ม.พะเยาร่วมมือ ม.ไห่หนานพัฒนาทักษะภาษาให้นักศึกษา

4 มิถุนายน 2556

ศ.พิเศษ ดร.มณฑล สงวนเสริมศรี อธิการบดีมหาวิทยาลัยพะเยา เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ตนพร้อมด้วยคณะได้เดินทางไปมหาวิทยาลัยครูไห่หนาน (Hainan Normal University, HNU) เพื่อลงนามบันทึกความร่วมมือในการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน การวิจัยและการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมร่วมกัน โดยได้มีการหารือถึงรายละเอียดของหลักสูตร ระยะเวลาและค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการจัดส่งนิสิตของมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนิสิตในหลักสูตรแพทย์แผนจีนและหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาภาษาจีน ไปพัฒนาทักษะภาษาจีนที่มหาวิทยาลัยครูไห่หนาน ทั้งนี้ จากการสอบถามตัวแทนนักศึกษาไทยที่ไปศึกษาภาษาจีนถึงความพึงพอใจในด้านการเรียนการสอน ความเป็นอยู่และการพัฒนาทักษะภาษาจีนในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ พบว่านักศึกษาเกือบทั้งหมดพอใจมากกับการเรียน การสอน ความใส่ใจของอาจารย์ บรรยากาศการเรียนและความเป็นอยู่ ตลอดจนอุปนิสัยและความเป็นมิตรของคนในมณฑลแห่งนี้ โดยให้คะแนนความพึงพอใจโดยภาพรวม 9 จาก 10 และส่วนใหญ่ยอมรับว่าค่าใช้จ่ายในการศึกษาตลอดจนค่าใช้จ่ายประจำวันมีความสมเหตุสมผลและยอมรับได้

อธิการบดีมหาวิทยาลัยพะเยา กล่าวด้วยว่า ม.พะเยามีแผนที่จะจัดส่งนิสิตอย่างน้อยปีละ 60 คน เพื่อที่จะไปพัฒนาทักษะภาษาจีนที่มหาวิทยาลัยครูไห่หนานเป็นระยะเวลา 1 ปีการศึกษา โดยจะเริ่มจากปีการศึกษา 2557 เป็นต้นไป รวมทั้งจะได้จัดส่งอาจารย์สาขาภาษาจีนไปพัฒนาทักษะทางภาษาเพิ่ม ทั้งในหลักสูตรพัฒนาระยะสั้นและระดับปริญญาเอกอีกด้วย และในการศึกษาดูงานในครั้งนี้ มหาวิทยาลัยครูไห่หนาน ได้เสนอทุนการศึกษาในระดับปริญญาเอกของรัฐบาลจีน อย่างน้อย 1 ทุน ให้กับอาจารย์ภาษาจีนของมหาวิทยาลัยพะเยาอีกด้วย

มหาวิทยาลัยครูไห่หนาน (ไหหลำ) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2492 เป็นมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดในเขตไห่หนาน (ไหหลำ) มีการจัดการเรียนการสอนในระดับปริญญาตรี 52 หลักสูตร ระดับปริญญาโท 11 หลักสูตร ปริญญาเอก 4 หลักสูตร ประกอบด้วยคณะ 18 คณะ ศูนย์วิจัย 30 ศูนย์ โดยเป็นศูนย์วิจัยระดับชาติ 2 ศูนย์ และระดับมณฑล 3 ศูนย์ มีนักศึกษาทั้งหมดประมาณ 20,000 คน เป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรี 16,000 คน ในจำนวนนี้มีนักศึกษาไทยจำนวน 900 คน มหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่ได้รับอนุมัติจากรัฐบาลจีนให้มีการรับนักศึกษาจากต่างชาติเข้ามาศึกษาภาษาจีน ในปัจจุบันมหาวิทยาลัยมีการแลกเปลี่ยนนักศึกษากับมหาวิทยาลัยนานาชาติ จำนวน 100 แห่ง จาก 58 ประเทศ รวมทั้งประเทศไทย และได้รับอนุมัติจากรัฐบาลให้เป็นศูนย์อบรมภาษาจีนแห่งชาติให้กับอาจารย์ภาษาจีนที่จะเป็นอาสาสมัครไปสอนภาษาจีนในนานาประเทศทั่วภูมิภาคเอเชีย และเคยมีโอกาสรับเสด็จสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสที่ได้เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรวิธีการเรียนการสอนภาษาจีน ณ มหาวิทยาลัยแห่งนี้อีกด้วย
จากผลการอบรมนักศึกษาในระยะเวลา 3 ปีย้อนหลัง พบว่ามหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้ช่วยพัฒนาทักษะภาษาจีนให้แก่นักศึกษาไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถทำให้นักศึกษาไทยสอบผ่านการสอบ Chinese Language Proficiency Test (HSK) ในระดับ 5 ได้ในระยะเวลา 6 เดือน โดยมีพัฒนาการ ของผลการสอบ 3 ปีย้อนหลัง เป็นประมาณร้อยละ 75 , 85 และ 100 ตามลำดับ พร้อมทั้งได้รับคำยืนยันจากนักศึกษาไทยว่าอาจารย์ที่นี่ให้ความใส่ใจนักศึกษาอย่างมาก และเป็นมหาวิทยาลัยที่สอนภาษาจีนดีที่สุดในบรรดามหาวิทยาลัยจีนที่มีนักศึกษาไทยระดับปริญญาตรีมาเรียน

ที่มา: หนังสือพิมพ์บ้านเมือง

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32907&Key=hotnews

โจทย์ใหญ่การศึกษาไทย ‘เลือกเรียนอย่างไร…จบไปไม่ตกงาน’

4 มิถุนายน 2556

กนกวรรณ กลินณศักดิ์ ฝ่ายสื่อสารสาธารณะ สสค.
ผลการประมวลผลเส้นทางการศึกษาของเด็กไทย โดย “ดร.รุ่งนภา จิตรโรจนรักษ์” นักวิชาการ สสค. พบว่า หากเปรียบจำนวนเด็กเยาวชนไทยที่เกิดทุกปี ซึ่งมีจำนวน 8 แสนคน เท่ากับเด็ก 10 คน จะพบว่า มีเด็ก 6 คน อายุ 15-18 ปี หลุดออกจากระบบการศึกษา และก้าวสู่ตลาดแรงงานแบบไม่ตั้งตัว คำถามสำคัญ คือ การศึกษาขั้นพื้นฐาน 12 ปี ช่วยเตรียมความพร้อมในเรื่อง “ทักษะ” ที่เพียงพอให้แก่เยาวชนไทยในการประกอบอาชีพได้อย่างไร?

