Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

ปธ.กพฐ.หนุนเพิ่ม ‘อังกฤษ’ 20 % คัดม.1/ม.4 ย้ำขจัด’เด็กฝาก’-ยึดยุติธรรม ผอ.ร.ร.ดังห่วงขยับสัดส่วนทำเด็กเครียด

6 สิงหาคม 2556

เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม นายสุรัฐ ศิลปอนันต์ ประธานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เตรียมเสนอให้ที่ประชุม กพฐ.พิจารณานโยบายและแนวปฏิบัติการรับนักเรียนชั้น ม.1 และ ม.4 ในโรงเรียนสังกัด สพฐ. ปีการศึกษา 2557 โดยเพิ่มสัดส่วนคะแนนทดสอบภาษาอังกฤษจาก 10% เป็น 20% ส่วนคะแนนทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (โอเน็ต) ยังคงใช้สัดส่วนเดิมไม่เกิน 20% ว่า ยังไม่ทราบรายละเอียดที่ สพฐ.จะเสนอให้ที่ประชุม กพฐ.พิจารณา แต่เห็นว่าการรับนักเรียน จะต้องยึดความเป็นธรรม ทุกคนต้องมีโอกาสเท่าเทียมกันในการเข้าเรียนต่อ ซึ่งนโยบายรับนักเรียนที่จะประกาศ จะต้องให้ผู้ปกครองและนักเรียนรู้ล่วงหน้า จะได้มีการ เตรียมตัว ส่วนการเพิ่มสัดส่วนคะแนนทดสอบภาษาอังกฤษเป็น 20% นั้น จะต้องพิจารณาถึงความสำคัญพื้นฐานที่จะเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น อย่างวิชาภาษาอังกฤษ หากดูแล้วมีความสำคัญก็ควรเพิ่มสัดส่วน

“เรื่องเด็กฝาก เป็นจุดมืดของสังคมที่ควรจะขจัดให้หมดไป โดยจะต้องช่วยกันหาวิธีการแก้ปัญหา เพราะโดยหลักแล้วการเข้าเรียน จะต้องยึดหลักความยุติธรรมและความเท่าเทียมกัน” ประธาน กพฐ.กล่าว

นางจำนงค์ แจ่มจันทร์วงษ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนสตรีวิทยา กล่าวว่า การเพิ่มสัดส่วนคะแนนทดสอบภาษาอังกฤษ เป็น 20% ควรดูผลการใช้สัดส่วน 10% ของปีที่ผ่านมา มาประกอบการพิจารณาเพิ่มสัดส่วน เพื่อจะได้ไม่มีผลกระทบกับนักเรียน ส่วนการคงสัดส่วนโอเน็ตไม่เกิน 20% ค่อนข้างเห็นด้วยเพราะถ้าเพิ่มมากกว่านี้ จะเป็นการกดดันนักเรียนค่อนข้างมาก

ด้านนายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการ กพฐ. กล่าวว่า การรับนักเรียนในภาพรวมของปีการศึกษา 2556 น่าพอใจ และเห็นว่าแนวทางต่างๆ ที่ดำเนินการในปีการศึกษา 2556 สามารถนำมาใช้ต่อเนื่องในปีต่อไปได้ นอกจากนี้ยังรู้สึกพอใจกรณีที่โรงเรียนที่มีอัตราการแข่งขันสูงรับนักเรียนเพียงรอบเดียว ซึ่งช่วยให้การรับนักเรียนเป็นแบบตรงไปตรงมา เพราะเมื่อประกาศผลสอบแล้ว ไม่สามารถรับใครเพิ่มเติมได้อีก ซึ่งนโยบายและแนวปฏิบัติของปีการศึกษา 2557 ที่จะนำเสนอให้ที่ประชุม กพฐ.พิจารณา จะมีบางเรื่องที่ต้องทบทวน เช่น การคัดเลือกนักเรียนชั้น ม.1 ในปี 2556 เป็นปีแรกที่ให้ทดสอบภาษาอังกฤษและใช้สัดส่วนคะแนน 10% แต่ปัจจุบันกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ให้ความสำคัญกับภาษาอังกฤษมากขึ้น ดังนั้น ในปีการศึกษา 2557 จะให้เพิ่มสัดส่วนเป็น 20%

เลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อว่า ส่วนสัดส่วนโอเน็ตที่ใช้ในการพิจารณาเข้าเรียนต่อชั้น ม.1 และ ม.4 ในสัดส่วน 20% นั้น ยังใช้สัดส่วนเดิม อย่างไรก็ตาม ในส่วนของโรงเรียนวัตถุประสงค์พิเศษนั้น จะปรับการรับของกลุ่มโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัยใหม่ โดยให้สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) และโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ เป็นผู้กำหนดแนวทางเอง ส่วนการเลื่อนเปิดภาคเรียนให้สอดรับกับประชาคมอาเซียนนั้น สพฐ.กำหนดวันเปิดภาคเรียนใหม่เป็นวันที่ 10 มิถุนายน 2557 แต่ต้องรอให้สำนักงานปลัด ศธ. จัดทำเป็นประกาศกระทรวงก่อน แต่เรื่องนี้ ไม่มีผลต่อปฏิทินการรับนักเรียน โดยยังคงเป็นช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายนเหมือนเดิม ซึ่งหากประกาศเลื่อนเปิดเทอม โรงเรียนจะรับเด็กเสร็จเร็วขึ้นและมีเวลาเหลือก่อนเปิดภาคเรียนไปพัฒนาการเรียนการสอน

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33603&Key=hotnews

ขึ้นบัญชีอีก 2 ม.เถื่อนจากสหรัฐ ‘กำจร’แนะถูกหลอกแจ้ง’สกอ.-ตร.’

6 สิงหาคม 2556

นพ.กำจร ตติยกวี รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยว่า ตามที่นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ตั้งศูนย์ปราบปรามวุฒิเถื่อนนั้น ขณะนี้ สกอ.ได้รับข้อมูล และตรวจสอบเรียบร้อยแล้วว่ามีมหาวิทยาลัยต่างประเทศอีก 2 แห่ง ที่ไม่ได้รับการรับรองวิทยฐานะจากหน่วยงานที่รับรองวิทยฐานะของประเทศต่างๆ หรือไม่ได้จดทะเบียนกับ ศธ.และ สกอ.จะไม่รับรองวุฒิการศึกษา ได้แก่ Charisma University สหรัฐอเมริกา และ University of Interdisciplinary Studies สหรัฐอเมริกา อีกทั้ง สกอ.ได้นำรายชื่อหน่วยงานดังกล่าวประกาศบนเว็บไซต์ของ สกอ. www.mua.go.th เรียบร้อยแล้ว จนถึงขณะนี้มีรายชื่อที่แอบอ้างว่าเป็นสถาบันการศึกษา และ สกอ.ไม่รับรองวุฒิบนเว็บไซต์ 14 แห่ง ดังนั้น ขอให้ทุกคนที่สงสัยว่าสถาบันที่ตัวเองเรียนจะได้รับการรับรองจาก สกอ.หรือไม่ เข้าไปตรวจสอบรายชื่อได้ หรือหากรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และรู้ว่าตัวเองผิดพลาด ให้รีบไปติดต่อยังหน่วยงานที่ตัวเองสมัครเรียนไว้ เพื่อขอเงินคืน และให้มาติดต่อ สกอ.เพื่อจะแจ้งความดำเนินคดีให้
“นอกจาก สกอ.จะนำรายชื่อสถาบันที่แอบอ้างจัดการศึกษาขึ้นเว็บไซต์แล้ว ขณะที้ผมได้มอบหมายให้เจ้าหน้าสำนักมาตรฐานประเมินผลอุดมศึกษา สกอ.รวบรวมรายชื่อสถาบันอุดมศึกษาของไทยที่สังกัด ศธ.และนอกสังกัดที่รวบรวมได้ ขึ้นเว็บไซต์ เพื่อให้นักเรียน ผู้ปกครอง ประชาชนทั่วไปที่สนใจ เข้ามาตรวจสอบได้ว่ามีสถานศึกษาอะไรบ้างที่อยู่ในไทย และ สกอ.รับรองแล้ว เพื่อจะได้ไม่ถูกหลอก ทั้งนี้ หากข้อมูลเสร็จแล้ว จะรีบขึ้นเว็บไซต์ให้เร็วที่สุด” นพ.กำจรกล่าว

