Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

ม.อ.ปรับ’เปิด-ปิด’เทอมตามเออีซี

5 สิงหาคม 2556

นางยุพดี ชัยสุขสันต์ รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการและวิเทศสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) วิทยาเขตปัตตานี เปิดเผยว่า ขณะนี้วิทยาเขตปัตตานีมีความพร้อมในทุกด้าน เพื่อรองรับการก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 โดยเฉพาะด้านโครงสร้างกายภาพ อาคารสถานที่ ระบบสารสนเทศและเทคโนโลยี สิ่งอำนวยความสะดวกและความช่วยเหลือในด้านต่างๆ เช่น เรื่องการลงทะเบียน ที่พักอาศัยและระบบรักษาความปลอดภัย เพื่อรองรับนักศึกษาต่างชาติที่คาดว่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกปี นอกจากนี้ ยังได้เตรียมเพิ่มการสอนหลักสูตรนานาชาติแบบ 2+2 และดับเบิลดีกรี โดยจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนนักศึกษากับมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ พร้อมจัดโครงการสอนภาษาไทยสำหรับการสื่อสารและการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยสำหรับนักศึกษาต่างชาติ และการอบรมเจ้าหน้าที่บุคลากรที่เกี่ยวข้องในด้านทักษะภาษาต่างประเทศและการดูแลนักศึกษาต่างชาติ การให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน พร้อมปรับกำหนดการเปิดและปิดภาคเรียนให้สอดคล้องกับประเทศต่างๆ ในอาเซียน

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33584&Key=hotnews

เรียนหลักสูตรการค้าชายแดน – อินไซด์ แคมปัส

5 สิงหาคม 2556

ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา มูลค่าการค้าชายแดนระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านทะยานขึ้นต่อเนื่องมาถึงระดับ 9 แสนล้านบาทต่อปี โดยเฉพาะการค้าบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา มีมูลค่าถึง 6.6 หมื่นล้านบาท ในปี 2555 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการเติบโตทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วของประเทศเพื่อนบ้าน ส่งผลให้ความต้องการสินค้าไทยที่เดิมก็มากอยู่แล้ว กลับยิ่งมากขึ้นอีก

นายศิระพจต์ จริยาวุฒิกุล ผู้อำนวยการวิทยาลัยชุมชน (วชช.) สระแก้ว กล่าวว่า การเตรียมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนของ วชช.สระแก้ว จึงไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการส่งเสริมความพร้อมด้านภาษาและวัฒนธรรม แต่ยังมองเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นสำคัญ เนื่องจากศักยภาพของพื้นที่ในการเป็นศูนย์กลาง หรือฮับภาคอีสานตอนล่าง ทำหน้าที่รับสินค้าจากจังหวัดต่าง ๆ เพื่อกระจายต่อไปยังตลาดการค้าเพื่อนบ้านรอบประเทศไทย โดยเฉพาะตลาดกัมพูชาและตลาดเวียดนามรวมถึงส่งต่อออกไปยังภูมิภาคเอเชียตะวันออก นอกจากนี้สระแก้วยังมีจุดเชื่อมต่อเส้นทางไปกระจายสินค้าผ่านท่าเรือน้ำลึกที่แหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี และขณะเดียวกันภายในจังหวัดสระแก้วก็มีการพัฒนาช่องทางกระจายสินค้าให้มีความรวดเร็วมากขึ้น ทั้งหมดเป็นเหตุผลสำคัญทำให้ วชช.สระแก้ว ริเริ่มเปิดหลักสูตรการจัดการโลจิสติกส์และการค้าชายแดน ในปีการศึกษา 1/2556

“จุดเด่นของหลักสูตรนี้คือการเชิญเจ้าหน้าที่จากกรมศุลกากร และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งปฏิบัติงานจริงเกี่ยวข้องกับการค้าชายแดนมาเป็นผู้สอนซึ่งจะเป็นผู้มองเห็นการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ จะทำให้นักศึกษาได้เรียนรู้สภาพจริงที่เกิดขึ้นเป็นปัจจุบัน โดยเฉพาะไทย-กัมพูชา ซึ่งเป็นรูปแบบการค้าที่ค่อนข้างเฉพาะทางและต่างจากการทำการค้าระหว่างประเทศทั่วไป”

นายพิชยา เจริญสันต์ นักวิชาการศุลกากรชำนาญการ ด่านศุลกากรอรัญประเทศ กล่าวว่า นอกจากตนจะสอนให้นักศึกษารู้จักองค์ประกอบพื้นฐานในการทำการค้าระหว่างประเทศ สนธิสัญญาการค้าระหว่างชายแดน การวิเคราะห์จุดเด่นและจุดด้อยของสินค้าไทยและประเทศคู่ค้าแล้ว สิ่งสำคัญมากกว่านั้นคือการให้นักศึกษาลงพื้นที่เพื่อศึกษาสภาพความเป็นอยู่และการทำมาหากินของผู้คนบริเวณแนวชายแดน โดยตนยังได้สอนเทคนิคการติดต่อการค้ากับชาวกัมพูชา รวมถึงบอกเล่ารูปแบบและวิธีการต่าง ๆ ในการขนส่งสินค้าออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านซึ่งจะมีกฎเกณฑ์ที่แตกต่างจากบ้านเรา และมีข้อจำกัดหลายอย่าง ดังนั้นการเรียนรู้ข้อมูลเหล่านี้ไว้ก่อนจะเป็นประโยชน์มาก เรียกได้ว่าตนเอาของจริงที่เกิดขึ้นทั้งหมดสอนให้แก่นักศึกษา

