Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

ม.รามฯ ยกระดับ ‘ตลาดวิชา’ มุ่งคุณภาพรับเปิดเสรีอาเซียน

26 สิงหาคม 2556

มหาวิทยาลัยรามคำแหงถือเป็นตลาดวิชาที่ผลิตบัณฑิตเข้าสู่ตลาดแรงงานและถือเป็นกำลังหลักในการพัฒนาประเทศ ในวันนี้โครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมีประชากรเด็กเกิดน้อยทำให้ปริมาณนักศึกษาลดลงทำให้มหาวิทยาลัยต้องปรับนโยบายรองรับรวมไปถึงการเปิดประชาคมอาเซียนในปี 2558 ที่จะถึงนี้

อาจารย์วุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง บอกว่าต้องปรับตัวเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลง ซึ่งในเรื่องของปริมาณนักศึกษาที่ลดลงมาจากหลายสาเหตุตั้งแต่เรื่องของโครงสร้างประชากรที่อัตราการเกิดคงที่มา 15 ปี นอกจากนี้ยังมีนักเรียนที่จบ ม.ปลายไม่มากอีกทั้งในต่างจังหวัดก็มีมหาวิทยาลัยเอกชนเป็นทางเลือกให้นักศึกษาเข้าเรียนมากขึ้นโดยมหาวิทยาลัยเอกชนก็มีกองทุนกู้ยืมช่วยทำให้นักศึกษาที่ในอดีตเคยเลือกเรียนรามฯจำนวน 6-7 หมื่นคน ลดลงเหลือประมาณ 5.6 หมื่นคนซึ่งรวมวิทยาเขตทั้งหมด 22 แห่ง กระจายทั่วทุกภูมิภาค
“ในอนาคตอาจจะวิกฤติมากขึ้นโดยเฉพาะสถาบันราชภัฏ เพราะว่าเด็กจบม.ปลาย น้อยลง และเรียนระดับปริญญาตรีน้อยลงเพราะมุ่งสู่ด้านอาชีพมากกว่า”

ส่วนแนวความคิดกระทรวงศึกษาที่เอาเรื่องของการทำงานไปผูกติดกับการศึกษาทำให้ปริมาณนักเรียนที่จบ ม.ปลายไม่เข้าเรียนระดับปริญญาตรีนั้น อาจารย์วุฒิศักดิ์ บอกว่า ไม่ค่อยถูกต้องนัก แม้ว่าจะถูกต้องในส่วนหนึ่งแต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดเพราะว่าการศึกษาเป็นเรื่องของการสร้างคนให้ ให้มีวิธีคิดและมีสติปัญญามีความรู้ต้องเรียนรู้ในเรื่องหลักวิชาการเพราะในประเทศที่เจริญแล้วจะแยกสองเรื่องออกจากกัน เนื่องจากในเรื่องของการทำงานเป็นเรื่องของประสบการณ์เวลาทำงานประเทศพัฒนาในหลายประเทศจึงไม่ได้เอาวุฒิการศึกษามาเป็นตัวตั้ง ถ้าสมัครงานในอเมริกาเขาไม่ถามว่าจบอะไร แต่เขาจะถามหาประสบการณ์มาจากไหนซึ่งส่วนตัวไม่ค่อยเห็นด้วยในเรื่องนี้มากนักเพราะระบบการศึกษาที่ดีควรจะทำให้คิดเป็นและเป็นปัญญาชน

อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่าคงไม่สามารถจะย้อนกลับไปในอดีตได้แล้ว จำนวนนักศึกษาของมหาวิทยาลัยรามคำแหงคงไม่เหมือน 40 ปีที่ผ่าน เพราะฉะนั้นมหาวิทยาลัยรามคำแหงต้องเน้นแนวทางที่ไม่เหมือนเดิมคือการเน้นการทำงานในเชิงลึกมากขึ้น และเน้นคุณภาพมากขึ้น ซึ่งอาจารย์วุฒิศักดิ์ บอกว่า การเน้นเรื่องคุณภาพไม่ได้หมายความว่าที่ผ่านมามหาวิทยาลัยรามคำแหงฯๆ ไม่มีคุณภาพ แต่ทำให้โดดเด่นในเรื่องนี้มากขึ้นเช่น ใน คณะนิติศาสตร์ บริหารธุรกิจ วิทยาศาสตร์
“ความจริงแล้วเรามีอาจารย์เก่งๆ จำนวนมาก แต่ไม่ได้ชูขึ้นให้เป็นจุดเด่น ยกตัวอย่างเช่น มีอาจารย์ด้านวิทยาศาสตร์ด้านไลเคนที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกแต่เราไม่ได้พูดถึงคือไม่ได้เน้นในเรื่องวิชาการแต่หลังจากนี้จะพยายามเน้นในเรื่องคุณภาพที่เจาะลึกมากขึ้นในเรื่องนี้”

ส่วนหลักการเดิมจะไม่ทิ้ง คือการเป็นตลาดวิชา เพราะฉะนั้นสิ่งที่ต้องทำต่อไปคือการทำให้คนไทยรู้สึกว่าอยากเรียนหนังสือแม้ว่าจะทำงานหรืออยู่วัยไหนก็ตาม เพราะว่ากลุ่มคนทำงานแล้วขณะนี้มีจำนวนมากดังนั้นกลุ่มคนเหล่านี้จะเป็นเป้าหมายที่มหาวิทยาลัยจะเข้าไปดูแลมากขึ้น เพราะตามวัตถุประสงค์ของมหาวิทยาลัยรามคำแหง เน้นเรื่องการเรียนรู้สามารถทำได้ในทุกเวลาเพราะมีระเบียบให้คนที่มีประสบการณ์เป็นราชการ รัฐวิสาหกิจทำงานมา 5 ปีไม่ต้องจบ ม.ปลายก็สามารถเรียนได้

“ข้อเด่นของ มหาวิทยาลัยรามคำแหงไม่เหมือนมหาวิทยาลัยอื่น คือการเปิดกว้าง ทำให้กลไกนี้สร้างคนเพื่อรองรับปัญหาต่างๆ ในประเทศเช่นการกระจายอำนาจหรือการปฏิรูปที่ผ่านมา ถ้าไม่มีมหาวิทยาลัยรามคำแหงฯจะไม่สามารถหาคนมาทำงานนี้ไม่แน่ใจจะหาปลัด อบต.ได้ที่ไหน หรือกระทั่งในช่วงที่เศรษฐกิจขยายตัว มหาวิทยาลัยรามคำแหงฯได้สร้างนักบัญชีจำนวนมากโดยในแต่ละปีมหาวิทยาลัยรามคำแหงฯผลิตบัณฑิตประมาณ 3 หมื่นคนในแต่ละปีจากทั้งหมดประมาณ 3 แสนคน”

ส่วนเรื่องรายได้ของมหาวิทยาลัยจาก นักศึกษาใหม่ประมาณ 80-90 ล้านบาทแต่ละเทอม และรายได้จากค่าหน่วยกิตของนักศึกษาเก่าประมาณ 100 กว่าล้านบาทต่อเทอม แต่ละปีละมหาวิทยาลัยจะมีรายได้จากค่าหน่วยกิตประมาณ 300 ล้านบาท ไม่ได้รวมโครงการพิเศษ ซึ่งหลักสูตรพิเศษที่เปิดขึ้นเพื่อบริการกลุ่มนักศึกษาที่ทำงานมีเวลาเรียนไม่มาก

“โครงการพิเศษ เป็นการตอบสนองคนอีกกลุ่มหนึ่งมันไม่เหมือนโครงการปกติ ทำให้คนไม่สะดวกมาเรียนตอนเย็นและเสาร์อาทิตย์เพื่อให้กลุ่มเหล่านี้มีโอกาสได้เรียนตามความต้องการได้ ซึ่งในเรื่องของราคาหน่วยกิตไม่ได้สูงหากเทียบกับมหาวิทยาลัยอื่นๆ”

สำหรับการปรับตัวรองรับอาเซียนมหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้เริ่มทำมานานแล้วโดยเปิดสถาบันนานาชาติ ซึ่งมีนักศึกษาต่างประเทศมาเรียน 2,000 คน มีนักศึกษาประมาณ 80% โดยเปิดคณะบริการธุรกิจ รัฐศาสตร์ และสื่อสาร ส่วนใหญ่จะเป็นนักศึกษาจากเยอรมัน และจีน โดยการเรียนการสอนจะใช้อาจารย์จากต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้เรียนจบระดับปริญญาตรีไปแล้วกว่า 2 รุ่น

นอกจากนี้ในการเรียนการสอนจะเน้นในเรื่องของภาษามากขึ้น โดยให้มีการเรียนการสอนให้มี 2 ภาษาและพยายามทำคู่มือในเรื่องของภาษาอาเซียน พร้อมกันนี้จะปรับให้นักศึกษารู้เรื่องไอที เพราะว่านักศึกษาของมหาวิทยาลัยรามคำแหงฯมีปัญหาในเรื่องการเข้าถึง ไอทีเนื่องจากมีรายได้น้อยไม่สามารถซื้อคอมพิวเตอร์มาใช้งานได้ ทำให้ในปลายปีนี้ จะเปิดรับบริจาคคอมพิวเตอร์จากคนต่างชาติที่ไม่ใช้คอมพิวเตอร์แล้วมาให้นักศึกษาใช้โดยเปิดเป็นศูนย์บริการให้กับนักศึกษา