สำหรับรายชื่อสถาบันอุดมศึกษาที่ สกอ.ไม่รับรองแบ่งเป็น 2 กลุ่มดังนี้ กลุ่มที่ 1 สถานศึกษาต่างประเทศที่มาร่วมจัดการศึกษากับสถาบันอุดมศึกษาไทย แต่ไม่ได้ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.สถาบันอุดมศึกษาเอกชน ได้แก่ 1.Adamson University สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ 2.California Yuin University สหรัฐอเมริกา 3.International Academy of Management and Economics (IAME) สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ 4. Victoria University สมาพันธรัฐสวิส และกลุ่มที่ 2 สถานศึกษาที่ไม่ได้รับการรับรองจากประเทศที่จัดตั้งสถาบัน ไม่สามารถสืบค้นต้นสังกัด/ไม่มีตัวตน ชื่อสถาบัน ประเทศ สถานภาพ ได้แก่ 1.Charisma University สหรัฐอเมริกา 2.Darul Uloom Nadwatul University สาธารณรัฐอินเดีย 3.Institut Francais de la Mode สาธารณรัฐฝรั่งเศส 4.Intercultural Open University ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ 5.Islamic University of South Africa สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ 6.Lacrosse University สหรัฐอเมริกา 7.Rochville University สหรัฐอเมริกา 8.Spicer Memorial College สาธารณรัฐอินเดีย 9.University of Interdisciplinary Studies สหรัฐอเมริกา และ 10.World Class University (มหาวิทยาลัยสันติภาพโลก) ไทย

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33604&Key=hotnews

‘จาตุรนต์’ ให้อำนาจ ผอ.สั่งปิดโรงเรียน

6 สิงหาคม 2556

กรุงเทพฯ : นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ภายหลังที่รัฐบาล มีการประกาศพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ในส่วนของสถานศึกษาได้หารือกับนายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มาโดยตลอด และกำชับให้สำนัก งานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานประสานไปยังโรงเรียนที่อยู่ในเขตพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับการประกาศ พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าว ซึ่งประกอบด้วย เขตพระนคร ดุสิต และป้อมปราบศัตรูพ่าย โดยให้อำนาจผู้อำนวยการโรงเรียนพิจารณาตัดสินใจว่าจะเลื่อนเวลาเปิด-ปิดเรียนหรือไม่

“ขอให้คำนึงถึงความปลอดภัยและความสะดวกในการเดินทางของนักเรียนและครู เช่น หากช่วงเวลา 08.00 น. การจราจรติดขัดมาก ให้เลื่อนเวลาเข้าเรียนออกไปเป็นช่วงสายแทน เป็นต้น ขณะเดียวกันหากเห็นว่าสถานการณ์เกิดความเสี่ยงต่อความไม่ปลอดภัยของนักเรียน ให้เป็นดุลยพินิจของโรงเรียนปิดเรียนได้ทันที อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้จึงขอให้โรงเรียนเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดด้วย” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการกล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์โลกวันนี้

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33606&Key=hotnews

ศธ.ขบ 3 โจทย์ ยกการศึกษาคนพิการ

5 สิงหาคม 2556

ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยผลการประชุมกำหนดนโยบายการจัดการศึกษาพิเศษ ซึ่งมีนายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นประธานเมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่า รมว.ศธ.ได้เรียก 5 องค์กรหลักมาหารือเพื่อกำหนดรายละเอียดการจัดการศึกษาพิเศษ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับคนพิการ โดยนาย จาตุรนต์ ได้มอบการบ้านให้ทุกองค์กรหลักไปหาแนวทางดำเนินการใน 3 ประเด็น คือ 1. ทำอย่างไรจึงจะผลิตครูสายการศึกษาพิเศษให้มีประสิทธิ ภาพ มีมาตรฐาน และเพียงพอต่อความต้องการที่แท้จริง 2. ทำอย่างไรถึงจะให้ผู้พิการมีอาชีพที่มั่นคง ไม่ว่าจะเป็นอาชีพอิสระ หรือการทำงานในสถานประกอบการเพื่อให้สามารถพึ่งพาตัวเองได้ ทั้งนี้รวมถึงผู้พิการที่ไม่ได้อยู่ในวัยเรียน ก็ควรได้รับการส่งเสริมให้ประกอบอาชีพด้วย และ 3. ทำอย่างไรให้ผู้พิการในวัยเรียนที่มีอยู่เกือบ 1 ล้านคนทั่วประเทศได้มีโอกาสเรียนมากขึ้น ซึ่งขณะนี้มีเด็กพิการเข้ารับการศึกษาในระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษาตอนต้น ประมาณ 340,000 คนเท่านั้น โดยมอบให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เป็นแกนหลัก ในการจัดประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าเรื่องดังกล่าว ในวันที่ 19 ส.ค.นี้