นายอานนท์ เคนพันค้อ หรือ อ้น อายุ 30 ปี นัก ศึกษา วชช.สระแก้ว บอกว่า ตนรู้สึกประทับใจการเรียนแบบปฏิบัติจริง ได้ลงพื้นที่จริง และที่สำคัญเรียนจากผู้ปฏิบัติงานตัวจริงเสียงจริง โดยเป้าหมายการเรียนของตนเพื่อพัฒนาธุรกิจค้าขายที่นอนของครอบครัว แม้จะไม่ใช่การทำธุรกิจส่งออกไปแนวชายแดน แต่จากการเรียนทำให้รู้ว่าหลังจากมีการเปิดประชาคมอาเซียน ก็จะมีช่องทางธุรกิจที่เปิดกว้างมากขึ้น อาทิ โรงแรมอพาร์ตเมนต์ ที่พักต่าง ๆ ซึ่งจะเปิดตัวมากขึ้น นั่นเป็นช่องทางการตลาดของตนได้

สำหรับหลักสูตรดังกล่าวสามารถเลือกเรียนในลักษณะการฝึกอบรมเป็นรายวิชาหรือโมดูล และเรียนจนจบอนุปริญญา โดยปัจจุบันมีนักศึกษาในหลักสูตรประมาณ 20 คน แม้จะยังไม่มากเพราะหลักสูตรยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลาย แต่สิ่งที่แน่นอนคือประโยชน์ที่ผู้เรียนจะได้นั้นคุ้มค่ามากจริง ๆ.

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33583&Key=hotnews

กมธ.จี้สทศ.เข้มมาตรฐาน

1 สิงหาคม 2556

เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม นายประกอบ รัตนพันธ์ ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การศึกษา สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกับผู้บริหารสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) ว่า กมธ.การศึกษาฝากให้ สทศ.จัดการทดสอบที่ได้มาตรฐาน โดยกำหนดมาตรฐานของผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาที่ชัดเจน และไม่ต้องสนใจว่าเด็กจะสอบได้คะแนนมากหรือน้อย เพราะเป็นหน้าที่ของโรงเรียนและเด็กที่ต้องพัฒนาตนเองให้ได้มาตรฐานตามที่ สทศ.กำหนด ทั้งการทดสอบต้องกำหนดดัชนีชี้วัดที่สามารถวัดเด็กรอบด้าน ทั้งความรู้และคุณธรรม เพื่อสร้างเด็กไทยให้เป็นคนเก่ง ดี และมีความสุข อย่างไรก็ตามสิ่งที่ กมธ.การศึกษาเป็นห่วงมากที่สุดคือ แบบทดสอบที่ สทศ.ออกไม่ควรมีข้อผิดพลาด แม้ที่ผ่านมาเมื่อมีข้อสอบผิดพลาดขึ้น สทศ.จะแก้ไขปัญหาด้วยการให้คะแนนในข้อที่ผิดพลาด แต่โดยส่วนตัวแล้วเห็นว่าดูเหมือนจะยุติธรรม แต่ไม่เป็นธรรมกับเด็กที่เก่ง ทั้งควรพัฒนาข้อสอบให้เป็นการวิเคราะห์มากกว่าข้อสอบที่เน้นความจำ

“ส่วน สทศ.ขอให้ กมธ.การศึกษาช่วยสนับสนุนงบด้านวิจัยของ สทศ. และการสร้างเครือข่ายนักวิจัยในระดับเขตพื้นที่ ซึ่ง สทศ.ตั้งงบไว้เพียง 20 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งรับปากว่าจะนำไปหารือกับฝ่ายบริหาร เพื่อสนับสนุนงบดังกล่าว” นายประกอบกล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33553&Key=hotnews

‘จาตุรนต์’ รื้อเกณฑ์วิทยฐานะใหม่ เล็งเพิ่มสัดส่วน’ผลสัมฤทธิ์น.ร. 50 %’การศึกษา สั่งก.ค.ศ.วางแผนรับมือครูเกษียณอื้อ

1 สิงหาคม 2556

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เมื่อเร็วๆ นี้ ได้มอบนโยบายให้ ก.ค.ศ.ไปปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินวิทยฐานะครูและบุคลากรทางการศึกษาใหม่เพื่อให้การประเมินวิทยฐานะมุ่งไปที่ผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนให้มากขึ้น โดยจะให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ไปคิดหลักเกณฑ์และวิธีการในส่วนนี้ และจะต้องหาผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ทรงคุณวุฒิมาช่วยกันคิดเพื่อให้ค่าน้ำหนักในหลักเกณฑ์การประเมินวิทยฐานะใหม่ที่จะจูงใจให้ครูพัฒนาตนเองเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนดีขึ้น ไม่ใช่เฉพาะประเมินวิทยฐานะเพื่อให้เกิดความมั่นคงทางวิชาชีพครูเพียงอย่างเดียว นอกจากนั้นได้มอบให้สำนักงาน ก.ค.ศ.ไปพิจารณาเพื่อให้คณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) เขตพื้นที่การศึกษาพิจารณาการแต่งตั้งโยกย้ายหรือให้ความดีความชอบครู จะต้องคำนึงถึงผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนและโรงเรียนมากขึ้น

“หลักเกณฑ์และวิธีการประเมินวิทยฐานะของ ก.ค.ศ.หรือสพฐ.ควรมีข้อตกลงกับผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (ผอ.สพท.) เพื่อให้ ผอ.สพท.ให้ความสนใจพัฒนาผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน โรงเรียนและเขตพื้นที่การศึกษาให้ดีขึ้น และที่สำคัญต้องไม่ทอดทิ้งให้โรงเรียนจำนวนมากมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ” รัฐมนตรีว่าการ ศธ.กล่าว และว่า ในภาพรวมของการประเมินวิทยฐานะทั้งหมดจะต้องมีการปรับ ซึ่งในส่วนของสัดส่วนผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาที่จะนำมาใช้ประเมินจะต้องมีสัดส่วนที่เพิ่มมากขึ้น ในเบื้องต้นควรจะต้องเพิ่มเป็นอย่างน้อยประมาณ 50% จากปัจจุบันที่มีการใช้สัดส่วนของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมาประเมินวิทยฐานะประมาณ 10-20% เท่านั้น ทั้งนี้ หากผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากคะแนนผลทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (โอเน็ต) สูงขึ้นผลสัมฤทธิ์ของครูก็ต้องย่อมดีขึ้นเช่นกัน อย่างไรก็ตาม การปรับเปลี่ยนดังกล่าวนี้ค่อนข้างมาก ฉะนั้นจะต้องทำให้ทั้งระบบให้ความสนใจและเข้าใจกับผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม ผู้บริหารสถานศึกษา ครูและผู้ปกครองนักเรียน

นายจาตุรนต์กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังได้มอบให้สำนักงาน ก.ค.ศ.ไปเตรียมวางแผนรองรับกรณีที่จะมีข้าราชการครูที่จะเกษียณอายุราชการจำนวนมากในเร็วๆ นี้ ซึ่งจะทำให้ประสบภาวะขาดแคลนครูจำนวนมากในภาพรวมและรายสาขาวิชาเอก อีกทั้งสังคมไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุและไม่นานนี้น่าจะมีภาวะที่นักเรียนลดน้อยลงอย่างมาก สิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องไปวิเคราะห์และหาข้อมูลวางแผนการจัดสรรบุคลากรรองรับ

ด้านนายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า ขณะนี้ สพฐ.ได้พัฒนาเครื่องมือและหลักเกณฑ์ในการประเมินสมรรถนะครู ตามหลักการที่ ก.ค.ศ.ได้เห็นชอบการให้ครูมีและเลื่อนวิทยฐานะด้วยการประเมินสมรรถนะหรือ TPK โมเดล ร่วมกับหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญในกลุ่มสาระดังกล่าว จนมีความพร้อมใกล้เสร็จสมบูรณ์ใน 3 กลุ่มสาระ ได้แก่ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษ ซึ่งการประเมินสมรรถนะแบบ TPK โมเดล จะมี 2 องค์ประกอบหลัก คือ ประเมินจากสมรรถนะความรู้ของครู และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33557&Key=hotnews

มพ.ตั้งเป้าพัฒนางานวิจัย เตรียมผุดศูนย์ความเป็นเลิศ

2 สิงหาคม 2556

ศ. (พิเศษ) ดร.มณฑล สงวนเสริมศรี อธิการบดีมหาวิทยาลัยพะเยา (มพ.) เปิดเผยว่า ภายหลังจากการยกฐานะขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยเอกเทศในกำกับรัฐ มากว่า 3 ปี มหาวิทยาลัยพะเยา ยังคงยึดมั่นในการดำเนินงานตามปณิธานที่ว่า ปัญญาเพื่อความเข้มแข็งของชุมชน อนาคตข้างหน้ายังคงเน้นเรื่องของงานวิจัยที่สามารถตอบโจทย์การแก้ปัญหาท้องถิ่นเช่นเดิม โดยจะดำเนินการตามโครง 1 คณะ 1 โมเดล ซึ่งมุ่งให้ทุกคณะวิชานำความรู้ทางวิชาการของตนไปบูรณาการร่วมกับการพัฒนาและแก้ไขปัญหาของชุมชน โดยยึดความต้องการของชุมชนเป็นหลัก ทั้งในเรื่องของสุขภาพอนามัย การสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม เพื่อการแก้ไขปัญหาและพัฒนาพื้นที่ได้ตรงจุด ผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา มีหลายโครงการประสบความสำเร็จ อาทิ การใช้พลังงานทดแทนและการจัดการทางด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีที่ดีในชุมชน การพัฒนาเทคนิคการย้อมเส้นด้ายจากสีย้อมธรรมชาติ การถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตข้าวปลอดภัย การสกัดน้ำมันกระเทียมชนิดแคปซูลแก้ปัญหากระเทียมล้นตลาด เป็นต้น โครงการเหล่านี้นอกจากช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้กับชุมชนแล้ว ยังทำให้ชุมชนมั่นใจถึงผลความเข้มแข็งของชุมชนที่มีวิชาการเป็นสิ่งสนับสนุน ซึ่งทางมหาวิทยาลัยหวังว่าจะเป็นต้นแบบในการพัฒนาขยายไปสู่พื้นที่อื่นๆ ได้

