องค์การค้าฯ เล็งจับมือจีนผุดโรงงานผลิตแท็บเล็ตขายในไทย

19 เมษายน 2556

ผุดโปรเจกต์ยักษ์ ! องค์การค้าฯ เล็งจับมือนักลงทุนจีนสร้างโรงงานผลิตแท็บเล็ตจำหน่ายในประเทศ เน้นผลิตแท็บเล็ตราคากลางๆ สบายกระเป๋า เน้นกลุ่มลูกค้าต่างจังหวัด “สมมาตร” การันตี องค์การค้าฯ ไม่ต้องควักสักบาทแค่จัดหาสถานที่ ส่วนภาระอื่นๆ เครื่องจักร บุคลากร เป็นของผู้ลงทุนจากจีน ด้านบอร์ด สกสค.ดับฝันระบุแผนธุรกิจไม่ชัดเจนตีกลับพร้อมตั้งกรรมการศึกษารู้ผลภายใน 3 เดือน

นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานประชุมคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ว่า ในการประชุมบอร์ด สกสค.วานนี้ (18 เม.ย.) นายสมมาตร มีศิลป์ ผู้อำนวยการองค์การค้า ของ สกสค.ได้เสนอแผนธุรกิจร่วมทุนกับผู้ประกอบการจากประเทศจีน เพื่อเปิดโรงงานผลิตแท็บเล็ตสำหรับจำหน่ายในประเทศไทย ทั้งนี้ เพราะองค์การค้าฯ เล็งเห็นว่า ในอนาคตหนังสือเรียนจะถูกลดความสำคัญลง และถูกแทนที่ด้วยสื่อการเรียนการสอนสมัยใหม่อย่างแท็บเล็ต จึงต้องการเปิดตลาดทางด้านแท็บเล็ตเต็มตัว

นางพนิตา กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ตามแผนธุรกิจที่องค์การค้าฯ เสนอนั้น ระบุว่าองค์การค้าฯ จะเป็นผู้จัดหาสถานที่ให้ซึ่งเบื้องต้นองค์การค้าฯ ได้เสนอขอใช้ที่ดินโรงพิมพ์องค์การค้าฯ ลาดพร้าวมาปรับปรุงเป็นโรงงานผลิตแท็บเล็ต ขณะที่นักลงทุนจากจีนจะเป็นผู้ออกทุนในการก่อสร้างโรงงานทั้งหมด โดยมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลัก คือ นักเรียน เพราะถึงแม้ว่ารัฐบาลจะมีโครงการแจกแท็บเล็ตให้นักเรียนประถมศึกษาปีที่ 1ไปบ้างแล้วแต่ก็ยังแจกไม่ครบทุกชั้นปี ยังมีนักเรียนจำนวนมากที่ไม่มีแท็บเล็ตใช้
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมพิจารณาแล้วเห็นว่าแผนการทำธุรกิจในการสร้างโรงงานผลิตแท็บเล็ตขององค์การค้าฯ นั้นยังขาดความชัดเจนและขาดรายละเอียดอยู่ในหลายเรื่องโดยเฉพาะไม่มีแผนบริหารความเสี่ยงจึงยังไม่อนุมัติโครงการดังกล่าว และให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษาเรื่องนี้ก่อน มีองค์ประกอบหลัก 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 เป็นตัวแทนจาก สกสค.และองค์การค้าฯ ส่วนที่ 2 ตัวแทนจากองค์กรหลักต่างๆ รวมถึงตัวแทนจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) และสำนักงานปลัด ศธ.และส่วนที่ 3 องค์กรภายนอก เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ และกระเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที)

“บอร์ดได้ให้เวลาคณะทำงานต่างๆ ไปศึกษาเรื่องนี้เป็นเวลา 3 เดือน โดยเฉพาะศึกษาในประเด็นความคุ้มค่าในการลงทุน แล้วให้นำผลการศึกษามาหารือในบอร์ด สกสค.อีกครั้ง แล้วบอร์ดจะตัดสินใจบนพื้นฐานข้อมูลดังกล่าวว่าสมควรไฟเขียนให้โครงการหรือไม่ เพราะเสียงในที่ประชุมวันนี้บางส่วนเห็นว่าองค์การค้าฯ ควรจะเป็นตัวแทนจำหน่ายมากกว่า เพราะเป็นสิ่งที่องค์การค้าฯ ไม่ต้องลงทุนอะไรเพิ่ม ใช้ร้านค้าต่างๆ กว่า 1,000 แห่งทั่วประเทศที่เป็นตัวแทนจำหน่ายองค์การค้าฯ มาเป็นที่ระบายสินค้าได้เลย อย่างไรก็ตาม ถ้าจะมีการลงทุนสร้างโรงงานผลิตแท็บเล็ตจริงๆ จะต้องเปิดกว้างหาผู้ประกอบการที่ให้เงื่อนไขที่ดีที่สุดมาร่วมลงทุนโดยไม่จำเป็นจะต้องเป็นผู้ประกอบการจากจีนที่องค์การค้าฯ ได้ไปประสานงานไว้เพราะการร่วมทุนกับต่างชาติเป็นเรื่องที่ยุ่งยากจะต้องดูเรื่องของหลักกฎหมายและต้องเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)” นางพนิตา กล่าว