เลขาธิการ กอศ.กล่าวต่อไปว่า เบื้องต้นตนได้เสนอต่อที่ประชุมว่า หากผู้พิการต้องการทำงานในสถานประกอบการ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) จะประสานกับสถานประกอบการรายใหญ่ที่มีพนักงานเกิน 100 คน เพื่อขอให้สถานประกอบการรับผู้พิการเข้าทำงาน และเรื่องนี้ก็เป็นความต้องการของสถานประกอบการอยู่แล้ว เพราะกฎหมายแรงงานกำหนดไว้ว่าสถานประกอบการที่มีพนักงานตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป ต้องรับพนักงานที่เป็นผู้พิการเข้าทำงานในอัตราส่วน 100 : 1 หากไม่มีต้องส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการเป็นรายปี โดยคำนวณจากอัตราต่ำสุดของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ คูณด้วย 365 และคูณด้วยจำนวนคนพิการที่ไม่ได้รับเข้าทำงานทั้งประเทศในปัจจุบัน ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่สูงมาก ส่วนผู้พิการที่ต้องการเป็นเจ้าของกิจการเอง สอศ. จะส่งเสริมให้เป็นผู้ประกอบการรายย่อย.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33589&Key=hotnews

จัดมหกรรมอาเซียนสัญจร พัฒนาศักยภาพบุคลากร-ยช. พร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน

5 สิงหาคม 2556

นายสุวัฒน์ ตันติพัฒน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเป็นมหกรรมอาเซียนสัญจร 2556 และกิจกรรมอาเซียนสัญจรภาคกลางและกรุงเทพฯ ภายใต้โครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากรและเยาวชน เพื่อเตรียมพร้อมสู่ประชาคมอาเซียน ประจำปี 2556

นายสุวัฒน์ กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการ เป็นหน่วยงานหลักในการเตรียมกำลังคนให้พร้อม และมีศักยภาพในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน จึงได้กำหนดนโยบายหลัก 6 ประเด็นคือ รณรงค์การใช้ภาษาอังกฤษ โดยให้บุคคลกรของกระทรวง ครู นักเรียน สามารถใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารได้ทุกคน ก่อนเข้าสู่ประชาคมอาเซียน การเตรียมการให้พร้อมสำหรับการขับเคลื่อนบุคคลกร โดยเฉพาะทางการศึกษาเมื่อเข้าสู่อาเซียน การสร้างเครือข่ายทางการศึกษาระหว่างประเทศ การจัดตั้งศูนย์อาเซียนศึกษา
โดยบูรณการ 5 องค์กรหลักของกระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การบูรณการการเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ โดยใช้คอมพิวเตอร์พกพา เพื่อให้นักเรียนเข้าถึงการเรียนรู้ได้ง่ายและทั่วถึง โดยตั้งเป้าสู่การศึกษาตลอดชีวิต และการกระจายและเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้ทั่วถึง มั่นใจว่ากิจกรรมดังกล่าว จะส่งเสริมให้นักเรียนตื่นตัวในการเรียนรู้ และมีความพร้อมในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนต่อไป

ทั้งนี้ภายในงานมีการจัดการแข่งขันต่างๆ ประกอบด้วย การแข่งขันพูดภาษาอังกฤษในที่ชุมชน การแข่งขันเรียงความภาษาอังกฤษ และการแข่งขันสะกดคำภาษาอังกฤษ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยผู้ชนะเลิศ 3 กิจกรรม จะได้รับทุนไปศึกษาดูงานในต่างประเทศ
สำหรับกิจกรรมนี้นอกจากจะจัดในกรุงเทพฯ แล้วยังได้สัญจรไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ ด้วย โดยครั้งที่ 2 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ วันที่ 8 – 10 ส.ค. 2556 ที่โรงแรมโฆษะ จ.ขอนแก่น ครั้งที่ 3 ภาคใต้วันที่ 22 – 24 ส.ค. 2556 ที่โรงแรมเค พาร์ค แกรนด์ จ.สุราษฏร์ธานี ครั้งที่ 4 ภาคเหนือ วันที่ 5 – 7 ก.ย. 2556 ที่โรงแรมลำปางเวียงทอง จ.ลำปาง และครั้งที่ 5 รอบชิงชนะเลิศ วันที่ 28 ก.ย. 2556 ที่โรงแรมมณเฑียร ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ

