Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

สจล.เผยมติ ‘สภาคณบดีครุ-ศึกษา’ ผุด 5 แนวทาง-ปั้นครูผู้นำ

26 มิถุนายน 2556

รศ.พีระวุฒิ สุวรรณจันทร์ คณบดีคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กล่าวว่า จากที่มีการรับนักศึกษาเกินจำนวน ก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพของการผลิตครู สิ่งสำคัญที่จะทำให้การวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าวนั้นหมดไป จะต้องเปลี่ยนแปลงบทบาทและหน้าที่ของการผลิตครูในชั้นเรียนให้ตรงตามเป้าประสงค์ และผลิตครูที่มีคุณภาพ ในฐานะผู้บริหารคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ จึงมีความจำเป็นต้องกำหนดเป้าหมายอย่างชัดเจนในการผลิตครู เพื่อให้ครูเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงชั้นเรียน มิฉะนั้นการปฏิรูปการศึกษาอาจไม่ประสบความสำเร็จ ด้วยเหตุนี้ คณบดีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ทั่วประเทศจึงได้จัดการประชุมเป็นประจำทุก 2 เดือน เพื่อสร้างบทบาทของวิชาชีพครูให้มีความแข็งแกร่งและยกระดับครูไทยให้มีความสามารถสูงขึ้น

รศ.พีระวุฒิกล่าวว่า คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม สจล.เป็นหนึ่งในสถาบันการศึกษาที่มีการผลิตครู โดยเน้นการผลิตครูอาชีวศึกษา เพื่อให้บัณฑิตเป็นผู้ที่มีความรู้และทักษะวิชาชีพ พร้อมที่จะถ่ายทอดให้แก่ผู้อื่นได้อย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพ จากความสำคัญของการผลิตครู จึงได้เป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมสภาคณบดีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 3/2556 เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาที่อาจมีผลต่อภาพลักษณ์ของการผลิตครูและวิชาชีพครู โดยมีคณบดีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์เข้าร่วมประชุมกว่า 50 ท่าน

รศ.พีระวุฒิกล่าวต่อไปว่า จากการประชุม ที่ประชุมสภาคณบดีฯ มีมติใน 5 แนวทาง ดังนี้

1.การผลิตครูให้มีจำนวนที่เหมาะสม โดยจะเริ่มวางแผนการผลิตครูในปีการศึกษา 2557 ซึ่งจะเพิ่มจำนวนการผลิตในสาขาวิชาที่ขาดแคลน และลดจำนวนการผลิตในสาขาที่เกินความต้องการ

2.คัดกรองผู้เข้าเรียนครูอย่างถี่ถ้วนมากขึ้น โดยผู้สมัครเข้าเรียนครูจะต้องผ่านการสอบที่มีมาตรฐานและจัดสอบร่วมกันทั่วประเทศ อีกทั้งยังจะต้องมีประวัติการเรียนที่ดี เพื่อให้ได้รับการยอมรับในวิชาชีพเพิ่มขึ้น

3.สร้างนวัตกรรมใหม่ในการผลิตครู ด้วยการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตครูเพื่อให้ได้ครูรุ่นใหม่ที่สอนด้วยวิธีการและเทคโนโลยีที่ทันสมัย

4.คณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ ต้องมีบทบาทในการชี้นำแนวคิดให้กับสังคม โดยครูรุ่นใหม่จะต้องมีความทันสมัยและเป็นผู้นำสูง สามารถเป็นผู้นำการเปลี่ยน แปลงในสังคม สร้างบรรยากาศการเรียนการสอนที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ ตลอดจนการสอนให้ผู้เรียนมีแนวคิดและเข้าใจสิ่งใหม่ได้ และ

5.สร้างบทบาทเชิงรุกผ่านสมาคมทางการศึกษา เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ทำให้วิชาชีพครูเป็นวิชาชีพชั้นสูงมีบทบาทและเติบโตอย่างมีความหมาย

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33153&Key=hotnews

 

คอลัมน์: ทั่วถิ่นไทย ก้าวไกลการศึกษา: สพฐ.ส่ง 32 นักเรียนร่วมแข่งคณิตฯที่บัลแกเรีย

26 มิถุนายน 2556

สถิรา ปัญจมาลา
ศูนย์สารนิเทศการศึกษาขั้นพื้นฐาน สพฐ.
สพฐ.ได้ประกาศรายชื่อนักเรียนที่ผ่านการคัดเลือกด้านคณิตศาสตร์จากทุกสังกัดทั่วประเทศ เข้าแข่งขันคณิตศาสตร์ ระหว่างประเทศ : International Mathematics Competition 2013 (IMC 2013) วันที่ 27 มิ.ย.-8 ก.ค. 2556 ณ สาธารณรัฐบัลแกเรีย โดยแบ่งการแข่งขันออกเป็น 2 เวที เวทีละ 16 คน ได้แก่

