Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

‘ผอ.ร.ร.ดัง-ครู’ เกษียณปี’ 56 กว่าหมื่นคน ‘ เตรียมฯ-สตรีวิทยา-สามเสน-หอวัง ‘ด้วย ซี10-11′ ปลัดศธ.-เลขาฯกพฐ.-ผู้ตรวจฯ’

19 กรกฎาคม 2556

เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม แหล่งข่าวจากกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัด ศธ.ได้ลงนามประกาศ ศธ.เรื่องข้าราชการพ้นจากราชการเนื่องจากมีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ สิ้นปีงบประมาณ 2556 ซึ่งในปีนี้มีผู้บริหารระดับ (ซี) 10 และ 11 ของ ศธ.เกษียณอายุราชการหลายคน ได้แก่ นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) นางเบญจลักษณ์ น้ำฟ้า รองเลขาธิการ กพฐ. นางอรทัย มูลคำ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบเครือข่ายและการมีส่วนร่วม สพฐ. นายสมบัติ สุวรรณพิทักษ์ รองปลัด ศธ. นายธวัช ชลารักษ์ ผู้ตรวจราชการ ศธ. นายเกียรติศักดิ์ เสนไสย ที่ปรึกษาสำนักงานปลัด ศธ. นายสุรพล รัตนชัย ที่ปรึกษาสำนักงานปลัด ศธ. นางสุนันทา แสงทอง ที่ปรึกษาสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) นอกจากนี้ ยังมีข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเกษียณอายุจำนวนมาก ได้แก่ ข้าราชการครูสังกัด สพฐ.จำนวน 10,451 คน สถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) 355 คน สังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย 53 คน วิทยาลัยชุมชน 2 คน

แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า ส่วนผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (ผอ.สพป.) และผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (ผอ.สพม.) ที่เกษียณอายุราชการมีจำนวน 15 คน ได้แก่ นายจำนงค์ ยอดขำ ผอ.สพป.กาญจนบุรี เขต 1 นายธวัชชัย พิกุลแก้ว ผอ.สพป.กาญจนบุรี เขต 4 นายสมภพ ศักดิษฐานนท์ ผอ.สพป.นครราชสีมา เขต 4 นายสมเดช สีแสง ผอ.สพป.นครสวรรค์ เขต 1 นายไพชยนต์ สูรยาทิตย์ ผอ.สพป.ประจวบคีรีขันธ์ เขต 1 นายกิจ เกียรติสมกิจ ผอ.สพป.ราชบุรี เขต 2 นายวิฑูรย์ วังตาล สพป.ลำพูน เขต 1 นายสุรพล น้อยแสง ผอ.สพป.สระแก้ว เขต 1 นายไพฑูรย์ โกพัฒน์ตา ผอ.สพป.สุพรรณบุรี เขต 2 นายดิลก พจน์พงษ์ ผอ.สพป.อุดรธานี เขต 1 นายสายัณห์ รุ่งป่าสัก ผอ.สพม.เขต 1 กรุงเทพมหานคร (กทม.) นายนิวัตต์ น้อยมณี ผอ.สพม.เขต 6 ฉะเชิงเทรา-สมุทรปราการ นายเสริมศักดิ์ ดิษฐปาน ผอ.สพม.เขต 11 สุราษฎร์ธานี-ชุมพร นายยุทธพงศ์ วชิรปัญญาวัฒน์ ผอ.สพม.เขต 26 มหาสารคาม และนายชาลี นาคเอี่ยม ผอ.สพม.เขต 41 กำแพงเพชร-พิจิตร

“นอกจากนี้ ยังมีผู้อำนวยการโรงเรียน (ผอ.ร.ร.) ชื่อดังใน กทม.ที่เกษียณอายุได้แก่ นายวิศรุต สนธิชัย ผอ.ร.ร.เตรียมอุดมศึกษา นางจำนงค์ แจ่มจันทรวงษ์ ผอ.ร.ร.สตรีวิทยา นายสำเร็จ แก้วกระจ่าง ผอ.ร.ร.นวมินทรา ชินูทิศ สตรีวิทยา พุทธมณฑล นางจิรา อ่อนไสว ผอ.ร.ร.ราชนันทาจารย์ สามเสนวิทยาลัย 2 นายสนั่น ชนันทวารี ผอ.อิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทย นางอารีย์ ชินสุวรรณ ผอ.ร.ร.สตรีวัดระฆัง นายธงชาติ วงษ์วรรค์ผอ.ร.ร.หอวัง นางถนอมจิตต์ ขุททะกะพันธุ์ ผอ.ร.ร.เจ้าพระยาวิทยาคม นายจีระศักดิ์ จันทุดม ผอ.ร.ร.ราชดำริ นายเฉลียว พงศาปาน ผอ.ร.ร.ราชวินิตบางเขน นายนคร เดชพันธุ์ ผอ.ร.ร.เทพลีลา นายเฉลิมชัย จันทรมิตรี ผอ.ร.ร.ฤทธิยะวรรณาลัย และนายจารึก ศรีเลิศ ผอ.ร.ร.วัดเขมาภิรตาราม” แหล่งข่าวคนเดิมกล่าว
ด้านนายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กล่าวว่า ปกติแล้วหากเป็นอัตราเกษียณอายุของข้าราชการครู ทาง สอศ.จะได้อัตราคืน 100% เพียงแต่จะ ต้องใช้เวลานานประมาณ 2 ปีกว่าจะได้อัตราครบทั้ง 100% ดังนั้น ในปีนี้ สอศ.จะประสานไปยังคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) เพื่อขออนุมัติในหลักการให้สามารถใช้อัตราที่เกษียณอายุได้เลย ซึ่งหากมีมติเห็นชอบ สอศ.สามารถเรียกผู้ที่สอบขึ้นบัญชีมาบรรจุ หรือใช้วิธีการรับโอนได้