ด้านนายสมสมาตร กล่าวว่า ตามแผนธุรกิจที่วางไว้นั้น องค์การค้าฯ จะเป็นผู้จัดเตรียมสถานที่ให้ โดยวางแผนดัดแปลงอาคารเหลือใช้ 1 หลังในบริเวณโรงพิมพ์ลาดพร้าวทำเป็นตัวโรงงาน ส่วนผู้ลงทุนจากจีนจะเป็นผู้จัดหาเครื่องจักร วิศวกร บุคลากร และเทคโนโลยีการในการผลิตแท็บเล็ต แต่ส่วนมูลค่าการลงทุนและการแบ่งปันกำไรนั้น ยังไม่ได้มีการกำหนด เพราะต้องรอให้บอร์ด สกสค.ไฟเขียวให้โครงการเดินหน้าได้ก่อน จึงจะสามารถเจรจาในรายละเอียดกับทางผู้ลงทุนได้
“วางแผนไว้ว่า ระยะแรกนั้น จะเป็นการทดลองตลาด เพราะฉะนั้น จะสร้างเป็นโรงงานขนาดกลางก่อน ส่วนตัวผลิตภัณฑ์นั้นอาจมีหลายรุ่นแต่จะเน้นผลิตแท็บเล็ตที่มีราคาปานกลาง ประมาณ 5,000-6,000 บาทต่อเครื่อง เพราะกลุ่มลูกค้าของโครงการนี้ จะเป็นนักเรียน ครูในต่างจังหวัด เพราะยังมีนักเรียน และครูอีกมากที่ยังไม่ได้รับแจกเครื่องแท็บเล็ตจากรัฐบาล และองค์การค้าฯ ก็มีร้านค้าตัวแทนในต่างจังหวัดอยู่แล้ว สามารถใช้เป็นช่องทางในการกระจายสินค้าได้“ นายสมมาตร กล่าวและว่า ขณะนี้ องค์การค้าเตรียมกำลังเตรียมเปิดร้านศึกษาภัณฑ์พาณิชย์เพิ่มเติมในโรงเรียนอีกด้วยซึ่งได้สำรวจพื้นที่ไว้แล้วประมาณ 70 โรงและว่า โครงการนี้ไม่มีความเสี่ยงอย่างแน่นอน เพราะองค์การค้า ไม่ได้ลงทุนเพิ่มเติม แค่ดัดแปลงอาคารที่มีอยู่มาเป็นโรงงาน ภาระการลงทุนจะอยู่ที่นักลงทุนที่จะมาร่วมโครงการ

Source – ASTV ผู้จัดการออนไลน์ (Th)

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32466&Key=hotnews

“9 มทร.” ประชุมเตรียมรับมือ 19 สถาบันอาชีวะเปิด ป.ตรี

19 เมษายน 2556

นายนำยุทธ สงค์ธนาพิทักษ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดี มทร. 9 แห่ง เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) จัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษา 19 แห่ง และเตรียมความพร้อมจัดการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ถึงปริญญาตรีนั้น คิดว่า มทร. 9 แห่ง คงไม่ได้รับผลกระทบเท่าใดนัก ที่ผ่านมาแต่ละ มทร.ได้เตรียมความพร้อม รวมถึงปรับหลักสูตรให้เหมาะสมกับความต้องการของตลาด ทั้งนี้ ที่ประชุมอธิการบดี มทร. 9 แห่ง ยังได้พูดคุย และส่งสัญญาณเรื่องนี้ให้ทุกสถาบันเตรียมความพร้อมรับการแข่งขันที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต แต่คิดว่าทุกสถาบันต่างก็มีความเข้มแข็ง เพราะเตรียมความพร้อมมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะปรับหลักสูตรปริญญาตรี 4 ปี เพื่อรองรับทั้งผู้ที่จบระดับ ม.6 และประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ขณะที่หลักสูตรต่อเนื่อง 2 ปี ที่จะรับนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) เองก็ไม่ได้ทิ้ง แม้ที่ผ่านมาจะพบข้อมูลว่ามีนักเรียนให้ความสนใจเข้าเรียน ปวส.ทั้งสังกัด สอศ.และของโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชนน้อยลงก็ตาม

“หลังจาก สอศ.เปิดสอนปริญญาตรี คิดว่าโรงเรียนอาชีวะเอกชน จะเป็นหน่วยงานที่น่าเป็นห่วงมากที่สุด เพราะหลักสูตรที่เปิดสอนอาจไม่สอดรับกับหลักสูตรที่จะไปเรียนต่อในระดับ ปวส. หรือปริญญาตรี ดังนั้น ทำให้เด็กเลือกที่จะเรียนในสถาบันที่เรียน ปวช. หรือ ปวส.แล้วเรียนต่อที่เดียวจนจบปริญญาตรีได้เลย ซึ่ง มทร.เองอาจต้องคิด และเตรียมหลักสูตรเพื่อรองรับเด็กกลุ่มนี้ด้วย” นายนำยุทธ กล่าว

ที่มา: http://www.prachachat.net

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32465&Key=hotnews

สอท.แนะนักเรียนให้รีบตัดสินใจเลือกคณะแอดมิชชัน

19 เมษายน 2556

สอท.ย้ำ นร.รีบตัดสินใจเลือกคณะแอดมิชชัน และตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลการสมัครให้เรียบร้อย