การแข่งขันคณิตศาสตร์ ระหว่างประเทศ ระดับประถมฯ : Elementary Mathematics International Competition 2013 (IMC:EMIC 2013) ด.ช.กมล ทั่งทอง ร.ร.เอกชัย สมุทรสาคร ด.ช.กมลชัย สิริพิพัฒน์เจริญ สารสาสน์วิเทศสายไหม ด.ช.ตรีทเศศ วิวิธวร สาธิต ม.รามคำแหง (ฝ่ายประถม) ด.ช.ธนกฤต ยูงสมพร ราชวินิต กทม. ด.ช.นญ กังวานธีรวัฒน์ อนุบาลสกลนคร ด.ช.ภคิน พงศ์โรจน์เผ่า เซนต์คาเบรียล ด.ช.ภาวิชญ์ หวังซื่อกุล อนุบาลยุวพัฒน์ นครสวรรค์ ด.ช.ภูมินทร์ หวนสุริยา อนุบาลสุธีธร นครปฐม ด.ญ.ยลรดา ยงพิศาลภพ เซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์ ด.ญ.ลออรัตน์ อุปคุณ อนุบาลนครราชสีมา ด.ช.ศิวกร เสียงเล็ก วิเชียรชม สงขลา ด.ช.เศรษฐ์ สิทธิโชคธรรม อนุบาลสระบุรี ด.ช.สัณห์ปกรณ์ สิรินทรโสภณ แสงทองวิทยา สงขลา ด.ช.สิริพล สุทธิวรรณา สาธิต มข. (มอดินแดง) ขอนแก่น ด.ช.สุภัทร พันธุ์ชื่นสุข กสิณธรวิทยา กทม. และ ด.ช.อานุภาพ ช่วยเจริญสุข อนุบาลนครราชสีมา

การแข่งขันคณิตศาสตร์ ระหว่างประเทศ ระดับ ม.ต้น : World Youth Mathematics Inter-City Competition 2013 (IMC : WYMIC 2013) ได้แก่ ด.ช.กฤตเมธ เล้งรักษา ด.ช.กิตติพศ ปรางค์ศรีเจริญ และนายเชษฐ์พงศ์ภัช บูรณศิลป์ สวนกุหลาบฯ กทม. นายณภัทร ธรรมวานิช มอ.วิทยานุสรณ์ สงขลา ด.ช.ธีมธรรศ จิรนันท์ธวัช กรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ด.ญ.นวพรรณ วัฒนาวานิชกุล เบ็ญจะมะมหาราช อุบลฯ นายปิยวัฒน์ อานันทคุณ ราชสีมาวิทยาลัย ด.ช.เปรม วัสสานกูล สวนกุหลาบฯ รังสิต นายภูวิชญ รัชตวุฒิมงคล เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ด.ญ.สุพิชญา เศรษฐโศภณ เบญจมราช รังสฤษฎิ์ ฉะเชิงเทรา ด.ช.สุวิจักขณ์ มงคลากร กรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย และ นายอธิวัฒน์ ธูปทอง บดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ด.ช.ณฐนนท์ อัครภาพ ด.ช.ณัฐวุฒิ บุญสิริพัฒนาเจริญ ด.ช.พชร เศวตมาลย์ นายสิรภพ จิตรมีศิลป์ สาธิต มศว ปทุมวัน

การจัดการแข่งขันเป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนจากทุกสังกัด ได้แสดงความสามารถทางวิชาการ มีโอกาสแลกเปลียนเรียนรู้สู่เวทีโลก และเชื่อมโยงการแข่งขันทางวิชาการสู่การพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอนอย่างต่อเนื่อง

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33152&Key=hotnews

พบพิรุธสอบครูผู้ช่วยใน สพป.อยุธยา เขต 1

26 มิถุนายน 2556

เลขาฯสพฐ เผยพบพิรุธสอบครูผู้ช่วยในสพป.อยุธยา เขต 1 จำนวน 2 ราย

นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวภายหลังการประชุมทางไกลผ่านระบบวีดีโอคอนเฟอร์เร้นกับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) เพื่อติดตามผลการจัดสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2556 ซึ่งจัดสอบหว่างวันที่ 22-24 มิ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งเปิดรับ 1,070 อัตรา ใน 34 กลุ่มวิชาการ และมีผู้มีสิทธิ์สอบจำนวน 83,930 คน ว่า จากการรายงานผลการจัดสอบครูผู้ช่วยพบว่าไม่มีการทุจริตในลักษณะที่เป็นปัญหาในวงกว้าง มีเฉพาะกรณีที่ผู้เข้าสอบนำโทรศัพท์มือถือเข้าห้องสอบในสนามสอบของโรงเรียนสันติราษฎร์วิทยาลัย จำนวน 2 ราย เท่านั้น และกำลังรอผลการตรวจพิสูจน์จากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ว่าได้มีการใช้โทรศัพท์สื่อสารระหว่างสอบหรือไม่ ซึ่งทางสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) กรุงเทพมหานคร เขต 1 จะได้ไปเร่งรัดติดตามผลและรายงานผลมาให้ทราบอีกครั้ง