ที่มา: http://www.naewna.com

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33592&Key=hotnews

สพฐ.-สทศ.จับมือปรับทิศประเมินผล

5 สิงหาคม 2556

ศึกษาธิการ * สพฐ.เตรียมหารือ สทศ.ปรับทิศทางการวัดประเมินผลให้อยู่ในแนวเดียวกันตามนโยบาย “อ๋อย” ด้าน “ชินภัทร” เผย สทศ.ต้องเร่งทำเครื่องมือวัดให้ครอบคลุมมากกว่าเดิม โดยเฉพาะกระบวนการคิดวิเคราะห์ของเด็ก

นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรม การการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวถึงกรณีที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มีนโยบายให้สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) ทำข้อสอบที่เชื่อมโยงกับหลักสูตรการเรียนการสอน เน้นข้อสอบที่คิดวิเคราะห์ และช่วยพัฒนาการทดสอบของทุกหน่วยงานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งประเทศ โดยขอให้ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จัดระบบการวัดผลที่สอดรับกับแบบทดสอบประเมินผลวิทยาศาสตร์นานาชาติ หรือ PISA ว่า ในปีการศึกษา 2555 ที่ผ่านมา สพฐ.ได้นำร่องปรับข้อสอบการสอบประเมินคุณ ภาพการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน หรือ NT ประเมินผลนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ไปแล้ว โดยวัดความรู้ความสามารถของนักเรียน 3 ด้านคือ ภาษา คำนวณ และความสามารถเชิงเหตุผล ด้านวิทยาศาสตร์และทักษะชีวิต ซึ่งสอดคล้องกับการประเมินของ PISA
ส่วนทาง สทศ.ขณะนี้ก็อยู่ระหว่างการปรับกระบวนทัศน์ในการออกข้อสอบเช่นกัน โดยในอนาคต สทศ.คงจะต้องเข้ามาช่วย สพฐ.ในเรื่องการทดสอบ เพื่อทำให้การทดสอบเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างแท้จริง โดยเฉพาะในส่วนที่ รมว.ศธ.มอบโยบายให้ สทศ.ไปปรับข้อสอบให้เชื่อมโยงกับการวัดผลประเมินผลในระดับนานาชาตินั้น โดยเฉพาะการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน หรือโอเน็ต ที่เดิมจะเน้นออกข้อสอบตามมาตรฐานด้านวิชาการ ตามหลักสูตรเพียงมาตรฐานเดียวเท่านั้น จากทั้งหมด 6 มาตรฐาน จากนี้ สทศ.คงต้องเร่งหาเครื่องมือในการวัดวัดที่ครอบคลุมมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องกระบวนการคิด ซึ่งในวันที่ 18 สิงหาคม สพฐ.จะเป็นเจ้าภาพเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องมาหารือเกี่ยวกับปฏิรูปการเรียนการสอน การวัดและประเมินผล และการพัฒนาครูต่อไป.

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33591&Key=hotnews

สช.มั่นใจเอกชนใช้คุณภาพแข่งรับเด็ก

5 สิงหาคม 2556

นายบัณฑิตย์ ศรีพุทธางกูร เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) เปิดเผยว่า จากการที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กำหนดนโยบายและแนวปฏิบัติในการรับนักเรียนในปีการศึกษา 2557 ทั้งระดับชั้น ม.1 และ ม.4 โดยส่วนใหญ่ใช้หลักเกณฑ์เดิมในปีการศึกษา 2556 นั้น การรับนักเรียนในส่วนของโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) คงไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากนโยบายดังกล่าวของ สพฐ. โดยเฉพาะโรงเรียนเอกชนที่มีชื่อเสียงผู้ปกครองยอมรับในคุณภาพ ก็จะเปิดรับนักเรียนกันล่วงหน้าจนขณะนี้ที่นั่งเรียนในปีหน้าเต็มหมดแล้ว สำหรับโรงเรียนเอกชนขนาดเล็ก อาจจะมีปัญหาบ้างแต่ถึงอย่างไรโรงเรียนเอกชนก็ต้องสู้ด้วยคุณภาพ เพราะถ้าไม่มีคุณภาพผู้ปกครองก็ไม่ส่งลูกหลานมาเรียนแน่นอน

