ศธ.เร่งเดินหน้าโครงการลดปัญหาอ่านไม่ออก ตั้งเป้าปี 57 เหลือ 0%

23 สิงหาคม 2556

ศธ.ทำโครงการใหญ่เร่งด่วน ลดปัญหาอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ในป.3 ,ป. 6 ตั้งเป้าสิ้นปีการศึกษา 56 ปัญหาเด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้เหลือ 0% “จาตุรนต์” เผยตั้งความหวังต้องเห็นผลทันที พร้อมมอบ สพฐ.ทำเครื่องมือสแกนเด็กเข้ารับการแก้ไข ชี้อาจต้องปรับรูปแบบการเรียนการสอนด้วย

วานนี้ (22 ส.ค.) นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษา (ศธ.) แถลงข่าวพร้อมด้วย นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) นางเบญจลักษณ์ น้ำฟ้า รองเลขาธิการ กพฐ. ว่า ศธ.เตรียมทำโครงการแก้ไขปัญหาการอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ของเด็ก เนื่องจากขณะนี้ผลการอ่านและเขียนได้ของเด็กไทยยังไม่น่าพอใจ และการที่เด็กอ่านไม่ออกหรืออ่านไม่คล่องก็ยังส่งผลกระทบถึงการเรียนรู้วิชาอื่น ๆ ด้วย เพราะฉะนั้น ศธ.จึงเตรียมทำโครงการเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ให้เป็นโครงการใหญ่และเร่งด่วน ซึ่งเป้าหมายไม่ใช่เพียงการแก้ไขปัญหาอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ หรือบางคนอ่านไม่เข้าใจอ่านไม่รู้เรื่อง ได้รับการพัฒนาและยกระดับไปสู่อ่านรู้เรื่อง สื่อสารได้ด้วยสำหรับโครงการดังกล่าวจะมีการแถลงข่าวเปิดตัวอย่างเป็นทางการในต้นเดือนกันยายนนี้ แต่ระหว่างนี้ได้มอบให้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ไปทำรายละเอียดโครงการและเตรียมความพร้อมไว้ อย่างไรก็ตามเบื้องต้นโครงการนี้ทำขึ้นเพื่อช่วยพัฒนานักเรียนประถมศึกษาทุกคนให้สามารถอ่านออกเขียนได้ แต่เนื่องจากการแก้ไขปัญหาอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้นั้นเป็นงานที่ค่อนข้างใหญ่ ไม่สามารถดำเนินการพร้อมกันทุกชั้นปี เพราะฉะนั้น ในปีการศึกษา 2556 จะมุ่งพัฒนานักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 3 และ 6 ก่อนเพื่อลดปัญหาการอ่านออกเขียนไม่ได้น้อยลง และตั้งเป้าให้การประเมินผลในปลายภาคเรียนปีการศึกษา 2556 ผลการอ่านออกเขียนไม่ได้ของป.3 และ 6 จะเหลือเหลือ 0%

“จะเริ่มสแกนนักเรียนชั้นป.3 และ 6 สังกัด สพฐ.ทั่วประเทศทุกคนเพื่อให้รู้ถึงระดับทักษะภาษาของนักเรียนแต่ละคน ซึ่งวิธีการสแกนนั้น สพฐ.จะไปเร่งพัฒนาเครื่องมือซึ่งจะเป็นแบบทดสอบเฉพาะในการคัดกรองได้อย่างเป็นระบบ ขณะเดียวกัน อาจจะต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการเรียนการสอนหรือสอนซ่อมเสริมพิเศษ เช่น สอนพิเศษนอกเวลาเรียน หรือจัดให้นักเรียนที่อ่อนภาษาไทยมาเรียนรวมกันเป็นห้องพิเศษเพื่อให้ครูสามารถเติมเต็มได้อย่างเต็มที่ รวมทั้งต้องปรับน้ำหนักการเรียนการสอนกันใหม่ถ้าเด็กอ่อนภาษาไทยมาก ๆ การเน้นน้ำหนักทุกวิชาเท่ากันอาจจะไม่เหมาะสม ควรจะให้น้ำหนักวิชาภาษาไทยมากกว่าวิชาอื่น แต่ทั้งหมดนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปต้องรอให้ สพฐ.ไปคิดรายละเอียดของโครงการมาแถลงอย่างชัดเจนในต้นเดือนกันยายน อย่างไรก็ตาม สำหรับนักเรียนชั้น ป.1, 2 ,4 และ 5 นั้นจะให้คัดกรองเฉพาะนักเรียนที่มีปัญหาหนักมากจริง ๆ มาร่วมโครงการ เพราะไม่สามารถทำโครงการพร้อมกันทุกชั้นได้แต่ถ้าจะปล่อยเด็กกลุ่มนี้ไว้ก็ห่วงว่าจะส่งผลให้เกิดปัญหาต่อการเรียนอย่างมาก” นายจาตุรนต์ กล่าว