ซึ่งหากพบว่ามีการใช้โทรศัพท์สื่อสารในช่วงสอบก็ถือว่าเป็นการทุจริตในการสอบ อย่างไรก็ตาม การนำโทรศัพท์มือถือเข้าห้องสอบก็ถือว่าผิดระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการปฏิบัติของผู้เข้าสอบ พ.ศ. 2548 ซึ่งเท่าที่ตนหารือกับฝ่ายนิติกรศธ.ในการที่ผู้สอบนำโทรศัพท์เข้าห้องสอบก็ถือเป็นการทำผิดกติกา แต่ในระเบียบยังไม่มีการกำหนดบทลงโทษซึ่งจะต้องรอผลการพิสูจน์จากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย

นายชินภัทร กล่าวต่อว่ายังได้รับรายงานว่าที่สนามสอบที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) อยุธยา เขต 1 พบผู้สอบ 2 รายมีลักษณะน่าสงสัยว่าได้มีการนัดแนะไปสมัครเพื่อให้ได้เลขที่นั่งสอบใกล้กันหรือไม่เพราะในวันสอบทั้ง 2 รายมีพฤติกรรมที่พยายามจะช่วยเหลือกันในระหว่างการสอบ ซึ่งทางกรรมการคุมสอบสังเกตเห็นจึงได้แก้ไขให้แยกที่นั่งสอบไกลกัน และกำลังตรวจสอบว่ามีทั้ง 2 รายตอบข้อสอบตรงกันหรือไม่เนื่องจากต้องมีหลักฐานชัดเจนก่อนจึงจะสามารถตัดสิทธิ์การสอบได้ ส่วนการติดตามความคืบหน้าในการจัดติวก่อนสอบครูผู้ช่วยใน สพม.เขต 40 เพชรบูรณ์ นั้นได้เร่งรัดให้ติดตามผลสอบโดยเร็วและรายงานกลับมา อย่างไรก็ตาม ภาพรวมการจัดสอบครั้งนี้พบข้อบกพร่องเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และจะได้นำผลการจัดสอบรายงานต่อ รมว.ศึกษาธิการ และรมช.ศึกษาธิการ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33151&Key=hotnews

ก.พ.อ.อนุมัติ 5 ศาสตราจารย์ใหม่

25 มิถุนายน 2556

นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ก.พ.อ.) เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.ว่า ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบตามที่คณะอนุกรรมการเกี่ยวกับตำแหน่งทางวิชาการของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา เสนอพิจารณากลั่นกรองคุณสมบัติและผลงานทางวิชาการของผู้เสนอข้อกำหนดตำแหน่งศาสตราจารย์ (ศ.) ก่อนเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อนำความกราบบังคมทูล เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ 5 ราย  ได้แก่

           รศ.เต็มดวง ลิ้มไพบูลย์ สาขาวิชาเทคนิคการแพทย์ ม.ขอนแก่น,

           รศ.อมร เปรมกมล สาขาวิชาเวชศาสตร์ชุมชน ม.ขอนแก่น,

           รศ.ทินกร วงศ์ปการันย์ สาขาวิชาจิตเวชศาสตร์ ม.เชียงใหม่,

           รศ.จิตต์ลัดดา ศักดาภิพาณิชย์ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพอลิเมอร์ ม.มหิดล และ

           รศ.พิมพิชฌา ปัทมสิริวัฒน์ สาขาวิชาเทคนิคการแพทย์ ม.มหิดล

รมว.ศธ.กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ได้พิจารณากลั่นกรองคุณสมบัติให้ผู้ดำรงตำแหน่ง ศ. ได้รับเงินเดือนขั้นสูง (ท.11) ตามประกาศ ก.พ.อ. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการประเมินคุณสมบัติและผลงานทางวิชาการเพื่อให้ผู้ดำรงตำแหน่ง ศ.ได้รับเงินเดือนอันดับ ท.11 พ.ศ. 2550 และตามประกาศ ก.พ.อ. เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินคุณสมบัติและผลงานทางวิชาการ เพื่อให้ผู้ดำรงตำแหน่ง ศ. ได้รับเงินเดือนขั้นสูง พ.ศ. 2553 และได้เห็นชอบให้ ศ.สมทรง บุรุษพัฒน์ ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ดำรงตำแหน่ง ศ. ได้รับเงินเดือนขั้นสูง (ท.11) ในสาขาวิชาภาษาศาสตร์.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33147&Key=hotnews

หนุนอาชีวะสอน EP กับ Mini EP

25 มิถุนายน 2556

กรุงเทพฯ : ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาได้ร่วมกับสวนดุสิตโพลทำการวิจัยเชิงสำรวจเรื่องการจัดการเรียนการสอนภาคภาษาอังกฤษ (EP และ Mini EP) พบว่ามีผู้รู้จักการจัดการเรียนการสอนแบบ EP จำนวน 67.93% และรู้จักการจัดการเรียนการสอนแบบ Mini EP มากถึง 71.61%