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33418&Key=hotnews

ศธ.ชง กสทช.เพิ่มงบฯ กองทุน

19 กรกฎาคม 2556

เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ว่า ขณะนี้กองทุนพัฒนาฯมีเงินอยู่ประมาณ 166 ล้านบาท แต่มีโครงการที่เสนอเข้ามาเพื่อขอใช้งบฯ 82 โครงการ รวมวงเงิน 310 ล้านบาท ทางกองทุนพัฒนาฯจึงต้องคัดเลือกโครงการเนื่องจากงบมีจำกัด
นายจาตุรนต์กล่าวว่า งบกองทุนจะได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เป็นหลัก ช่วงปีแรกได้รับการสนับสนุน 5 ล้านบาท และเพิ่มเป็นปีละ 20 ล้านบาท แต่ระยะหลังได้ปรับลดเหลือไม่ถึง 20 ล้านบาท  ทำให้กองทุนพัฒนาฯเหลือเงินน้อยมาก ซึ่งเห็นว่าไม่สอดคล้องกับความจำเป็นในการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาของชาติอย่างรุนแรง จึงได้สอบถามผู้แทน กสทช.ที่ร่วมประชุมว่า จะสนับสนุนงบฯเพิ่มได้อีกเท่าใด เนื่องจากกองทุนไม่มีแหล่งรายได้จากที่อื่น และแต่ละปีได้รับเงินสนับสนุนน้อยมากเพียง 5-20 ล้านบาท ขณะที่ กสทช.มีเงินในส่วนนี้อยู่ปีละประมาณ 1,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่ส่งคืนคลังหมด

“ผมเห็นว่า กสทช.ควรสนับสนุนงบฯให้กองทุนพัฒนาฯ 800-900 ล้านบาท ส่วนที่เหลือค่อยส่งคืนคลัง ซึ่งผู้แทน กสทช.เสนอให้กองทุนพัฒนาฯทำแผนแม่บทก่อน ดังนั้น จึงได้มอบให้กองทุนพัฒนาฯเร่งทำแผนแม่บทพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาให้เสร็จเร็วที่สุด เพื่อจะเสนอของบฯ ปีหน้า” นายจาตุรนต์กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33417&Key=hotnews

เด็กไทย กับความสามารถในการแข่งขัน

18 กรกฎาคม 2556

ดร.เฉลิมพล ไวทยางกูร
อาจารย์ประจำ บัณฑิตวิทยาลัย ม.เกษมบัณฑิต /ผู้เชี่ยวชาญของ ศาลยุติธรรมด้านแปลและล่ามภาษาอังกฤษ

ได้มีโอกาสเข้าร่วมการประชุมสัมมนาทางวิชาการระหว่างประเทศประจำปี 2556 จัดโดยสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ในหัวข้อการศึกษาเพื่ออนาคตประเทศไทย ระหว่างวันที่ 23-25 มิถุนายน 2556 พบว่าเป็นงานสัมมนาที่ได้รับความสนใจจากบุคคลในสังคมที่มิใช่เพียงแค่ครูและบุคลากรของกระทรวงศึกษาเท่านั้น บางหัวข้อแน่นขนาดไม่มีที่ยืน ถือได้ว่าเป็นความสำเร็จของการจัดประชุมสัมมนางานหนึ่งทีเดียว การสัมมนามีความหลากหลาย จึงขอเสนอบางเรื่องบางประเด็นที่มีความประทับใจมาก

อย่างแรกก็คืองานนี้เป็นงานสัมมนาที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก ได้พบว่าคุณครูและผู้บริหารโรงเรียนทั้งภาครัฐและเอกชนจำนวนมากที่เข้าประชุมได้ใช้โอกาสซักถามและแสดงความเห็นเป็นภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว ฟังแล้วก็ใจชื้นว่าใครกันนะที่ดูหมิ่นดูแคลนครูไทยไม่รู้ภาษาอังกฤษ เอาซะเลย งานนี้ตอบโจทย์ได้พอสมควร อีกประเด็นหนึ่งที่สนใจมากคือเรื่องนโยบายการศึกษาไทยในหัวข้อการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาไทย โดยมีนักวิชาการจาก UNESCO และ OECD ร่วมเสวนาด้วย เป็นอีกหัวข้อที่มีผู้สนใจล้นออกมานอกห้อง และผู้เข้าร่วมสัมมนาได้แสดงความไม่เห็นด้วยอย่างดุเดือดเผ็ดร้อนกับหลักสูตรการศึกษาไทยที่กำลังมีการปฏิรูปอีกครั้ง แทบจะเรียกได้ว่าเหล่าวิทยากรทั้งไทยทั้งฝรั่งที่ร่วมเสวนาแทบจะนั่งไม่ติดทีเดียว