การขยายวิทยาเขตไปยังประเทศเพื่อนบ้าน อาจารย์วุฒิศักดิ์บอกว่า ได้มีความพยายามไปติดต่อกับทั้งลาวที่สุวรรณเขตกับมหาวิทยาลัยแห่งชาติของลาว ซึ่งทั้งหมดอยู่ในกระบวนการหารือว่าจะทำงานด้านการศึกษาร่วมกันในลักษณะใดได้บ้างทั้งในเรื่องความร่วมมือระหว่างหลักสูตร หรือการแลกเปลี่ยนการเรียนการสอน โดยเบื้องต้นต้องการไปเปิดมหาวิทยาลัยที่นั่น แต่ต้องขออนุญาตจากรัฐบาลลาว ซึ่งห้ามบางสาขาวิชาเช่นรัฐศาสตร์ แต่สามารถเปิดคณะบริหารธุรกิจและ คณะศึกษาศาสตร์ แต่ทั้งหมดยังไม่มีข้อตกลงที่ชัดเจนว่าจะดำเนินการได้หรือไม่

“ในเรื่องเปิดมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ มหาวิทยาลัยรามคำแหงเปิดอยู่แล้ว 30 ประเทศ เป็นลักษณะการเรียนทางออนไลน์ เพราะอาเซียนจึงเป็นทั้งโอกาสซึ่งเรามีความพร้อมและปูทางในเรื่องนี้มานานพอสมควรแล้ว”แต่ในประเทศเพื่อนบ้านขณะนี้ในพื้นที่ภาคอีสานตามแนวตะเข็บชายแดน มหาวิทยาลัยรามคำแหงฯได้เปิดวิทยาเขตเพื่อรองรับนักศึกษาของเพื่อนบ้านไม่ว่าจะเป็นที่ หนองคาย หรือ อุดรธานี ซึ่งขณะนี้มีนักศึกษาจากลาวเข้ามาเรียนและให้ทุนการศึกษาเข้ามาเรียนในส่วนกลางอย่างกรุงเทพมหานครด้วย”

อย่างไรก็ตาม อาจารย์วุฒิศักดิ์บอกว่า มหาวิทยาลัยรามคำแหงจะยึดวัตถุประสงค์ในการเป็นตลาดวิชาการที่สร้างให้คนมีวิธีคิดและสร้างปัญญาชนให้กับประเทศต่อไป

‘ข้อเด่นรามคำแหงไม่เหมือนแห่งอื่น คือการเปิดกว้าง ทำให้กลไกนี้ สร้างคนเพื่อรองรับปัญหาต่างๆ ในประเทศ’

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33853&Key=hotnews

มติ ทปอ. สานต่อปฏิญญาหาดใหญ่

26 สิงหาคม 2556

“เสริมศักดิ์” ย้ำมหา’ลัยต้องเป็นผู้นำทางความคิดไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดเพื่อเป็นหลักแก่บ้านเมือง ขณะที่มติที่ประชุม ทปอ.เดินหน้าต่อปฏิญญาหาดใหญ่ ให้มหา’ลัย 27 แห่งสมาชิกร่วมกันพัฒนนา 3 จ.ชายแดนภาคใต้โดยนำวิชาการและการศึกษานำทางสร้างสู่สันติสุข พร้อมมอบ “ประสาท สืบค้า” ไปรวมข้อมูลความต้องการครุภัณฑ์เพื่อพัฒนาการศึกษาของแต่ละสถาบันเพื่อทำแผนเสนอรัฐบาลหาแหล่งเงินกู้ถูกแบบในอดีตซื้อเครื่องมือใหม่ทดแทนของเก่าที่เสื่อมสภาพและล้าหลัง

วานนี้ (25 ส.ค.) ที่ศูนย์ประชุมนานาชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) วิทยาเขตหาดใหญ่ จ.สงขลา นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.ศึกษาธิการ เดินทางเข้าร่วมประชุมพร้อมมอบนโยบายแก่ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ครั้งที่ 4/2556 โดยมี ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ในฐานะประธาน ทปอ. พร้อมด้วย นายอภิชาติ จีระวุฒิ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (เลขาธิการ กกอ.) รศ.นพ.กำจร ตติยกวี รองเลขาธิการ กกอ.ให้การต้อนรับ

โดย นายเสริมศักดิ์ กล่าวระหว่างมอบนโยบายมีใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า สถาบันอุดมศึกษาเป็นศูนย์กลางองค์ความรู้และคลังสมองในการพัฒนานวัตกรรม และช่วยพัฒนาบ้านเมืองที่ยืนยาวนานกว่าวิชาชีพอื่น โดยเฉพาะคณาจารย์และนักวิจัยถือเป็นมืออาชีพที่รัฐบาลคอยโอกาสให้มาช่วยแก้ปัญหาของประเทศ ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยต้องเป็นผู้นำทางความคิดไม่อยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพื่อเป็นหลักแก่บ้านเมือง อย่างไรก็ตาม ตนในฐานะดูแลงานอุดมศึกษา ขอฝาก 4 ประเด็นหลัก ได้แก่

1.การส่งเสริมและใช้ประโยชน์จากการวิจัย ซึ่งเป็นบทบาทสำคัญของมหาวิทยาลัย โดยในปีงบประมาณ 2557 ได้ตั้งงบประมาณไปกว่า 1 พันล้านบาทแต่ได้รับเพียง 650 ล้านบาทเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เพราะงานวิจัยมีความสำคัญซึ่งจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนงบประมาณ โดยขณะนี้ยังมีงบกลางที่รัฐบาลตั้งไว้กว่า 2-3 แสนล้านบาทที่เตรียมไว้สำหรับโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ ซึ่งตนจะพยายามขอเพิ่มงบวิจัยโดยขอจากงบกลาง

2.การส่งเสริมคุณภาพและสมรรถนะของบัณฑิตให้ตรงตามต้องการของตลาดแรงงานเมื่อพร้อมเข้าสู่ประชามคมอาเซียน รวมถึงประเทศอาเซียนบวกที่มี 16 ประเทศ โดยขอให้อุดมศึกษาเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนมาร่วมออกแบบหลักสูตร จัดการเรียนการสอน โดยบูรณาการเข้ากับการทำงาน

3.การส่งเสริมคุณภาพและสิทธิประโยชน์ของคณาจารย์ โดยตนจะผลักดันแผนพัฒนาอาจารย์ให้ไปศึกษาต่อทั้งในและต่างประเทศด้วย รวมทั้งส่งเสริมทุนวิจัยสำหรับคณาจารย์และความก้าวหน้าทางตำแหน่งวิชาการในสายสังคมและมนุษยศาสตร์มากขึ้น ขณะเดียวกันจะพยายามหางบประมาณคืนมหาวิทยาลัยที่ทดลองจ่ายเงินค่าตอบแทนแก่พนักงานมหาวิทยาลัยไปก่อนหน้านี้ รวมทั้งจะสนับสนุนการปรับระบบเงินเดือนข้าราชการในสถาบันอุดมศึกษาที่ผูกติดกับคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ซึ่งจะต้องเร่งพัฒนาให้มีความชัดเจนมากขึ้น และ 4.ปัญหายาเสพติด ที่ขอความร่วมมือสถาบันอุดมศึกษาช่วยสอดส่องดูแล

ด้าน ศ.ดร.สมคิด ในฐานะประธาน ทปอ. กล่าวภายหลังประชุม ทปอ. ว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้ ม.อ.ทำหน้าที่เป็นศูนย์ประสานงานปฏิญญาหาดใหญ่ต่อจากที่ทำต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2550 ซึ่งตามปฏิญญาดังกล่าวมุ่งเน้นให้มหาวิทยาลัยในกลุ่ม ทปอ.ร่วมมือกันในการแก้ปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยนำวิชาการและการศึกษาเข้ามาช่วยแก้ปัญหา ซึ่งการประชุมครั้งนี้ รศ.ดร.วันชัย ศิริชนะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) ได้เสนอ 3 แนวทางหลักในการแก้ปัญหา ได้แก่ มุ่งเน้นสร้างทัศนคติที่ดีต่อประเทศชาติ สร้างอาชีพ และพัฒนาการศึกษา ซึ่งจะนำมาสู่สันติภาพและสันติสุขอย่างแท้จริง