เวทีปฏิรูปการเรียนรู้สู่การศึกษาเพื่อคนทั้งมวล ครั้งที่ 16 จึงเน้นโจทย์สำคัญเพื่อค้นหาคำตอบ “การศึกษาเพื่อทักษะและการทำงานในอนาคต” ผ่าน 2 กรณีศึกษาจากโรงเรียนอนุบาลโคกเจริญ จ.ลพบุรี ที่ใช้ภูมิปัญญาการทอผ้ามาทักทอความร่วมมือกันของนักเรียน ครู พ่อแม่และชุมชน จนยกระดับ “ผ้าทอในรั้วบ้าน-โรงเรียน-ชุมชน” สู่ “ผ้าทอ..คณะรัฐมนตรี” ขณะที่โรงเรียนวัดหนองกบ จ.ราชบุรี ใช้ “ไก่ย่างบางตาล และมะกรูด” ทรัพยากรท้องถิ่นเป็นต้นทุนในการสร้างกระบวนการเรียนรู้ทักษะอาชีพ โดยการสนับสนุนของสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

นพ.สุภกร บัวสาย ผู้จัดการ สสค. กล่าวว่า ความสำเร็จในการจัดการศึกษาของทั้งสองกรณี คือ การเข้าไปสร้างงานสร้างรายได้ในชุมชน แล้วถ่ายทอดองค์ความรู้จนเกิดเครือข่ายสร้างงาน และยกระดับผลิตภัณฑ์ โดยได้สถานศึกษาเป็นเพื่อนร่วมทางสำคัญ สรุปได้ว่า การศึกษาต้องแก้ไขปัญหาในชุมชนก่อน จึงจำเป็นต้องเริ่มจากชุมชน เริ่มที่เด็กเยาวชน กลายเป็นพลังเครือข่ายทางวิชาการ สร้างทุนในชุมชนและโรงเรียน

วินัย ปัจฉิม ครูสอนดีโรงเรียนอนุบาลโคกเจริญ จ.ลพบุรี กล่าวว่า “การทอผ้า ไม่ใช่เรียนจบแล้วต้องทำเป็นอาชีพ แต่สอนให้เด็กฝึกกระบวนการคิดผ่านการทำงาน สามารถพัฒนาต่อยอดและสร้างรายได้ให้ครอบครัว ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นในการประกอบอาชีพให้นักเรียน และการเชื่อมความรู้สู่ชุมชน
ด้าน พัชรินทร์ วัดอักษร ครูสอนดีโรงเรียนวัดหนองกบ จ.ราชบุรี ยอมรับว่า ไม่เก่งการงานอาชีพเลย จึงให้นักเรียนร่วมสำรวจว่า ในชุมชนประกอบอาชีพอะไร เลยเป็นที่มาของมะกรูดและการทำไก่บางตาล ซึ่งนักเรียนจะรู้จักกระบวนการคิด การค้นคว้า สามารถนำทักษะไปใช้ในการเรียนวิชาอื่นๆ ได้
“ไม่ใช่เฉพาะมะกรูด หรือไก่ย่างบางตาล ถึงนักเรียนย้ายไปอยู่ในพื้นที่อื่นก็สามารถใช้การคิดวิเคราะห์ทำผลิตผลอย่างอื่นได้ ส่วนการขายก็ประยุกต์ในชุมชน นักธุรกิจน้อย สอนการบริหาร คิดต้นทุนกำไร มีความซื่อสัตย์ มีมารยาทในการบริการ”

นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส กล่าวว่า การฟังกรณีตัวอย่างทั้งสองโรงเรียนนี้ แสดงถึงการศึกษาที่มุ่งแก้ไขปัญหาและสร้างอาชีพให้ชุมชน เป็น “การคืนการศึกษาให้ชีวิต” เช่น ที่ ผอ.นิพนธ์ ตาระกา ร.ร.อนุบาลโคกเจริญ เล่าว่า ให้เด็กเรียนทอผ้าเพื่อแก้ปัญหาความยากจน สิ่งที่ได้คือ นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจและสามารถถ่ายทอดให้ครอบครัวและชุมชนได้

ขณะที่ ผอ.สุพรรณ สุวรรณ์นัง ร.ร.วัดหนองกบ เชื่อว่า ถ้าเอาเรื่องอาชีพเป็นตัวเดินเรื่องจะสร้างทักษะคืนสู่การศึกษาที่ตอบโจทย์ท้องถิ่นได้ “การศึกษาจึงจำเป็นต้องเอาปัญหาในพื้นที่เป็นตัวตั้ง ไม่ใช่เอาโรงเรียนเอาสถาบันเป็นตัวตั้ง เพราะจะสร้างเครือข่ายให้เข้มแข็งมีพลัง โดยอาจเริ่มจากการทำแม็พพิ้งในพื้นที่ แล้วก็เรียนรู้วิธีขับเคลื่อนกันเป็นจังหวัด”