ในการสัมมนาครั้งนี้ทางสภาการศึกษาได้แสดงตัวเลขสถิติและตัวชี้วัดทางการศึกษาของประเทศไทยในหลายรูปแบบเพื่อประกอบการพิจารณา อาทิ ผลการประเมิน PISA (Program for International Student Assessment) และผลการประเมินนานาชาติ TIMSS (Trend in International Mathematics and Science Study) ซึ่งจากผลของการประเมินในปี 2009 ของ PISA พบว่าเด็กไทยทำคะแนนได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศในกลุ่ม OECD (Organization for Economic Cooperation and Development) ในทุกกลุ่มสาระ ไม่ว่าจะเป็นด้านการอ่าน ด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ และด้านทักษะที่ต้องใช้ในกระบวนการเรียนรู้ จึงทำให้เกิดความคิดที่จะปฏิรูปหรือพัฒนาหลักสูตรการศึกษาไทยอีกครั้ง

มีคำถามว่าการพัฒนาการศึกษาควรเริ่มต้นที่ตรงไหนจึงจะเป็นการตั้งต้นที่ถูกต้อง เปรียบเสมือนการเริ่มกลัดกระดุมเม็ดแรกที่ถูกต้อง ก็มีโอกาสที่กระดุมเม็ดถัดๆ ไปจะถูกกลัดได้ถูกต้อง ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 ที่สหรัฐอเมริกา มีการแสดงความเห็นโต้แย้งกันไปมาระหว่างสองแนวคิดหลัก (Two School of Thoughts) ที่มีความเห็นที่แตกต่างกัน แนวคิดแรกมาจากนักการศึกษาหัวก้าวหน้าที่มีความเชื่อว่าเด็กนักเรียนควรจะได้รับอิสระในการแสดงความคิดเห็นและเรียนรู้ด้วยตัวเอง ครูผู้สอนควรทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยง (Mentor) ในการประคับประคองเด็กนักเรียนให้คิดและแสดงออกเท่านั้น นักการศึกษาจากรัฐทางตอนกลางและตอนเหนือของสหรัฐอเมริกาส่วนใหญ่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ โดยมีมหาวิทยาลัยมิชิแกน (University of Michigan) เป็นแกนนำ

แต่ในอีกแนวคิดหนึ่งเชื่อว่าเด็กนักเรียนควรจะถูกปลูกฝังจากครูผู้มีประสบการณ์ในการอบรมสั่งสอน ชี้แนะ และกำหนดกรอบระเบียบให้เด็กเดินตามกรอบของการเรียนรู้อย่างทุ่มเทจริงจัง แนวทางนี้ได้รับการสนับสนุนจากนักการศึกษาของรัฐทางใต้ โดยมี มหาวิทยาลัยอลาบามา (University of Alabama) เป็นแกนนำ ซึ่งเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบจะเห็นได้ว่ารัฐทางเหนือและทางตอนกลางมีความเจริญมากกว่ารัฐทางใต้อยู่มาก แต่สภาพสังคมและเศรษฐกิจของรัฐทางใต้ อาทิ มลรัฐอลาบามา อาร์คันซอส์ มิสซิสซิปปี้ เท็นเนสซี หลุยส์เซียน่า มีระดับความเจริญใกล้เคียงกับประเทศกำลังพัฒนามากกว่า

โดยผิวเผินจะคิดว่าแนวคิดที่มหาวิทยาลัยมิชิแกนเป็นแกนนำมีความก้าวหน้าและน่าเชื่อถือมากกว่ามหาวิทยาลัยอลาบามาอย่างมาก ฉะนั้น แนวความคิดของนักการศึกษาจากกลุ่มมิชิแกนจึงน่าจะเป็นแนวทางที่น่าสนใจมากกว่า และนักการศึกษาของสหรัฐอเมริกาส่วนใหญ่ก็เดินตามแนวความคิดของมิชิแกนมาอย่างยาวนานหลายสิบปี ผลก็คือเด็กอเมริกันในขณะนี้มีความสามารถในการแข่งขันทางด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ลดลงอย่างมากเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศกำลังพัฒนาใหม่ๆ ในขณะนั้น เช่น จีน เกาหลีใต้ ฮ่องกง สิงคโปร์

คำถามก็คือทำไมประเทศกำลังพัฒนาหรือเพิ่งได้รับการรับรองว่าเป็นประเทศพัฒนาแล้วใหม่ๆ เหล่านี้จึงสามารถยกระดับมีความสามารถในการแข่งขันได้อย่างรวดเร็วและก้าวทันประเทศที่พัฒนาแล้วได้ ทั้งๆ ที่ประเทศเหล่านี้เป็นที่ทราบกันว่ามีระบบระเบียบในการเรียนการสอนค่อนข้างเฉียบขาดและมีกรอบระเบียบที่เข้มงวด นักเรียนมีการแข่งขันกันเองที่สูงมาก ถึงขนาดที่มีข่าวนักเรียนที่ไม่ประสบความสำเร็จในการแข่งขันกระทำอัตตวินิบาตฆ่าตัวตายอยู่บ่อยๆ

ความสำเร็จในการแข่งขันโอลิมปิกวิชาการเป็นตัวชี้วัดหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าเด็กนักเรียนมัธยมจากจีน เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ฮ่องกง แม้กระทั่งไต้หวัน และญี่ปุ่น ที่มีวัฒนธรรมการเรียนการสอนที่เข้มงวดสามารถทำคะแนนได้สูงระดับสุดยอดอยู่เป็นประจำ แม้กระทั่งเด็กไทยที่เข้าร่วมการแข่งขันก็ทำคะแนนได้สูงอย่างชนิดไม่น้อยหน้าประเทศอื่นที่เข้าร่วมการแข่งขันมาตลอด จึงทำให้ชวนคิดว่าระบบการเรียนการสอนของประเทศเหล่านี้มีความคล้ายคลึงในเชิงวัฒนธรรมการถ่ายทอดและเรียนรู้จากผู้ใหญ่มาสู่เด็กในหลายชั่วอายุคน น่าจะมีสิ่งดีๆ อยู่มากกว่าสิ่งไม่ดี