“ถึงแม้นโยบายการรับนักเรียนของ สพฐ. จะไม่ส่งผลกระทบการรับนักเรียนของโรงเรียนเอกชนโดยตรง แต่โรงเรียนเอกชน ต้องมีการปรับแผนการรับนักเรียนให้ตรงกับจำนวนประชากรวัยเรียนที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง และเน้นเรื่องคุณภาพ เพื่อดึงดูดเด็กและ ผู้ปกครองให้มากขึ้น” เลขาธิการ กช. กล่าวและว่า อย่างไรก็ตามสิ่งที่ตนเป็นห่วงขณะนี้ คือ จะทำอย่างไรที่จะส่งเสริมให้ผู้ที่เรียน จบชั้น ม.3 เข้าเรียนต่อสายอาชีวศึกษาให้มากขึ้น เพราะทั้งข้อมูล ของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสถานประกอบการ ต่างก็บอกตรงกันว่าต้องการผู้ที่เรียนจบสายอาชีวศึกษา ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นสูง (ปวส.) จำนวนมากเข้าทำงาน ดังนั้นหากเรียนสายอาชีพแล้วจะไม่ตกงานแน่นอน แต่ในทางปฏิบัติกลับพบว่า ยังมีเด็กมุ่ง เรียนสายสามัญศึกษาจนจบระดับปริญญาตรี และเมื่อจบออกมา ก็ตกงาน.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33590&Key=hotnews

เด็ก ป.3 ตกประเมินเอ็นทีภาษา 8.1 หมื่น สพป.ร้อยเอ็ด เขต 2 เฉลี่ยสูงสุดประเทศ

5 สิงหาคม 2556

แหล่งข่าวระดับสูงจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เปิดเผยว่า หลังจากที่ สพฐ.ได้จัดสอบประเมินคุณภาพการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (National Test) หรือเอ็นที ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2555 ที่ปรับเปลี่ยนการวัดและประเมินผลโดยใช้แนวทางการวัดผลของโครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ (PISA) ที่เน้นการทดสอบด้านความสามารถด้านภาษา ด้านการคำนวณ และด้านเหตุผล ผลปรากฏว่าด้านภาษามีคะแนนเฉลี่ย ร้อยละ 42.94 ด้านการคำนวณ มีคะแนนเฉลี่ย ร้อยละ 37.45 และด้านเหตุผล มีคะแนนเฉลี่ย ร้อยละ 45.92 จากนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่เข้าสอบจำนวน 496,196 คนนั้น ล่าสุด สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สพฐ.ได้วิเคราะห์ผลเอ็นที ความสามารถด้านภาษาภาพรวมในของเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศ ซึ่งพบว่ามีนักเรียนที่มีคะแนนปรับปรุง 81,338 คน พอใช้ 161,809 คน ดี 173,769 คน และดีมาก 79,280 คน โดยเขตพื้นที่การศึกษาที่มีคะแนนเฉลี่ยร้อยละที่ดีสุดใน 20 อันดับแรกจากทั้งหมด 187 เขตพื้นที่การศึกษาที่มีนักเรียนชั้น ป.3 เข้ารับการประเมิน ได้แก่ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) ร้อยเอ็ด เขต 2 สพป.ยโสธร เขต 1 สพป.อุดรธานี เขต 4 สพป.สกลนคร เขต 3 สพป.หนองคาย เขต 1 สพป.ชัยภูมิ เขต 1 สพป.ร้อยเอ็ด เขต 1 สพป.เพชรบูรณ์ เขต 2 สพป.อุบลราชธานี เขต 3 สพป.มหาสารคาม เขต 2 สพป.จันทบุรี เขต 1 สพป.พิจิตร เขต 1 สพป.ชัยภูมิ เขต 2 สพป.กรุงเทพมหานคร สพป.เพชรบุรี เขต 1 สพป.ขอนแก่น เขต 3 สพป.เลย เขต 2 สพป.สระแก้ว เขต 1 สพป.อุดรธานี เขต 3 และ สพป.พิจิตร เขต 2 ตามลำดับ ส่วนสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) เขต 18 จ.ชลบุรี และระยอง มีผลคะแนนเฉลี่ยน้อยที่สุด
นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า ผลคะแนนที่ออกมาสอดคล้องกับผลการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน (โอเน็ต) ที่ภาพรวมคะแนนเฉลี่ยแต่ละด้านจะไม่ถึงร้อยละ 50 ซึ่งการวิเคราะห์ผลการสอบเอ็นทีของ สพฐ.สามารถสะท้อนว่าเครื่องมือที่ใช้ในการทดสอบเป็นที่น่าพอใจและน่าจะสอดรับแนวนโยบายของนาย จาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ที่ต้องการเพิ่มอันดับที่ดีขึ้นของประเทศไทยในการสอบ PISA ปี 2558 ทั้งนี้ ผลการวิเคราะห์เอ็นทีที่ออกมาเป็นรายบุคคลจะเป็นประโยชน์ที่ครูผู้สอนจะนำไปเติมเต็มจุดอ่อนให้กับนักเรียนแต่ละคนได้ โดย สพฐ.ตั้งเป้าว่าผลการทดสอบเอ็นทีจะต้องมีคะแนนเฉลี่ยที่ดีขึ้นทุกๆ ปี