ทองอินทร์ เพียภูเขียว ประธานคณะกรรมการคัดเลือกครูสอนดี จ.ชัยภูมิ กล่าวว่า การสอนอาชีพในโรงเรียนเป็นเรื่องดี เพราะหากเด็กมีงานทำก็จะไม่สร้างปัญหาในสังคม แต่การสร้างความยั่งยืนนั้นต้องเริ่มจากสังคม ปัญหาคือ แม้โรงเรียนจะสอนวิชาชีพ แต่หากเครื่องมือไม่พร้อม เด็กจะขาดการฝึกฝน และหากไม่มีการวางแผนให้นักเรียน ถึงมีอาชีพติดตัว แต่ก็ไม่มีช่องทางการต่อยอดอาชีพได้
สอดคล้องกับ ศิริ โพธินาม ตัวแทน อบจ.สุพรรณบุรี กล่าวว่า ควรเปลี่ยนรูปแบบการศึกษาเป็นแบบอาชีวศึกษา หรือแบบทวิภาคี คือ โรงเรียนในโรงงาน ซึ่งสอดคล้องว่า ทำไมเราจึงสามารถเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยได้ โดยเน้นการเชื่อมโยงกับท้องถิ่น และทำงานร่วมกับวิทยาลัยอาชีพต่างๆ โดยเฉพาะการเปลี่ยนทัศนคติที่หวังให้เด็กมุ่งสู่รั้วมหาวิทยาลัยเพียงอย่างเดียว เป็น “เด็กทุกคนต้องมีอาชีพ” ซึ่งเชื่อว่า อบต.หลายพันแห่งยินดีให้ความร่วมมือด้านการศึกษา

เพราะคำตอบ การศึกษาไทย มิใช่มุ่งตรงสู่เพียง “ปริญญา” แต่ต้องช่วยแก้ปัญหา “ปากท้อง” ในชุมชน ด้วยการสร้าง “สัมมาชีพ” ให้เต็มแผ่นดิน

–คมชัดลึก ฉบับวันที่ 4 มิ.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32906&Key=hotnews

มาตรฐานการศึกษาต้องมาจากแรกเริ่ม ชี้อนุบาลถือเป็นการเริ่มต้นการศึกษา

4 มิถุนายน 2556

นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึง การขับเคลื่อนการพัฒนาการศึกษาระดับอนุบาลถือว่า มีความสำคัญมาก เพราะการศึกษาในระดับอนุบาลถือเป็นการเริ่มต้นการศึกษาของคน เปรียบดังคำที่ว่า “ไม้อ่อนดัดง่าย” ดังนั้น สถานศึกษาจะต้องมีการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของผู้เรียน (O-NET)ให้ดีมีมาตรฐาน ให้มีโอกาสทางการศึกษา และเตรียมพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนที่จะมีการแข่งขันกันอย่างเสรี กระทรวงศึกษาจึงต้องเตรียมทรัพยากรของประเทศให้มีความรู้ความสามารถในการแข่งขัน

รมช.ศธ. กล่าวต่อว่า จากข้อมูลของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา(สมศ.)ได้ชี้ว่าผลการประเมินนักเรียนยังเกิน 65 % ยังมีมาตรฐานต่ำ โดยเฉพาะในวิชาหลัก ๆ เช่น คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ซึ่งปัญหาอาจจะเกิดจากโรงเรียนขนาดเล็กที่อยู่ห่างไกล ที่ทำให้มาตรฐานการศึกษายังไม่ได้มาตรฐาน ดังนั้น จึงต้องมีการขับเคลื่อนนโยบายด้านการศึกษาและการยกระดับคุณภาพผู้เรียน และพัฒนาคุณภาพการศึกษา ในระดับอนุบาลอย่างจริงจัง เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาและการแก้ไขปัญหา เพื่อให้เกิดการพัฒนาการศึกษาระดับอนุบาลให้ได้มาตรฐาน

ที่มา: http://www.naewna.com

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32905&Key=hotnews

พงศ์เทพแจงซื้อรถตู้ถูกกว่าจ้างครู

4 มิถุนายน 2556

“พงศ์เทพ-เสริมศักดิ์” ประสานเสียงแจงจัดซื้อรถตู้คุ้มกว่าจ้างครู ต้องเพิ่ม 70,000 อัตรา ใช้เงิน 1,000 ล้านบาทต่อปี ขณะที่สำนักงบฯ ยัน 12 ที่นั่ง ราคาตลาดไม่ต่ำกว่าล้าน ส่วนแท็บเล็ตแพงขึ้น เพราะสเปกสูงขึ้น

นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) พร้อมด้วยนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.ศธ. แถลงข่าวชี้แจงการจัดซื้อรถตู้รับส่งนักเรียน และการจัดซื้อแท็บเล็ตนักเรียน โดยนายเสริมศักดิ์กล่าวชี้แจงการจัดซื้อรถตู้ว่า ศธ.จะจัดซื้อรถตู้ 1,000 คัน ราคาคันละ 1,232,400 บาท รวมเป็นงบประมาณทั้งสิ้น 1,232,400,000 ล้านบาท ขณะที่สเปกรถตู้เป็นไปตามราคามาตรฐานครุภัณฑ์ที่สำนักงบประมาณกำหนด คือรถตู้ขนาด 12 ที่นั่ง ระบบดีเซล ปริมาตรกระบอกสูบไม่ต่ำกว่า 2,400 ซีซี และยืนยันว่ากรณีงบฯ จัดซื้อรถตู้ 2.5 พันล้าน ในการชี้แจงร่างงบฯ ปี 2557 ที่ผ่านมา คลาดเคลื่อนจากการพิมพ์เอกสารที่ไปดึงข้อมูลเก่ามา ขณะที่ร่าง พ.ร.บ.งบฯ พ.ศ.2557 จัดพิมพ์ถูกต้องแล้ว