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวหวังให้เห็นผลทันทีปีการศึกษานี้และจะถอดบทเรียนมาใช้ทำแผนเพื่อแก้ปัญหาระยะยาวต่อไปนายชินภัทร กล่าวว่า ขณะนี้กำลังพัฒนาเครื่องมือที่จะนำไปใช้สแกนได้อยู่ คาดว่าจะแล้วเสร็จก่อนสิ้นเดือนสิงหาคมนี้ จากนั้นจะนำเครื่องมือที่พัฒนาขึ้นพร้อมคู่มือจัดส่งไปให้เขตพื้นที่การศึกษา เพื่อจะได้นำไปใช้ประเมินในช่วงวันที่ 9-20 กันยายนนี้ จากนั้นจะได้คัดเลือกเด็กที่มีปัญหามาเข้ารับการอบรมในช่วงปิดภาคเรียน

Source – ASTV ผู้จัดการออนไลน์ (Th)

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33831&Key=hotnews

เพิ่มผลการทดสอบ PISA ของไทย ให้อยู่ในอันดับที่ดีขึ้นได้อย่างไร โดย สุรชัย เทียนขาว

23 สิงหาคม 2556

เป้าหมายที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ได้กำหนดไว้เรื่องหนึ่งสำหรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน คือภายในปี 2558 จะต้องให้ผลการจัดอันดับการศึกษาไทย โดยผลการทดสอบ PISA ของไทยให้อยู่ในอันดับที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นการยกระดับคุณภาพการศึกษาไทยสู่ระดับโลก ในการที่จะทำให้ผลการสอบ PISA สูงขึ้น ภายในปี 2558 (2015) ซึ่งเป็นปีที่ตรงกับการประเมินผลระยะที่ 3 (PISA 2006 และ PISA 2015) หน่วยงานและบุคคลที่เกี่ยวข้องจะต้องเตรียมการและดำเนินการตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

โครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ (PISA) เป็นโครงการประเมินผลการศึกษาของประเทศสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือและพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) มีจุดประสงค์เพื่อสำรวจว่าระบบการศึกษาของประเทศได้เตรียมเยาวชนของชาติให้พร้อมสำหรับการใช้ชีวิตและการมีส่วนร่วมในสังคมในอนาคตเพียงพอหรือไม่ เป็นการประเมินสมรรถนะของนักเรียนวัย 15 ปี ที่จะใช้ความรู้และทักษะเพื่อเผชิญกับโลกในชีวิตจริง มากกว่าการเรียนรู้ตามหลักสูตรในโรงเรียน ในด้านการรู้เรื่องการอ่าน (Reading Literacy) การรู้เรื่องคณิตศาสตร์ (Mathematical Literacy) และการรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ (Scientific Literacy) โดยแบ่งการประเมินออกเป็น 2 รอบ ได้แก่ รอบที่ 1 (Phase l: PISA 2000 PISA 2003 และ PISA 2006) และรอบที่ 2 (Phase ll: PISA 2009 PISA 2012 และ PISA 2015)
ในการดำเนินการผลการทดสอบ PISA ของไทย ให้ดีขึ้นจากผลการสอบครั้งก่อนๆ นั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการมีความกระตือรือร้นสูงมาก ในการขับเคลื่อน/ผลักดันให้บรรลุเป้าหมาย โดยให้มีคณะกรรมการ/คณะทำงานขับเคลื่อนในระดับกระทรวง (Macro level) การดำเนินงานตามแนวทางนี้จะทำให้เกิดความมั่นใจได้ว่าการเพิ่มคะแนนการสอบ PISA ของไทยในรอบใหม่มีความเป็นไปได้
อย่างไรก็ตาม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั้งประถมศึกษาและมัธยมศึกษาทั้งประเทศ และสถานศึกษาในภาครัฐและเอกชน ซึ่งเป็นสถานที่ที่เกิดการเรียนรู้ของผู้เรียนเกือบทั้งหมด ก็ควรที่จะต้องตระหนักและหาหนทางในการกำหนดมาตรการแนวปฏิบัติเพื่อยกระดับผลการสอบ PISA ของตนเอง (SBM) สำหรับแนวทางที่จะช่วยให้หน่วยงานระดับเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษา (Micro level) กำหนดมาตรการเพื่อรองรับ นอกจากการปรับระบบการเรียนการสอน การวัดผลประเมินผล โดยเฉพาะเครื่องมือวัดผล กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน (กิจกรรมวิชาการ, ชุมนุม, ชมรม) ให้เข้มข้นขึ้นแล้วก็ควรมีการศึกษางานวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมาใช้ในการพัฒนา / ปรับปรุง