ส่วนเรื่องความสนใจเรียนนั้นมีผู้ให้ความสนใจถึง 79.55% เพราะเห็นว่าเป็นการเปิดโลกทัศน์ให้ผู้เรียนได้มีความรู้ สามารถอ่าน เขียน พูดภาษาอังกฤษได้ นักศึกษามีคุณภาพ มีโอกาสพัฒนาศักยภาพ และเป็น การเตรียมตัวเข้าสู่ประชาคมอาเซียน รวมถึงได้ฝึกทักษะ สามารถสื่อสารโต้ตอบกับชาวต่างชาติ หรือนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ และยังส่งเสริมให้ภาพลักษณ์ของเด็กอาชีวะดูดีขึ้นด้วย ทั้งนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 83.21% ต้องการให้มีการสอนแบบ EP และ Mini EP ต่อไป

ที่มา: หนังสือพิมพ์โลกวันนี้

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33146&Key=hotnews

ชง’หมากรุก’เป็นวิชาบังคับเรียน

25 มิถุนายน 2556

นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัดศธ. กล่าวว่า จะจัดทำโครงการเด็กไทยคิดเป็นผ่านเกมหมากรุกขึ้น เพราะจากการศึกษาดูงานที่ประเทศรัสเซียพบว่า มีการนำวิชาหมากรุกมาเป็นหลักสูตรหนึ่งในการจัดการเรียนการสอนวิชาบังคับ โดยผลวิจัยระบุว่า เด็กนักเรียนทุกคนที่เรียนวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ หรือเทคโนโลยี เป็นแชมป์หมากรุกสากลแทบทั้งสิ้น และเด็กส่วนใหญ่เมื่อจบการศึกษาไปแล้ว จะไปประกอบอาชีพวิศวกร นักวิทยาศาสตร์ เป็นต้น ตนจึงอยากจะฝึกเด็กไทยรู้จักการคิดวิเคราะห์หลายชั้นแบบการเล่นหมากรุกบ้าง และอยากให้เกมหมากรุกเป็นวิชาบังคับหนึ่งในการจัดการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับ ป.1-6

ปลัด ศธ. กล่าวต่อว่า เบื้องต้นตนเชิญ ร.ร.ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนและสำนักงานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย อย่างละ 100 แห่ง แบ่งเป็น 3 ระดับ ตั้งแต่ประถมศึกษา ม.ต้น และม.ปลาย เข้าร่วมโครงการเด็กไทยคิดเป็น โดยในปีนี้จะเป็นการแข่งขันหมากรุกไทย และในปี’57 จะขยายเป็นการแข่งขันหมากรุกสากล

โครงการนี้จะนำร่อง โดยนำผลการเรียนของเด็กจากปีที่แล้วมาเปรียบเทียบ หากเด็กมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดีขึ้น มีสมาธิดีขึ้น ก็ถือว่าประสบความสำเร็จ ทั้งนี้เชื่อว่าการนำเกมหมากรุกมาใช้ในการเรียนจะลดพฤติกรรมความรุนแรงลงและจะส่งผลให้เด็กรู้จักคิดมากกว่าใช้กำลัง

ที่มา: http://www.matichon.co.th/khaosod

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33145&Key=hotnews

ยุบ-ไม่ยุบ โรงเรียนขนาดเล็ก เด็กก็ต้องมีคุณภาพ

25 มิถุนายน 2556

กลิ่น สระทองเนียม
นโยบายยุบโรงเรียนขนาดเล็กที่มีเด็กต่ำกว่า 60 คน ของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ผ่านมาดูเหมือนจะผ่อนไปตามกระแสวิจารณ์ของผู้รู้จริงบ้าง ไม่รู้จริงบ้างไปแล้วทั้งที่ความเป็นจริงทุกฝ่ายต่างก็รู้อยู่แก่ใจแล้วว่าโรงเรียนขนาดเล็กมีประสิทธิภาพในการจัดการศึกษามากน้อยแค่ไหน หากยังปล่อยให้เป็นอยู่เช่นนี้ผู้ที่ได้รับผลกระทบก็คือเด็กในพื้นที่ไม่ใช่ลูกหลานของผู้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์เป็นแน่ การจะยุบหรือไม่ยุบโรงเรียนที่ว่านี้จึงต้องฟังเสียงประชาชนในพื้นที่เป็นหลัก แต่ที่ผ่านมาเสียงของผู้ปกครองในท้องถิ่นดูเหมือนจะดังไม่พอหรือขาดการใส่ใจที่จะนำไปปฏิบัติตาม