อธิการบดี มพ. กล่าวอีกว่า มหาวิทยาลัยมี นโยบายนำโจทย์วิจัยมาพัฒนาต่อยอด ด้วยการจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านการวิจัย (Research Virtual Excellence Center) รองรับการวิจัยของชาติมาปรับให้เหมาะสม กับปัญหาและความต้องการของชุมชน กำหนดเป็นยุทธศาสตร์วิจัย 8 ยุทธศาสตร์ รับผิดชอบโดยศูนย์ความเป็นเลิศด้านการวิจัยแต่ละด้าน ซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินการไปแล้วบางส่วน เช่น การวิจัยด้านสุขภาพและชีวเวชศาสตร์ได้มีการจัดตั้งสถาบันมนุษย์พันธุศาสตร์ หรือการวิจัยน้ำมันงาม้อน ซึ่งเป็นพืชที่พบมาในจังหวัดพะเยา ซึ่งมีกรดและไขมันโอเมก้า 3 เป็นองค์ประกอบในปริมาณสูง จึงมีความเป็นไปได้ที่จะนำมาใช้ทดแทนกรดไขมันในสมองส่วนที่สึกหรอได้ เป็นต้น ทั้งนี้ งานวิจัยในศูนย์วิจัยจะดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ ร่วมกับนิสิต ในการลงพื้นที่ศึกษาข้อมูลเพื่อตอบโจทย์การแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด

ศ. (พิเศษ) ดร.มณฑล กล่าวในตอนท้ายว่า เรื่องของขยะและสิ่งแวดล้อม มพ.ก็ให้ความสำคัญไม่น้อย โดยขณะนี้ได้มีการวางแผนในการจัดการขยะอย่างรัดกุม และจัดสรรงบประมาณกว่า 80 ล้านบาท ในการศึกษาและดำเนินการป้องกันปัญหามลพิษที่อาจเกิดขึ้นได้ ทั้งการลดปริมาณขยะ โดยมีระบบการคัดแยกที่มีประสิทธิภาพ ลดการก่อขยะที่ก่อให้เกิดมลพิษ ส่วนระบบการบำบัดน้ำเสีย ตั้งเป้าที่น้ำเสียภายในมหาวิทยาลัย จะต้องนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้อีกครั้ง

ที่มา: หนังสือพิมพ์บ้านเมือง

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33572&Key=hotnews

สสส.ชูต้นแบบ ร.ร.บางปลาม้าฯ ผดุงวิทย์ รถโรงเรียนปลอดภัย-อุบัติเหตุเป็นศูนย์

2 สิงหาคม 2556

วันที่ 1 ส.ค. ที่ รร.ศรีอู่ทองแกรนด์ จ.สุพรรณบุรี สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก โรงพยาบาลรามาธิบดี และโรงเรียนบางปลาม้าสูงสุมารผดุงวิทย์ จ.สุพรรณบุรี จัดประชุมเชิงปฏิบัติ เรื่อง “ระบบการจัดการความปลอดภัยในการเดินทางของนักเรียนด้วยรถโรงเรียน รูปแบบโรงเรียนบางปลาม้าสูงสุมารผดุงวิทย์และเครือข่าย” มีผู้บริหาร ครู ผู้ปกครอง คนขับรถ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมกว่า 300 คน

นางบุษกร กานต์กำพล หัวหน้างานกิจการนักเรียนโรงเรียนบางปลาม้าสูงสุมารผดุงวิทย์ จ.สุพรรณบุรี กล่าวว่า โรงเรียนได้ดูแลความปลอดภัยในการเดินทางของเด็กนักเรียนที่มาโรงเรียน โดยตั้งชมรมรถโรงเรียนบางปลาม้าฯ เพื่อจัดระเบียบรถโรงเรียน เมื่อปี 2552 มีคณะกรรมการชมรมฯ พิจารณาเส้นทางการวิ่งรถให้ครอบคลุมและไม่ทับซ้อน พร้อมกำหนดกฎระเบียบให้คนขับรถปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด อาทิ ขับรถไม่เร็ว ไม่เมา ไม่สูบบุหรี่ขณะปฏิบัติงาน แต่งกายสุภาพเรียบร้อย มีระเบียบวินัย และนำรถมาตรวจสภาพกับกรมการขนส่งทางบกภาคเรียนละ 1 ครั้ง ให้มั่นใจว่ารถทุกคันที่รับ-ส่งนักเรียนอยู่ในสภาพพร้อม 100% และรถทุกคันต้องมีพี่เลี้ยงผู้ดูแลเด็กด้วย อุบัติเหตุจึงเป็นศูนย์ นอกจากนี้ คนขับรถยังเป็นสารวัตรให้ครูช่วยสอดส่องดูแลพฤติกรรมนักเรียนกว่า 2,000 คน ทั้งการหนีเรียน และยาเสพติด โดยส่งแบบฟอร์มรายงานว่าแต่ละวันมีเด็กขาดเรียนกี่คน ด้วยเหตุผลอะไร ซึ่งปัญหาต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นลดลงอย่างเห็นได้ชัด