นางศศิธร อหิงสโก ผู้จัดการสมาคมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (สอท.) เปิดเผยว่า ตามที่สอท.ได้เปิดรับสมัครคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษาด้วยระบบกลางการรับนิสิตนักศึกษาหรือแอดมิชชัน ประจำปีการศึกษา 2556 ระหว่าง วันที่ 11-21 เม.ย.2556 ทาง www.cuas.or.th ชำระเงินค่าสมัคร วันที่ 11-23 เม.ย.2556 ผ่านทางธนาคาร หรือ ณ ที่ทำการไปรษณีย์ไทย นั้น ข้อมูล วันที่ 18 เม.ย.2556 มีผู้สมัคร จำนวน 70,689 คน ชำระเงิน จำนวน 21,878 คน ซึ่งถือว่าจำนวนผู้ชำระเงินยังน้อย ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่านักเรียนยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือกคณะอะไร แต่ยังพอมีเวลาสมัครและชำระเงิน ดังนั้นตนฝากนักเรียนให้รีบตัดสินใจได้แล้ว รวมทั้งตรวจสอบการสมัครให้เรียบร้อยและชำระเงิน เพื่อการสมัครจะได้สมบูรณ์

ทั้งนี้ ขอฝากนักเรียนที่สมัครและชำระเงินเรียบร้อยแล้วให้ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลการสมัครทาง www.cuas.or.th ยื่นคำร้องขอแก้ไขข้อมูลส่วนตัวจนถึงวันที่ 26 เม.ย.2556 ทางโทรสารหมายเลข 0-2354-5155-6 ตรวจสอบคะแนนดิบที่ใช้ในการคัดเลือกฯ และรายชื่อนักเรียนที่ถูกตัดสิทธิ์แอดมิชชั่นกลาง วันที่ 28-30 เม.ย.2556 www.cuas.or.th ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์และตรวจร่างกายวันที่ 9 พ.ค.2556 www.cuas.or.th สอบสัมภาษณ์และตรวจร่างกาย วันที่ 14-16 พ.ค.2556 และมหาวิทยาลัย/สถาบันอุดมศึกษาที่สอบได้ ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา วันที่ 22 พ.ค.2556 www.cuas.or.th

. –ASTVผู้จัดการออนไลน์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32464&Key=hotnews

เด็กไทยเสนอผลงานวิจัยดาราศาสตร์ที่ญี่ปุ่น

19 เมษายน 2556

สถาบันวิจัยดาราศาสตร์ และ สสวท. พานักเรียนยุววิจัยรุ่นแรกจากจังหวัดน่านและฉะเชิงเทรา เสนอผลงานวิจัยดาราศาสตร์ร่วมกับนักเรียนจากทั่วโลก ที่ประเทศญี่ปุ่น

กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ โดยสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ(สดร.) ร่วมกับ กระทรวงศึกษาธิการ โดยสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(สสวท.) นำนักเรียนยุววิจัยรุ่นแรกโชว์ผลงานวิจัยทางดาราศาสตร์ ณ มหาวิทยาลัยไซตามะ ประเทศญี่ปุ่น ในการประชุม Junior Session of Astronomical Society of Japan 2013 เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยมีดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ พร้อมด้วยนายสุพจน์ วุฒิโสภณ หัวหน้าสาขาวิชาวิทยาศาสตร์รากฐาน สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ดร.วิภู รุโจปการ วิทยากร และที่ปรึกษาโครงการ จาก Steward Arizona Observatory นำทีมนักเรียน 6 คน อาจารย์ที่ปรึกษา 2 คน จากโรงเรียนปัว จ.น่าน และโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ จ.ฉะเชิงเทรา เดินทางไปนำเสนอผลงานวิจัยดาราศาสตร์ระดับนักเรียน ในการประชุมดังกล่าว ซึ่งเป็นเวทีนำเสนอผลงานวิจัยดาราศาสตร์ของยุววิจัยดาราศาสตร์จากทั่วโลก

ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ กล่าวว่า สดร. ได้คัดเลือกโรงเรียน โรงเรียนปัว จ.น่านและโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งครูและนักเรียนจะมาอบรมพร้อมกันเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับเทคนิคและวิธีการทำวิจัยทางดาราศาสตร์ นักเรียนจะต้องคิดโครงงานวิจัยขึ้นมาคนละ 1 เรื่องโดยมีครูที่ปรึกษาคอยให้คำแนะนำในการทำวิจัย มีทีมที่ปรึกษาช่วยเหลือในด้านเทคนิคดาราศาสตร์ต่างๆ แล้วคัดเลือกออกมา 6 โครงงาน นำไปเสนอผลงานใน Junior Session of Astronomical Society of Japan 2013 ขณะที่เด็กนักเรียนญี่ปุ่นมีการทำโครงงานทางดาราศาสตร์ในงานนี้กว่าร้อยโครงงาน ซึ่งญี่ปุ่นเน้นให้เด็กทำงานวิจัยอย่างมืออาชีพ เน้นการใช้ความคิด การวางแผน อุปกรณ์ต่างๆ ก็ขอยืมจากนักดาราศาสตร์สมัครเล่นใกล้เขตโรงเรียน รวมถึงการใช้กล้องโทรทรรศน์จากหอดูดาวซึ่งมีอยู่แทบทุกจังหวัด

สำหรับโครงงานวิจัยดาราศาสตร์ของเด็กไทยที่นำเสนอในการประชุมนี้ ค่อนข้างเป็นงานวิจัยในระดับสูง ทำการวิจัยโดยใช้กล้องโทรทรรศน์ที่ติดตั้งอยู่ ณ ประเทศชิลี ควบคุมระยะไกลผ่านระบบอินเทอร์เน็ต และเนื่องจากเป็นกล้องขนาดใหญ่จำเป็นต้องมีการให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด จึงดำเนินการผ่านโชเชียลเน็ตเวิร์ค ผลการวิจัยที่ได้อาจไม่ใช่องค์ความรู้ใหม่ แต่เด็กจะได้ฝึกฝนการทำงานวิจัยดาราศาสตร์อย่างเป็นระบบ ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง เรียนรู้ด้วยตัวเอง รวมถึงการนำเสนอผลงานของตนให้เป็นที่ยอมรับ