ในฐานะที่ผู้เขียนเคยได้ไปพบเห็นการจัดการศึกษาของโรงเรียนขนาดเล็กจำนวนมาก จึงอยากจะสะท้อนภาพความเป็นจริงอีกแง่มุมหนึ่งให้ทราบกัน กล่าวคือ ทุกฝ่ายต่างทราบกันดีว่าเด็กในชนบทส่วนใหญ่จะมีคุณภาพชีวิตค่อนข้างต่ำถึงต่ำมากด้วยความยากจน การมุ่งหาเลี้ยงชีพของผู้ปกครอง ทำให้ไม่มีเวลาใส่ใจกับการเรียนรู้ของบุตรหลาน บางรายต้องปล่อยให้เด็กอยู่กับคนแก่ ส่วนเด็กเองก็ขาดความที่จะพัฒนาทั้งด้าน ไอคิว ปัญหาสุขภาพ การใช้ภาษาถิ่น ทำให้การพัฒนาเพิ่มความยุ่งยากซับซ้อนเข้าไปอีกเมื่อต้องเข้าไปเรียนกับโรงเรียนที่ขาดแคลนทั้งครู สื่อ อุปกรณ์ งบประมาณ และปัจจัย อื่น ๆ ด้วยแล้วก็คงพอเดาออกว่าคุณภาพ ของเด็กจะเป็นเช่นไรจะอยู่ในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงทั้งในปัจจุบันและอนาคตได้อย่างไร เพราะแค่การอ่านออก เขียนได้ คิดเลขเป็นเช่นอดีต คงไม่เพียงพอที่จะทำให้เด็กระดับรากหญ้าได้ก้าวพ้นจากวงจร โง่ จน เจ็บ ไปได้ ดังนั้นการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กต้องมุ่งไปที่คุณภาพเด็กเป็นหลัก ซึ่งสามารถดำเนินการได้ทั้ง 2 กรณี ตามบริบทของพื้นที่ที่เป็นอยู่

กรณีแรก คือ การยุบโรงเรียนขนาดเล็กที่อยู่ในพื้นที่การคมนาคมสะดวกเพื่อเด็กจะได้ไปเรียนโรงเรียนที่มีความพร้อมกว่า การที่จะมัวรอให้โรงเรียนขนาดเล็กเข้มแข็งด้วยตนเองจากการช่วยเหลือของประชาชนในพื้นที่คงเป็นได้แค่ทฤษฎี เพราะชุมชนเองก็อ่อนแอเป็นทุนเดิมอยู่ในตัว สิ่งที่พอจะช่วยได้ก็แค่แรงใจและแรงกายเท่านั้น ส่วนการที่คิดกันว่าวิธีการอื่น ๆ จะช่วยพัฒนาได้ไม่ว่าจะเป็นการนำเด็กไปเรียนร่วมบางชั้น บางวิชา บางวัน ซึ่งก็ล้วนแต่เคยทำมาแล้วผลสำเร็จก็อย่างที่เห็นกันอยู่ด้วยขาดความต่อเนื่องของการดำเนินการหรือจะนำวิธีสอนแบบคละชั้นตามจำนวนครูที่มีอยู่คุณภาพก็คงเกิดได้ไม่เต็มศักยภาพของเด็กแต่ละคนด้วยแต่ละระดับชั้นจะมีเนื้อหา สาระมาตรฐานการเรียนรู้ต่างกัน หากใช้วิธีนี้อาจฉุดรั้งเด็กระดับชั้นที่สูงกว่าไปด้วย

โดยเฉพาะทักษะที่ต้องฝึกหรือเล่นเป็นทีมหรือหมู่คณะ เช่น ดนตรี กีฬา ลูกเสือ ยุวกาชาด ชมรม ชุมนุม เมื่อเด็กไม่พอทำกิจกรรม รวมถึงการขาดครูและอุปกรณ์เฉพาะทาง การพัฒนาจะให้สำเร็จจึงเป็นไปได้ยาก ดังนั้นการยุบโรงเรียนขนาดเล็กตามบริบทดังกล่าวจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งการที่จะดำเนินการให้เกิดผล อย่างจริงจังภาครัฐคงจะต้องสร้างความเข้าใจ ความเชื่อมั่นกับกลุ่มบุคคลที่มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ให้ได้ก่อน

กลุ่มแรก คือ ผู้ปกครอง ที่ยังมีลูกหลานเรียนอยู่ในโรงเรียนที่จำเป็นต้องชี้ให้เห็นถึงคุณภาพเด็กที่จะส่งผลต่อการดำรงชีวิตอย่างมีความสุขในภายภาคหน้า เพราะความเป็นจริงแล้วคงไม่มีพ่อแม่คนใดที่ไม่อยากเห็นลูกหลาน ได้ดีหรือได้เรียนโรงเรียนที่มีความพร้อมกว่า แต่ด้วยข้อจำกัดด้านค่าใช้จ่ายและความไม่มั่นใจกับความปลอดภัยในการเดินทางจึงคิดว่าโรงเรียนใกล้บ้านน่าจะสะดวกที่สุดแถมทำให้มีเวลาดูแลคนแก่อีกด้วย ซึ่งการที่จะทำให้ประชาชนคลายความกังวลจากสิ่งเหล่านี้ภาครัฐจะต้องดำเนินการสิ่งต่อไปนี้ให้เป็นรูปธรรม เช่น ประกันชีวิตให้กับเด็ก มีผู้ดูแลระหว่างเดินทาง จัดค่าพาหนะสอดคล้องกับระยะทางและบริบทของพื้นที่เป็นต้น กลุ่มที่สอง คือ ครูและผู้บริหารโรงเรียน ที่ส่วนใหญ่เกรงว่าตำแหน่งจะถูกลดหรือถูกย้ายไปอยู่ที่ไกลส่วนนี้ก็ต้องมีความชัดเจนให้กับผู้ปฏิบัติเช่นกัน กลุ่มที่สาม ได้แก่ ผู้นำชุมชน ที่ยังอยากเห็นชุมชนมีบ้าน วัด โรงเรียน (บวร) เช่นอดีตที่ผ่านมา ทั้งที่อาจจะไม่มีลูกหลานเรียนอยู่ในท้องถิ่นหรือส่งไปเรียนที่อื่นนานแล้ว ส่วนนี้ก็ต้องชี้แจงให้เห็นความสำคัญลูกหลานคนอื่นด้วยเช่นกัน