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับโครงการเงินกู้สำหรับจัดหาครุภัณฑ์ทดแทน ซึ่งที่ผ่านมากว่า 10 ปีแล้วรัฐบาลได้เคยจัดหาเงินกู้รูปแบบซอฟท์โลนจากต่างประเทศ เพื่อให้มหาวิทยาลัยกู้สำหรับจัดซื้อครุภัณฑ์มาใช้ในการดำเนินงานวิจัย แต่ขณะนี้ครุภัณฑ์ต่าง ๆ เสื่อมสภาพและไม่ทันสมัย ถึงเวลาที่จะต้องมีการเปลี่ยน ดังนั้น ที่ประชุมจึงได้มอบให้ ศ.ดร.ประสาท สืบค้า อธิการบดีมหาวิทยาลัยสุรนารี (มทส.) ไปรวบรวมข้อมูลว่ามหาวิทยาลัยต่าง ๆ มีความจำเป็นและต้องการครุภัณฑ์ประเภทใดบ้างรวมถึงไปประเมินผลของการใช้ครุภัณฑ์ว่าจะเกิดประโยชน์กับประเทศด้านใดบ้างเพื่อสรุปและเสนอรัฐบาลต่อไป

“ที่ประชุมยังได้มีการย้ำถึงเรื่องของการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาด้วยระบบรับตรง ซึ่งขณะนี้มีบางคณะในหลายมหาวิทยาลัยได้มีการเปิดสมัครรับตรง โดยที่ช่วงเวลาในการรับสมัครไม่ตรงตามที่เคยมีการตกลงกันในที่ประชุมทปอ. เคยมีมติที่ให้ในปีการศึกษา 2557 เป็นไปต้นไปขอมหาวิทยาลัยทุกแห่งรับพร้อมกันในช่วงเดือนมกราคม ของทุกปี”ประธาน ทปอ. กล่าว
ด้าน รศ.ดร.ชูศักดิ์ ลิ่มสกุล อธิการบดี ม.อ.กล่าวว่า ที่ผ่านมาการดำเนินงานยังไม่มีเอกภาพ ส่วนใหญ่มหาวิทยาลัยต่างคนต่างทำ ซึ่งม.อ.พร้อมจะเป็นแกนกลางประสานงานและให้มีการวางแผนที่มีความชัดเจนยิ่งขึ้น รวมทั้งอยากให้รัฐบาลให้การสนับสนุนงบประมาณดำเนินการจากที่ผ่านมามหาวิทยาลัยต้องหาแหล่งทุนสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชนด้วยตนเอง

Source – ASTV ผู้จัดการออนไลน์ (Th)

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33852&Key=hotnews

ศธ.เร่งเดินหน้าโครงการลดปัญหาอ่านไม่ออก ตั้งเป้าปี 57 เหลือ 0%

23 สิงหาคม 2556

ศธ.ทำโครงการใหญ่เร่งด่วน ลดปัญหาอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ในป.3 ,ป. 6 ตั้งเป้าสิ้นปีการศึกษา 56 ปัญหาเด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้เหลือ 0% “จาตุรนต์” เผยตั้งความหวังต้องเห็นผลทันที พร้อมมอบ สพฐ.ทำเครื่องมือสแกนเด็กเข้ารับการแก้ไข ชี้อาจต้องปรับรูปแบบการเรียนการสอนด้วย

วานนี้ (22 ส.ค.) นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษา (ศธ.) แถลงข่าวพร้อมด้วย นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) นางเบญจลักษณ์ น้ำฟ้า รองเลขาธิการ กพฐ. ว่า ศธ.เตรียมทำโครงการแก้ไขปัญหาการอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ของเด็ก เนื่องจากขณะนี้ผลการอ่านและเขียนได้ของเด็กไทยยังไม่น่าพอใจ และการที่เด็กอ่านไม่ออกหรืออ่านไม่คล่องก็ยังส่งผลกระทบถึงการเรียนรู้วิชาอื่น ๆ ด้วย เพราะฉะนั้น ศธ.จึงเตรียมทำโครงการเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ให้เป็นโครงการใหญ่และเร่งด่วน ซึ่งเป้าหมายไม่ใช่เพียงการแก้ไขปัญหาอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ หรือบางคนอ่านไม่เข้าใจอ่านไม่รู้เรื่อง ได้รับการพัฒนาและยกระดับไปสู่อ่านรู้เรื่อง สื่อสารได้ด้วยสำหรับโครงการดังกล่าวจะมีการแถลงข่าวเปิดตัวอย่างเป็นทางการในต้นเดือนกันยายนนี้ แต่ระหว่างนี้ได้มอบให้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ไปทำรายละเอียดโครงการและเตรียมความพร้อมไว้ อย่างไรก็ตามเบื้องต้นโครงการนี้ทำขึ้นเพื่อช่วยพัฒนานักเรียนประถมศึกษาทุกคนให้สามารถอ่านออกเขียนได้ แต่เนื่องจากการแก้ไขปัญหาอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้นั้นเป็นงานที่ค่อนข้างใหญ่ ไม่สามารถดำเนินการพร้อมกันทุกชั้นปี เพราะฉะนั้น ในปีการศึกษา 2556 จะมุ่งพัฒนานักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 3 และ 6 ก่อนเพื่อลดปัญหาการอ่านออกเขียนไม่ได้น้อยลง และตั้งเป้าให้การประเมินผลในปลายภาคเรียนปีการศึกษา 2556 ผลการอ่านออกเขียนไม่ได้ของป.3 และ 6 จะเหลือเหลือ 0%

“จะเริ่มสแกนนักเรียนชั้นป.3 และ 6 สังกัด สพฐ.ทั่วประเทศทุกคนเพื่อให้รู้ถึงระดับทักษะภาษาของนักเรียนแต่ละคน ซึ่งวิธีการสแกนนั้น สพฐ.จะไปเร่งพัฒนาเครื่องมือซึ่งจะเป็นแบบทดสอบเฉพาะในการคัดกรองได้อย่างเป็นระบบ ขณะเดียวกัน อาจจะต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการเรียนการสอนหรือสอนซ่อมเสริมพิเศษ เช่น สอนพิเศษนอกเวลาเรียน หรือจัดให้นักเรียนที่อ่อนภาษาไทยมาเรียนรวมกันเป็นห้องพิเศษเพื่อให้ครูสามารถเติมเต็มได้อย่างเต็มที่ รวมทั้งต้องปรับน้ำหนักการเรียนการสอนกันใหม่ถ้าเด็กอ่อนภาษาไทยมาก ๆ การเน้นน้ำหนักทุกวิชาเท่ากันอาจจะไม่เหมาะสม ควรจะให้น้ำหนักวิชาภาษาไทยมากกว่าวิชาอื่น แต่ทั้งหมดนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปต้องรอให้ สพฐ.ไปคิดรายละเอียดของโครงการมาแถลงอย่างชัดเจนในต้นเดือนกันยายน อย่างไรก็ตาม สำหรับนักเรียนชั้น ป.1, 2 ,4 และ 5 นั้นจะให้คัดกรองเฉพาะนักเรียนที่มีปัญหาหนักมากจริง ๆ มาร่วมโครงการ เพราะไม่สามารถทำโครงการพร้อมกันทุกชั้นได้แต่ถ้าจะปล่อยเด็กกลุ่มนี้ไว้ก็ห่วงว่าจะส่งผลให้เกิดปัญหาต่อการเรียนอย่างมาก” นายจาตุรนต์ กล่าว

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวหวังให้เห็นผลทันทีปีการศึกษานี้และจะถอดบทเรียนมาใช้ทำแผนเพื่อแก้ปัญหาระยะยาวต่อไปนายชินภัทร กล่าวว่า ขณะนี้กำลังพัฒนาเครื่องมือที่จะนำไปใช้สแกนได้อยู่ คาดว่าจะแล้วเสร็จก่อนสิ้นเดือนสิงหาคมนี้ จากนั้นจะนำเครื่องมือที่พัฒนาขึ้นพร้อมคู่มือจัดส่งไปให้เขตพื้นที่การศึกษา เพื่อจะได้นำไปใช้ประเมินในช่วงวันที่ 9-20 กันยายนนี้ จากนั้นจะได้คัดเลือกเด็กที่มีปัญหามาเข้ารับการอบรมในช่วงปิดภาคเรียน

Source – ASTV ผู้จัดการออนไลน์ (Th)

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33831&Key=hotnews

เพิ่มผลการทดสอบ PISA ของไทย ให้อยู่ในอันดับที่ดีขึ้นได้อย่างไร โดย สุรชัย เทียนขาว

23 สิงหาคม 2556

เป้าหมายที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ได้กำหนดไว้เรื่องหนึ่งสำหรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน คือภายในปี 2558 จะต้องให้ผลการจัดอันดับการศึกษาไทย โดยผลการทดสอบ PISA ของไทยให้อยู่ในอันดับที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นการยกระดับคุณภาพการศึกษาไทยสู่ระดับโลก ในการที่จะทำให้ผลการสอบ PISA สูงขึ้น ภายในปี 2558 (2015) ซึ่งเป็นปีที่ตรงกับการประเมินผลระยะที่ 3 (PISA 2006 และ PISA 2015) หน่วยงานและบุคคลที่เกี่ยวข้องจะต้องเตรียมการและดำเนินการตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

โครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ (PISA) เป็นโครงการประเมินผลการศึกษาของประเทศสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือและพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) มีจุดประสงค์เพื่อสำรวจว่าระบบการศึกษาของประเทศได้เตรียมเยาวชนของชาติให้พร้อมสำหรับการใช้ชีวิตและการมีส่วนร่วมในสังคมในอนาคตเพียงพอหรือไม่ เป็นการประเมินสมรรถนะของนักเรียนวัย 15 ปี ที่จะใช้ความรู้และทักษะเพื่อเผชิญกับโลกในชีวิตจริง มากกว่าการเรียนรู้ตามหลักสูตรในโรงเรียน ในด้านการรู้เรื่องการอ่าน (Reading Literacy) การรู้เรื่องคณิตศาสตร์ (Mathematical Literacy) และการรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ (Scientific Literacy) โดยแบ่งการประเมินออกเป็น 2 รอบ ได้แก่ รอบที่ 1 (Phase l: PISA 2000 PISA 2003 และ PISA 2006) และรอบที่ 2 (Phase ll: PISA 2009 PISA 2012 และ PISA 2015)
ในการดำเนินการผลการทดสอบ PISA ของไทย ให้ดีขึ้นจากผลการสอบครั้งก่อนๆ นั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการมีความกระตือรือร้นสูงมาก ในการขับเคลื่อน/ผลักดันให้บรรลุเป้าหมาย โดยให้มีคณะกรรมการ/คณะทำงานขับเคลื่อนในระดับกระทรวง (Macro level) การดำเนินงานตามแนวทางนี้จะทำให้เกิดความมั่นใจได้ว่าการเพิ่มคะแนนการสอบ PISA ของไทยในรอบใหม่มีความเป็นไปได้
อย่างไรก็ตาม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั้งประถมศึกษาและมัธยมศึกษาทั้งประเทศ และสถานศึกษาในภาครัฐและเอกชน ซึ่งเป็นสถานที่ที่เกิดการเรียนรู้ของผู้เรียนเกือบทั้งหมด ก็ควรที่จะต้องตระหนักและหาหนทางในการกำหนดมาตรการแนวปฏิบัติเพื่อยกระดับผลการสอบ PISA ของตนเอง (SBM) สำหรับแนวทางที่จะช่วยให้หน่วยงานระดับเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษา (Micro level) กำหนดมาตรการเพื่อรองรับ นอกจากการปรับระบบการเรียนการสอน การวัดผลประเมินผล โดยเฉพาะเครื่องมือวัดผล กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน (กิจกรรมวิชาการ, ชุมนุม, ชมรม) ให้เข้มข้นขึ้นแล้วก็ควรมีการศึกษางานวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมาใช้ในการพัฒนา / ปรับปรุง

ในที่นี้จะขอนำเสนอให้มีการศึกษารายงานผลการศึกษาของโครงการ PISA ประเทศไทย สถาบันส่งเสริมการสอนวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2544) เรื่อง ปัจจัยที่ทำให้ระบบโรงเรียนประสบความสำเร็จเป็นรายงานการศึกษาที่วิเคราะห์ผลกระทบจากตัวแปรด้านโรงเรียนที่ส่งผลต่อคุณภาพการศึกษาของนักเรียน โดยศึกษาข้อมูลจากโครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ PISA 2009
โดยชี้ให้เห็นว่าลักษณะของระบบโรงเรียนที่ประสบผลสำเร็จ และลักษณะที่ระบบของไทยเป็นอยู่ ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการจัดทำแผนขับเคลื่อน และปรับปรุงระบบโรงเรียนที่เป็นอยู่
สำหรับระบบโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จในรายงานฉบับนี้ หมายถึง โรงเรียนที่นักเรียนมีผลการประเมินการอ่านสูงกว่าค่าเฉลี่ย OECD (493 คะแนน) ภูมิหลังทางเศรษฐกิจสังคมของนักเรียนส่งผลกระทบต่อคะแนนการอ่านต่ำกว่าประเทศ OECD และความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐกิจสังคม และผลการประเมินมีค่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยข้อมูลชุดนี้น่าจะนำไปใช้ประโยชน์การจัดทำแผนการขับเคลื่อนได้มากและตรงประเด็น ลักษณะของระบบโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จ และลักษณะที่ระบบของไทยเป็นอยู่ มีดังนี้

1.ระบบโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จ สามารถจัดให้นักเรียนมีโอกาสทางการเรียนเท่าเทียมกัน ไม่ว่านักเรียนจะมีภูมิหลังทางเศรษฐกิจ-สังคม อย่างไร
โรงเรียนไทยมีการแบ่งกลุ่มตามภูมิหลังทางสังคมและวัฒนธรรมปรากฏชัดเจน ค่าดัชนีเฉลี่ยของสถานะทางสังคมและวัฒนธรรมของโรงเรียนกลุ่มสูงและกลุ่มต่ำแตกต่างกันถึงเกือบสองหน่วยดัชนี (ความแตกต่างเฉลี่ย 1.76) ซึ่งประเทศสมาชิก OECD ไม่มีประเทศมีความแตกต่างสูงขนาดนี้
2.ระบบโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ให้อำนาจอิสระแก่โรงเรียนในด้านการกำหนดการเรียนการสอนและออกแบบการประเมินผลได้เอง แต่ไม่จำเป็นต้องให้โรงเรียนแข่งขันกันรับนักเรียน
ประเทศไทยมีบรรยากาศของการแข่งขันกันรับนักเรียนสูงมาก การที่โรงเรียนต้องสอบคัดเลือกนักเรียนและสอบในวันเดียวกัน หรือรับมอบตัววันเดียวกันกับวันสอบของโรงเรียนอื่นเป็นการแข่งขันที่สูงที่สุด เพราะต่างโรงเรียนต่างแย่งนักเรียนกัน ตัดโอกาสไม่ให้นักเรียนและพ่อแม่มีทางเลือกโรงเรียนที่หลากหลาย
3.ในประเทศสมาชิก OECD ส่วนใหญ่โรงเรียนเอกชนมีผลการประเมินสูงกว่าโรงเรียนของรัฐ แต่
หลังจากอธิบายด้วยเหตุผลทางภูมิหลังทางเศรษฐกิจ-สังคมและประชากรศาสตร์ของโรงเรียนและนักเรียนแล้ว ในประเทศสมาชิก OECD นักเรียนโรงเรียนของรัฐมีผลการประเมินสูงกว่าโรงเรียนเอกชน ส่วนประเทศไทยโรงเรียนของรัฐสูงกว่าเอกชนทั้งก่อนและหลังอธิบายด้วยตัวแปรทางภูมิหลังทางเศรษฐกิจและสังคม
ประเทศไทย พ่อแม่ส่วนใหญ่นิยมเลือกโรงเรียนของรัฐ และผลการประเมินนักเรียนในโรงเรียนของรัฐสูงกว่าโรงเรียนเอกชนอยู่แล้ว และเมื่ออธิบายด้วยตัวแปรทางเศรษฐกิจและสังคมแล้ว โรงเรียนของรัฐยิ่งสูงขึ้นอีก
4.พ่อแม่ต้องการเลือกโรงเรียนที่มีคุณภาพทางวิชาการมากกว่าความช่วยเหลือทางการเงิน
สำหรับการปฏิบัติในประเทศไทย ขณะนี้ให้ลำดับความสำคัญกับมาตรการการช่วยเหลือทางการเงินเป็นอันดับแรก แต่มาตรการการยกระดับคุณภาพการศึกษายังไม่ถูกจัดลำดับความสำคัญ
5.ระบบโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จมีการกระจายทรัพยากรอย่างเป็นธรรม มีค่าใช้จ่ายทางการศึกษาที่สูงและการใช้จ่ายมักให้ลำดับความสำคัญกับเงินเดือนครูมากกว่าทำชั้นเรียนขนาดเล็ก
ประเทศไทยครูมีเงินเดือนไม่สูงแต่ชั้นเรียนมีขนาดใหญ่ และข้อมูลชี้ว่าโรงเรียนที่มีผลทางวิชาการสูง มีครูและทรัพยากรที่ดีกว่า และเป็นโรงเรียนที่มีนักเรียนได้เปรียบทางสถานะเศรษฐกิจและสังคม ส่วนโรงเรียนที่ด้อยเปรียบหรือโรงเรียนยากจน มีดัชนีสถานะเศรษฐกิจและสังคม และดัชนีทรัพยากรต่ำกว่าทั้งสองอย่าง ครูดีๆ มีคุณภาพมีอยู่เฉพาะในโรงเรียนดีๆ ที่มีผลทางวิชาการสูง ส่วนครูในโรงเรียนยากจน นอกจากไม่ใช่ครูคุณภาพสูงแล้วยังต้องแบกภาระงานนอกเหนือจากการสอนอีก เพราะทรัพยากรบุคคลมีจำกัด จึงเกิดความแตกต่างจากโรงเรียนเศรษฐกิจดีในช่องว่างที่กว้างมาก ซึ่งเป็นตัวชี้บอกถึงความไม่เสมอภาคในการกระจายทรัพยากร
6.โดยทั่วไปโรงเรียนที่มีบรรยากาศทางระเบียบวินัยดี นักเรียนและครูมีพฤติกรรมทางบวกและมีความสัมพันธ์อันดีระหว่างนักเรียนกับครู มีแนวโน้มที่มีคะแนนการอ่านสูง
แม้ว่าโดยทั่วไปในประเทศส่วนใหญ่จะมีแนวโน้มเป็นเช่นนั้น แต่สำหรับประเทศไทย แม้ว่านักเรียนจะรายงานถึงระเบียบวินัยที่ดี และอยู่ในอันดับต้นๆ ของตาราง แต่กลับไม่มีความสัมพันธ์กับคะแนน หรือมีความสัมพันธ์แบบกลับกัน
ส่วนการปรับระบบโรงเรียนของไทย คณะผู้ศึกษาและจัดทำรายงานฉบับดังกล่าว มีข้อเสนอและชี้แนะ ดังต่อไปนี้

1) ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพการเรียนรู้ เนื่องจากความผิดพลาดของระบบที่ผ่านมาคือ การส่งเสริมทรัพยากรที่ไม่เสริมการเรียนรู้ ตัวแปรที่ส่งผลกระทบทางลบ เช่น การปล่อยให้ครูที่ขาดแคลนเกษียณอายุก่อนเวลา และการเก็บอัตราครูเกษียณทำให้ขาดแคลนครูมากยิ่งขึ้น การเรียนกวดวิชานอกโรงเรียนตลอดจนการสนับสนุนการใช้ ICT ตามกระแสการพาณิชย์
2) การทำให้นักเรียนจำนวนมากที่สุดอยู่ในมือครูคุณภาพสูง โดยเฉพาะนักเรียนกลุ่มอ่อนจำเป็นที่ต้องการความช่วยเหลือจากครูดี การยกระดับให้ครูส่วนใหญ่ของประเทศเป็นครูคุณภาพสูงจึงเป็นเรื่องจำเป็นต้องทำอย่างรีบด่วน
3) มุ่งเน้นให้นักเรียนกลุ่มด้อยเปรียบทางสถานะทางวัฒนธรรม สังคม และเศรษฐกิจ ทั้งโรงเรียนที่ด้อยเปรียบ และนักเรียนที่ด้อยเปรียบในโรงเรียน ให้ได้รับการส่งเสริมสนับสนุนอย่างเพียงพอ การปฏิบัติที่ผ่านมาที่รัฐจัดหาทรัพยากรให้นักเรียนเท่ากันทุกคนไม่ใช่คำตอบ แต่กลับขยายการปฏิบัติที่ผ่านมาเป็นการขยายช่องว่างระหว่างกลุ่มที่มีสถานะต่างกันให้กว้างขึ้นอีก
4) มุ่งสร้างความเข้มแข็งทางการศึกษา สร้างนักเรียนที่มีความรู้และทักษะถึงระดับ 5 และสูงกว่าให้มีสัดส่วนมากขึ้น (ระดับการรู้เรื่องในการประเมินผล PISA มีระดับ 1 ถึงระดับ 6)
5) เวลาเรียนและวิชาเรียน นักเรียนไทยมีวิชาเรียนมากกว่านักเรียนวัยเดียวกันในประเทศอื่นๆ นักเรียนจึงมีเวลาเรียนแต่ละวิชาต่ำ แต่เรียนหลายวิชาต่อสัปดาห์ จึงควรมีการทบทวนการใช้เวลาเรียนและวิชาเรียน ส่วนการกวดวิชานั้นไม่ควรได้รับการส่งเสริม
6) ประเด็นการใช้คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตในการเรียนการสอน เป็นนโยบายที่ต้องมีความระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะนอกจากยังไม่มีรายงานว่าการใช้คอมพิวเตอร์ของนักเรียนส่งผลทางบวกต่อการเรียนรู้ ยังปรากฏข้อมูลที่เป็นเชิงลบ
7) เปลี่ยนวิธีการสอนและประเมินผลให้สะท้อนเป้าหมายของการเรียนการสอนและหลักสูตรเพื่อยกระดับมาตรฐานการเรียนรู้ การเรียนการสอนต้องมีความพยายามให้นักเรียนให้รู้เรื่อง (Literacy) นักเรียนต้องเรียนและสอบได้จริงๆ จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนวิธีการวัดและตัดสินผลการสอบได้และต้องพยายามเปลี่ยนแปลงประมวลการสอบคัดเลือกเข้าศึกษาในระดับสูงกว่า
8) เร่งรัดการปรับปรุงระเบียบวิจัยของนักเรียนความปลอดภัยในบรรยากาศทางการเรียนในด้านการปฏิบัติของครูเชิงพฤติกรรมที่นอกเหนือจากงานสอนปกติในห้องเรียน
ข้อมูลที่นำเสนอดังกล่าวข้างต้น เป็นสารสนเทศที่ได้จากการวิเคราะห์เชิงวิชาการจากหลักฐานที่เชื่อถือได้ (Evidence base) ควรอย่างยิ่งที่ผู้เกี่ยวข้องกับระบบการศึกษาของไทยระดับนโยบาย (Macro level) ได้แก่ กระทรวงศึกษาธิการ กรมกองในสังกัด และระดับปฏิบัติการและหน่วยงานกำกับติดตาม (Micro level) ได้แก่สถาบันอุดมศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั้งประถมศึกษาและมัธยมศึกษา และสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของรัฐและเอกชน นำข้อมูลดังกล่าวนี้เป็นทางเลือกหนึ่งสู่การปฏิบัติในส่วนที่ตนเองเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นการประกาศนโยบายออกกฎกระทรวง ออกระเบียบการปรับปรุงหลักสูตรการเรียน การสอน การพัฒนาครู การจัดสรรงบประมาณ ฯลฯ ทุกภาคส่วนควรนำการบริหารจัดการที่เน้นผลวิจัย/ประเมิน (Research based management) มาพัฒนาการศึกษาให้มากขึ้นเพื่อหนีความอลเวง ในการใช้ความคิดส่วนตนในลักษณะของอัศวินม้าขาว
ขอชื่นชม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ที่กล่าวไว้ว่า ท่านไม่ใช่อัศวินม้าขาว ดังนั้น การยกระดับคุณภาพของผู้เรียนตามเป้าหมายที่กระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดดังที่กล่าวข้างต้น คือการทำให้ผลการทดสอบ PISA ของไทยดีขึ้นนั้น ควรมีการเสวนาวิชาการในวงกว้างเกี่ยวกับแนวทางการยกระดับการเรียนรู้ของผู้เรียนสู่นานาชาติ เพื่อให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเห็นความสำคัญและกระตือรือร้นที่จะเสาะแสวงหาองค์ความรู้ ในการกำหนดมาตรการทั้งระดับมหภาคและจุลภาค หน่วยงานหรือองค์กรนอกสังกัดกระทรวงศึกษาธิการที่มีศักยภาพและดำเนินการให้สังคมเกิดความรู้ที่ควรเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมส่งเสริมความรู้ เช่น สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพของเยาวชน (สสค.) ในการผลักดันให้ผู้เรียนมีผลการทดสอบ PISA ของไทยให้สูงขึ้น และได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้น ควรจะเป็นความรับผิดชอบของทุกภาคส่วน ไม่เพียงเฉพาะกระทรวงศึกษาธิการ สพฐ. สกศ. สสวท. เท่านั้น สถานศึกษาทุกแห่ง เขตพื้นที่การศึกษาทุกเขตพื้นที่ พ่อแม่

ที่สำคัญยิ่งคือ ตัวผู้เรียนเอง จะต้องมีความตระหนักปรับตัว และให้ความร่วมมือเพื่อสร้างประเทศไทยให้มีความเจริญก้าวหน้าทัดเทียมกลุ่มประเทศชั้นนำของโลก โรงเรียน ผู้บริหารโรงเรียน ครู นักเรียน และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานจะต้องมีความรับผิดชอบในการเพิ่มผลการสอน PISA ให้สูงขึ้น

(ที่มา:มติชนรายวัน 22 สิงหาคม 2556)

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33830&Key=hotnews

ผบ.ทบ. เล็งแก้ พ.ร.บ. นศท.บรรจุนักเรียน รด.เข้าเป็นนายทหาร

23 สิงหาคม 2556

(22 ส.ค.56) ที่สโมสรกองทัพบก ถ.วิภาวดีรังสิต หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน (นรด.) ได้จัดพิธีประดับเครื่องหมายยศร้อยตรี ให้กับนักศึกษาวิชาทหารที่สำเร็จการฝึกวิชาทหาร ชั้นปีที่ 5 ประจำปี 2556 จำนวน 1,753 คน แบ่งเป็นชาย 806 คน และหญิง 947 คน โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เป็นประธานในพิธี นอกจากนี้ ยังมีคณะนายทหารของกองทัพบก เข้าร่วมพิธีจำนวนมาก