สำหรับรถตู้ทั้ง 1,000 คัน ที่แบ่งการจัดซื้อผูกพันระหว่างปี 2557-2558 นั้น จะแบ่ง 150 คัน ให้โรงเรียนขนาดเล็กที่มีการเคลื่อนย้ายนักเรียนไปเรียนรวมกัน ส่วนอีก 850 คัน ให้โรงเรียนหลักและโรงเรียนดีศรีตำบล เพื่อใช้งานต่อไป หากคำนวณงบฯ การจัดซื้อรถตู้กับการจ้างครูสอนในโรงเรียนขนาดเล็กนั้น จะพบว่าการจัดซื้อรถตู้ใช้งบฯ ประหยัดสุด เพราะจากข้อมูลโรงเรียนขนาดเล็ก 14,000 โรง จะต้องจ้างครูเพิ่ม 70,000 คน ใช้งบฯ 1,000 ล้านต่อปี ส่วนการจัดซื้อรถตู้ไม่ได้จัดซื้อทุกปี
ขณะที่ น.ส.จรรยา อยู่โปร่ง ผอ.สำนักจัดทำงบประมาณด้านสังคม 1 สำนักงบฯ กล่าวชี้แจงกรณีทำไมไม่จัดซื้อรถตู้ 16 ที่นั่ง และราคาของรถตู้ 12 ที่นั่ง ว่า สำนักงบฯ ได้กำหนดมาตรฐานครุภัณฑ์การจัดซื้อรถตู้แค่ 12 ที่นั่งเท่านั้น และกำหนดราคากลางที่ 1,232,400 บาท กำหนดตั้งแต่เดือน ก.พ.2555 ส่วนราคาที่เป็นปัจจุบัน เรากำลังจัดทำอยู่ แต่ยืนยันว่ารถตู้ขนาด 12 ที่นั่งในท้องตลาด ราคาไม่ต่ำกว่าหลักล้านบาททั้งนั้น ส่วนกรณีรถตู้ขนาด 16 ที่นั่ง ที่ผ่านมาเรายังไม่ได้กำหนดในมาตรฐานครุภัณฑ์ เนื่องจากต้องขอยกเว้นจากกรมการขนส่งทางบกก่อน

นายพงศ์เทพกล่าวชี้แจงการจัดซื้อแท็บเล็ตว่า งบฯ ของปี 2556 สูงแท็บเล็ตของปีก่อน ขณะที่สเปกเครื่องแท็บเล็ตก็สูงตามด้วย เปรียบเทียบแท็บเล็ตนักเรียนชั้น ป.1 ดังนี้ ปี 2555 ซีพียู 1 GHz ความเร็ว 512 MB ไม่มีกล้องหน้าและหลัง ราคา 2,624 บาท ซึ่งไม่ใช่ราคา 2,400 กว่าบาท ที่โจมตีกันในสภาฯ ส่วนปี 2556 ซีพียู 1 GHz Core 2 ความเร็ว 1 GB กล้องหน้า VGA กล้องหลัง 1.3 ล้านพิเซล ราคา 2,720 บาท รวมถึงเพิ่มข้อตกลงการจัดส่งตัวเครื่องด้วย การจัดซื้อแท็บเล็ตปี 2556 นี้ยังอยู่ในขั้นตอนการขายแบบเท่านั้น ขณะนี้มี 18 บริษัทที่สนใจซื้อไปแล้ว ซึ่งก็ยังไม่ทราบว่าแต่ละบริษัทจะเสนอราคามาเท่าไหร่.

ที่มา: http://www.thaipost.net

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32904&Key=hotnews

สกอ.จับมือ ควอท. ติวอาจารย์สอนเก่งเร่งเรียนรู้

4 มิถุนายน 2556

รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) แจ้งว่า สกอ. ร่วมกับเครือข่ายการพัฒนาวิชาชีพอาจารย์และองค์กรระดับอุดมศึกษาแห่งประเทศไทย (ควอท.) จัดการสัมมนาวิชาการเรื่อง สอนเก่งเร่งการเรียนรู้ ขึ้นในวันที่ 18-19 ก.ค.นี้ ที่โรงแรม ดิ อิมพีเรียล ควีนส์ ปาร์ค กรุงเทพฯ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการเรียนการสอน อันจะเป็นประโยชน์โดยตรงต่อการผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพของมหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษาไทย โดยเฉพาะการเรียนการสอนที่มุ่งเน้นผลลัพธ์ของการเรียนรู้

รายงานข่าวระบุว่า กลไกสำคัญที่เป็นเครื่องมือในการผลิตบัณฑิตคือการจัดกระบวนการเรียนการสอนให้มีคุณภาพรองรับกับการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 โดยมีอาจารย์ผู้สอนเป็นองค์ประกอบสำคัญที่มีส่วนทำให้การจัดกระบวนการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2552 ซึ่งกำหนดกรอบมาตรฐานให้สถาบันอุดมศึกษา อาจารย์ ใช้เป็นแนวทางผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพครอบคลุมอย่างน้อย 5 ด้าน คือ ด้านคุณธรรมจริยธรรม ด้านความรู้ ด้านทักษะทางปัญญา ด้านทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ และด้านทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลขการสื่อสารและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 5 มิ.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32903&Key=hotnews

ยุบหรือไม่ยุบโรงเรียนขนาดเล็ก ?

4 มิถุนายน 2556

ฟาฏินา วงศ์เลขา
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเราเห็นได้ว่า กระทรวงศึกษาธิการได้มีความพยายามดำเนินการเพื่อปฏิรูปการศึกษาหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นปฏิรูปโครงสร้างหน่วยงาน ปฏิรูปครู ปฏิรูปหลักสูตร ปฏิรูปการบริหารจัดการ แต่ปัญหาทางการศึกษาก็ยังคงมีอยู่ นับวันกลับทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะปัญหาด้านคุณภาพการศึกษาที่มีผลสัมฤทธิ์ตกต่ำ ผลผลิตจากการจัดการศึกษายังไม่เป็นที่ยอมรับเท่าที่ควร ต่างโยนบาปให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นเหตุทำให้เยาวชนคนไทยขาดคุณธรรม จริยธรรม ขาดวินัย ไม่มีจิตสาธารณะ ขาดความรับผิดชอบต่อสังคม ผลพวงตามมาคือการเกิดสารพัดปัญหาจนยากเกินกว่าจะเยียวยาอย่างเช่นปัจจุบัน

สำหรับข่าวเด่นประเด็นร้อนที่ถูกหยิบยกขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ณ เวลานี้ คงหนีไม่พ้นประเด็นที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายที่จะยุบรวมโรงเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียนไม่ถึง 60 คน โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาการศึกษาให้ดีขึ้นและช่วยประหยัดงบประมาณของรัฐ ซึ่งถ้ามองในเชิงธุรกิจอาจจะเห็นว่าเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่านัก แต่ในแง่มุมของการศึกษาแล้วไม่มีคำว่าขาดทุนสำหรับการพัฒนาผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้ เพราะนั่นคือ เครื่องมือสำคัญในการพัฒนาคนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทุกด้าน