ในที่นี้จะขอนำเสนอให้มีการศึกษารายงานผลการศึกษาของโครงการ PISA ประเทศไทย สถาบันส่งเสริมการสอนวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2544) เรื่อง ปัจจัยที่ทำให้ระบบโรงเรียนประสบความสำเร็จเป็นรายงานการศึกษาที่วิเคราะห์ผลกระทบจากตัวแปรด้านโรงเรียนที่ส่งผลต่อคุณภาพการศึกษาของนักเรียน โดยศึกษาข้อมูลจากโครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ PISA 2009
โดยชี้ให้เห็นว่าลักษณะของระบบโรงเรียนที่ประสบผลสำเร็จ และลักษณะที่ระบบของไทยเป็นอยู่ ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการจัดทำแผนขับเคลื่อน และปรับปรุงระบบโรงเรียนที่เป็นอยู่
สำหรับระบบโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จในรายงานฉบับนี้ หมายถึง โรงเรียนที่นักเรียนมีผลการประเมินการอ่านสูงกว่าค่าเฉลี่ย OECD (493 คะแนน) ภูมิหลังทางเศรษฐกิจสังคมของนักเรียนส่งผลกระทบต่อคะแนนการอ่านต่ำกว่าประเทศ OECD และความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐกิจสังคม และผลการประเมินมีค่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยข้อมูลชุดนี้น่าจะนำไปใช้ประโยชน์การจัดทำแผนการขับเคลื่อนได้มากและตรงประเด็น ลักษณะของระบบโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จ และลักษณะที่ระบบของไทยเป็นอยู่ มีดังนี้