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33587&Key=hotnews

คอลัมน์: สถานี ก.ค.ศ.: การลงโทษนักเรียนและนักศึกษาตามระเบียบของทางราชการอย่างมีสติ

5 สิงหาคม 2556

ประสาน ยินดีชัย
ผู้อำนวยการภารกิจเสริมสร้างและมาตรฐานวินัย
ด้วยปรากฏว่ามีข้าราชการครูที่สอนนักเรียนหรือนักศึกษา ไม่ว่าจะเป็นระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา หรือแม้กระทั่งระดับอาชีวศึกษา ได้ลงโทษนักเรียนหรือนักศึกษาในลักษณะที่รุนแรงด้วยความโกรธ หรือด้วยความอาฆาตพยาบาทอยู่เนืองๆ เป็นเหตุให้นักเรียนหรือนักศึกษาเหล่านั้นได้รับบาดเจ็บ มีปมด้อย เกิดความอับอายหวาดกลัวและไม่อยากมาโรงเรียน ซึ่งการลงโทษดังกล่าวมิได้เป็นไปตามระเบียบการลงโทษของทางราชการ อันนำไปสู่การกระทำผิดวินัยอย่างน่าเสียดายหรือโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการผิดระเบียบของการลงโทษ

สำนักงาน ก.ค.ศ. มีความห่วงใยเพื่อนข้าราชการครูในเรื่องการลงโทษนักเรียนหรือนักศึกษา จึงขอนำเสนอวิธีการลงโทษนักเรียนหรือนักศึกษา ที่เป็นไปตามระเบียบแบบแผนของทางราชการจะได้เกิดความตระหนักและลงโทษนักเรียนหรือนักศึกษาอย่างมีสติ

ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา พ.ศ.2548 กำหนดให้ลงโทษนักเรียนหรือนักศึกษาที่กระทำความผิดมี 4 สถาน ดังนี้