ทันทีที่เกิดกระแสข่าวการยุบรวมโรงเรียนขนาดเล็กทำให้เกิดกลุ่มที่ต่อต้านและกลุ่มที่เห็นด้วยสนับสนุน แต่จากผลการสำรวจของสวนดุสิตโพล พบว่า ผู้ปกครองไม่เห็นด้วยกับการยุบรวมโรงเรียนขนาดเล็กถึงร้อยละ 60.09 เพราะเชื่อว่าจะมีผลกระทบกับนักเรียน ครู และผู้ปกครอง ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางที่ต้องไปโรงเรียนที่ไกลกว่า การปรับตัวของเด็กในโรงเรียนใหม่ ความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชน เป็นต้น ส่วนผู้ปกครองที่เห็นด้วยมีเพียงร้อยละ 17.20 เท่านั้น ต่างมองว่ากระทรวงศึกษาธิการจะได้ควบคุมดูแลได้ง่ายขึ้น การบริหารจัดการเป็นระบบมากขึ้น เด็กจะได้รับการดูแลอย่างทั่วถึงส่วนผู้ปกครองอีกร้อยละ 22.71 ยังไม่แน่ใจว่าการยุบรวมโรงเรียนขนาดเล็กนั้นจะดีหรือไม่ เพราะกรณีดังกล่าวมีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและคัดค้าน ซึ่งแต่ละฝ่ายต่างก็มีมุมมองเหตุผลและอ้างถึงผลประโยชน์ที่ผู้เรียนจะได้รับเป็นสำคัญ

ในช่วงที่ผ่านมาเห็นได้ว่าสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ได้พยายามบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กในรูปแบบหลากหลาย โดยมีทั้งการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้าไปใช้ในการจัดการศึกษา เช่น ห้องเรียนเคลื่อนที่ ครูหลังม้า การเรียนทางไกลผ่านดาวเทียม เป็นต้น ส่วนโรงเรียนใดที่สามารถยุบรวมและเลิกล้มได้ก็ให้ดำเนินการไปตามระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการ โดยยึดหลักสำคัญคือต้องเป็นไปตามความสมัครใจในระดับพื้นที่ด้วย

ในการก่อตั้งโรงเรียนในชนบทแต่ละแห่งแต่ละพื้นที่ล้วนมีที่มาที่ไปทั้งสิ้น บ้างเกิดจากการที่รัฐเห็นความจำเป็นต้องขยายโอกาสทางการศึกษาให้ทั่วถึงและเท่าเทียม บ้างก็เกิดจากความต้องการของชุมชนท้องถิ่นเอง บ้างก็เกิดจากผู้มีจิตศรัทธาในชุมชนยอมสละที่ดินยกให้ทางราชการสร้างโรงเรียน เพราะต้องการให้บุตรหลานมีที่เรียนใกล้บ้าน ไม่ต้องเดินทางไปโรงเรียนไกล ๆ เนื่องจากสมัยก่อนไม่มีถนนหนทาง เด็กนักเรียนต้องเดินเท้าไป กลับโรงเรียนวันละหลายกิโลเมตร และบางคนไม่มีแม้แต่รองเท้าที่จะสวมใส่เดินไปโรงเรียน ในขณะที่ปัจจุบันสถานการณ์เหล่านั้นแปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ถนนหนทางดีขึ้นมาก แต่ละครอบครัวมีรายได้ดีขึ้น ส่วนใหญ่แต่ละครัวเรือนมีรถยนต์หรือจักรยานยนต์เป็นของตัวเอง หรือแม้แต่มีรถรับจ้างรถสองแถวคอยบริการรับส่งนักเรียนจากบ้านถึงโรงเรียน

เราต้องยอมรับว่าโรงเรียนขนาดเล็กบางแห่งหรือส่วนใหญ่ไม่สามารถจัดการเรียนการสอนพัฒนาผู้เรียนได้เต็มศักยภาพอย่างมีคุณภาพ และแน่นอนว่านักเรียนมีคุณภาพที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับสถานศึกษาขนาดอื่น ๆ ซึ่งเป็นปัญหาจากการที่โรงเรียนขนาดเล็กขาดความพร้อมทางด้านปัจจัย เช่น มีครูไม่ครบชั้นเรียน ขาดแคลนสื่อการเรียนการสอนและวัสดุอุปกรณ์ โดยเฉพาะสื่อและเทคโนโลยียุคใหม่ เนื่องจากเกณฑ์การจัดสรรงบประมาณส่วนใหญ่ใช้จำนวนนักเรียนเป็นเกณฑ์ในการจัดสรร จึงจำเป็นต้องบริหารจัดการในภาวะขาดแคลนงบประมาณและบุคลากร ทำให้ฝ่ายบริหารต่างมองเห็นว่า “การยุบ” เป็นทางออกหนึ่งของสถานการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้น

สิ่งหนึ่งที่สมควรได้รับการส่งเสริมสนับสนุนเป็นอย่างยิ่ง นั่นคือ โรงเรียนขนาดเล็กบางแห่งได้จัดการเรียนการสอนที่มุ่งเน้นให้เด็กได้รู้จักรากเหง้าของตนเอง รู้จักชุมชน ภูมิปัญญาท้องถิ่น เน้นการสอนด้านคุณธรรม จริยธรรรม และวิถีการทำมาหากิน ซึ่งแตกต่างจากแนวทางการสอนของโรงเรียนขนาดกลาง ขนาดใหญ่ หรือโรงเรียนในเมืองส่วนใหญ่ที่ถูกกระแสโลกาภิวัตน์ครอบงำได้จัดการเรียนการสอนที่มุ่งเน้นเพียงด้านวิชาการเป็นหลักจนผู้เรียนหลงลืมขาดจิตสำนึกที่จะอนุรักษ์รักบ้านเกิดซึ่งเป็นสิ่งที่อันตรายยิ่ง