แน่นอนว่าการเรียนรู้เมื่อเริ่มต้นอาจจะอยู่ในกรอบแนวความคิดของครูอาจารย์ที่สั่งสอนอบรมเป็นหลัก แต่เมื่อถึงจุดจุดหนึ่ง เด็กจะเริ่มแสวงหาสิ่งใหม่ๆ ที่อยู่นอกกรอบ มันเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ที่อยากรู้อยากเห็นอยากทดลองอยู่แล้ว และจากการที่มีพื้นฐานที่ถูกปลูกฝังให้มีความพยายามอดทนและมุ่งมั่นที่ได้รับการถ่ายทอดตั้งแต่เล็ก ย่อมทำให้เขามีความมานะพยายามมากกว่าเด็กที่ได้รับการศึกษาอย่างมีอิสรเสรีมาตั้งแต่ต้น ผลก็คือโอกาสที่เด็กที่มีวัฒนธรรมเรียนรู้ด้วยความอดทนก็ย่อมจะประสบความสำเร็จในการคิดค้นในเรื่องใหม่ๆ ต่อยอดจากที่ครูอาจารย์เคยสอนในชั้นเรียนได้เป็นอย่างดี

เคยได้คุยกับเพื่อนชาวต่างชาติที่มาจากประเทศกำลังพัฒนาด้วยกัน เช่น จากเกาหลีใต้ อินเดีย ไนจีเรีย เราค่อนข้างมีความเห็นในแนวทางเดียวกันว่า ในเมื่อวัฒนธรรมการเรียนรู้ของคนในสังคมเราไม่เหมือนคนในสังคมตะวันตก ทำไมเราจึงต้องเอาแนวทางการศึกษาของทางตะวันตกเป็นตัวตั้งที่จะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ในเมื่อเราก็มีวัฒนธรรมการเรียนรู้ของเราเองที่ต่อเนื่องมาช้านาน และไม่ว่าจะเป็นแนวทางเปิดกว้างให้อิสรเสรีแบบแนวความคิดของมหาวิทยาลัยมิชิแกน หรือแนวเคร่งครัดในกฎระเบียบเข้มงวดด้านการเรียนการสอนแบบมหาวิทยาลัยอลาบามา ในที่สุดก็จะไปบรรจบกัน เพียงแต่เราต่างเดินอยู่บนเส้นทางที่ต่างกันเมื่อเริ่มต้นเท่านั้น

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33407&Key=hotnews

เตรียมลุยจัดสุดยอด กศน.ปี 2

18 กรกฎาคม 2556

รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ ประธานคณะกรรมการตัดสินการแข่งขัน “สุดยอด กศน.” เปิดเผยภายหลังการจบการแข่งขัน สุดยอด กศน. ปี 1 ว่า ทั้ง 18 ทีมที่ผ่านเข้ามาถึงรอบชิงชนะเลิศนั้น ทุกทีมมีความสามารถพื้นฐานของตนเองที่ดีอยู่แล้ว และเมื่อได้รับการชี้แนะด้านการแสดงจากมืออาชีพด้านการแสดง เพียง 4 วัน ก็เห็นความเปลี่ยนแปลงโดยมีพัฒนาการที่ดีขึ้นมาก ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า เด็ก กศน. ซึ่งหลุดออกจากระบบการศึกษา เป็นเด็กที่มีศักยภาพ สามารถผลักดันตนเองให้แจ้งเกิดได้ เป็นสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตเด็กที่ขาดโอกาส ซึ่งประสบการณ์ของกลุ่มเด็ก กศน.ในฤดูกาลแรกปีนี้ จะเป็นข้อคิดให้เด็ก ๆ อีกจำนวนมาก ที่ปฏิเสธการเรียนในระบบ เพราะยังมี กศน.รองรับ และการจัดการศึกษาของ กศน.ก็มีความยืดหยุ่นกับชีวิตเด็กแต่ละคน เพราะสามารถเรียนไปพร้อม ๆ กับการทำงาน เล่นกีฬา หรือแสดงออกในเวที ต่าง ๆ เป็นการเรียนที่ตอบโจทย์ชีวิตของเด็กได้ จึงไม่อยากให้ เด็ก ๆ ปฏิเสธระบบการศึกษา

“ผมอยากให้คนที่ประสบความสำเร็จในอาชีพต่าง ๆ อย่าแยกตัวเองออกจากสังคม อย่าคิดถึงแต่ตนเอง รายได้หรือชื่อเสียง ควรแบ่งเวลามาช่วยสังคม เพราะเพียงแค่ให้เวลาเด็กไม่กี่วัน ก็สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของเด็กเหล่านี้ได้ เหมือนการชุบชีวิตใหม่ให้เด็กทำให้เกิดความภาคภูมิใจ และรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า”รศ.ดร.สมพงษ์ กล่าว

ด้าน นายประเสริฐ บุญเรือง เลขาธิการสำนักงาน ส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) กล่าวว่า ปีหน้าจะมีการจัดโครงการ สุดยอด กศน. ปี 2 แน่นอน โดยหลังจากนี้ตนจะหารือกับคณะกรรมการตัดสิน ภาคีเครือข่าย และผู้บริหาร กศน.จังหวัด เพื่อช่วยกันปรับปรุงให้สุดยอด กศน.ปีหน้าดีขึ้นกว่าปีนี้.

–เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 19 ก.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33406&Key=hotnews

แนะวชช.วิจัยท้องถิ่นรับอาเซียน

18 กรกฎาคม 2556

นายสมศักดิ์ ตันติแพทยางกูร ผู้อำนวยการสำนักบริหารงานวิทยาลัยชุมชน (สวชช.) เปิดเผยว่า ในโอกาสที่ตนเพิ่งเข้ารับตำแหน่ง ผอ.สวชช.ตนได้วางแนวทางการพัฒนาหลักสูตรวิทยาลัยชุมชน (วชช.) เพื่อให้ตอบสนองการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน โดยตนมองว่าปัจจุบัน วชช.ยังขาดองค์ความรู้ที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ การนำองค์ความรู้เรื่องการเตรียมความพร้อมเข้าสู่อาเซียนที่ได้มาจากมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาชั้นนำจากส่วนกลางของประเทศ ไทยนั้น ไม่สามารถใช้ได้กับบริบทในแต่ละแห่งที่ วชช.ตั้งอยู่ ดังนั้นวิธีการที่ดีที่สุดในเวลานี้คือการให้อาจารย์ประจำ วชช. ริเริ่มการทำวิจัยภายในชุมชนที่ตั้งของตัวเอง หรือ อาจทำวิจัยเป็นกลุ่มจังหวัดที่มีความใกล้เคียงกันในด้านเศรษฐกิจ สังคมก็ได้ ทั้งนี้ เพื่อให้ได้องค์ความรู้ที่เป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับสภาพสังคมหรือชุมชนนั้น ๆ อย่างแท้จริง

“อย่างไรก็ตามผมเข้าใจว่าปัจจุบันภารกิจของอาจารย์ใน วชช.แต่ละแห่งก็มีการทำงานเฉพาะหน้าที่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอยู่แล้ว แต่ในส่วนองค์ความรู้จริง ๆ ก็ควรต้องเริ่มศึกษาค้นคว้าวิจัยไปควบคู่กันด้วย ซึ่งผมมักจะพูดเสมอว่า วชช.เปรียบเหมือนสถาบันอุดมศึกษาประเภทหนึ่ง ดังนั้นอาจารย์ของ วชช.ก็คืออาจารย์มหาวิทยาลัย ซึ่งต้องมีภารกิจในการทำวิจัยด้วย แต่ในที่นี้จะเป็นการทำงานวิจัยรับใช้สังคม โดยผลลัพธ์ในเบื้องต้นที่จะได้ก็เพื่อพัฒนาการเรียนการสอนใน วชช.เอง นอกจากนั้นหากเป็นงานวิจัยที่ดีและมีองค์ประกอบครบถ้วนก็ยังสามารถใช้เพื่อขอตำแหน่งทางวิชาการให้แก่ตนเองได้” นายสมศักดิ์ กล่าว.

–เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 19 ก.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33405&Key=hotnews

เล็งคนนอกสางคดีทุจริตครูผู้ช่วย ‘จาตุรนต์’หวั่นฝ่ายการเมืองลุอำนาจ-ไม่รีบร้อนดัน กศน.ขึ้นแท่ง

18 กรกฎาคม 2556

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยถึงกรณีที่นายเสริมศักดิ์พงษ์พานิช รมช.ศึกษาธิการ จะขอตรวจสอบกรณีการทุจริตสอบครูผู้ช่วย กรณีที่มีความจำเป็นหรือเหตุพิเศษ ว12 ต่อเนื่องจากเป็นทำเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้นว่าต้องดูภาพรวมทั้งหมดก่อนว่าที่ผ่านมามีการดำเนินการอย่างไร รวมทั้งการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงต่างๆมีปัญหาอะไรหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าผู้ถูกสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง เป็นผู้บริหารระดับสูงก็ควรจะต้องมาพิจารณาให้รอบคอบว่า คนที่มีความเหมาะสมจะมาดำเนินการสอบสวนควรจะเป็นใครขณะเดียวกันต้องพิจารณาด้วยว่า ควรจะเป็นคนในกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)หรือควรจะคนนอกที่มาจากกระทรวงอื่นโดยเน้นว่ากระบวนการสอบสวนทุกขั้นตอนจะดำเนินไป เพื่อให้เกิดความยุติธรรม ความสุจริต และป้องกันการทุจริตได้อย่างจริงจัง รวมถึงจะต้องแน่ใจว่าไม่มีการชี้นำ หรือมีความมุ่งหมายทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาด

“ส่วนจะให้นายเสริมศักดิ์ ดูแลต่อหรือไม่ คงต้องหารือกันอีกครั้งและหากมีความจำเป็น ก็คงต้องให้หน่วยงานภายนอกเข้ามาช่วยดูแลกระบวนการสอบสวน ส่วนการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนชุดต่างๆ ที่กำลังดำเนินการอยู่ขณะนี้ ก็ขอให้ดำเนินการต่อให้เต็มที่ไม่มีการล้มมวย ไม่มีการให้ชะลอ โดยเร็วๆ นี้จะขอให้ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องมาบรรยายสรุปเรื่องการทุจริตทั้งหมดของศธ. และจะขอความเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้องก่อน เพราะเวลานี้ที่ต้องระวังคือถ้าฝ่ายการเมืองไปสั่งอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า ไปทำตรงข้ามในทางที่ไม่ถูกต้อง อาจจะกลายเป็นให้คุณให้โทษกับคนได้”