โดย พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ว่า ได้ฝากผู้ที่สำเร็จวิชานักศึกษาวิชาการทหาร 3 ประการ คือ 1.ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน 2.ความจงรักภักดีต่อสถาบัน และ 3.ขอให้ทุกคนกลับไปกราบพ่อแม่ เพื่อให้พ่อแม่เกิดความภาคภูมิใจ สำหรับการประดับเครื่องหมายยศ 5 ปี ถือว่าเป็นเกียรติสูงสุดสำหรับนักเรียนผู้ชายและผู้หญิง ซึ่งผู้ที่จบการศึกษา ถือเป็นกำลังสำรองที่มีคุณภาพ เพราะได้ผ่านการฝึกในระยะเวลา 5 ปี

ทั้งนี้ มี่ผ่านมาได้หารือกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ในการแก้ไข พ.ร.บ.นักศึกษาวิชาทหาร ที่ไม่ได้ระบุว่านักศึกษาวิชาทหารจะสามารถทำหน้าที่ได้ยามศึกสงคราม หรือในยามที่เกิดวิกฤตการณ์ใดๆ เหมือนกับกรณีที่จะต้องไปช่วยเหลือประชาชนยามเกิดภัยพิษัติ หากเกิดอุบัติเหตุจะมีปัญหาตามมา โดยได้หารือกับ พล.ท.วิชิต ศรีประเสริฐ ผบ.นรด.แล้ว และได้ติดตามเรื่องนี้มาตลอด และได้พิจารณาว่าจะทำอย่างไรให้กฎหมายมีความทันสมัยในการใช้กำลังสำรองเหล่านี้ และบรรจุคนเหล่านี้เข้ารับราชการในกองทัพได้ ซึ่งไม่ได้ใช้ภารกิจการรบ อีกทั้งปัญหาขณะนี้คือ สัดส่วนของนายสิบและพลทหารมียอดเต็มประมาณ 4 แสนคน ซึ่งกองทัพบกสามารถบรรจุได้ 2.6 แสนคน โดยขาดอัตราพลทหารและรายสิบประมาณ 30 เปอร์เซนต์ โดยจะต้องฝึกผู้ที่จบนักศึกษาวิชาทหารให้ได้ครบตามที่เราต้องการใช้ในภารกิจที่ยังขาดอยู่ ทั้งนี้ จะต้องใช้งบประมาณดำเนินการจำนวนหนึ่ง

“ถ้าเป็นไปได้ เราก็จะการแก้ไข พ.ร.บ.ดังกล่าว เพื่อให้คนเหล่านี้มาบรรจุ โดยใช้วิธีการเซ็นต์สัญญาเป็นห้วงระยะเวลา พร้อมทั้งกำหนดรายละเอียดว่าจะไม่ใช้กำลังตรงนี้ในการรบ แต่จะใช้งานด้านการส่งกำลังบำรุง เจ้าหน้าที่ธุรการ และงานด้านเอกสาร โดยไม่จำเป็นต้องใช้คนจาก โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ซึ่งนายกฯ เห็นด้วย ขณะนี้อยู่ระหว่างการดูความคืบหน้า ถ้าทำได้ กำลังสำรองจะช่วยงานด้านจิตอาสา เมื่อเกิดปัญหาเราจะได้ดูแลเขาได้” ผบ.ทบ.กล่าว

ที่มา: http://www.naewna.com

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33829&Key=hotnews

พลเมืองอาเซียนกับภาคการศึกษา

23 สิงหาคม 2556

จากการที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมของทุกภาคส่วนต่างๆ ทั้งภาครัฐ และเอกชน เพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (เออีซี) ซึ่งหลายภาคส่วนทั้งหน่วยงานรัฐ และเอกชนให้ความสำคัญ ซึ่งหากคิดเป็นเปอร์เซ็น ประเทศไทยมีความพร้อมอยู่ที่ระดับ 70 % และเชื่อว่าจะมีความพร้อมมากขึ้นเมื่อเปิดเออีซีในปี 2558

ในเวทีสัมมนา “ AEC and SMEs Challenge: Next Step ซึ่งจัดโดย สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กระทรวงอุตสาหกรรม และสภาหอการค้าไทย เมื่อเร็วๆ นี้นับว่าเป็นเวทีหนึ่งที่ได้รับความสนใจจากทุกภาคส่วนเข้ารับฟังข้อมูล ในหัวข้อต่างๆ อาทิ การอยู่ร่วมกันภายใต้ความแตกต่างในหภูมิภาคอาเซียน ทางด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคง สังคม และวัฒนธรรม , ความท้าทายของเสาหลักสามเสาในประชาคมอาเซียน,ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียนส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจหรือไม่อย่างไร , พลเมืองอาเซียนกับการอยู่ร่วมกัน อย่างคับคั่ง โดยงานสัมมนามีเป้าหมายเพื่อให้ทุกภาคส่วนเตรียมความพร้อม พร้อมส่งเสริมให้สมาชิก 10 ประเทศในอาเซียนอยู่ร่วมกันภายใต้ความแตกต่างทั้งด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคง สังคมและวัฒนธรรม ซึ่งเวทีอภิปรายในหัวข้อ “พลเมืองอาเซียนกับการศึกษา” ชี้ให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของรัฐบาล ในการสนับสนุนภาคการศึกษา ส่งเสริมพัฒนาหลักสูตรอาเซียน เพื่อให้เป็นหลักสูตรนำร่อง สอนทั้งในระดับอนุบาล ประถมศึกษา และระดับมัธยม แต่เป็นนโยบายมุ่งไปที่โรงเรียนในสังกัดของรัฐบาล ซึ่งการสนับสนุนมาไม่ถึงโรงเรียนเอกาชน อย่างไรก็ตามนโยบายหลักสูตรอาเซียนนับเป็นการวางรากฐาน และสร้างความตระหนักให้กับนักเรียนทุกระดับชั้นปี

อาจารย์จินดา ตันตราจิณ ประธานกลุ่มเครือข่ายผู้บริหาร สถานศึกษาเอกชน กรุงเทพมหานคร และผู้อำนวยการโรงเรียนจินดาพงศ์ กล่าวในเวทีอภิปรายในหัวข้อ “พลเมืองอาเซียนกับการศึกษา”ว่า ปีนี้ภาคการศึกษามีการตื่นตัวเรื่องประชาคมอาเซียนค่อนข้างมาก แต่ก็ยังต้องบริหารจัดการอีกหลายด้าน เพราะยังไม่พร้อมเท่าที่ควร เนื่องจากแต่ละโรงเรียนเตรียมพร้อมกันจริงๆ เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา หรือในช่วงปีการศึกษา 2554 โดยเฉพาะโรงเรียนในสังกัดของรัฐบาลมีการเดินหน้าไปก่อน โดยเฉพาะในโครงการจัดตั้งโรงเรียนนำร่องจำนวน 54 แห่ง ให้เป็นโรงเรียนต้นแบบในการเรียน การสอนหลักสูตรอาเซียน ซึ่งประกอบด้วย 1. โรงเรียนนำร่องเพื่อสอนภาษาอังกฤษล้วนๆ หรือเรียกว่า “Sitter School” ซึ่งโรงเรียนกลุ่มนี้ต้องจัดให้สอนภาษาอาเซียน ภาษาใด ภาษาหนึ่งได้ อีก 1 ภาษา และต้องมีศูนย์อาเซียนอยู่ภายในโรงเรียน ปัจจุบันมีการคัดเลือกโรงเรียนต้นแบบได้แล้ว 30 แห่ง จากทั่วประเทศ 2. โรงเรียนที่มุ่งเน้นสอนภาษาอาเซียน 1 ภาษาในโรงเรียน หรือเรียกว่า “Buffer School” โดยรัฐบาลตั้งเป้าให้มี 24 โรง รวมโรงเรียนกลุ่ม1 และโรงเรียนกลุ่ม 2 มีจำนวน 54 โรงแล้วในปัจจุบัน และ 3. จัดให้มีการจัดตั้งศูนย์การศึกษาในภูมิภาค หรือเรียกว่า “ Education Hub” เพื่อให้พลเมืองในอาเซียนได้มาเรียนภาษา

ในส่วนของโรงเรียนเอกชนถือว่ายังไม่ได้เริ่ม เนื่องจากขาดการนสนับสนุนด้านงบประมาณ ดังนั้นภาพรวมของการเตรียมความพร้อมของโรงเรียนเอกชนอยู่ที่ว่า โรงเรียนเอกชนแห่งใด มีความพร้อมก็ให้ดำเนินการไปกันก่อน ฐานะของโรงเรียนเอกชนจึงอยู่ในลักษณะช่วยเหลือตัวเอง ซึ่งในปัจจุบันจึงมีการร่วมกลุ่มกันระหว่างโรงเรียนเอกชนกว่า 700 แห่งในกรุงเทพฯ เพื่อทำหลักสูตรอาเซียนร่วมกัน มีการส่งตัวแทนของโรงเรียนเอกชนแต่ละแห่งไปดูงานที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยเชิญเอกอัครราชทูตลาวร่วมให้คำแนะนำ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการในส่วนของการพัฒนาหลักสูตรอาเซียน ของโรงเรียนเอกชน คาดว่าจะเสร็จไม่เกิน 1 เดือนข้างหน้า ครอบคลุม 8 กลุ่มสาระ ประกอบด้วย กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย และกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ

อาจารย์จินดา กล่าวโดยสรุป ประเทศไทยค่อนข้างเนื้อหอม เพราะมีทรัพยากรมาก และนับเป็น 1 ใน 10 ประเทศอาเซียน ที่น่าสนใจ ที่ประเทศสมาชิกจะเข้ามาลงทุน อย่างไรก็ตาม เราต้องมีความพร้อมด้านกฎหมาย ซึ่งต้องมีการบังคับใช้กฎหมายเหมือนๆ กัน เพื่อให้ 3 เสาหลัก ด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคง สังคมและวัฒนธรรม อยู่ร่วมกันได้ อย่างสันติสุข

สำหรับโรงเรียนจินดาพงศ์ ปัจจุบันมีการจัดสร้างศูนย์การเรียนรู้อาเซียน ซึ่งอยู่ที่โรงเรียนจินดาพงศ์ มีการทำฐานความรู้ของประเทศสมาชิก 10 ประเทศในอาเซียนไว้ในฐาน 10 ฐาน เพื่อประกอบการเรียนรู้ให้กับนักเรียนได้ศึกษา ค้นคว้า และทำรายงาน หากโรงเรียนใดจะเข้ามาดูงาน อนุญาตเปิดกว้างเพื่อถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับอาเซียนร่วมกัน

ที่มา: http://www.siamturakij.com

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33828&Key=hotnews

มท.ดึงผู้บริหารสังกัดสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษาจาก 76 จังหวัดพัฒนาเจตคติ

22 สิงหาคม 2556

รองปลัดกระทรวงมหาดไทยดึงผู้บริหารสังกัดสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษาจาก 76 จังหวัดพัฒนาเจตคติ และค่านิยมการสร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตย

วานนี้ (21 ส.ค.56) ที่โรงแรมวรบุรีอโยธยา จ.พระนครศรีอยุธยา หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รองปลัดกระทรวงมหาดไทย แสดงปาฐกถาพิเศษแก่ผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษาจาก 76 จังหวัด เรื่อง “การพัฒนาเจตคติ ค่านิยมการสร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตย และสร้างจิตสำนึกของความเป็นชาติ”

หม่อมหลวงปนัดดา กล่าวว่า เอกลักษณ์ของชาติไทยมีความเข้มแข็งที่มีลักษณะพิเศษยากที่จะหาชาติอื่นใดในภูมิภาคเปรียบได้ คือ ความรู้-รัก-สามัคคีที่ประชาชนคนไทยมีต่อกันมามายาวนาน จนชาวต่างชาติต่างพากันยกย่องสรรเสริญและยกย่องประเทศไทยเป็นกรณีศึกษาแห่งความสำเร็จ อย่างไรก็ดี เรื่องของคุณงามความดีของชาติ ต้องมีการสืบสานต่อ มิใช่หยุดชะงักลง

ดังนั้น ข้าราชการจึงต้องมีสติรอบคอบและมีข้อพิจารณาด้วยความรับผิดชอบ โดยไม่ยอมเป็นเครื่องมือ ที่เป็นการทำลายล้างปรัชญาของความเป็นประเทศไทย เรื่องนี้จึงอยู่ที่การยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตที่ต้องเป็นฐานของการดำรงชีวิตของทุก ๆ คน ที่ต้องช่วยกันเสริมสร้างทัศนคติ

หม่อมหลวงปนัดดา กล่าวเพิ่มเติมว่า การกระทำในภารกิจของข้าราชการจึงเป็นการสร้างเสริมคุณงามความดีให้เกิดขึ้นแก่ประเทศชาติและประชาชน ที่สำคัญคือต้องรักษาผลประโยชน์ส่วนรวม จึงขอให้ผู้บริหารสถานศึกษาจาก 76 จังหวัดช่วยกันปลูกฝังค่านิยมดังกล่าวให้เกิดขึ้นเพื่อความภาคภูมิใจที่ทุกคนมีต่อแผ่นดินไทย

Source – ASTV ผู้จัดการออนไลน์ (Th)

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33802&Key=hotnews

จ่อโละเกณฑ์ย้ายครู “จาตุรนต์” เสนอตัดอัตรา ร.ร.ใหญ่ป้อน ร.ร.เล็กแก้ครูขาด

22 สิงหาคม 2556

“จาตุรนต์” จ่อโละเกณฑ์โยกย้ายครู ชี้ไม่ควรเน้นความสมัครใจ หรือให้ครูได้กลับไปอยู่บ้านเกิดเป็นหลัก ต้องเน้นคุณภาพการจัดการศึกษาและความเท่าเทียมของจำนวน ครู ร.ร.ขนาดใหญ่และขนาดเล็ก พร้อมเสนอใช้วิธีตัดโอนอัตราครูจาก ร.ร.ใหญ่ที่ครูกระจุกตัวแน่นไปยังร.ร.ที่ขาด ระบุยังไม่มีข้อยุติแต่ฝากการบ้านให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ ไปคิดรวมทั้งให้คิดระบบประเมินความดีความชอบที่มาจากการทำงานจริงเพื่อให้ครูตื่นตัวแข่งขันทำงาน ไม่ใช่ทำงานเช้าชามเย็นชามก็ได้ความดีความชอบ

วานนี้ (21 ส.ค.) ที่โรงแรมอิมพีเรียลควีนส์ปาร์ค นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวระหว่างเปิดประชุมสัมมนา อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา และ อ.ก.ค.ศ.ส่วนราชการ ว่า ศธ.มีนโยบายจะแก้ปัญหาครูขาดแคลน โดยจะเริ่มจากแก้ปัญหาการกระจุกตัวของครูในโรงเรียนขนาดใหญ่ส่งผลให้โรงเรียนขนาดเล็กเจอภาวะขาดแคลนครูอย่างหนัก โดยเฉพาะกลุ่มสาระวิชาหลัก ได้แก่ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษ ทำให้ครูที่มีอยู่ส่วนใหญ่ต้องสอนทั้งไม่ตรงกับสาขาวิชาที่ตนเองจบการศึกษามายิ่งเท่ากับเป็นการซ้ำเติมปัญหาขาดแคลนครูให้มากขึ้นไปอีก ดังนั้น จึงอยากให้มีการเกลี่ยครูจากโรงเรียนที่มีครูเกินไปในโรงเรียนที่มีครูขาด

อย่างไรก็ตาม หลักเกณฑ์การโยกย้ายของคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ในปัจจุบันไม่เปิดช่องให้ ศธ.เข้าไปบริหารจัดการครูได้อย่างเต็มที่ เพราะหลักเกณฑ์การโยกย้ายนั้นมีรายละเอียดต่างๆมากมาย เช่น การโยกย้ายจะต้องเป็นไปตามความสมัครใจของครู ซึ่งตามข้อเท็จจริงแล้วครูที่เกินอยู่ในโรงเรียนขนาดใหญ่ก็จะไม่มีใครสมัครใจย้ายไปอยู่โรงเรียนอื่น หรือแม้แต่หลักเกณฑ์การย้ายให้ครูกลับภูมิลำเนา ก็ไม้ได้พิจารณาว่าเมื่อครูได้กลับไปอยู่ภูมิลำเนาแล้วได้สอนตรงตามวิชาเอกหรือไม่กลายเป็นแก้ปัญหาหนึ่งแต่ไปซ้ำเติมปัญหาขาดแคลนครูเพิ่มขึ้น เป็นต้น

นายจาตุรนต์ กล่าวต่อว่า การบริหารงานบุคคลที่ไม่มีประสิทธิภาพนี้จึงทำให้เกิดปัญหาการกระจุกตัวของครูในโรงเรียนใหญ่ และทำให้เกิดการดูดครูจากโรงเรียนเล็กมาโรงเรียนใหญ่สร้างความไม่เท่าเทียมกัน และเมื่อโรงเรียนขนาดเล็กประสบภาวะขาดแคลนครู ก็ไม่ต้องหวังว่าการพัฒนาคุณภาพการเรียนการเรียนการสอนในวิชาต่างๆจะประสบความสำเร็จ ทั้งนี้ ตนจึงมอบหมายให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ไปรวบรวมปัญหาทั้งหมดว่า หลักเกณฑ์ใดบ้างที่ติดขัดไม่สามารถกระจายครูได้อย่างทั่วถึง เพื่อให้ ก.ค.ศ.ปรับแก้หลักเกณฑ์ดังกล่าว