อย่างไรก็ตาม การจะมีการยุบรวมโรงเรียนขนาดเล็กโดยใช้สูตรสำเร็จสูตรเดียวกันทั่วประเทศคงเป็นไปไม่ได้ เพราะในทางปฏิบัตินั้นต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ ด้วยมาตรการที่หลากหลายเหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ หากโรงเรียนอยู่ในที่ทุรกันดารห่างไกลหรือทำได้ดีมีคุณภาพอยู่แล้วก็ให้ดำเนินการต่อไป หรือกรณีผู้ปกครอง ชุมชนมีความพร้อมที่จะจัดในลักษณะอื่น เช่น ศูนย์การเรียน หรือ โฮมสคูล (Home School) ก็ต้องมีคณะกรรมการพิจารณาร่วมกัน แต่สิ่งสำคัญที่ไม่อาจมองข้าม นั่นคือ เด็กทุกคนต้องมีที่เรียนที่ดีกว่า เด็กและผู้ปกครองไม่เดือดร้อน รวมถึงต้องมีมติเห็นชอบจากชุมชนว่าให้ยุบหรือไม่ให้ยุบโรงเรียนของเขา

กระบวนการเวทีประชาคมของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจากทุกภาคส่วน ตั้งแต่เขตพื้นที่การศึกษา โรงเรียน ผู้ปกครอง ผู้นำชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรภาคีเครือข่ายต่าง ๆ ร่วมกันวิเคราะห์ปัญหา ศึกษาหาทางแก้ไขและตัดสินใจร่วมกัน เหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องส่งเสริมให้เกิด
ทุกปัญหามีทางออก คงเป็นหน้าที่ของทุกคนต้องหันหน้ามาพูดคุยแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ช่วยกันคิดแสวงหาวิธีการและทางออกอย่างชาญฉลาด เท่าทัน และสร้างสรรค์ แต่รัฐบาลต้องตระหนักและให้ความสำคัญในการจัดการศึกษาอย่างทั่วถึงและมีคุณภาพในภาพรวมของชาติ ไม่ว่าจะยุบหรือไม่ยุบโรงเรียนขนาดเล็กก็ตาม.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32901&Key=hotnews

สอศ.เปิดช่องมัธยมสะสมหน่วยกิต นำผลโอนเรียน’ระยะสั้น-ปวช.-ปวส.’ คาดกระตุ้นยอดอาชีวะเพิ่ม 2 หมื่นคน

4 มิถุนายน 2556

เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวในการมอบนโยบายให้กับผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ว่า อาชีวศึกษาถือเป็นกลไกขับเคลื่อนประเทศไทย ที่สำคัญผลิตบุคลากรมารองรับการพัฒนาประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีความต้องการบุคลากรจำนวนมาก จนทำให้ขาดแคลนในภาคอุตสาหกรรม ธุรกิจเอกชน และด้านเกษตร ซึ่งที่ผ่านมาได้ตั้งเป้าว่าจะต้องเพิ่มสัดส่วนให้คนมาเรียนสายอาชีวะกับสายสามัญเป็น 50 : 50 แต่ผลปรากฏว่าปีนี้มีเด็กมาเรียนสายอาชีวะเพียง 34% ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายมาก ฉะนั้น คิดว่าการจะให้เด็กมาเรียนสายอาชีวะเพิ่มขึ้น จะเปิดโอกาสให้คนที่จบชั้น ม.3 แต่ไม่ได้เรียนต่อ หรือผู้ที่จบชั้น ม.4-6 แต่ไม่ได้เรียนต่อ เป็นเป้าหมายที่จะให้มาเรียนต่อในสายอาชีวะได้

“เรื่องของภาพลักษณ์ คุณภาพ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะดึงคนมาเรียนอาชีวะ ความจริงมีสถานศึกษาอาชีวะส่วนน้อยที่มีปัญหา แต่ทำให้คนรู้สึกว่าเอาลูกมาเรียนแล้วจะไม่ปลอดภัย ฉะนั้น จำเป็นต้องสร้างภาพพจน์ใหม่ อย่างการส่งเด็กอาชีวะไปช่วยซ่อม สร้าง อุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ แก่ชาวบ้าน นอกจากนี้ ผู้บริหารทุกคนจะต้องทำให้เด็กเห็นว่าการมาเรียนสายอาชีวะมีอนาคตที่ดีอย่างไร โดยเฉพาะการประชาสัมพันธ์เรื่องสถาบันอาชีวะ หรือการเรียนแบบทวิภาคี มีความน่าสนใจอย่างไรด้วย นอกจากนี้ โครงการโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ วงเงิน 2 ล้านล้านบาทของรัฐบาล ตนเห็นว่าเป็นโครงการใหญ่ที่จะสามารถเชื่อมโยงการผลิตบุคลากรสายอาชีวะมารองรับโครงการต่างๆ ได้ อย่างไรก็ตาม ขอฝากให้ผู้บริหารทุกคนทำงานเชิงรุก และดึงเด็กให้มาเรียนสายอาชีวะเพิ่มขึ้นให้ได้” นายพงศ์เทพกล่าว

นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) กล่าวว่า ตนได้ลงนามคำสั่งเรื่องแนวปฏิบัติการเรียนรายวิชาสะสมหน่วยกิตเตรียมอาชีวศึกษา (Per-VEd.) ถึงผู้อำนวยการสถานศึกษาสังกัด สอศ.ทั่วประเทศแล้ว โดยแนวปฏิบัติดังกล่าวจะเพิ่มโอกาสขยายวิธีการ และกลุ่มเป้าหมาย ซึ่ง สอศ.ได้กำหนดให้มีการเรียนรายวิชาสะสมหน่วยกิตเตรียมอาชีวศึกษารายวิชาชีพระยะสั้น รายวิชาเตรียมระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และรายวิชาเตรียมระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) โดยผู้เรียนสามารถนำผลการเรียนมาขอโอนเพื่อนับจำนวนหน่วยกิตสะสมภายหลังจากสมัครเข้าเรียน และขึ้นทะเบียนเป็นนักเรียนนักศึกษาตามหลักสูตรอาชีวศึกษา ทั้งนี้ แนวปฏิบัติดังกล่าวคาดว่าจะมีนักเรียนเข้าเรียนประมาณ 15,000-20,000 คน ซึ่งจะทำให้ยอดการรับนักเรียนในระดับ ปวช.เป็นไปตามเป้าหมายที่จำนวน 186,873 คน