1.ระบบโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จ สามารถจัดให้นักเรียนมีโอกาสทางการเรียนเท่าเทียมกัน ไม่ว่านักเรียนจะมีภูมิหลังทางเศรษฐกิจ-สังคม อย่างไร
โรงเรียนไทยมีการแบ่งกลุ่มตามภูมิหลังทางสังคมและวัฒนธรรมปรากฏชัดเจน ค่าดัชนีเฉลี่ยของสถานะทางสังคมและวัฒนธรรมของโรงเรียนกลุ่มสูงและกลุ่มต่ำแตกต่างกันถึงเกือบสองหน่วยดัชนี (ความแตกต่างเฉลี่ย 1.76) ซึ่งประเทศสมาชิก OECD ไม่มีประเทศมีความแตกต่างสูงขนาดนี้
2.ระบบโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ให้อำนาจอิสระแก่โรงเรียนในด้านการกำหนดการเรียนการสอนและออกแบบการประเมินผลได้เอง แต่ไม่จำเป็นต้องให้โรงเรียนแข่งขันกันรับนักเรียน
ประเทศไทยมีบรรยากาศของการแข่งขันกันรับนักเรียนสูงมาก การที่โรงเรียนต้องสอบคัดเลือกนักเรียนและสอบในวันเดียวกัน หรือรับมอบตัววันเดียวกันกับวันสอบของโรงเรียนอื่นเป็นการแข่งขันที่สูงที่สุด เพราะต่างโรงเรียนต่างแย่งนักเรียนกัน ตัดโอกาสไม่ให้นักเรียนและพ่อแม่มีทางเลือกโรงเรียนที่หลากหลาย
3.ในประเทศสมาชิก OECD ส่วนใหญ่โรงเรียนเอกชนมีผลการประเมินสูงกว่าโรงเรียนของรัฐ แต่
หลังจากอธิบายด้วยเหตุผลทางภูมิหลังทางเศรษฐกิจ-สังคมและประชากรศาสตร์ของโรงเรียนและนักเรียนแล้ว ในประเทศสมาชิก OECD นักเรียนโรงเรียนของรัฐมีผลการประเมินสูงกว่าโรงเรียนเอกชน ส่วนประเทศไทยโรงเรียนของรัฐสูงกว่าเอกชนทั้งก่อนและหลังอธิบายด้วยตัวแปรทางภูมิหลังทางเศรษฐกิจและสังคม
ประเทศไทย พ่อแม่ส่วนใหญ่นิยมเลือกโรงเรียนของรัฐ และผลการประเมินนักเรียนในโรงเรียนของรัฐสูงกว่าโรงเรียนเอกชนอยู่แล้ว และเมื่ออธิบายด้วยตัวแปรทางเศรษฐกิจและสังคมแล้ว โรงเรียนของรัฐยิ่งสูงขึ้นอีก
4.พ่อแม่ต้องการเลือกโรงเรียนที่มีคุณภาพทางวิชาการมากกว่าความช่วยเหลือทางการเงิน
สำหรับการปฏิบัติในประเทศไทย ขณะนี้ให้ลำดับความสำคัญกับมาตรการการช่วยเหลือทางการเงินเป็นอันดับแรก แต่มาตรการการยกระดับคุณภาพการศึกษายังไม่ถูกจัดลำดับความสำคัญ
5.ระบบโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จมีการกระจายทรัพยากรอย่างเป็นธรรม มีค่าใช้จ่ายทางการศึกษาที่สูงและการใช้จ่ายมักให้ลำดับความสำคัญกับเงินเดือนครูมากกว่าทำชั้นเรียนขนาดเล็ก
ประเทศไทยครูมีเงินเดือนไม่สูงแต่ชั้นเรียนมีขนาดใหญ่ และข้อมูลชี้ว่าโรงเรียนที่มีผลทางวิชาการสูง มีครูและทรัพยากรที่ดีกว่า และเป็นโรงเรียนที่มีนักเรียนได้เปรียบทางสถานะเศรษฐกิจและสังคม ส่วนโรงเรียนที่ด้อยเปรียบหรือโรงเรียนยากจน มีดัชนีสถานะเศรษฐกิจและสังคม และดัชนีทรัพยากรต่ำกว่าทั้งสองอย่าง ครูดีๆ มีคุณภาพมีอยู่เฉพาะในโรงเรียนดีๆ ที่มีผลทางวิชาการสูง ส่วนครูในโรงเรียนยากจน นอกจากไม่ใช่ครูคุณภาพสูงแล้วยังต้องแบกภาระงานนอกเหนือจากการสอนอีก เพราะทรัพยากรบุคคลมีจำกัด จึงเกิดความแตกต่างจากโรงเรียนเศรษฐกิจดีในช่องว่างที่กว้างมาก ซึ่งเป็นตัวชี้บอกถึงความไม่เสมอภาคในการกระจายทรัพยากร
6.โดยทั่วไปโรงเรียนที่มีบรรยากาศทางระเบียบวินัยดี นักเรียนและครูมีพฤติกรรมทางบวกและมีความสัมพันธ์อันดีระหว่างนักเรียนกับครู มีแนวโน้มที่มีคะแนนการอ่านสูง
แม้ว่าโดยทั่วไปในประเทศส่วนใหญ่จะมีแนวโน้มเป็นเช่นนั้น แต่สำหรับประเทศไทย แม้ว่านักเรียนจะรายงานถึงระเบียบวินัยที่ดี และอยู่ในอันดับต้นๆ ของตาราง แต่กลับไม่มีความสัมพันธ์กับคะแนน หรือมีความสัมพันธ์แบบกลับกัน
ส่วนการปรับระบบโรงเรียนของไทย คณะผู้ศึกษาและจัดทำรายงานฉบับดังกล่าว มีข้อเสนอและชี้แนะ ดังต่อไปนี้

1) ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพการเรียนรู้ เนื่องจากความผิดพลาดของระบบที่ผ่านมาคือ การส่งเสริมทรัพยากรที่ไม่เสริมการเรียนรู้ ตัวแปรที่ส่งผลกระทบทางลบ เช่น การปล่อยให้ครูที่ขาดแคลนเกษียณอายุก่อนเวลา และการเก็บอัตราครูเกษียณทำให้ขาดแคลนครูมากยิ่งขึ้น การเรียนกวดวิชานอกโรงเรียนตลอดจนการสนับสนุนการใช้ ICT ตามกระแสการพาณิชย์
2) การทำให้นักเรียนจำนวนมากที่สุดอยู่ในมือครูคุณภาพสูง โดยเฉพาะนักเรียนกลุ่มอ่อนจำเป็นที่ต้องการความช่วยเหลือจากครูดี การยกระดับให้ครูส่วนใหญ่ของประเทศเป็นครูคุณภาพสูงจึงเป็นเรื่องจำเป็นต้องทำอย่างรีบด่วน
3) มุ่งเน้นให้นักเรียนกลุ่มด้อยเปรียบทางสถานะทางวัฒนธรรม สังคม และเศรษฐกิจ ทั้งโรงเรียนที่ด้อยเปรียบ และนักเรียนที่ด้อยเปรียบในโรงเรียน ให้ได้รับการส่งเสริมสนับสนุนอย่างเพียงพอ การปฏิบัติที่ผ่านมาที่รัฐจัดหาทรัพยากรให้นักเรียนเท่ากันทุกคนไม่ใช่คำตอบ แต่กลับขยายการปฏิบัติที่ผ่านมาเป็นการขยายช่องว่างระหว่างกลุ่มที่มีสถานะต่างกันให้กว้างขึ้นอีก
4) มุ่งสร้างความเข้มแข็งทางการศึกษา สร้างนักเรียนที่มีความรู้และทักษะถึงระดับ 5 และสูงกว่าให้มีสัดส่วนมากขึ้น (ระดับการรู้เรื่องในการประเมินผล PISA มีระดับ 1 ถึงระดับ 6)
5) เวลาเรียนและวิชาเรียน นักเรียนไทยมีวิชาเรียนมากกว่านักเรียนวัยเดียวกันในประเทศอื่นๆ นักเรียนจึงมีเวลาเรียนแต่ละวิชาต่ำ แต่เรียนหลายวิชาต่อสัปดาห์ จึงควรมีการทบทวนการใช้เวลาเรียนและวิชาเรียน ส่วนการกวดวิชานั้นไม่ควรได้รับการส่งเสริม
6) ประเด็นการใช้คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตในการเรียนการสอน เป็นนโยบายที่ต้องมีความระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะนอกจากยังไม่มีรายงานว่าการใช้คอมพิวเตอร์ของนักเรียนส่งผลทางบวกต่อการเรียนรู้ ยังปรากฏข้อมูลที่เป็นเชิงลบ
7) เปลี่ยนวิธีการสอนและประเมินผลให้สะท้อนเป้าหมายของการเรียนการสอนและหลักสูตรเพื่อยกระดับมาตรฐานการเรียนรู้ การเรียนการสอนต้องมีความพยายามให้นักเรียนให้รู้เรื่อง (Literacy) นักเรียนต้องเรียนและสอบได้จริงๆ จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนวิธีการวัดและตัดสินผลการสอบได้และต้องพยายามเปลี่ยนแปลงประมวลการสอบคัดเลือกเข้าศึกษาในระดับสูงกว่า
8) เร่งรัดการปรับปรุงระเบียบวิจัยของนักเรียนความปลอดภัยในบรรยากาศทางการเรียนในด้านการปฏิบัติของครูเชิงพฤติกรรมที่นอกเหนือจากงานสอนปกติในห้องเรียน
ข้อมูลที่นำเสนอดังกล่าวข้างต้น เป็นสารสนเทศที่ได้จากการวิเคราะห์เชิงวิชาการจากหลักฐานที่เชื่อถือได้ (Evidence base) ควรอย่างยิ่งที่ผู้เกี่ยวข้องกับระบบการศึกษาของไทยระดับนโยบาย (Macro level) ได้แก่ กระทรวงศึกษาธิการ กรมกองในสังกัด และระดับปฏิบัติการและหน่วยงานกำกับติดตาม (Micro level) ได้แก่สถาบันอุดมศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั้งประถมศึกษาและมัธยมศึกษา และสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของรัฐและเอกชน นำข้อมูลดังกล่าวนี้เป็นทางเลือกหนึ่งสู่การปฏิบัติในส่วนที่ตนเองเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นการประกาศนโยบายออกกฎกระทรวง ออกระเบียบการปรับปรุงหลักสูตรการเรียน การสอน การพัฒนาครู การจัดสรรงบประมาณ ฯลฯ ทุกภาคส่วนควรนำการบริหารจัดการที่เน้นผลวิจัย/ประเมิน (Research based management) มาพัฒนาการศึกษาให้มากขึ้นเพื่อหนีความอลเวง ในการใช้ความคิดส่วนตนในลักษณะของอัศวินม้าขาว
ขอชื่นชม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ที่กล่าวไว้ว่า ท่านไม่ใช่อัศวินม้าขาว ดังนั้น การยกระดับคุณภาพของผู้เรียนตามเป้าหมายที่กระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดดังที่กล่าวข้างต้น คือการทำให้ผลการทดสอบ PISA ของไทยดีขึ้นนั้น ควรมีการเสวนาวิชาการในวงกว้างเกี่ยวกับแนวทางการยกระดับการเรียนรู้ของผู้เรียนสู่นานาชาติ เพื่อให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเห็นความสำคัญและกระตือรือร้นที่จะเสาะแสวงหาองค์ความรู้ ในการกำหนดมาตรการทั้งระดับมหภาคและจุลภาค หน่วยงานหรือองค์กรนอกสังกัดกระทรวงศึกษาธิการที่มีศักยภาพและดำเนินการให้สังคมเกิดความรู้ที่ควรเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมส่งเสริมความรู้ เช่น สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพของเยาวชน (สสค.) ในการผลักดันให้ผู้เรียนมีผลการทดสอบ PISA ของไทยให้สูงขึ้น และได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้น ควรจะเป็นความรับผิดชอบของทุกภาคส่วน ไม่เพียงเฉพาะกระทรวงศึกษาธิการ สพฐ. สกศ. สสวท. เท่านั้น สถานศึกษาทุกแห่ง เขตพื้นที่การศึกษาทุกเขตพื้นที่ พ่อแม่