กรณีที่ 2 สำหรับโรงเรียนขนาดเล็กที่อยู่ตามป่า เขา เกาะแก่ง ตะเข็บชายแดน ส่วนนี้คงไปยุบไม่ได้ เพราะยุบแล้วอาจทำให้เด็กเสียโอกาสหรือออกกลางคันได้ ด้วยปัญหาการเดินทางและความไม่ปลอดภัย เมื่อยุบไม่ได้จะไปปล่อยให้โรงเรียนจัดการศึกษาตามความ พร้อมที่มีอยู่ไม่ได้ จำเป็นจะต้องหาวิธีการที่จะทำให้เด็กมีคุณภาพให้ได้เช่นกัน โดยเฉพาะความพร้อมด้านบุคลากร ให้เพียงพอกับการ ที่พัฒนาการไปยึดติดอยู่กับกรอบ ADB ที่กำหนดครูต่อเด็ก 1 : 25 อย่างที่ผ่านมาสำหรับโรงเรียนขนาดเล็กแล้วคงใช้ไม่ได้ เพราะมีเด็กน้อยอยู่แล้ว เฉพาะโรงเรียนที่มีเด็กต่ำกว่า 60 คน ก็จะเป็นหมื่นแห่งอยู่แล้วหากกำหนดเช่นนั้นโรงเรียนเหล่านี้ก็จะมีครูได้แค่ 2-3 คน แต่ต้องสอน 6 ชั้น เมื่อรวมถึงสารพัดงานที่ต้องทำเหมือนโรงเรียนขนาดใหญ่ด้วยแล้วครูก็หมดแรงไปแล้วคุณภาพเด็กจึงเกิดได้ยาก นอกจากการเพิ่มจำนวนครูให้พอแล้วยังจำเป็นต้องเฟ้นหาครู ผู้บริหารมืออาชีพไปให้อีกด้วย เพราะการที่จะพัฒนาเด็กที่ขาดความพร้อมสารพัดปัจจัยให้ไปสู่เป้าหมายได้ต้องใช้มืออาชีพดำเนินการ ซึ่งการที่จะดึงมืออาชีพไปอยู่โรงเรียนขนาดเล็กได้ก็จะต้องมีสิ่งจูงใจในด้านเงินเดือนค่าตอบแทน และความก้าวหน้าด้านวิทยฐานะ เป็นสิทธิพิเศษ ให้ด้วย
ด้านงบประมาณ จะต้องจัดสรรเงินเป็นก้อนให้พอกับการพัฒนาทักษะแต่ละด้าน โดยเฉพาะการนำไปใช้แก้ปัญหาสุขภาพและทุพโภชนาการของเด็ก เพราะหากยังจัดให้ตามรายหัวทุกเรื่อง โรงเรียนก็จะมีเงินใช้แก้ปัญหาและพัฒนาปีละไม่กี่บาท ส่วนที่จะไปหวังการช่วยเหลือจากภายนอกก็เป็นไปได้ยากหรือมีจำนวนน้อยมาก รัฐจึงต้องเป็นผู้จัดหาให้เอง

ด้านหลักสูตร คงจะต้องปรับให้สอด คล้องกับคุณภาพที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับเด็กในบริบทดังกล่าวทั้งด้านสุขภาพอนามัย สุขนิสัยในการดำเนินชีวิต ทักษะอาชีพรวมถึงการอ่านออก เขียนได้ คิดเลขเป็น เพราะหากยังใช้หลักสูตรเดียวกับเด็กในเมืองที่ต้องเรียนมากมายหลายกลุ่มวิชาคงเกาไม่ถูกที่คันเพราะเป้าหมายและศักยภาพต่างกัน สิ่งที่ควรเน้นหนักจะต้องเป็นทักษะอาชีพ ทักษะชีวิต ที่จะทำให้อยู่ในท้องถิ่นได้อย่างมีความสุข คิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหามากกว่าที่จะให้เก่งวิชาการ แต่งานในวิถีชีวิตประจำวันทำไม่เป็นสักเรื่องอย่างที่เด็กไทยส่วนใหญ่เป็นกันอยู่คงไม่ได้

ด้านบริหารจัดการ จะต้องลดหรือเลิกโครงการ กิจกรรม งานเอกสาร งานฝาก รวมถึงการสอบโอเน็ต และการประเมินของ สมศ.เพราะงานเหล่านี้เด็กในพื้นที่ห่างไกลได้รับประโยชน์น้อยมาก ด้วยไม่ตรงกับคุณภาพชีวิตที่ต้องการให้เกิดและที่สำคัญไปเบียดบังเวลาการสอนของครูให้เป็นงานรอง แต่งานทั้งหลายที่ว่ามากลับกลายเป็นงานหลักของครูไป