อาจารย์จิราภรณ์ ก๋าแก้ว ครูจากโรงเรียนปัว จ.น่าน เล่าถึงประสบการณ์ที่ได้รับว่า เป็นโอกาสดีที่เปิดโอกาสให้นักเรียนที่อยู่ห่างไกลได้เข้าร่วมโครงการฯ หากพูดถึงความรู้ด้านดาราศาสตร์ เด็กมักจะไม่เข้าใจ เด็กอยากรู้แต่ไม่มีใครอธิบาย แต่เมื่อเด็กได้มาเรียนรู้ ณ จุดนี้ เป็นสิ่งที่ดี และควรเปิดโอกาสให้เด็กที่สนใจไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนไหนได้มีโอกาสเข้ามาเรียนรู้

นายตุลยรัฐ รัตนประภา นักเรียนที่นำเสนอผลงานวิจัย กล่าวว่า ดีใจที่ได้รับการคัดเลือกให้ไปนำเสนอผลงานทางด้านดาราศาสตร์ที่ประเทศญี่ปุ่น และงานวิจัยนี้ ได้เรียนรู้ถึงวิธีในการทำวิจัยดาราศาสตร์ ฝึกฝนวิธีคิดอย่างเป็นระบบ และรู้จักวางแผนการทำงานอย่างเป็นขั้นตอน

ผลงานวิจัยที่นำเสนอแบบปากเปล่าในการประชุมดังกล่าว จำนวน 6 โครงงาน ประกอบด้วย
1. คาบการแปรแสงของระบบดาวคู่อุปราคา V357 Peg โดย นางสาวรัตนาวดี ฑีฆะวงษ์ โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฏิ์ ฉะเชิงเทรา จ.ฉะเชิงเทรา

2. ความหนาแน่นของดาวฤกษ์เป็นฟังก์ชันของละติจูดในกาแลกซีทางช้างเผือกที่ลองจิจูดที่ 0 โดย นายรัชชานนท์ บัวรอด โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฏิ์ ฉะเชิงเทรา จ.ฉะเชิงเทรา

3. การหาความเร็วของดาวหาง C262p/McNaught-Russell ในเดือนตุลาคม 2555 โดย นายณปัณณ์ เจริญสินรุ่งเรือง โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฏิ์ ฉะเชิงเทรา จ.ฉะเชิงเทรา

4. การหาระยะห่างของดาราจักรแมกเจลแลนใหญ่จากการแปรแสงของดาวแปรแสงแบบเซเฟอิด โดย นางสาวชลียา พรมมา โรงเรียนปัว จ.น่าน

5. การวัดระยะห่างจากโลกถึงกาแลกซีด้วย Supernova la โดย นายวสุทิน ขอดแก้ว โรงเรียนปัว จ.น่าน และ

6. ความรีของกาแลกซี่ทรงรีในกระจุกกาแลกซี่ฟอร์ฟอร์แนกซ์ โดย นายตุลยรัฐ รัตนะประภา โรงเรียนปัว จ.น่าน

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32463&Key=hotnews

สอศ. ระดมสมองแก้ 3 โจทย์ใหญ่อาชีวะ

19 เมษายน 2556

นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการอาชีวศึกษา (เลขาธิการ กอศ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ศูนย์พัฒนาการศึกษาเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศพต.) สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา 18 แห่ง รวม 172 คน โดยสาระสำคัญคือการระดมความคิดเพื่อหาแนวทางเพิ่มปริมาณผู้เรียน ลดปัญหาออกกลางคัน และเพิ่มคุณภาพการเรียนการสอน

สำหรับการเพิ่มปริมาณผู้เรียน สรุปได้ว่า จะต้องสร้างแรงจูงใจด้วยการให้สวัสดิการผู้เรียน เช่น อาหารกลางวันฟรี จัดรถรับ-ส่งผู้เรียน เนื่องจากปัจจุบันรถประจำทางหลายสายไม่ให้บริการแล้ว นอกจากนี้จะต้องลดภาระงานอื่นๆ ของครู เพื่อให้ครูสอนได้เต็มที่ เพิ่มทุนการศึกษา ทำเอ็มโอยูร่วมกับโรงเรียนสอนศาสนา จัดการศึกษาให้ตรงกับความต้องการแรงงานในพื้นที่ และทำโครงการให้นักเรียนมีรายได้ระหว่างเรียน
สำหรับการลดปัญหาออกกลางคันนั้น ครูที่ปรึกษาต้องรู้จักข้อมูลพื้นฐาน เช่น ครอบครัว ที่อยู่ ของนักเรียนทุกคน เมื่อนักเรียนเริ่มมีปัญหาขาดเรียนบ่อยๆ จะติดตามได้ทันที พร้อมกันนี้ต้องปรับโครงสร้างรายวิชาให้นักเรียนได้เรียนวิชาชีพก่อนวิชาสามัญ เช่น คณิตศาสตร์ หรืออังกฤษ เพื่อให้นักเรียนที่ไม่มีความถนัดได้มีเกรดที่สูงขึ้น ตลอดจนจัดสวัสดิการให้รวดเร็วขึ้น เช่น เรียนฟรี 15 ปี ทุนการศึกษา และสวัสดิการต่างๆ ส่วนการเพิ่มคุณภาพการเรียนการสอนจะต้องพัฒนาคุณภาพครู สื่อการเรียนการสอน ครุภัณฑ์อาชีวศึกษา ให้ทันสมัย เพียงพอต่อนักเรียนเป็นรายบุคคล และตรงกับสาขาวิชาที่นักเรียนต้องออกไปทำงาน โดยครูต้องสอนให้ตรงกับคุณวุฒิที่จบมา ต้องมีใจรักในวิชาชีพ มีคุณธรรม จริยธรรมและจิตสำนึก พร้อมกันนี้ที่ประชุมยังเห็นควรมีนโยบายรับครูที่จ้างสอนครบอายุงาน 3-5 ปี ได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการตำแหน่งครูผู้ช่วย เพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังใจในการทำงาน และมีทุนการศึกษาต่อสำหรับครู