ที่สำคัญยิ่งคือ ตัวผู้เรียนเอง จะต้องมีความตระหนักปรับตัว และให้ความร่วมมือเพื่อสร้างประเทศไทยให้มีความเจริญก้าวหน้าทัดเทียมกลุ่มประเทศชั้นนำของโลก โรงเรียน ผู้บริหารโรงเรียน ครู นักเรียน และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานจะต้องมีความรับผิดชอบในการเพิ่มผลการสอน PISA ให้สูงขึ้น

(ที่มา:มติชนรายวัน 22 สิงหาคม 2556)

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33830&Key=hotnews

ผบ.ทบ. เล็งแก้ พ.ร.บ. นศท.บรรจุนักเรียน รด.เข้าเป็นนายทหาร

23 สิงหาคม 2556

(22 ส.ค.56) ที่สโมสรกองทัพบก ถ.วิภาวดีรังสิต หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน (นรด.) ได้จัดพิธีประดับเครื่องหมายยศร้อยตรี ให้กับนักศึกษาวิชาทหารที่สำเร็จการฝึกวิชาทหาร ชั้นปีที่ 5 ประจำปี 2556 จำนวน 1,753 คน แบ่งเป็นชาย 806 คน และหญิง 947 คน โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เป็นประธานในพิธี นอกจากนี้ ยังมีคณะนายทหารของกองทัพบก เข้าร่วมพิธีจำนวนมาก

