูรณาการกันอย่างต่อเนื่อง

ด้านนายแพทย์ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การพัฒนาศูนย์เด็กเล็กและโรงเรียนอนุบาลต่างๆ ให้ปลอดโรคและน่าอยู่ เป็นเรื่องที่มีความสำคัญและจำเป็นมาก เนื่องจากถือเป็นบ้านหลังที่ 2ของเด็ก และเด็กใช้ชีวิตช่วงกลางวันร่วมกัน หากเด็กคนใดคนหนึ่งเจ็บป่วยด้วยโรคติดต่อ เช่น โรคไข้หวัด โรคมือ เท้า ปาก โรคอุจจาระร่วง เป็นต้น จะติดกันง่ายและรวดเร็ว ทำให้เด็กต้องหยุดเรียน และอาจมีผลต่อการเจริญเติบโตร่างกายและสมองได้ ในการพัฒนาครั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้บูรณาการงาน 3กรม ได้แก่ กรมควบคุมโรค กรมอนามัย และกรมสุขภาพจิต เพื่อดูแลเด็ก ทั้งเรื่องความสะอาดสถานที่ โภชนาการ เครื่องเล่นเด็กที่กระตุ้นพัฒนาเด็ก การป้องกันโรค โดยเน้น 5โรคที่พบบ่อยในเด็กเล็ก ได้แก่ ไข้หวัดซึ่งเด็กป่วยบ่อยที่สุด

ในเขตเมืองพบเฉลี่ยคนละ 5-8ครั้งต่อปี ในเขตชนบทเฉลี่ยละ 3-5ครั้งต่อปี รองลงมาคือ โรคมือเท้าปาก โรคสุกใส โรคตาแดง และโรคอุจจาระร่วง โดยอบรมครูพี่เลี้ยงและจัดทำคู่มือการดูแลเด็กเบื้องต้น ในปี 2556นี้ ดำเนินการในศูนย์เด็กเล็กครบ 100เปอร์เซ็นต์แล้ว จะเริ่มดำเนินการในโรงเรียนอนุบาลต่อไป ตั้งเป้าครบ 100เปอร์เซ็นต์ภายในพ.ศ. 2563

ทางด้านนายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากการติดตามและประเมินผลโครงการศูนย์เด็กเล็กปลอดโรค ของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2552เป็นต้นมา พบว่าได้ผลดี ส่งผลให้การระบาดของโรคไข้หวัดลดลงจากร้อยละ 25เหลือเพียงร้อยละ 9และยังสามารถตรวจจับสัญญาณของโรคระบาดและควบคุมไม่ให้โรคแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็วขึ้น นอกจากนี้ โครงการฯ ยังเป็นการปลูกฝังและวางรากฐานเรื่องการดูแลสุขภาพอนามัยที่ดีและถูกต้อง แก่เด็กตั้งแต่เยาว์วัยติดตัวไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ ทั้งนี้ ในการพัฒนาศูนย์เด็กเล็กและโรงเรียนอนุบาลปลอดโรค จะเน้นยุทธศาสตร์ 3ดี คือ 1.ครูและพี่เลี้ยงเด็กมีสุขภาพดี และความรู้ดี 2.มีระบบริหารจัดการดี และ3.สภาพแวดล้อมในศูนย์เด็กเล็ก/โรงเรียนอนุบาลดี สะอาด ทุกแห่งต้องมีระบบการตรวจคัดกรองเฝ้าระวังเด็กป่วย เพื่อป้องกันไม่ให้แพร่เชื้อสู่เด็กปกติ ส่วนเด็กจะต้องมีสุขภาพดี มีพฤติกรรมสุขภาพถูกต้อง เช่นล้างมือก่อนรับประทานอาหาร และล้างหลังใช้ห้องน้ำห้องส้วม เป็นต้น หากทุกแห่งผ่านการประเมินขั้นต้น จะได้รับการรับรองให้เป็นศูนย์เด็กเล็กหรือโรงเรียนอนุบาลปลอดโรค