นายจาตุรนต์ กล่าวและว่า โดยสาเหตุที่ตนต้องขอประมวลภาพรวมทั้งหมดก่อน เนื่องจากเรื่องทุจริตที่เกิดขึ้นใน ศธ. เป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่ และเกี่ยวข้องกับผู้บริหารระดับสูง ดังนั้นการตั้งคณะกรรมการสอบสวนเรื่องดังกล่าวก็ต้องมาดูว่าเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหรือไม่ เพราะหากตั้งผู้ที่ได้ประโยชน์จากการไปปลดอีกคนหนึ่งออก ก็ต้องระวัง เพราะ ศธ.มีโครงสร้างพิเศษ คือผู้บริหารระดับ 11 ดูแลองค์กรหลักถึง 5 คน จึงต้องดูให้รอบคอบ แต่ที่รับประกันได้แน่นอน คือการดำเนินการทุกขั้นตอนจะทำให้ถูกต้อง และเกิดความยุติธรรมมากที่สุด สำหรับหน่วยงานภายนอกที่จะเข้ามาช่วยดูเรื่องนี้ อาจจะเป็นผู้แทนจากสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นต้น

ส่วนจากกรณีที่นายเสริมศักดิ์ จะเร่งผลักดันร่าง พ.ร.บ.การศึกษาตลอดชีวิต พร้อมสนับสนุนให้สำนักงาน กศน.ให้เป็นองค์กรอิสระที่แยกออกจากสำนักงานปลัด ศธ.นั้น นายจาตุรนต์ ยืนยันว่ายังไม่ได้ศึกษาในรายละเอียดของร่างพ.ร.บ.การศึกษาตลอดชีวิต ทั้งยังต้องหารือกับสำนักงานปลัด ศธ. ว่ายังมีงานอะไรที่ค้างคาและจะสะสางอยู่หรือไม่ ส่วนที่มีเสียงเรียกร้องให้มีการแยกสำนักงานกศน. เป็นองค์กรอิสระนั้น คงต้องใช้เวลาอีกพอควรที่จะพิจารณา ซึ่งรวมถึงหน่วยงานอื่นๆที่จะเสนอขอให้ปรับโครงสร้างด้วย

“ที่ผ่านมา ศธ.มัวสาละวนกับเรื่องโครงสร้าง ทำให้เสียโอกาสในการปฏิรูปการศึกษาของชาติ ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายผมจึงขอเน้นการปฏิรูปการเรียนการสอนก่อนเป็นอันดับแรก ส่วนเรื่องการปรับโครงสร้างจะรับฟังความคิดเห็นทุกฝ่ายแต่จะไม่ถือว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน” นายจาตุรนต์ กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33404&Key=hotnews

มธ.บล็อกฐานข้อมูลบัณฑิตแฮกเกอร์เจาะไม่ถึงต้นขั้วแน่

18 กรกฎาคม 2556

ตามที่ศูนย์ปราบปรามการปลอมวุฒิจะนำกรณีตัวอย่างของ ม.ธรรมศาสตร์ (มธ.)ซึ่งถูกมิจฉาชีพแอบอ้างทำวุฒิปลอม มาศึกษาเป็นกรณีตัวอย่างเพื่อปราบปรามแก๊งมิจฉาชีพนั้น ล่าสุด นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมธ. ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) กล่าวว่า หลังจากที่มธ.ทราบเรื่องก็ได้แจ้งความดำเนินคดีเจ้าของเว็บไซต่ แต่ไม่สามารถตามจับได้ เพราะไหวตัวทัน และเรื่องนี้เคยมีการหารือใน ทปอ.เพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานาน และทุกมหาวิทยาลัยให้ความสำคัญที่จะช่วยกันตรวจสอบ ปราบปรามการปลอมวุฒิ เช่น เมื่อมีการรับสมัครบุคลากร จะต้องนำปริญญาบัตรมาสมัคร แต่ละมหาวิทยาลัยก็จะตรวจสอบวุฒิบัตรนั้นซึ่งกันและกันและต้องมีการรับรอง ซึ่งวิธีการนี้ก็ช่วยสกัดมิจฉาชีพได้ในระดับหนึ่ง ส่วนกรณีหน่วยราชการอื่น บริษัทห้างร้าน ทุกมหาวิทยาลัยก็พยายามประชาสัมพันธ์ให้นำวุฒิบัตรมาให้มหาวิทยาลัยตรวจสอบ

“ผมสนับสนุนนโยบายของ รมช.ศึกษาธิการ ที่ให้ สกอ.จัดตั้งศูนย์ปราบปรามการปลอมวุฒิ เพราะแสดงให้เห็นถึงความจริงจังของภาครัฐที่จะปราบปรามการทุจริต ส่วนที่กลุ่มมิจฉาชีพโฆษณาชวนเชื่อว่าสามารถเจาะฐานข้อมูลสถาบันการศึกษา เพื่อเพิ่มชื่อให้กับผู้ซื้อวุฒิบัตรปลอมนั้น แต่ละมหาวิทยาลัยมีแนวทางป้องกันอยู่แล้ว อย่างธรรมศาสตร์ จะให้เจ้าหน้าที่ที่จัดทำฐานข้อมูลของมหาวิทยาลัย ไม่น้อยกว่า 3 คน พิมพ์รายชื่อศิษย์เก่า โดยข้อมูลของเจ้าหน้าที่ทั้ง 3 คนจะต้องตรงกันจึงเป็นข้อมูลที่ถูกต้องใช้ได้ขณะเดียวกันทุกมหาวิทยาลัยก็มีระบบป้องกันการเจาะฐานข้อมูลของตนเองอยู่แล้ว ไม่ให้ใครแฮกเข้าไปได้ ซึ่งมั่นใจว่าขณะนี้ยังไม่มีใครสามารถปลอมแปลงวุฒิได้ถึงต้นขั้วแน่นอน” อธิการบดี มธ.กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33403&Key=hotnews