ด้าน นายกล้าณรงค์ เอี่ยมสังข์ทอง ประธานชมรมโรงเรียนบางปลาม้าสูงสุมารผดุงวิทย์ กล่าวว่า กิจกรรมที่โรงเรียนจัดให้มีหลากหลาย อาทิ การปฐมพยาบาลเบื้องต้น การบำรุงดูแลรักษารถ การรู้กฎระเบียบต่างๆ เกี่ยวกับจราจร นอกจากนี้ ยังมีส่วนร่วมในการช่วยดูแลนักเรียน โดยเฉพาะการตรวจเช็คนักเรียนเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการโดดเรียน ซึ่งจะต้องรายงานให้แก่ครูทราบทุกวัน อย่างไรก็ตามบทบาทสารวัตรให้แก่ครูนั้น เป็นสิ่งที่คนขับรถทุกคนรู้สึกภูมิใจที่ได้มีส่วนในการทำประโยชน์ให้แก่โรงเรียน อีกทั้งผู้ปกครองจะมั่นใจได้เลยว่าบุตรหลานไม่ได้โดดเรียนแน่นอน นอกจากนี้ เรื่องความปลอดภัยทางคนขับรถก็จะระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยจะขับไม่เกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คุณภาพของรถก็สมบูรณ์ 100% ดังนั้นที่ผ่านมาจึงยังไม่เคยมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น

นางอัจฉรา ราชแก้ว หัวหน้ากลุ่มวิชาการขนส่ง สำนักงานขนส่งจังหวัดสุพรรณบุรี กล่าวว่า สำนักงานขนส่งฯ ได้ทำความร่วมมือเรื่องการดูแลรถโรงเรียนกับโรงเรียนบางปลาม้าสูงสุมารผดุงวิทย์ ตั้งแต่ปี 2554 มีการประชุมพนักงานขับรถโรงเรียนทุกเดือน เพื่อให้ความรู้แก่สมาชิกชมรม ทั้งการดูแลความปลอดภัยให้แก่นักเรียน และกฎระเบียบต่างๆ ของสำนักงานขนส่งฯ และจัดหน่วยเคลื่อนที่ปีละ 2 ครั้ง บริการตรวจสภาพรถโรงเรียน ติดตั้งอุปกรณ์ความปลอดภัยตามกฎหมาย เช่น ไฟสัญญาณ แผ่นป้ายรถโรงเรียน เป็นต้น ซึ่งใน จ.สุพรรณบุรี มีรถรับส่งนักเรียนกว่า 900 คัน แต่ขออนุญาตอย่างถูกต้องเพียง 10-20 คันเท่านั้น ต่อไปสำนักงานขนส่งฯ จะขยายความร่วมมือไปยังโรงเรียนแห่งอื่นด้วย และควรทำเรื่องนี้ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งประเทศ นอกจากนี้ ได้ลงพื้นที่ศึกษาระบบการรับ-ส่ง นักเรียน ที่ ร.ร.บางปลาม้าสูงสุมารผดุงวิทย์ และเปิดตัวคู่มือตรวจวัดความปลอดภัยรถโรงเรียน ครบ 8 ถึงปลอด “ภัย” เพื่อให้ผู้สนใจโดยเฉพาะผู้ปกครอง ทราบว่าปัจจัยสำคัญที่จะทำให้รถโรงเรียนปลอดภัยมีอะไรบ้าง และสามารถตรวจเช็คได้ว่ารถโรงเรียนที่บุตรหลานใช้บริการมีความปลอดภัยหรือไม่

ที่มา: หนังสือพิมพ์บ้านเมือง

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33571&Key=hotnews

‘ชาญณรงค์’ รับ สมศ.พลาด

2 สิงหาคม 2556

ศ.ดร.ชาญณรงค์ พรรุ่งโรจน์ ผู้อำนวยการสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) เปิดเผยว่า ตามที่ สมศ. ประเมินคุณภาพภายนอกรอบ 3 (พ.ศ.2554-2555) ระดับอุดมศึกษาเสร็จเรียบร้อยแล้ว จำนวน 136 แห่ง ซึ่งในส่วนที่ระบุว่ามหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี ผ่านการรับรองแบบมีเงื่อนไขนั้น จากการตรวจสอบพบว่าในการทำข้อมูลของ สมศ.มีความผิดพลาด ทำให้ข้อมูล มีความคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง และเกิดความเข้าใจผิด ดังนั้นเร็ว ๆ นี้ สมศ. จะทำหนังสือชี้แจงถึงผลการประเมินที่ถูกต้องไปยังมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี อีกครั้ง