“ข้อเสนออย่างหนึ่งสำหรับการแก้ปัญหาครูเกินและครูขาด คือ การตัดโอนอัตราจากโรงเรียนที่มีครูเกินไปยังโรงเรียนที่มีครูขาด ซึ่งจะเป็นการบังคับโดยอัตโนมัติให้ครูต้องย้ายตามอัตราไปในโรงเรียนที่ขาดครู แต่ข้อเสนอดังกล่าวยังไม่เป็นข้อยุติ ต้องรอให้ ก.ค.ศ.ไปศึกษารายละเอียดก่อน ขณะเดียวกัน จะให้ศึกษาหลักเกณฑ์การโยกย้ายในภาพรวมด้วย โดยผมได้ให้นโยบายว่า หลักเกณฑ์การโยกย้ายไม่ควรคำนึงถึงความสมัครใจ และดูแลให้ครูที่อยู่ภูมิลำเนาได้ย้ายกลับบ้าน ซึ่งสิ่งที่ถูกต้องจะต้องคำนึงถึงผลสัมฤทธิ์ในการจัดการศึกษา ความเท่าเทียมระหว่างโรงเรียนที่ไม่ปล่อย ความเป็นธรรม และส่งเสริมให้ครูมีโอกาสพัฒนาตนเองด้วย ซึ่งนอกจากหลักเกณฑ์การโยกย้ายแล้วได้ฝากให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ไปรับปรุงเกณฑ์พิจารณาความดีความชอบด้วย เพราะปัจจุบันไม่ว่าครูจะทำหน้าที่การสอนหรือไม่ตั้งใจทำหน้าที่ครูก็จะได้รับการพิจารณาความดีความชอบทุกคน จึงเท่ากับว่า อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่และผู้บริหารโรงเรียนไม่ได้มีหน้าที่พิจารณาความดีความชอบเลย ดังนั้นจึงอยากให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ปรับเกณฑ์การพิจารณาความดีความชอบด้วย เพื่อให้เป็นไปตามผลการปฎิบัติงานจริงของครู ซึ่งจะส่งเสริมให้ครูทำงานแข่งขันกันมากขึ้น” รมว.ศึกษาธิการ กล่าว

Source – ASTV ผู้จัดการออนไลน์ (Th)

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33801&Key=hotnews

4 มหาลัยร่วมวิจัยหาวิธีพัฒนาอาชีวศึกษา

22 สิงหาคม 2556

“จาตุรนต์” มอบ ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ เป็นแม่งานดึง3มหาลัย ร่วมทำวิจัยพัฒนาการอาชีวศึกษาของไทย หวังยกระดับคุณภาพมาตรฐานช่างฝีมือ รวมถึงเพิ่มจำนวนผู้เรียนสายอาชีวะให้สอดคล้องความต้องการของประเทศ

วานนี้(21ส.ค.)นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ กล่าวถึงการจัดการอาชีวศึกษาว่า มีความสำคัญอย่างมาก เพราะต้องผลิตและพัฒนากำลังคนสายอาชีพให้มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน ตรงตามความต้องการของสถานประกอบการ แต่ปัจจุบันการจัดการอาชีวศึกษายังมีข้อจำกัดในด้านต่าง ๆ ทั้งความเหมาะสม ความทันสมัยในสาขาวิชา มาตรฐานองค์ความรู้ และสื่อเทคโนโลยีทางการศึกษา ส่งผลให้จำนวนผู้เรียนอาชีวศึกษาลดลง ขณะที่ความต้องการกำลังคนด้านอาชีวศึกษามีมากขึ้น ตนจึงมอบหมายให้มีการทำความร่วมมือศึกษาสถานการณ์อาชีวศึกษาและการจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อการพัฒนาอาชีวศึกษา ระหว่างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ(มจพ.) กับ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) เพื่อศึกษาและวิเคราะห์บทบาท พันธกิจ สภาพการดำเนินงาน ปัญหาและอุปสรรคของการจัดการอาชีวศึกษา รวบรวมและวิเคราะห์สถานการณ์อาชีวศึกษาอย่างรอบด้าน รวมถึงดูปัจจัยความสำเร็จของประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีและประเทศสิงคโปร์ เพื่อจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการพัฒนาการอาชีวศึกษาของประเทศให้เดินไปอย่างถูกทาง สอดรับกับนโยบาย “ปีแห่งการรวมพลังยกระดับคุณภาพการศึกษา” รวมถึงเพื่อเพิ่มสัดส่วนผู้เรียนอาชีวศึกษาต่อสายสามัญ เป็น 50ต่อ 50 ด้วย
ศ.ดร.ธีรวุฒิ บุณยโสภณ อธิการบดี มจพ. กล่าวว่า การอาชีวศึกษาเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในด้านอุตสาหกรรม ดังนั้นต้องมาช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรที่จะผลิตกำลังคนระดับฝีมือและเทคนิค เพื่อป้อนสู่ภาคเอกชนที่เข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมบริการและอุตสาหกรรมเกษตร อย่างไรก็ตามการพัฒนาการอาชีวศึกษาจะต้องอ้างอิงข้อมูลการวิจัยที่ถูกต้อง แม่นยำ เพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจในการขับเคลื่อนการอาชีวศึกษา ซึ่งมจพ. สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง(สจล.) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี(มจธ.) ได้รับดำเนินการศึกษาวิจัยทิศทางการผลิตและพัฒนาการอาชีวศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการของสถานประกอบการ รองรับการก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 โดยจะให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายนนี้ และเปิดให้มีการประชาพิจารณ์ภายในเดือนตุลาคม

ด้านดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.) กล่าวว่า สอศ.มีภารกิจสำคัญในการผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษาระดับ ปวช.และปวส. ซึ่งต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบ โดยดำเนินการให้สอดคล้องกับนโยบายของ รมว.ศึกษาธิการที่ต้องการเพิ่มสัดส่วนผู้เรียนอาชีวศึกษากับสายสามัญ เป็น 50ต่อ 50 และการผลิตแรงงานที่มีคุณภาพ ภายในระยะเวลา 2 ปี ดังนั้นอาชีวศึกษาจึงต้องมีการปรับตัวขนานใหญ่ เพื่อดำเนินการให้ได้ตามเป้าหมาย โดยประเมินสภาพปัจจุบัน ปัญหา ความต้องการ ประเด็นตามนโยบายต่าง ๆ ซึ่งมีความจำเป็นที่ต้องศึกษาและดำเนินการอย่างเป็นระบบที่ชัดเจน โดยจะนำข้อมูลที่ได้รับจากการวิจัยมาปรับแผนการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2557 ต่อไป

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33800&Key=hotnews

กรมการศาสนาเล็งเทียบโอนหลักสูตรธรรมกับโรงเรียน

22 สิงหาคม 2556

กรมการศาสนาเล็งเทียบโอนหลักสูตรธรรมศึกษาตรี-โท-เอก กับการเรียนปกติ แนะสถานศึกษาบรรจุไว้ในใบแสดงผลการเรียน แสดงเด็กเป็นคนดี และนำไปพิจารณาเข้าเรียนต่อและทำได้

นายปรีชา กันธิยะ อธิบดีกรมการศาสนา เปิดเผยว่า ขณะนี้ กรมการศาสนา (ศน.)ได้นำหลักสูตรธรรมศึกษาตรี-โท-เอก มาเป็นวิชาแกนหลักสำคัญในการเรียนการสอนที่ศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นหลักสูตรของแม่กองธรรมสนามหลวงของคณะสงฆ์เพื่อให้ผู้เรียนสามารถนำหลักธรรมของพระพุทธศาสนามาปรับใช้ในการดำรงชีวิต สร้างเสริมพื้นฐานจิตใจของเด็กและเยาวชนให้มีจิตสำนึกในเรื่องคุณธรรม ความดี ตลอดจนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ที่มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข

อีกทั้งตนยังมีแนวคิดที่จะบรรจุหลักสูตรดังกล่าวให้เป็นวิชาเลือกและสามารถเทียบโอนหน่วยกิตกับวิชาการทางโลกได้ด้วยโดยผู้เรียนธรรมศึกษาตรี-โท-เอก สามารถนำไปเทียบโอนหน่วยกิตการเรียนในกลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม หรือหากเป็นไปได้ก็อาจให้ผู้สอบได้ธรรมศึกษาตรี-โท-เอก เทียบวุฒิเทียบเท่าผู้จบมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 ตามลำดับ

นายปรีชากล่าวต่อไปว่านอกจากนี้ควรให้มีการระบุวิชาทางพระพุทธศาสนาเป็นรายวิชาไว้ในระเบียนแสดงผลการเรียนของเด็กด้วย เพื่อรับรองเด็กที่ผ่านการอบรมว่าเป็นคนดี มีคุณธรรม และเหมาะสมที่จะเข้าศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น หรือเหมาะสมที่เข้าทำงานในสถานประกอบการต่างๆ และสถานศึกษาหรือสถานประกอบการควรจะพิจารณาเด็กเหล่านี้เป็นพิเศษ อย่างไรก็ตามในวันที่ 26 ส.ค.นี้ ตนจะไปหารือกับศธ.และหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เป็นไปตามกฎกระทรวง และระเบียบที่ศธ.กำหนด และให้ผู้เรียนวิชาทางพระพุทธศาสนาธรรมศึกษาชั้นตรี – โท – เอก สามารถเทียบโอนหน่วยกิตได้และมีกำลังใจที่จะศึกษาทางธรรมต่อไป

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33799&Key=hotnews