คอลัมน์: อาชีวะ…สร้างสรรค์: หยิบ OTOP ใส่ปิ่นโต

18 กรกฎาคม 2556

เป็นอีกโครงการที่น่าสนใจ “การประกวดผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ปี 2556” ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ที่จัดขึ้นมาเพื่อเพิ่มช่องทางการตลาดและส่งเสริมผลิตภัณฑ์ OTOP จากระดับชุมชนไปสู่ตลาดทั่วโลก เพื่อพัฒนาสินค้า OTOP ประเภทอาหารเป็น “ชุดอาหารปิ่นโต” ระดับจังหวัด กำหนดให้สถานศึกษาสังกัดสอศ. ส่งผลงานประกวดได้ไม่จำกัดจำนวนชิ้นงาน และจะคัดเลือกผลงานที่ได้รับคะแนนสูงสุดลำดับที่ 1-3 ของแต่ละจังหวัดเพื่อเป็นตัวแทนเข้าประกวดในระดับภูมิภาค

ระดับภูมิภาค ทีมที่ได้รับการคัดเลือกในระดับจังหวัดนำผลิตภัณฑ์ไปพัฒนาเพื่อเป็นตัวแทนในการประกวดในแต่ละภูมิภาค

– ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จัดการประกวด 26 กรกฎาคม 2556 ณ วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุบลราชธานี
– ภาคตะวันออก/กรุงเทพมหานคร จัดการประกวด 27 กรกฎาคม 2556 ณ วิทยาลัยอาชีวศึกษาเอี่ยมละออ
– ภาคใต้ จัดการประกวด 30 กรกฎาคม 2556 ณ วิทยาลัยอาชีวศึกษาสงขลา
– ภาคเหนือ จัดการประกวด 2 สิงหาคม 2556 ณ วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงใหม่ – ภาคกลาง จัดการประกวด 3 สิงหาคม 2556 ณ วิทยาลัยอาชีวศึกษาพระนครศรีอยุธยา ระดับชาติ ผู้ที่ได้รับคะแนนสูงสุด 1-3 ของแต่ละภูมิภาค จะเป็นตัวแทนเข้าร่วมประกวดระดับชาติใน 17 สิงหาคม 2556 ณ วิทยาลัยเทคนิคดอนเมือง และจะนำมาอวดฝีมือให้ประชาชนได้ชมที่กรุงเทพมหานคร ในงานเฉลิมฉลองวันคล้ายวันสถาปนาสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กรมอาชีวศึกษา) ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่าง 18-22 สิงหาคม บริเวณริมคลองผดุงกรุงเกษม

การประกวด 3 ระดับนี้ จะมีคณะกรรมการที่มีความรู้ความชำนาญด้านอาหารมาเป็นผู้ตัดสินได้แก่ ผู้แทนสถานประกอบการ สื่อมวลชน ผู้แทนจากสอศ.และผู้แทนส่วนราชการอื่น ซึ่งจะมีหลักเกณฑ์พิจารณาให้คะแนนใน ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านกระบวนการผลิตด้านคุณภาพ และด้านบรรจุภัณฑ์ ผู้ที่ชนะการประกวด ทั้งในระดับภาคและระดับชาติจะได้รับโล่รางวัล เกียรติบัตรและเงินรางวัล โดยรางวัลชนะเลิศระดับภาค ได้รับเงินรางวัล 5,000 บาท รองชนะเลิศอันดับ 1 เงินรางวัล 3,000 บาท รองชนะเลิศอันดับ 2 เงินรางวัล 2,000 บาท ส่วนรางวัลชนะเลิศระดับชาติ ได้รับเงินรางวัล 10,000 บาท รองชนะเลิศอันดับ 1 เงินรางวัล 7,000 บาท และรองชนะเลิศอัน 2 เงินรางวัล 5,000 บาท

การจัดประกวดชุดอาหารปิ่นโตนี้นอกจากเพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์ OTOP แล้วยังช่วยพัฒนาขีดความสามารถของนักเรียน นักศึกษา ให้มีทัศนคติในการทำงานเป็นทีม สร้างแรงจูงใจในการคิดแบบบูรณาการที่เอื้อต่อการสร้างสรรค์ สามารถนำไปสู่การผลิตและการส่งเสริมการตลาด กระตุ้นให้นักเรียน นักศึกษาเห็นความสำคัญของการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารในเชิงการค้า ตระหนักในคุณค่าอาหารตามหลักโภชนาการ พัฒนาศักยภาพในการประดิษฐ์คิดค้น สร้างนวัตกรรมอาหารด้วยการต่อยอดผลิตภัณฑ์ OTOP เชิงการค้าได้”

งานนี้นักเรียน นักศึกษา อาชีวศึกษาทั่วประเทศที่สนใจอย่าลืมส่งผลงานเข้าประกวดกันเยอะๆ www.vec.go.th

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33402&Key=hotnews

‘จาตุรนต์’ ชะลอซื้อแท็บเล็ตโซน3 หลังถูกร้องปม ‘ราคาประมูล-สเปก’