“ความจริงแล้วมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี ได้รับการรับรองรอบ 3 ในระดับดี แต่มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรีมี 1 คณะที่เพิ่งเปิดใหม่และ สมศ. เข้าไปประเมิน แต่เป็นการประเมินเพื่อพัฒนา เพื่อดูความก้าวหน้า โดยไม่มีการตัดสินตามแนวทางการประเมินแบบกัลยาณมิตร เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับสถาบันการศึกษา ซึ่งต่างจากหลักเกณฑ์การประเมินเดิมที่หากมีคณะไม่ผ่านประเมิน 1 คณะ สมศ.จะรับรองสถาบันแบบมีเงื่อนไข ดังนั้นครั้งนี้จึงถือว่ามหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี ได้รับการรับรองรอบ 3 ในระดับดี ทั้งระดับสถาบันและระดับคณะแบบไม่มีเงื่อนไข” ศ.ดร.ชาญณรงค์ กล่าวและว่า ทั้งนี้ในการประเมินรอบ 3 มีสถาบันอุดมศึกษาที่ผ่านการประเมินจาก สมศ. แล้ว จำนวน 136 แห่ง จากสถาบันอุดมศึกษาที่ต้องเข้ารับการประเมินทั้งหมด 276 แห่ง เหลืออีก 140 แห่ง โดยในจำนวนนี้มีมหาวิทยาลัยที่ประเมินแล้วแต่อยู่ระหว่างการตรวจสอบรายงานของผู้ประเมินอีก 75 แห่ง ส่วนที่เหลือ สมศ. จะทำการประเมินต่อไปในปีงบประมาณ 2557.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33570&Key=hotnews

แต่งตั้งโยกย้าย 27 ‘รอง – ผอ.ร.ร.’ ดัง

2 สิงหาคม 2556

แหล่งข่าวจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) เขต 2 เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคมที่ผ่านมา นายสัจจา ศรีเจริญ ผู้อำนวยการ สพม. เขต 2 ได้ลงนามคำสั่ง สพม.เขต 2 ที่ 356/2556 เรื่อง ย้ายและแต่งตั้งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สายงานบริหารสถานศึกษา โดยแต่งตั้งโยกย้ายผู้อำนวยการโรงเรียน (ผอ.ร.ร.) และรอง ผอ.ร.ร. จำนวน 27 รายตามที่คณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2 อนุมัติ ดังนี้

นายพชรพงศ์ ตรีเทพา ผอ.ร.ร.บางกะปิ เป็น ผอ.ร.ร.สตรีวิทยา 2 ในพระราชูปถัมภ์ นางทิพย์รัตน์ เด่นดำรงวิทย์ ผอ.ร.ร.ศรีพฤฒา เป็น ผอ.ร.ร.บางกะปิ นายประสงค์ สุบรรณพงษ์ ผอ.ร.ร.เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ เป็นผอ.ร.ร.ศรีพฤฒา นางพรพิมล พรชนะรักษ์ ผอ.ร.ร.นวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา 2 เป็น ผอ.ร.ร.นวมินทราชินูทิศ บดินทรเดชา
นายบรรลือชัย ผิวสานต์ ผอ.ร.ร.นวมินทราชินูทิศ เบญจมราชาลัย เป็น ผอ.ร.ร.นวมินทรา ชินูทิศ สตรีวิทยา 2 นายบุญฤทธิ์ รุ่งเรือง ผอ.ร.ร.ยานนาเวศวิทยาคม เป็นผอ.ร.ร.นวมินทราชินูทิศ เบญจมราชาลัย นายวีระชัย สิทธิโชค ผอ.ร.ร.ฤทธิยะวรรณาลัย 2 เป็น ผอ.ร.ร. ดอนเมืองทหารอากาศบำรุง นายชาญพงค์วิช คันศรวสิษฐ์ ผอ.ร.ร.มัธยมวัดธาตุทอง เป็น ผอ.ร.ร. ฤทธิยะวรรณาลัย 2 นายไพบูลย์ กล้าหาญ ผอ.ร.ร.ภู่วิทยา เป็นผอ.ลาดปลาเค้าพิทยาคม นางสมคิด ปูชิตเสถียร รอง ผอ.ร.ร.มัธยมวัดบึงทองหลาง เป็นรอง ผอ.ร.ร.ดอนเมืองทหารอากาศบำรุง นางเยาวนาท สุนทร รอง ผอ.ร.ร. ศีลาจารพิพัฒน์ เป็น รอง ผอ.ร.ร.มัธยมวัดบึงทองหลาง
นางศุภลักษณ์ กวีตา รอง ผอ.ร.ร.ศรีพฤฒา เป็นรอง ผอ.ร.ร.ดอนเมืองทหารอากาศบำรุง นางสุภาวดี นาคพริก รอง ผอ.ร.ร.รัตนโกสินทร์สมโภชลาดกระบัง เป็นรอง ผอ.ร.ร.มัธยมวัดหนองจอก นางสมศรี รสารักษ์ รอง ผอ.ร.ร.มัธยมวัดนายโรง เป็นรอง ผอ.ร.ร.สิริรัตนาธร นายวิเชียร หรูวิจิตรพงษ์ รอง ผอ.ร.ร.ศีลาจารพิพัฒน์ เป็นรอง ผอ.ร.ร.ศรีพฤฒา น.ส.พรพิมล แม้นญาติ รอง ผอ.ร.ร.ทุ่งศุขลาพิทยา “กรุงไทยอนุเคราะห์” เป็น รอง ผอ.ร.ร.ศรีพฤฒา นายเชิดชัย อมรกิจบำรุง รอง ผอ.ร.ร.โยธินบูรณะ (สุวรรณสุทธาราม) เป็นรอง ผอ.ร.ร.พรตพิทยพยัต นายเจริญ บุตะเขียว รอง ผอ.ร.ร.บุญวัฒนา 2 เป็น รอง ผอ.ร.ร.พรตพิทยพยัต นายวีระพงษ์ พรรณโรจน์ รอง ผอ.ร.ร.เจ้าพระยาวิทยาคม เป็น รอง ผอ.ร.ร.พระโขนงพิทยาลัย
นายสุรศักดิ์ แพทย์คดี รอง ผอ.ร.ร.บ้านหนองบอน (นัยยานนท์อนุสรณ์) เป็นรองผอ.ร.ร.พระโขนงพิทยาลัย นางศุภรัฏฐ์ ฉิมวงษ์ รอง ผอ.ร.ร.โยธินบูรณะ (สุวรรณสุทธาราม) เป็นรอง ผอ.ร.ร.เตรียมอุดมศึกษา สุวินทวงศ์ นายอำนาจ อัปษร รอง ผอ.ร.ร.โยธินบูรณะ (สุวรรณสุทธาราม) เป็นรอง ผอ.ร.ร.ลาดปลาเค้าพิทยาคม นายยงยุทธ พรหมคช รอง ผอ. ร.ร.มัธยมวัดหนองจอก เป็นรอง ผอ.ร.ร.สีกัน (วัฒนานันท์อุปถัมภ์) นางวิรตี ชมพูจิต รอง ผอ.ร.ร.สวนอนันต์ เป็นรอง ผอ.ร.ร.มัธยม วัดธาตุทอง นายวิริยะ โภคาพันธ์ รอง ผอ.ร.ร.เจ้าพระยาวิทยาคม เป็นรอง ผอ.ร.ร. สายน้ำผึ้ง ในพระอุปถัมภ์ น.ส.วินนารัชน์ ชัยวิทยนันต์ รอง ผอ.ร.ร.เทพศิรินทร์คลองสิบสาม ปทุมธานี เป็นรอง ผอ.ร.ร.ดอนเมืองจาตุรจินดา และนางทิพพา ใจใหญ่ รอง ผอ.ร.ร.บดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) 4 เป็นรอง ผอ.ร.ร.เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการสุวรรณภูมิ

รายงานข่าวแจ้งว่า กรณีที่มีการโยกย้ายผู้บริหารโรงเรียนดัง ล่าช้า โดยเฉพาะร.ร.สตรีวิทยา 2 เนื่องจากเดิมสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)จะต้องตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองและส่งผลการจัดอันดับกลั่นกรองให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ แต่งตั้ง ส่งผลให้ดำเนินการล่าช้า กระทั่งนำมาสู่การเรียกร้องของสมาคมผู้บริหารโรงเรียนมัธยมแห่งประเทศไทย (ส.บ.ม.ท.) สมาคมคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานแห่งประเทศไทย เรียกร้องให้มีการยกเลิกหลักเกณฑ์ดังกล่าว ที่สุดคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.) จึงได้มีมติยกเลิกและคืนอำนาจให้เขตพื้นที่การศึกษา เป็นผู้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ทั้งนี้การโยกย้ายตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว เป็นเหตุให้มีการฟ้องร้องอยู่ที่ศาลปกครองและศาลอาญา รวม 4 เรื่อง โดย เฉพาะกรณีโรงเรียนหอวัง ซึ่ง นายพชรพงศ์ ตรีเทพา อดีต ผอ.ร.ร.หอวัง ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องอยู่ในขณะนี้

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33569&Key=hotnews

“จาตุรนต์” สั่งทบทวนมติ ก.ค.ศ.ปมทุจริตครูผู้ช่วย

31 กรกฎาคม 2556

“จาตุรนต์” สั่งทบทวนมติ ก.ค.ศ.ปมทุจริตครูผู้ช่วย ระบุต้องการให้เรื่องนี้มีความชัดเจนและเป็นแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องตรงกันทั้งระบบ

วานนี้(30ก.ค.) นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ว่า ที่ประชุมได้รายงานเรื่องสืบเนื่องเดิมกรณีปัญหาการสอบครูผู้ช่วยกรณีที่มีความจำเป็นหรือเหตุพิเศษว12 ที่ผ่านมา ซึ่งขณะนี้ในส่วนของ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษาและผู้อำนวยการโรงเรียนอาจจะดำเนินการแตกต่างกัน หลังจากที่ได้มติ ก.ค.ศ.แจ้งไปยังเขตพื้นที่การศึกษาที่อิงผลการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญและผลการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) โดยการดำเนินการกับครูผู้ช่วยกลุ่มนี้ของผู้อำนวยการโรงเรียนอาจมีความแตกต่างกัน เช่น ยังไม่ได้ดำเนินการอะไรเลย หรือสอบสวนแล้วไม่พบว่ามีการทุจริตจึงไม่ได้ดำเนินการอะไร หรือมีการสอบสวนและให้ออกจากราชการ รวมถึงบางแห่งไม่ได้มีการสอบสวนหรือเปิดโอกาสให้ชี้แจงแต่ให้ออกจากราชการ เป็นต้น ดังนั้นที่ประชุมจึงมีมติให้อ.ก.ค.ศ.วิสามัญด้านกฎหมายไปพิจารณามติเดิมของก.ค.ศ. รวมทั้งแนวปฏิบัติและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเพื่อทำให้เรื่องนี้มีความชัดเจนและเป็นแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องตรงกันทั้งระบบในครั้งต่อๆไป หากมีปัญหาที่ใครไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือควรได้รับการเยียวยาก็ต้องมีการดูแล