ดังนั้น การยุบหรือไม่ยุบโรงเรียนขนาดเล็กเป้าหมายจะต้องอยู่ที่คุณภาพของเด็ก เป็นหลัก โดยในส่วนที่การเดินทางสะดวกก็น่าจะยุบเพื่อเด็กจะได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่และเหลือทรัพยากรไปให้กับโรงเรียนที่ยุบ ไม่ได้ ส่วนโรงเรียนขนาดเล็กที่ยุบไม่ได้ภาค รัฐก็ต้องหาวิธีการ รวมถึงเพิ่มปัจจัยที่จะส่ง ผลต่อการพัฒนาคุณภาพเด็กให้พร้อมทุกด้าน ซึ่งการลงทุนเพื่อคุณภาพเด็กจะมัวช้าหรือ มัวคิดแบบธุรกิจกลัวลงทุนแล้วไม่คุ้มค่าคง ไม่ได้เพราะบุคลากรของชาติแม้แต่คนเดียว ก็มีความสำคัญต่อประเทศชาติเพราะเด็ก เก่งคนเดียวอาจนำพาประเทศชาติไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองได้ ในทางกลับกันเด็กไม่ดีแค่ คนเดียวในอนาคตอาจสร้างความวุ่นวายเสียหายอย่างใหญ่หลวงได้เช่นกัน หากไม่อยากเห็นอนาคตของเด็กและของชาติต้องอ่อนด้อยลงไปมากกว่านี้ก็ต้องช่วยกันสร้างเด็กทุกคนให้มีคุณภาพสูงสุดตามศักยภาพที่มีอยู่ให้ได้นั่นเอง.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33143&Key=hotnews

กศน.นำร่องศูนย์อาเซียน 15 จังหวัด เคี่ยวภาษาอังกฤษ-จีน-เพื่อนชายแดน

25 มิถุนายน 2556

กศน.เตรียมความพร้อมพลเมืองอาเซียน ตั้งศูนย์อาเซียนศึกษา 15 จังหวัดทั่วประเทศ สอนภาษาอังกฤษ จีนและกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านที่ติดรั้วชายแดน ประชาชนสามารถเข้ารับบริการการสอนได้ตั้งแต่วันนี้

นายประเสริฐ บุญเรือง เลขาธิการสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) เปิดเผยว่าตามที่สำนักงานกองทุนบทบาทสตรีแห่งชาติได้มอบหมายให้สำนักงาน กศน.เตรียมความพร้อมด้านการเพิ่มศักยภาพสตรีไทยเพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 นั้น สำนักงาน กศน. ได้ดำเนินการจัดตั้งศูนย์อาเซียนศึกษา กศน. ขึ้นใน 15 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร เพชรบุรี ชลบุรี ระนอง สงขลาภูเก็ต เชียงใหม่ เชียงราย ตาก มุกดาหารสุรินทร์ นครพนม หนองคาย อุบลราชธานีและตราด เพื่อให้บริการสื่อการเรียนภาษาอาเซียน และจัดให้มีการเรียนการสอนภาษาของประเทศในกลุ่มอาเซียน อย่างน้อยศูนย์ละ3 ภาษา โดยทุกศูนย์จะต้องเปิดสอนภาษาอังกฤษกับภาษาจีนเป็นหลัก ส่วนอีก 1 ภาษา ให้จัดสอนภาษาของประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดต่อกัน โดยขณะนี้ทุกศูนย์ได้เปิดให้บริการประชาชนแล้ว

“ศูนย์อาเซียนศึกษาที่จัดตั้งจะเป็นศูนย์ที่ให้บริการด้านภาษาอาเซียนเพื่อเตรียมความพร้อมให้แก่ประชาชนเป็นสำคัญ โดยทุกศูนย์จะให้บริการประชาชนทั้งในพื้นที่จังหวัดของตนเองและจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งแต่ละศูนย์จะเน้นภาษาที่สามแตกต่างกันตามพื้นที่เช่นจังหวัดที่อยู่ติดประเทศพม่าก็จะสอนภาษาอังกฤษ จีน และพม่าจังหวัดที่อยู่ติดกัมพูชาก็จะสอนภาษาอังกฤษจีน และเขมร เป็นต้น” นายประเสริฐกล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33142&Key=hotnews

มทร.ธัญบุรีเดินเครื่องห้องเรียนออนไลน์

25 มิถุนายน 2556

รศ.ดร.นำยุทธ สงค์ธนาพิทักษ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (มทร.ธัญบุรี) กล่าวว่า มทร.ธัญบุรีได้พัฒนาสื่อการเรียนการสอนโดยพัฒนาระบบห้อง เรียนออนไลน์ขึ้น ผ่านเว็บไซต์ www.moodle.rmutt .ac.th มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมระบบดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งในการเชื่อมโยงอาจารย์กับนักศึกษา ส่งเสริมให้นักศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง รวมถึงส่งเสริมให้อาจารย์และนักศึกษาแบ่งปันความรู้