1.ว่ากล่าวตักเตือน ใช้ในกรณีนักเรียนหรือนักศึกษากระทำความผิดไม่ร้ายแรง
2.ทำทัณฑ์บน ใช้ในกรณีที่นักเรียนหรือนักศึกษาประพฤติตนไม่เหมาะสมกับสภาพความเป็นนักเรียนหรือนักศึกษา หรือใช้ในกรณีทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงและเกียรติศักดิ์ของสถานศึกษา หรือฝ่าฝืนระเบียบของสถานศึกษา หรือได้รับโทษว่ากล่าวตักเตือนมาแล้ว แต่ยังไม่เข็ดหลาบ
3.ตัดคะแนนความประพฤติ ให้เป็นไปตามระเบียบปฏิบัติว่าด้วยการตัดคะแนนความประพฤตินักเรียนหรือนักศึกษาของแต่ละสถานศึกษากำหนด โดยให้ทำบันทึกข้อมูลไว้เป็นหลักฐาน
4.ทำกิจกรรมเพื่อให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ใช้ในกรณีที่นักเรียนหรือนักศึกษากระทำความผิดที่สมควรต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เป็นไปตามแนวทางที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด
ระเบียบการลงโทษนักเรียนและนักศึกษาดังกล่าว ไม่ปรากฏการเฆี่ยนตีเหมือนอย่างการลงโทษในอดีตที่ผ่านๆ มา พบว่าในระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการลงโทษนักเรียนหรือนักศึกษา พ.ศ.2515 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ได้มีการกำหนดให้มีการลงโทษนักเรียนหรือนักศึกษาด้วยการเฆี่ยนตีเอาไว้ด้วย แต่สิ่งเหล่านี้ไม่มีแล้ว อย่างที่กล่าวกันว่า ระเบียบการลงโทษนักเรียน และนักศึกษาปัจจุบันได้หักไม้เรียวไปแล้ว

ดังนั้น จึงขอบอกกล่าวมายังเพื่อนข้าราชการครูผู้ประกอบวิชาชีพชั้นสูง ซึ่งได้อบรมสั่งสอนลูกศิษย์อย่างทุ่มเท อุทิศเวลา เสียสละ ทั้งแรงกายและแรงใจด้วยอุดมการณ์อันสูงส่ง โปรดพึงระลึกและตระหนักถึงการลงโทษลูกศิษย์ของท่าน ให้คำนึงถึงระเบียบแบบแผนของทางราชการเป็นสำคัญ อย่าได้กระทำไปด้วยความโกรธ ความอาฆาตพยาบาทหรือกลั่นแกล้งเป็นอันขาด
มิฉะนั้นแล้วท่านอาจถูกกล่าวหาว่า ลงโทษลูกศิษย์ของท่านโดยผิดระเบียบดังกล่าว อันอาจจะถูกดำเนินการทางวินัย จนทำให้ท่านเสียความรู้สึก ท้อแท้ หมดกำลังใจในการทำหน้าที่เป็นผู้ประกอบวิชาชีพชั้นสูงได้

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33586&Key=hotnews

สพป.ตาก เขต 1 บรรจุ ’18’ ครูผช.

5 สิงหาคม 2556

ตาก เขต นายไพศาล ปันแดน รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) 1 เปิดเผยว่า สพป.ตาก เขต 1 จะเรียกบรรจุครูผู้ช่วยจากการขอใช้บัญชีผู้สอบแข่งขันได้ของคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 จำนวน 4 กลุ่มวิชาเอก จำนวน 18 ราย โดยมีรายชื่อ ดังนี้ กลุ่มวิชาเอกคอมพิวเตอร์ 3 ราย ได้แก่ น.ส.ภัทรพร การะแบก น.ส.สาธิยา ลำดับ และนายเอกภักดิ์ ยินดีผล กลุ่มวิชาเอกภาษาไทย 1 ราย ได้แก่ น.ส.นิภาพร บุษบง กลุ่มวิชาเอกปฐมวัยศึกษา 12 ราย ได้แก่ น.ส.นิตยา ทองจิตติ นางธมลวรรณ ตะคุณนะ น.ส.สุรินธร ตาสี น.ส.รัชนีกร ใจยา นางวารินทร์ คำตา น.ส.จิตราภรณ์ เทพพรมวงค์ นายอมร ชื่นบางบ้า น.ส.จิดาภา ทองโตนด น.ส.ยุพิน เย็นจุรีย์ นางสุนิภา คำภิระแปง นางมุกข์ดา ทานันท์ และ น.ส.ปรียาภรณ์ สะสม และกลุ่มวิชาเอกวิทยาศาสตร์ 2 ราย ได้แก่ นางกัลยา โอดเฮิง และนางณัฐณิชา ยิ้มแย้ม โดยขอให้ผู้มีรายชื่อดังกล่าวไปรายงานตัวเพื่อรับการบรรจุและแต่งตั้ง ในวันที่ 9 สิงหาคม ตั้งแต่เวลา 08.30 น. ณ ห้องประชุมดอกเสี้ยว อาคารทักษิเณ ชั้น 3 สพป.ตาก เขต 1

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33585&Key=hotnews