“แนวปฏิบัติดังกล่าว จะเปิดโอกาสให้นักเรียนระดับชั้นมัธยมต้น และมัธยมปลาย ที่มีความประสงค์จะเพิ่มพูน หรือสะสมความรู้ ทักษะ และเตรียมตัวที่จะเข้าศึกษาในระดับอาชีวะ มาเรียนสะสมหน่วยกิตไว้ก่อนได้ใน และเมื่อเรียนจบในระดับมัธยมศึกษา ก็เข้ามาเรียนต่อในสายอาชีวะ สามารถนำผลการเรียนจากรายวิชาดังกล่าวมาขอ เพื่อนับโอนหน่วยกิตสะสมได้ จะทำให้ใช้เวลาเรียนจบเร็วกว่าผู้ที่เรียนปกติ” นายชัยพฤกษ์กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32900&Key=hotnews

สพฐ.เล็งดึงเด็ก ตจว.เรียน ร.ร.ดัง หลัง 3 จว.ใต้สอบเข้ามหา’ลัยได้ 90%

4 มิถุนายน 2556

เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน ที่โรงแรมอเล็กซานเดอร์ กรุงเทพฯ นายกมล รอดคล้าย รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้น พื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวในพิธีส่งมอบนักเรียนในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปัตตานี, ยะลา, นราธิวาส) ให้แก่โรงเรียนที่มีชื่อเสียงทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และส่วนภูมิภาค ตามโครงการ “โรงเรียนอุปถัมภ์ (ครอบครัวอุปถัมภ์) ว่า ในปีการศึกษา 2556 มีนักเรียน 278 คน ในเขตพัฒนาพิเศษฯ ได้รับคัดเลือกให้เข้าศึกษาต่อระดับมัธยมปลายในโรงเรียนดัง 45 แห่งทั่วประเทศ เพื่อสร้างโอกาส สร้างความพร้อม และสร้างศักยภาพทางวิชาการในการเตรียม เข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษา ทั้งนี้ จากการติดตามผลการประเมินโครงการ พบว่า นักเรียนเหล่านี้เรียนจบตามกำหนด และสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยได้ประมาณ 90% จึงนับเป็นความภาคภูมิใจ เพราะโครงการนี้นอกจากจะช่วยเติมเต็มความรู้ให้แก่เด็กแล้ว ยังสร้างโอกาสให้เด็กได้มีเพื่อน และมี ประสบการณ์ใหม่ๆ เชื่อว่าเด็กเหล่านี้เมื่อกลับไปในพื้นที่ของตนเองแล้ว จะเป็นผู้นำที่ดีของสังคมได้

นายกมลกล่าวต่อว่า ปีนี้ได้ให้ทุกโรงเรียนเน้นทักษะชีวิตสำหรับเด็กให้มากขึ้น เพื่อให้เด็กได้รู้จักพัฒนาตัวเองในด้านอื่นด้วย นอกจากนี้ ได้ให้เด็กรวมกลุ่มนักเรียน และตั้งเป็นชมรม รวมทั้ง เปิดเว็บไซต์ เฟซบุ๊ก เพื่อให้ทุกคนได้ติดต่อประสาน และแลกเปลี่ยนความ คิดเห็นกันด้วย
“ขณะเดียวกันในปีการศึกษา 2557 จะขยายโครงการไปยังภูมิภาคอื่นด้วย โดยจะนำร่องคัดเลือกเด็กประมาณ 30-40 คนจากภูมิภาคอื่นๆ เข้าเรียนต่อระดับมัธยมปลายโรงเรียนดังในกรุงเทพฯ อาทิ โรงเรียนหอวัง โรงเรียนเทพศิรินทร์ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เพื่อให้เด็กมีโอกาสรับรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ เช่นเดียวกับเด็กในเขตพัฒนาพิเศษฯ โดยจะสังเกตได้ว่าเด็กในต่างประเทศ มักจะไปเรียนต่างถิ่น เพราะจะทำให้เด็กมีภูมิคุ้มกัน และมีความสามารถมากกว่าเด็กคนอื่น ดังนั้น ในปีแรกจะทดลองดูว่าเด็กจะได้รับประโยชน์อะไรบ้าง แต่คงไม่ได้มุ่งหวังว่าเมื่อเด็กไปเรียนโรงเรียนใหม่แล้ว จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ทุกคน เพราะแค่ให้เด็กได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และมารับประสบการณ์ใหม่ ก็ถือเป็นความสำเร็จแล้ว” นายกมลกล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32899&Key=hotnews

ยกเครื่องกลุ่ม 6 วิชาพื้นฐานใหม่รับอาเซียน

3 มิถุนายน 2556

โพสต์ทูเดย์ ศธ.เตรียมคลอด 6 กลุ่มวิชาในการศึกษาขั้นพื้นฐานใหม่รองรับอาเซียน

นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด ผู้ช่วย รมว.ศึกษาธิการ กล่าวในฐานะประธานคณะกรรมการดำเนินการเพื่อขับเคลื่อนการเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียนของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ว่า ขณะนี้กระทรวงได้เตรียมความพร้อมรับการก้าวสู่ประชาคมอาเซียนไปแล้ว 60-70% ล่าสุดได้ปฏิรูปหลักสูตรการเรียนการสอนใน 6 กลุ่มวิชาที่จะใช้ในการศึกษาขั้นพื้นฐาน
กลุ่มวิชาใหม่ที่กำหนดออกมาจะเน้นหลักสูตรอาเซียนให้มีความเข้มข้นขึ้น จากเดิมที่มีอยู่ 8 กลุ่มวิชา เหลือ 6 กลุ่มวิชา ได้แก่ วิชาภาษาและวัฒนธรรม วิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์ วิชาการดำรงชีวิตและโลกการงานวิชาทักษะการสื่อสารอาเซียนวิชาสังคมและมนุษยศาสตร์ และวิชาอาเซียนและโลก

“6 กลุ่มวิชาที่ออกมานี้ เบื้องต้นยังเป็นร่างอยู่ เพื่อที่จะนำไปปรับใช้ในหลักสูตรการเรียนการสอนขั้นพื้นฐาน ซึ่งจะครอบคลุมทุกด้าน โดยจะนำวิชาวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์ มารวมเป็นกลุ่มเดียวกัน ทำให้เกิดการบูรณาการมากขึ้น และเป็นหลักสูตรเดียวกันในอาเซียน”                นางพวงเพ็ชร กล่าว

นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาธิการมีแผนที่จะเดินหน้าการเตรียมความพร้อมบุคลากรเพื่อรองรับการก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนแบบเต็มรูปแบบ โดยจะจัดโครงการสอนภาษาอังกฤษและภาษาอาเซียนให้กับกลุ่มคนทั่วไป ตั้งแต่คนขับแท็กซี่ แม่ค้า และกลุ่มสตรีแม่บ้าน ตั้งเป้าให้กลุ่มคนเหล่านี้สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษประโยคพื้นฐานที่เกี่ยวกับการประกอบอาชีพได้อย่างน้อย 10-20 ประโยค
นางพวงเพ็ชร กล่าวต่อว่า หลังจากนี้จะดำเนินโครงการรณรงค์การใช้ภาษาให้คนไทยได้เรียนรู้ผ่านศูนย์การเรียนรู้สู่อาเซียนทั้ง 26 ศูนย์ทั่วประเทศ ซึ่งแบ่งเป็นศูนย์ของ กศน. 15 แห่ง และศูนย์ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) 11 แห่ง พร้อมจัดทำคู่มือภาษาแจกให้กับผู้ประกอบการกลุ่มอาชีพต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้คนไทยมีความพร้อมที่จะแข่งขันในเวทีเศรษฐกิจอาเซียนมากขึ้น n

ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32891&Key=hotnews

ปฏิรูปหลักสูตรหวังเด็กคิดเป็น ไม่เกียจคร้าน-มีทักษะทำงานดี

3 มิถุนายน 2556

นายสมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะกรรมการปฏิรูปหลักสูตรและตำราการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยความคืบหน้าในการจัดทำหลักสูตรใหม่ว่าที่ประชุมได้นำข้อมูลจากการวิจัยสำรวจและค้นพบคุณลักษณะของเด็กไทย 3 ประการในปัจจุบันที่น่าเป็นห่วงและต้องแก้ไข และจัดหลักสูตรการศึกษาให้เปลี่ยนแปลงคุณลักษณะของเด็กไทยให้ดีขึ้น คือ

1.การที่เด็กไทยยอมรับการคอร์รัปชัน

2.การสำรวจพบว่าเด็กไทย 12% เท่านั้นที่คิดเป็นคิดได้และกล้าแสดงความคิดเห็น และ 63% เป็นกลุ่มเด็กที่คิดได้แต่เงียบ ไม่แสดงออก สุดท้ายก็คล้อยตามผู้อื่น และที่เหลืออีก 25% เป็นเด็กที่คิดไม่ได้ แสดงออกก็ไม่ได้  ข้อค้นพบดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าสังคมไทยไม่มีความคิดเห็นที่หลากหลาย ไม่มีวิธีคิด ดังนั้น การจัดการสอนต้องปรับจากเดิมที่ครูเขียนข้อมูลบนกระดานแล้วให้เด็กแสดงความเห็นว่าเห็นด้วยหรือไม่ หากเด็กไม่เห็นด้วยครูก็จะพยายามชักจูงให้เด็กเห็นด้วยกับครู แต่การสอนในปัจจุบัน ครูจะต้องถามว่านักเรียนคนใดที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างไปจากครู แล้วนำเสนอเพื่ออภิปราย ซึ่งจะส่งเสริมให้เด็กกล้าคิดกล้าแสดงออก ไม่เช่นนั้นสังคมไทยจะคิดเห็นคล้อยกันไปทั้งประเทศ และ

3.การที่เด็กไทยทำงานไม่เป็น ทำให้เกียจคร้าน

นายสมพงษ์ กล่าวต่อว่า สำหรับกลุ่มการเรียนรู้ 6 กลุ่ม ในส่วนของกลุ่มการเรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรม ที่ประชุมมีมติให้เปลี่ยนแปลงเป็นกลุ่มการเรียนรู้ภาษาและวรรณกรรม เพราะเห็นว่าภาษาไม่ใช่แค่การสื่อสารแต่เป็นอัตลักษณ์ สุนทรียศาสตร์ ส่วนการจัดหลักสูตรระดับประถมและมัธยมนั้น ระดับประถมเดิมกำหนดว่าควรเรียนในห้องเรียน800 ชั่วโมง แต่ที่ประชุมเห็นว่ายังมากเกินไปน่าจะจัดการเรียนในห้องให้ไม่เกิน 600 ชั่วโมงและเพิ่มการเรียนรู้นอกห้องเรียน แต่อยู่ภายในโรงเรียน และเรียนรู้นอกสถานที่กับชุมชน

“ในส่วนของชั้น ป.1-3 จะเน้น 3 วิชาหลัก ได้แก่ ภาษาไทย คณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ เนื่องจากมีงานวิจัยระบุชัดเจนว่า หากเด็กเรียนวิชาคณิตศาสตร์เก่ง จะส่งผลให้เรียนเก่งในทุกวิชา และควรให้เด็กเรียนคณิตตั้งแต่แรก ส่วนเรียนรู้โครงงานเป็นส่วนเสริม ทั้งด้านโครงงานวิทย์ สังคมและชุมชน โครงงานสุนทรียะ คุณธรรมและวิถีประชาธิปไตย ส่วนระดับมัธยม จะเรียนลักษณะบูรณาการลดลง และเพิ่มการเรียนเป็นรายวิชามากขึ้น และตั้งแต่ชั้น ม.1 จะเรียนรู้ทักษะชีวิตและโลกของงาน เพื่อให้เด็กทำงานเป็น ไม่ว่าจะจบชั้นไหนก็สามารถทำงานได้ ประกอบกับขณะนี้ตลาดแรงงานต้องการแรงงานด้านอาชีวะ ซึ่งเป็นตัวกำหนดให้เด็กเห็นช่องทางการมีงานทำ และอาจทำให้ค่านิยมเรียนเพื่อปริญญาลดลงได้” นายสมพงษ์ กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32890&Key=hotnews