นอกจากนี้ สอศ.จะจัดโครงการฝึกอบรมอาชีพ โดยใช้ศูนย์อบรมอาชีพในสถานศึกษาของ สอศ.จำนวน 121 ศูนย์ทั่วประเทศ ที่มีความศักยภาพโดดเด่นเฉพาะด้าน เปิดอบรมอาชีพแก่ประชาชน เช่น วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงใหม่ เด่นเรื่องอาหารนานาชาติ ก็เปิดอบรมไม่น้อยกว่า 75 ชั่วโมง ให้แก่ผู้สูงอายุ เพื่อนำความรู้ไปประกอบอาชีพ และประสานกับสถานประกอบการ เพื่อดึงเด็ก ม.3 มาทำงานควบคู่กับการเรียนอาชีวะและเปิดสอนหลักสูตรการดูแลเด็กและผู้สูงอายุ ระดับ ปวส.สาขาวิชาการบริหารงานคหกรรมศาสตร์ซึ่งอาชีพบริการผู้สูงอายุนั้น ในปัจจุบันเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานอย่างมาก ปีการศึกษา 2555 มีสถานศึกษาเปิดสอนทั้งสิ้น 4 แห่ง คือ วิทยาลัยการอาชีพ (วก.) เชียงราย มีผู้เรียน 17 คน วก.พล 8 คน วิทยาลัยเทคนิค (วท.) เดชอุดม 3 คน และวท.สุวรรณภูมิ 1 คน

–คมชัดลึก ฉบับวันที่ 19 เม.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32462&Key=hotnews

จี้รัฐวางแผนพัฒนาผลิตครูใหม่สาขาที่ขาด

19 เมษายน 2556

รศ.ดร.เปรื่อง กิจรัตน์ภร อดีตประธานที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฎ(ทปอ.มรภ.) และในฐานะที่ปรึกษา ทปอ.มรภ.กล่าวถึงแนวทางโครงการครูมืออาชีพว่า เป็นอีกหนึ่งโครงการที่ดีที่จะช่วยพัฒนา ผลิตครูในสาขาที่ขาดแคลน แต่สิ่งที่ตนเป็นห่วง คือ ครูในระบบที่มีจำนวนมากและยังไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร เพราะตอนนี้หลักสูตรเปลี่ยนแปลงแต่ครูในระบบที่สอนอยู่ในโรงเรียนจะเรียนเฉพาะวิชาเอก และสอนเอาเฉพาะสาระความรู้ ไม่ได้สอนแบบบูรณาการ ทำให้เมื่อครูต้องมาสอนในหลากหลายกลุ่มสาระการเรียนรู้ทำให้สอนไปโดยไม่มีคุณภาพ

ดังนั้น การผลิตครูในปัจจุบันต้องตระหนักปรับเปลี่ยนการพัฒนาครูในระบบให้ตอบสนองต่อความต้องการและมุ่งเน้นผลิตครูรุ่นใหม่เฉพาะในสาขาที่ขาดแลคน เพื่อให้ครูที่อยู่ในระบบ เป็นครูมืออาชีพ โดยรัฐ หน่วยงานผลิตครู, อย่างสถาบันอุดมศึกษาที่ผลิตครู,หน่วยงานที่กำหนดมาตรฐานวิชาชีพครู หรือคุรสภา และโรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่ภูมิภาคต่าง ๆ ต้องประสานความร่วมมือกันจัดทำหลักสูตรระยะสั้นและระยะยาว โดย ต้องอบรมพัฒนาครู เพื่อให้ครูที่อยู่ในภูมิภาคต่าง ๆ ต้องประสานความร่วมมือกันจัดทำหลักสูตรระยะสั้นและระยะยาว โดย ต้องอบรมพัฒนาครู เพื่อให้ครูที่อยู่ในภูมิภาคต่าง ๆ สอนเฉพาะวิชาเอกของตนเองมีแนวทางในการจัดรูปแบบการสอนที่ตรงกับบริบทของเด็กรุ่นใหม่ และสามารถบูรณาการการเรียนการสอนในแต่ละวิชาร่วมกันได้ ขณะเดียวกันต้องมีการจัดทำหลักสูตรระยะยาวเปิดโอกาสให้ครูในระบบได้เรียนต่อในระดับปริญญาโทเพื่อพัฒนาความรู้ความสามารถของครูยิ่งขึ้น