18 กรกฎาคม 2556

เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบาย 1 คอมพิวเตอร์ พกพา (แท็บเล็ต) ต่อ 1 นักเรียน เพื่อพิจารณาจัดซื้อแท็บเล็ตจำนวน 1.6 ล้านเครื่อง วงเงิน 4,611 ล้านบาท เมื่อเร็วๆ นี้ ตนได้มอบให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จัดตั้งคณะอนุกรรมการสร้างมาตรฐานหลักสูตรเนื้อหาสำหรับแท็บเล็ต ทำหน้าที่ดูแลเนื้อหาที่จะบรรจุในแท็บเล็ตและนวัตกรรมการเรียนการสอน ขณะเดียวกัน จะให้ สพฐ.เตรียมประชุมเสวนารับฟังความคิดเห็นเพื่อรวบรวมผลการวิจัย การศึกษาเกี่ยวกับการใช้แท็บเล็ตในช่วงที่ผ่านมาทั้งแง่ความทั่วถึง คุณภาพและปัญหาอุปสรรคในการใช้งาน โดยเฉพาะเนื้อหาในแท็บเล็ตที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พร้อมรับฟังจากผู้ใช้ทั้งครู ผู้ปกครอง และครู เพื่อประเมินสถานะว่าการใช้แท็บเล็ตเป็นอย่างไรและต้องแก้ไขอะไรบ้าง เพื่อปรับนโยบายหรือการดำเนินการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

รัฐมนตรีว่าการ ศธ.กล่าวต่อว่า ส่วนการจัดซื้อแท็บเล็ตที่ได้ประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์หรืออีออคชั่นเสร็จเรียบร้อยในโซนที่ 1-3 โซน และต้องให้ตนในฐานะรัฐมนตรีว่าการ ศธ.ลงนามในสัญญาจัดซื้อนั้น ได้พิจารณาข้อมูลที่นำเสนอและเห็นว่าการประมูลโซน 1-2 ไม่มีข้อทักท้วงอะไร จึงให้รวบรวมข้อมูลมาเสนอตน เพื่อเซ็นอนุมัติจัดซื้อต่อไป ส่วนการจัดซื้อในโซน 3 (ภาคกลางภาคใต้) สำหรับนักเรียนชั้น ม.1 และครูนั้น มีเรื่องร้องเรียนจากภาคีเครือข่ายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าการจัดประมูลโซนนี้ มีข้อสงสัยเกี่ยวกับราคาประมูลที่แตกต่างกันมาก รวมถึงสเปกของเครื่อง ปัญหาเชิงข้อกฎหมาย ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี อำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีว่าการ ศธ. ดังนั้น ตนจะเชิญผู้เกี่ยวข้องหารือสัปดาห์หน้า และจะให้ชะลอการจัดซื้อ ส่วนโซน 4 ที่ยังไม่ได้จัดประมูลเพราะมีบริษัทผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติของแท็บเล็ตเพียงบริษัทเดียวนั้น จะให้รอผลการพิจารณาจากโซน 3 ก่อน

รายงานข่าวแจ้งว่า การจัดประมูลแท็บเล็ตโซน 3 จำนวน 426,683 เครื่อง มีผู้ผ่านคุณสมบัติ 2 ราย คือ บริษัท สุพรีม ดิสทิบิวชั่นฯ และบริษัท เอสวีโอเอ จำกัด (มหาชน) โดยบริษัทสุพรีมฯชนะการประมูลในราคาต่ำสุด 1,240,900,000 บาท จากราคาเริ่มต้น 1,245,914,360 บาท

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33401&Key=hotnews

กมธ.การศึกษาค้านยุบ สมศ.

18 กรกฎาคม 2556

เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม ที่สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) นายประกอบ รัตนพันธ์ ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การศึกษา สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยภายหลังการประชุมสัญจรแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการพัฒนาการศึกษาของชาติร่วมกับผู้บริหาร สมศ.ว่า เจตนารมณ์กฎหมายจัดตั้ง สมศ. เพื่อประเมินและรับรองคุณภาพการศึกษาเพื่อให้ประชาชนเชื่อมั่นระบบการศึกษา แต่สังคมกำลังสับสนซึ่งหลายส่วนบอกว่าไม่ควรมี สมศ. อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมเห็นร่วมกันว่ายังควรต้องมี สมศ. เป็นหน่วยงานประเมินความพร้อมสถานศึกษา ครู และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน เพื่อนำจุดบกพร่องส่งให้ต้นสังกัดพัฒนาปรับปรุง

“ส่วนที่หลายฝ่ายมองว่าเกณฑ์ประเมินของ สมศ. ควรมีหลายมาตรฐาน เพราะโรงเรียนมีความพร้อมไม่เท่ากันนั้น เห็นว่าควรมีมาตรฐานเดียว เพียงแต่โรงเรียนขนาดเล็กและกลาง อาจต้องใช้เวลาค่อนข้างนานในการเข้าสู่มาตรฐาน ซึ่งทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องแก้ไขร่วมกัน” นายประกอบกล่าว
นายชาญณรงค์ พรรุ่งโรจน์ ผู้อำนวยการ สมศ. กล่าวว่า ปัจจุบันสถานศึกษาเปิดกันง่ายมากขึ้น ดังนั้น จึงต้องมีหน่วยงาน และเกณฑ์รักษาคุณภาพสถานศึกษา เพียงแต่ผลประเมินอาจกระทบความรู้สึกของสถานศึกษา จึงทำให้รู้สึกว่าไปเบียดเบียนเวลาและสร้างภาระ ทั้งที่ สมศ.เปรียบเหมือนหน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภค ถ้าสถานศึกษาด้อยคุณภาพ จะสอนเด็กต่อได้อย่างไร

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33400&Key=hotnews