ทั้งนี้ระบบห้องเรียนออนไลน์ของ มทร. ธัญบุรี เริ่มขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2554 มีรายวิชา 441 รายวิชา จะเห็นได้ว่าระยะเวลาเพียง 2 ปี คณาจารย์พัฒนารายวิชาเพิ่มขึ้น

อธิการบดี มทร.ธัญบุรี กล่าวว่า ดังนั้นเพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังใจและเป็นแรงกระตุ้นให้อาจารย์พัฒนาสื่อออนไลน์อย่างต่อเนื่อง มทร.ธัญบุรีจึงได้จัดมอบรางวัลประกาศเกียรติคุณให้กับอาจารย์ที่มีผลงานนำเสนอสื่อ ผ่านห้องเรียนออนไลน์ดีเด่น แบ่งออกเป็น 2 รางวัล คือ รางวัลสาขาวิชาที่มีการส่งเสริมการใช้ห้องเรียนออนไลน์ จำนวน 6 สาขาวิชา ได้แก่ ภาควิชาระบบสารสนเทศ ภาควิชาการบัญชีและการเงิน สาขาภาษาตะวันตก สาขาสังคมศาสตร์ สาขาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ภาควิชาเคมี

และอีกรางวัลคือ รางวัลอาจารย์ที่มีการพัฒนาเนื้อหาดีเด่น จำนวน 6 รางวัล พิจารณาจากพัฒนาการของเนื้อหารายวิชาที่มีความสมบูรณ์ โดยมีคำอธิบายรายวิชา เนื้อหาสื่อการเรียนการสอน แบบฝึกหัด การสั่งงานผ่านระบบออนไลน์และกระบวนการติดต่อกับนักศึกษา

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33141&Key=hotnews

อาจารย์ขอปรับเงินเท่าครู ‘พงศ์เทพ’ ดูตัวเลขก่อนเสนอ ครม.

25 มิถุนายน 2556

ศึกษาธิการ : ตัวแทนข้าราชการสถาบันอุดมศึกษาบุกกระทรวงศึกษาธิการขอเงินเดือนเพิ่ม 8% เท่ากับครู “พงศ์เทพ” สั่ง “ภาวิช” ดูเม็ดเงินก่อนเสนอ ครม. พิจารณาอนุมัติ

ตัวแทนที่ประชุมประธานสภาอาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทยจากมหาวิทยาลัยราชภัฏและมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล พร้อมกลุ่มเครือข่ายข้าราชการในสถาบันอุดมศึกษา ได้ยื่นหนังสือ ต่อนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อทวงถามความคืบหน้าในการ เรียกร้องปรับเพิ่มเงินเดือนอาจารย์มหาวิทยาลัย

นายอติชาติ ภูมิวณิชชา ตัว แทนเครือข่ายข้าราชการในสถาบันอุดมศึกษา กล่าวว่า มาเพื่อทวงถามความคืบหน้าหลังมีการเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้กับอาจารย์มหาวิทยาลัยที่มีประมาณ 30,000 คน ทั่วประเทศ ซึ่งเป็นข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา โดย ขอให้มีการปรับเพิ่มเงินเดือน 8% เพื่อให้อาจารย์มหาวิทยาลัยมีเงิน เดือนเท่ากับข้าราชการครูในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษา ขั้นพื้นฐาน อีกทั้งให้มีการปรับเพิ่ม เงินเดือนอาจารย์มหาวิทยาลัยด้วยเพราะเป็นข้าราชการในกระทรวงเดียวกัน มีภาระหน้าที่งานคล้ายกันคือสอนหนังสือ จึงควรได้รับเงินเดือนและความก้าวหน้าที่ทัดเทียมกันเพื่อไม่ให้เกิดสองมาตรฐานในกระทรวงศึกษาธิการ

นายพงศ์เทพ กล่าวภายหลังรับหนังสือข้อเรียกร้องว่า ข้อเรียกร้องมีเหตุผลที่มีน้ำหนัก เพราะเมื่อก่อนครูกับอาจารย์ได้รับเงินเดือนเท่ากัน แต่เมื่อมีการปรับเงินเดือนครูในขณะที่อาจารย์ไม่ได้รับการปรับให้เท่าเทียม  จึงทำให้เกิดความแตกต่างทั้งที่เป็นผู้ให้การศึกษาเหมือนกัน จึงให้นายภาวิช ทองโรจน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ไปพิจารณาว่าต้องใช้เม็ดเงินเท่าไร เพราะการจะเสนอเรื่องนี้ต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต้องมีวง เงินงบประมาณที่ต้องแจ้งให้ทราบด้วย เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณได้พิจารณา ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่ได้มีการบรรจุในงบประมาณปี 2557 แต่หากมีความจำเป็นสามารถใช้วิธีการงบประมาณเพื่อของบกลางเพิ่มเติมได้ ซึ่งทราบว่าใช้วงเงินประมาณ 1,000 ล้านบาท

ที่มา: หนังสือพิมพ์โลกวันนี้

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33140&Key=hotnews