“การผลิตครู พัฒนาครูกับการใช้ครู ตอนนี้มีปัญหาค่อนข้างมาก ถ้ารัฐไม่มีนโยบายในการผลิต พัฒนาครูว่าต้องผลิตครูเท่าไหร่ จะใช้ครูจำนวนเท่าใด มาตรฐานวิชาชีพครูควรอยู่ตรงไหน สิ่งนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก การที่รัฐบาลต้องมีความชัดเจน และมอบเป็นนโยบายให้สถาบันผลิตครู และคุรุสภาเข้าใจร่วมกัน อย่างไรก็ตามปัญหาในการพัฒนาครู ผลิตครู เชื่อว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจจะรู้ แต่ไม่ได้เข้าไปช่วยแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง รัฐบาลจะต้องวางนโยบายพัฒนา ผลิตครู พร้อมกับเร่งแก้ปัญหาครูในระบบ มุ่งเน้นผลิตครูรุ่นใหม่เฉพาะในสาขาที่ขาดแคลนต้องประสานสถาบันผลิตครู คุรุสภา และโรงเรียนจัดอบรมพัฒนาครู พร้อมส่งเรียนต่อปริญญาโทในสาขาเอกของตนเอง เพื่อให้ได้ครูที่มีคุณภาพมาพัฒนาการเรียนการสอนได้” รศ.ดร.เปรื่อง กล่าว

–คมชัดลึก ฉบับวันที่ 19 เม.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32461&Key=hotnews

บัณฑิตย์ อวดนโยบายปี ’56 “ปีแห่งการเพิ่มคุณภาพการศึกษาเอกชน”

19 เมษายน 2556

ดร.บัณฑิตย์ ศรีพุทธางกูร เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) กล่าวถึงนโยบายการจัดการศึกษาของโรงเรียนเอกชน ว่า ปีนี้ทาง สช. ได้ประกาศนโยบาย “ปีการศึกษา 2556 ปีแห่งการเพิ่มคุณภาพการศึกษาเอกชน” โดยกำหนดเป้าหมาย 8 ด้าน ดังนี้

(1) คุณภาพการสอนวิชาภาษาอังกฤษ นักเรียนชั้น ป.4 ต้องสื่อสารภาษาอังกฤษได้
(2) คุณภาพการสอนวิชาภาษาไทย นักเรียนชั้น ป. 3 ต้องอ่านคล่อง เขียนคล่อง
(3) คุณภาพการสอนวิชาคณิตศาสตร์ นักเรียนต้องมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์สูงขึ้น
(4) คุณภาพ กระบวนการคิด โรงเรียนต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนานักเรียนให้มีกระบวนการคิดได้อย่างถูกต้องและสร้างสรรค์ โดยการนำนวัตกรรมการสอนที่เหมาะสมมาปรับใช้
(5) คุณภาพทักษะชีวิต โรงเรียนต้องให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างทักษะชีวิตนักเรียน ด้วยการบูรณาการกิจกรรมลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด ผู้บำเพ็ญประโยชน์
(6) คุณภาพโรงเรียนอาชีวศึกษานักเรียนที่จบการศึกษาต้องมีงานทำ
(7) คุณภาพโรงเรียนนานาชาติโรงเรียนต้องได้รับการรับรองจากสถาบันรับรองมาตรฐานสากล
(8) คุณภาพโรงเรียนนอกระบบ โรงเรียนต้องมีการจัดทำระบบการประกันคุณภาพภายใน

ทั้งนี้ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นและเพื่อเป็นการรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนซึ่งเรื่องภาษาถือเป็นเรื่องสำคัญและการที่ไทยจะเป็นศูนย์กลางการศึกษานั้นการพัฒนาเรื่องการศึกษาถือเป็นสิ่งที่ทาง สช. ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก และโรงเรียนเอกชนที่ดีและมีคุณภาพหลายโรง ก็สามารถใช้เป็นโรงเรียนต้นแบบให้แก่โรงเรียนอื่นๆได้ เช่น โรงเรียนอนุบาลสุธีธร โรงเรียนดรุณสิกขาลัย หรือโรงเรียนสัตยาไสย ที่เนวิชาการและการสอนเรื่องการใช้ชีวิตประจำวันควบคู่ไปด้วย

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32460&Key=hotnews

 

เผยชื่อ 56 โรงเรียนนิติบุคคลรุ่น 2

19 เมษายน 2556

ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้คัดเลือกโรงเรียนนำร่อง 58 แห่ง เพื่อบริหารงานในรูปแบบโรงเรียนนิติบุคคลในกำกับของ สพฐ. ในปีการศึกษา 2556 ซึ่งโรงเรียนเหล่านี้จะมีระบบบริหารจัดการที่คล่องตัวมากขึ้น ทั้งงานวิชาการ การบริหารงานบุคคล และงบประมาณนั้น ปรากฏว่า โรงเรียนนิติบุคคล ได้รับความสนใจจากสถานศึกษาทั่วประเทศ ดังนั้น สพฐ. จึงประกาศรายชื่อโรงเรียนที่ได้รับคัดเลือกเข้าโครงการ รุ่นที่ 2 อีก 56 แห่ง เป็นโรงเรียนประถมศึกษา 29 แห่ง ดังนี้ รร.อนุบาลกาญจนบุรี รร.อนุบาลขอนแก่น รร.สฤษดิเดช รร.อนุบาลวัดปิตุลาธิราชรังสฤษฎิ์ รร.อนุบาลชัยภูมิ รร.บ้านสันโค้ง รร.อนุบาลตรัง รร.ราชประสิทธิ์ รร.อนุบาลนนทบุรี รร.อนุบาลบุรีรัมย์ รร.ประถมศึกษาธรรมศาสตร์ รร.อนุบาลปทุมธานี รร.อนุบาลปัตตานี รร.อนุบาลพังงา รร.อนุบาลพิจิตร รร.จ่าการบุญ รร.อนุบาลเพชรบุรี รร.เพชรบูรณ์ รร.อนุบาลแม่ฮ่องสอน รร.อนุบาลลพบุรี รร.อนุบาลลำพูน รร.อนุบาลศรีสะเกษ รร.อนุบาลสกลนคร รร.อนุบาลสตูล รร.อนุบาลสุโขทัย รร.อนุบาลสุราษฎร์ธานี รร.อนุบาลวัดอ่างทอง รร.อนุบาลอุดรธานี และ รร.อนุบาลอุตรดิตถ์