อนึ่งในวันนี้ ได้มีการลงนามประกาศเจตนารมย์การดำเนินงานศูนย์เด็กเล็กและโรงเรียนอนุบาลคุณภาพ-ปลอดโรค ภายในปี 2563 ระหว่างกระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุข รวมทั้งมอบโล่ประกาศเกียรติคุณและเชิดชูศูนย์เด็กเล็กที่มีการดำเนินงานดีเด่นจากทั่วประเทศ จำนวน 20 แห่ง ประกอบด้วยสังกัดองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) 10 แห่ง และสังกัดกัดเทศบาลเมืองและเทศบาลตำบล 10 แห่งด้วย

ที่มา: http://www.thanonline.com

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33866&Key=hotnews

ฟื้นจัดอันดับมหา’ลัยไทยกระตุ้นแข่งขัน

26 สิงหาคม 2556

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ตนได้มอบนโยบายให้แก่คณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) ชุดใหม่ ที่มี รศ.ดร.คุณหญิงสุมณฑา พรหมบุญ เป็นประธาน โดยตนเสนอให้มีการจัดอันดับมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ เพื่อต้องการกระตุ้นให้มหาวิทยาลัยเกิดการแข่งขันและพัฒนาคุณภาพขึ้นมาให้ใกล้เคียงกัน ขณะเดียวกันจะเป็นการบอกสังคมให้ได้รับรู้ว่า

มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งเน้นการเรียนการสอนทางด้านใด และอยู่ในอันดับที่เท่าใดของประเทศ ซึ่ง กกอ.ส่วนใหญ่ก็เห็นด้วย แต่มีข้อเสนอแนะว่าการจัดอันดับจะต้องมีการแบ่งมหาวิทยาลัยเป็นกลุ่มต่าง ๆ ให้ชัดเจน อาทิ มหาวิทยาลัยวิจัย หรือมหาวิทยาลัยด้านเทคโนโลยี เป็นต้น ส่วนหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่จะนำมาใช้ในการจัดอันดับมหาวิทยาลัยจะต้องอิงมาตรฐานสากลด้วย

“ก่อนที่จะมีการจัดอันดับ ต้องทำให้ทุกฝ่ายเข้าใจให้ตรงกันก่อนว่า ต้องการให้มหาวิทยาลัยเกิดการพัฒนาตนเอง และถ้ามีการพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นก็จะมีผลต่อทรัพยากรและงบประมาณที่จะได้รับเพิ่มด้วย อย่างไรก็ตามผมจะเร่งให้เกิดการจัดอันดับโดยเร็วที่สุด และจะต้องมีการตั้งคณะทำงานเพื่อมาดูแลเรื่องนี้โดยตรง นอกจากนี้ผมยังฝากให้ทาง กกอ. ไปช่วยคิดแนวทางการดำเนินงานของกองทุนเงินกู้ยืมที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) เนื่องจากปัจจุบันการดำเนินการของกองทุนฯ ยังไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ทำให้ไม่เกิดประโยชน์กับเด็กอย่างแท้จริง” นายจาตุรนต์ กล่าวและว่า กกอ. ชุดนี้ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งมีประสบการณ์ด้านอุดมศึกษา อีกทั้งยังสามารถสื่อสารและเป็นที่ยอมรับของคนอุดมศึกษา ดังนั้นเชื่อว่าจะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนงานของอุดมศึกษาได้เป็นอย่างดี เนื่องจากตนไม่สามารถสั่งการอุดมศึกษาหรือมีมาตรการอะไรไปบังคับได้ แต่ทุกอย่างต้องใช้เหตุและผล

ศ.(พิเศษ)ดร.ภาวิช ทองโรจน์ ผู้ช่วย รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า วัตถุประสงค์ของ กรอ.ต้องการสร้างโอกาสทางการศึกษาให้เท่าเทียมแก่ทุกคน โดยกำหนดว่าจะปล่อยกู้ในสาขาที่ขาดแคลนและสอดคล้องกับสถานการณ์ของประเทศ และต้องมีการศึกษาถึงต้นทุนในการผลิตบัณฑิตแต่ละสาขาที่แท้จริงว่าเป็นอย่างไร และเมื่อเรียนจบผู้กู้จะต้องชำระเงินคืนเมื่อมีรายได้เพียงพอ และไม่เป็นภาระกับการครองชีพ ขณะเดียวกันการชำระเงินคืนจะเชื่อมโยงผ่านระบบภาษี แต่ปัจจุบันถึงแม้ว่าจะปล่อยกู้ในสาขาที่ขาดแคลนจริง แต่ก็ไม่ได้มีการศึกษาว่าแต่ละปีประเทศมีความต้องการบัณฑิตในแต่ละสาขาจำนวนเท่าใด จนทำให้ผลิตบัณฑิตเกินความต้องการในบางสาขา