“ผู้ที่ถูกให้ออกจากราชการไปแล้วและได้มาร้องเรียนจะดูประเด็นให้ครบถ้วน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมอย่างดีที่สุด ซึ่งคนที่ถูกให้ออกจากราชการไปแล้วนั้นหากเป็นไปโดยไม่ถูกต้องตามขั้นตอนก็ต้องให้ความเป็นธรรม ส่วนที่ถูกให้ออกจากราชการถูกต้องตามขั้นตอนก็คงไม่มีการทบทวนอะไร ส่วนการหาตัวผู้กระทำทุจริตมาลงโทษเพิ่มเติมนั้นยังไม่ได้มีการหารือกันในที่ประชุม” นายจาตุรนต์ กล่าว

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33536&Key=hotnews

“ชินภัทร” แจงจัดซื้อแท็บเล็ตรอบ 2

30 กรกฎาคม 2556

“ชินภัทร” แจงจัดซื้อแท็บเล็ตรอบ 2 ระบุการประมูลโซน 3 ที่ สตง.ตั้งข้อสังเกต และมีการสั่งชะลอเพื่อทบทวน ขณะนี้ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว

วานนี้(29ก.ค.) ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) เปิดเผยความคืบหน้าการจัดซื้อคอมพิวเตอร์พกพา หรือ แท็บเล็ต ให้แก่นักเรียนชั้นป.1 และม.1 ว่า เนื่องจากการจัดซื้อแท็บเล็ตได้มีหนังสือทักท้วงที่เป็นข้อสังเกตจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ทั้งในส่วนที่เป็นภาพรวมและเฉพาะโซน ซึ่งในส่วนของภาพรวมเป็นเรื่องมุมมองของระเบียบที่วิเคราะห์แตกต่างกัน เพราะมีระเบียบการพัสดุที่เกี่ยวข้องหลายฉบับ ซึ่งไม่ได้เป็นประเด็นที่หนักหนาอะไร แต่เมื่อมีข้อสังเกตและข้อทักท้วงก็ควรจะเคลียร์ประเด็นเหล่านั้นไปก่อนที่จะเดินหน้า ดังนั้นภายในสัปดาห์นี้ สพฐ.จะชี้แจงข้อสังเกตของ สตง.เสียก่อน ซึ่งมั่นใจว่าจะสามารถชี้แจงได้ หากตอบข้อสังเกตของสตง.ในส่วนที่เป็นภาพรวมได้เรียบร้อยแล้ว ในโซนที่ไม่มีข้อสังเกตเป็นการเฉพาะคือในโซน 1 และโซน 2 ก็คงจะสามารถดำเนินการต่อไปได้

เลขาธิการ กพฐ. กล่าวต่อไปว่า สำหรับโซน 3 (ภาคกลาง-ภาคใต้) ที่ สตง.ตั้งข้อสังเกตเป็นการเฉพาะ และนายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการได้สั่งให้ชะลอเพื่อทบทวนนั้น ขณะนี้ได้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว หากผลการตรวจสอบเสร็จสิ้นก็จะรายงานไปยัง สตง.ต่อไป สำหรับในโซน 4 ก็จะเดินหน้าตามขั้นตอน โดยเมื่อวันที่ 26 ก.ค.ที่ผ่านมาได้มีการยื่นซองเทคนิคและทดสอบการตกกระแทกไปแล้ว ถ้าไม่มีการทักท้วงก็จะดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีการทางอิเลกทรอนิกส์ หรืออีออคชั่นตามกำหนด ทั้งนี้ภายในสัปดาห์นี้จะมีการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบาย 1 คอมพิวเตอร์พกพา ต่อ 1 นักเรียนเพื่อรายงานสถานการณ์และความคืบหน้าต่อไป
ด้าน นายจาตุรนต์ กล่าวว่า ขณะนี้ในส่วนของโซน 3 กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาทบทวน ส่วนการเดินหน้าในโซน 4 อาจจะได้สิ่งที่เป็นประโยชน์ในการนำมาพิจารณาทบทวนโซน 3 ก็ได้ อย่างไรก็ตามสิ่งที่ตนเห็นว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องทำ คือการสร้างมาตรฐานและพัฒนาเนื้อหา เนื่องจากปัจจุบันมีการผลิตสื่อแท็บเล็ตเป็นจำนวนมาก ต่างก็บอกว่าส่งผลดีต่อคุณภาพการศึกษาของเด็ก ตนจึงอยากให้ดูว่าสื่อดังกล่าวครอบคลุมและได้มาตรฐานหรือไม่ รวมทั้งมีความสะดวกที่จะให้ครูและนักเรียนเลือกใช้สื่อหรือไม่ โดยในปีงบประมาณ 2557 จะกำหนดให้การสร้างมาตรฐานและพัฒนาเนื้อหาสำหรับแท็บเล็ตและสื่ออิเลคทรอนิกส์เป็นความสำคัญอันดับแรกของเรื่องเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา ส่วนข้อห่วงใยว่านักเรียนมีแท็บเล็ตใช้แต่ครูยังไม่มีนั้น เรื่องนี้จะพยายามทำให้เข้าสู่วงจรปกติโดยเร็ว

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33515&Key=hotnews