เลขาธิการ กพฐ. กล่าวอีกว่า โรงเรียนมัธยมศึกษา 27 แห่ง ได้แก่ รร.นวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา พุทธมณฑล รร.เบญจมราชาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ รร.โพธิสารพิทยากร รร.วัดนวลนรดิศ รร.บดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนีย์) 2 รร.สตรีวิทยา 2 รร.สตรีศรีสุริโยทัย รร.จอมสุรางค์อุปถัมภ์ รร.สระบุรีวิทยาคม รร.กาญจนานุเคราะห์ รร.เบญจมราชูทิศ ราชบุรี รร.ศรียาภัย รร.กัลยาณีศรีธรรมราช รร.พัทลุง รร.สภาราชินี รร.สตรีภูเก็ต รร.มหาวชิราวุธ สงขลา รร.หาดใหญ่วิทยาลัยสมบูรณ์กุลกันยา รร.พนัสพิทยาคาร รร.อุดรพิทยานุกูล รร.ขอนแก่นวิทยายน รร.สตรีศึกษา รร.บุรีรัมย์พิทยาคม รร.สิรินธร รร.สตรีศรีน่าน รร.นารีรัตน์ และ รร.อุตรดิตถ์ดรุณี ทั้งนี้ เมื่อรวมกับรุ่นนำร่องจะมีโรงเรียนนิติบุคคล ทั้งหมด 114 แห่งทั่วประเทศ.

–เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 19 เม.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32459&Key=hotnews

คอลัมน์: ข้าราษฎร: ผู้บริหารการศึกษา ต้อง ป.โท (4)

19 เมษายน 2556

สายสะพาย  ว่าเรื่องการแก้ไขปรับปรุงข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วย มาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณวิชาชีพ ฉบับเดิม (พ.ศ.2548 และ 2554) เพื่อออกเป็นฉบับใหม่ ต่อจาก เมื่อวาน

ผู้ประกอบวิชาชีพศึกษานิเทศก์ ต้องมีคุณวุฒิไม่ต่ำกว่าปริญญาโททางการนิเทศการศึกษา (ข้อบังคับเดิมที่ใช้อยู่ขณะนี้ ไม่ต่ำกว่าปริญญาโททางการศึกษา) หรือเทียบเท่า หรือมีคุณวุฒิอื่นที่คุรุสภารับรอง โดยมีมาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ ดังต่อไปนี้

มาตรฐานความรู้ ประกอบด้วยบูรณาการของความรู้และสมรรถนะไม่น้อยกว่า หัวข้อต่อไปนี้
1.การพัฒนาวิชาชีพ 
2.การนิเทศการศึกษา 
3.แผนและกิจกรรมการนิเทศ 
4.การพัฒนาหลักสูตรและการจัดการเรียนรู้
5.การวิจัยทางการศึกษา
6.นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา
7.การบริหารและการประกันคุณภาพการศึกษา
8.คุณธรรม จริยธรรมและจรรยาบรรณ

มาตรฐานประสบการณ์วิชาชีพ ดังต่อไปนี้
1.  มีประสบการณ์ด้านการปฏิบัติการสอนมาแล้วไม่น้อย กว่าห้าปี (ข้อบังคับเดิม สิบปี) หรือมีประสบการณ์ด้านปฏิบัติการสอนและมีประสบการณ์ในตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา หรือผู้บริหารการศึกษารวมกันมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี (ข้อบังคับเดิม สิบปี)
2.  มีผลงานทางวิชาการที่มีคุณภาพและมีการเผยแพร่วิชาเอก สาระความรู้และสมรรถนะตามมาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพของศึกษานิเทศก์ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการคุรุสภากำหนด

วิชาเอก สาระความรู้และสมรรถนะดังกล่าว ข้อบังคับฉบับที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เขียนไว้ในหมวด 2 กล่าวถึงสมรรถนะและมาตรฐานความรู้ของผู้เป็นศึกษานิเทศก์ไว้หลายด้าน อาทิ ด้านนโยบายและการวางแผนการศึกษา ด้านการพัฒนาหลักสูตรและการสอน ด้านการประกันคุณภาพการศึกษา การบริหารจัดการการศึกษา ด้านการวิจัยทางการศึกษา การบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ มีรายละเอียดมากมาย รวมถึงคุณธรรมและจริยธรรมสำหรับศึกษานิเทศก์ คณะกรรมการคุรุสภาชุดใหม่ คงประมวลออกมาเป็นฉบับใหม่ ต้องติดตามกันต่อไป

โดยเฉพาะ ข้อบังคับว่าด้วยจรรยาบรรณวิชาชีพ ร่างฉบับใหม่ เขียนไว้อย่างไร ตอนหน้าค่อยว่ากัน

–มติชน ฉบับวันที่ 19 เม.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32458&Key=hotnews

ผู้ผลิตชุดนักเรียนยื่นพาณิชย์ขอขึ้นราคาขาย

19 เมษายน 2556

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

กรมการค้าภายในเผยผู้ผลิตชุดนักเรียน ยื่นหนังสือปรับขึ้นราคาขาย หลังแบกรับต้นทุนจากค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทไม่ไหว เตรียมเรียกชี้แจงต้นทุนเร็วๆนี้ ประเมินราคาสินค้าทรงตัวหลังวัตถุดิบราคาทรงตัว