ด้าน นายอภิชาติ จีระวุฒิ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) กล่าวว่า ที่ผ่านมาสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) มีข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของ กรอ.เดิมอยู่แล้ว และเมื่อ รมว.ศึกษาธิการต้องการให้มีการขับเคลื่อนเรื่องดังกล่าว สกอ.จะมาดูรายละเอียดต่าง ๆ อีกครั้ง เพื่อดำเนินการตามนโยบาย ต่อไป.

–เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 27 ส.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33859&Key=hotnews

คอลัมน์ : สถานี ก.ค.ศ. : เกณฑ์เชิงประจักษ์ฉบับใหม่(จบ)

26 สิงหาคม 2556

จรุงรัตน์ เคารพรัตน์
ผอ.ภารกิจระบบตำแหน่งและวิทยฐานะที่ 1
สัปดาห์ที่แล้วนำเสนอสาระสำคัญของหลักเกณฑ์และวิธีการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้มีผลงานดีเด่นที่ประสบผลสำเร็จเป็นที่ประจักษ์มีวิทยฐานะหรือเลื่อนเป็นวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ และวิทยฐานะเชี่ยวชาญ ทุกตำแหน่ง ซึ่ง ก.ค.ศ.กำหนดใหม่ไปแล้ว 4 ข้อ วันนี้จะขอนำเสนอสาระสำคัญของหลักเกณฑ์ที่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาควรรู้ ต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่แล้ว ดังนี้

5.มีข้อเสนอในการพัฒนางานที่ต่อยอดจากผลงานดีเด่นที่สอดคล้องกับสาขา/สาขาวิชา/กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่ขอรับการประเมิน จำนวน 1 เรื่อง โดยข้อเสนอในการพัฒนางานต้องมีองค์ประกอบ 4 ประการ คือ ประเด็นในการพัฒนา เป้าหมายในการพัฒนา วิธีการพัฒนา แนวทางการตรวจสอบและประเมินผลการพัฒนา

6.ผลงานดีเด่นที่ใช้ในการขอมีหรือเลื่อนเป็นวิทยฐานะชำนาญการพิเศษและวิทยฐานะเชี่ยวชาญที่ได้รับการอนุมัติไปแล้ว ไม่สามารถนำมาเสนอเพื่อขอรับการประเมินเพื่อให้มีหรือเลื่อนวิทยฐานะได้อีก

7.ต้องผ่านการประเมิน 3 ด้าน คือด้านที่ 1 ด้านวินัย คุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพ ด้านที่ 2 ด้านความรู้ความสามารถ และด้านที่ 3 ด้านผลการปฏิบัติงาน ซึ่งประกอบด้วย 3 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 ผลการพัฒนาคุณภาพการปฏิบัติงานตามหน้าที่และความรับผิดชอบ ส่วนที่ 2 ผลงาน ดีเด่นที่ประสบผลสำเร็จเป็นที่ประจักษ์ และส่วนที่ 3 ผลงานทางวิชาการ การพัฒนางานตามข้อตกลง

8.ต้องผ่านเกณฑ์การประเมินจากคณะกรรมการประเมิน 3 คน ตามที่ ก.ค.ศ.กำหนด

9.หากผู้ขอรับการประเมินรายใดเปลี่ยนตำแหน่งหรือปฏิบัติหน้าที่อื่นที่ไม่ใช่หน้าที่ตามตำแหน่งเดิมก่อนการประเมิน ให้ยุติการประเมินตามหลักเกณฑ์และวิธีการนี้

10.ให้มีการกลั่นกรองและคัดเลือกผู้ขอรับการประเมิน แล้วประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกทางเว็บไซต์และเปิดโอกาสให้มีการคัดค้านได้ภายในระยะเวลา 15 วัน เมื่อ ก.ค.ศ.พิจารณากลั่นกรอง ตรวจสอบและวินิจฉัยคุณสมบัติแล้ว ให้ถือว่าผู้นั้นเป็นเพียงผู้มีคุณสมบัติเบื้องต้นตามที่ ก.ค.ศ.กำหนดเท่านั้น หลังจากนั้น ก.ค.ศ.จะแต่งตั้งคณะกรรมการไปประเมิน ณ สถานที่ปฏิบัติงานต่อไป