น.ส.วิบูลลักษณ์ ร่วมรักษ์ อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ขณะนี้ ผู้ผลิตชุดนักเรียน 1 ราย ได้ยื่นเรื่องขอปรับราคาขายชุดนักเรียนเข้ามายังกรมฯแล้ว โดยอ้างเหตุผลว่าได้รับกระทบจากนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาททั่วประเทศของรัฐบาล จนส่งผลให้ต้นทุนการผลิตปรับสูงขึ้น เพราะชุดนักเรียนใช้แรงงานผลิตจำนวนมาก อีกทั้งได้ตรึงราคามาหลายปีนี้แล้ว จึงจำเป็นต้องปรับขึ้นราคาบ้าง อย่างไรก็ตาม คงต้องพิจารณาก่อนว่ามีเหตุผลสมควรให้ปรับขึ้นราคาหรือไม่ และหากจะให้ปรับขึ้น จะให้ปรับขึ้นในอัตราเท่าไรจึงจะเหมาะสม

“ยอมรับว่าการปรับขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำ มีผลต่อต้นทุนการผลิตสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม รวมถึงชุดนักเรียนด้วย สัปดาห์หน้าจะเชิญผู้ประกอบการที่ได้ยื่นหนังสือขอปรับขึ้นราคามาชี้แจงรายละเอียด และเหตุผลการขอปรับขึ้นราคา แต่ถ้าจะให้ปรับขึ้นก็คงมากนัก และไม่น่าจะกระทบกับผู้ปกครองมามากนัก เพราะกระทรวงศึกษาธิการมีระบบการจัดซื้อในราคาที่สมเหตุสมผล และไม่เป็นภาระแก่ผู้ปกครองอยู่แล้ว ส่วนสินค้าสินค้าชนิดอื่น ยังไม่มีการยื่นเรื่องขอปรับราคาเข้ามา เพราะส่วนใหญ่ยังมีการแข่งขันด้านราคากันอยู่” น.ส.วิบูลลักษณ์ กล่าว

รายงานข่าวแจ้งว่า จากการสอบถามร้านจำหน่ายชุดนักเรียน ระบุว่า ขณะนี้การซื้อขายชุดนักเรียนและอุปกรณ์การเรียน ยังน้อย เพราะยังอยู่ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ คาดว่ากำลังซื้อจะกลับมาช่วงต้นเดือน พ.ค. หรือก่อนการเปิดภาคเรียน 1 สัปดาห์ แต่ยอมรับว่า การแข่งขันของชุดนักเรียนยังมีสูง และการจัดรายการส่งเสริมการขายของห้างค้าปลีกที่เน้นเรื่องราคา ทำให้ชุดนักเรียนยังมีการปรับราคาไม่ได้มากนัก โดยเฉลี่ยคาดว่า การปรับขึ้นราคาไม่น่าเกิน 3-5% ขึ้นอยู่กับขนาด และคุณภาพสินค้า

โดยขณะนี้ราคาขายปลีกเสื้อนักเรียนหญิง (คอบัว/ฮาวาย) ตัวละ 140-253 บาท เสื้อเชิ้ต (ชาย) ตัวละ 145-342 บาท กระโปรงนักเรียน ตัวละ 160-457 บาท กางเกงนักเรียนชาย ตัวละ 150-580 บาท เสื้อลูกเสือ-เนตรนารี ตัวละ 230-495 บาท กระโปรงเนตรนารี ตัวละ 201-457 บาท เป็นต้น

ก่อนหน้านี้กระทรวงพาณิชย์ได้อนุมัติให้มีการ ปรับขึ้นราคาอาหารสัตว์ไปแล้วช่วงปลายปี 2555 หลังพบว่าต้นทุนผลิตอาหารสัตว์ปรับเพิ่มขึ้นจริง ซึ่งราคาที่อนุมัติให้ปรับขึ้นนั้นเฉลี่ยอยู่ที่ 3-10%

สินค้าในกลุ่มนม ที่มีแนวโน้มต้นทุนการผลิต สูงขึ้นนั้น ยังไม่มีการปรับราคาเกินเพดานราคาที่กำหนด ซึ่งส่วนใหญ่ที่มีการปรับราคาจะเป็นการยกเลิกส่งเสริมการขาย หรือส่วนลดด้านการตลาด

กระทรวงพาณิชย์ได้รายงานแนวโน้มราคาสินค้า ในปี 2556 ให้ ครม.รับทราบ โดยระบุว่าสินค้าส่วนใหญ่มีราคาทรงตัว อยู่ในระดับเดียวกับปี 2555 เนื่อง จากวัตถุดิบหลัก ในการผลิตราคายังคงทรงตัว

ส่วนปัจจัยกระทบได้คำนวณไว้แล้ว ได้แก่ น้ำมันดิบดูไบ คาดว่าจะอยู่ที่ 100 – 120 ดอลลาร์/บาร์เรล (ปี 2555 อยู่ที่ 88.98 – 124.09 ดอลลาร์/บาร์เรล) และอัตราแลกเปลี่ยน คาดว่าจะอยู่ที่ 28.50 – 32.50 บาท/ดอลลาร์ (ปี 2555 อยู่ที่ 30.38 – 32.05 บาท/ดอลลาร์) ทั้งนี้รัฐบาลยังคงมีมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนในด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่อง

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32457&Key=hotnews