11.การใดที่ได้ดำเนินการไปตามหลักเกณฑ์ ว5/2554 ก่อนที่หลักเกณฑ์และวิธีการนี้มีผลใช้บังคับให้ถือว่าเป็นการดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการนี้ สำหรับขั้นตอนที่ต้องดำเนินการต่อไปให้ถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการนี้

ทั้งนี้ สำนักงาน ก.ค.ศ.ได้แจ้งหลักเกณฑ์และวิธีการนี้ไปยังส่วนราชการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อทราบและถือปฏิบัติแล้ว ตามหนังสือสำนักงาน ก.ค.ศ. ที่ ศธ 0206.3/ ว13 ลงวันที่ 1 สิงหาคม 2556

เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้มีผลงานดีเด่นที่ประสบผลสำเร็จเป็นที่ประจักษ์มีวิทยฐานะหรือเลื่อนเป็นวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ และวิทยฐานะเชี่ยวชาญ ทุกตำแหน่ง ซึ่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้สนใจ สามารถศึกษารายละเอียดได้ทางเว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ค.ศ. ที่ www.otepc.go.th

–มติชน ฉบับวันที่ 26 ส.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33857&Key=hotnews

ดึง ม.ญี่ปุ่นเป็นเครือข่ายวิจัยกับ ม.ไทย

26 สิงหาคม 2556

นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี กล่าวระหว่างศึกษาดูงานด้านการศึกษา ที่จังหวัดฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่นว่า จากการหารือกับนายไคโซ ยามากูชิ อธิการบดีมหาวิทยาลัยฮอกไกโด จะทำความร่วมมือด้านการวิจัยระหว่างมหาวิทยาลัยของไทยกับ ม.ฮอกไกโด ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านวิจัยเชิงประยุกต์ที่สามารถนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรมได้จริง ซึ่งไทยเองก็อยากส่งเสริมให้ภาคเอกชนเห็นความสำคัญของผลที่ได้จากการวิจัย และเข้ามาสนับสนุนทุนให้แก่ผู้วิจัย

นายพงศ์เทพ กล่าวต่อไปว่า นักวิจัยของประเทศต่าง ๆ ควรทำวิจัยร่วมกัน เพราะโลกมีความซับซ้อนมากขึ้น เราอาจมีความเชี่ยวชาญเพียงด้านใดด้านหนึ่ง และไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือที่ดีพอ ซึ่งความร่วมมือนอกจากจะได้ผลงานที่ดีแล้ว ยังทำให้นักวิจัยมีเครือข่ายเพิ่มมากขึ้น และเมื่อภาคเอกชนให้ความสำคัญที่จะลงทุนด้านการวิจัยแล้ว มหาวิทยาลัยก็ไม่จำเป็นต้องรองบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาลอย่างเดียว ทั้งนี้ตนได้มอบหมายให้ ดร.กิตติ ลิ่มสกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ ที่ร่วมเดินทางมาเจรจาความร่วมมือที่ญี่ปุ่นด้วยได้ไปขยายผลการหารือร่วมกับที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) เพื่อนำเรื่องนี้ไปดำเนินการให้เป็นรูปธรรมในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ของไทย นอกจากนี้ยังได้มอบให้ ดร.กิตติ นำข้อมูลของมหาวิทยาลัยฮอกไกโดไปประชาสัมพันธ์ให้แก่นักเรียนไทยในโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน หรือทุนโอดอสได้รู้จักด้วย เพราะปัจจุบันยังไม่มีเด็กโอดอสคนใดเลือกมาเรียนที่ ม.ฮอกไกโดเลย ทั้งที่ เป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของญี่ปุ่นที่ก่อตั้งมากว่า 130 ปี และมีความเชี่ยวชาญด้านการเกษตร และการวิจัยเชิงนวัตกรรม อาทิ หุ่นยนต์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เป็นต้น.

–เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 26 ส.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33854&Key=hotnews