โดย พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ว่า ได้ฝากผู้ที่สำเร็จวิชานักศึกษาวิชาการทหาร 3 ประการ คือ 1.ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน 2.ความจงรักภักดีต่อสถาบัน และ 3.ขอให้ทุกคนกลับไปกราบพ่อแม่ เพื่อให้พ่อแม่เกิดความภาคภูมิใจ สำหรับการประดับเครื่องหมายยศ 5 ปี ถือว่าเป็นเกียรติสูงสุดสำหรับนักเรียนผู้ชายและผู้หญิง ซึ่งผู้ที่จบการศึกษา ถือเป็นกำลังสำรองที่มีคุณภาพ เพราะได้ผ่านการฝึกในระยะเวลา 5 ปี

ทั้งนี้ มี่ผ่านมาได้หารือกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ในการแก้ไข พ.ร.บ.นักศึกษาวิชาทหาร ที่ไม่ได้ระบุว่านักศึกษาวิชาทหารจะสามารถทำหน้าที่ได้ยามศึกสงคราม หรือในยามที่เกิดวิกฤตการณ์ใดๆ เหมือนกับกรณีที่จะต้องไปช่วยเหลือประชาชนยามเกิดภัยพิษัติ หากเกิดอุบัติเหตุจะมีปัญหาตามมา โดยได้หารือกับ พล.ท.วิชิต ศรีประเสริฐ ผบ.นรด.แล้ว และได้ติดตามเรื่องนี้มาตลอด และได้พิจารณาว่าจะทำอย่างไรให้กฎหมายมีความทันสมัยในการใช้กำลังสำรองเหล่านี้ และบรรจุคนเหล่านี้เข้ารับราชการในกองทัพได้ ซึ่งไม่ได้ใช้ภารกิจการรบ อีกทั้งปัญหาขณะนี้คือ สัดส่วนของนายสิบและพลทหารมียอดเต็มประมาณ 4 แสนคน ซึ่งกองทัพบกสามารถบรรจุได้ 2.6 แสนคน โดยขาดอัตราพลทหารและรายสิบประมาณ 30 เปอร์เซนต์ โดยจะต้องฝึกผู้ที่จบนักศึกษาวิชาทหารให้ได้ครบตามที่เราต้องการใช้ในภารกิจที่ยังขาดอยู่ ทั้งนี้ จะต้องใช้งบประมาณดำเนินการจำนวนหนึ่ง

“ถ้าเป็นไปได้ เราก็จะการแก้ไข พ.ร.บ.ดังกล่าว เพื่อให้คนเหล่านี้มาบรรจุ โดยใช้วิธีการเซ็นต์สัญญาเป็นห้วงระยะเวลา พร้อมทั้งกำหนดรายละเอียดว่าจะไม่ใช้กำลังตรงนี้ในการรบ แต่จะใช้งานด้านการส่งกำลังบำรุง เจ้าหน้าที่ธุรการ และงานด้านเอกสาร โดยไม่จำเป็นต้องใช้คนจาก โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ซึ่งนายกฯ เห็นด้วย ขณะนี้อยู่ระหว่างการดูความคืบหน้า ถ้าทำได้ กำลังสำรองจะช่วยงานด้านจิตอาสา เมื่อเกิดปัญหาเราจะได้ดูแลเขาได้” ผบ.ทบ.กล่าว

ที่มา: http://www.naewna.com

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33829&Key=hotnews

พลเมืองอาเซียนกับภาคการศึกษา

23 สิงหาคม 2556

จากการที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมของทุกภาคส่วนต่างๆ ทั้งภาครัฐ และเอกชน เพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (เออีซี) ซึ่งหลายภาคส่วนทั้งหน่วยงานรัฐ และเอกชนให้ความสำคัญ ซึ่งหากคิดเป็นเปอร์เซ็น ประเทศไทยมีความพร้อมอยู่ที่ระดับ 70 % และเชื่อว่าจะมีความพร้อมมากขึ้นเมื่อเปิดเออีซีในปี 2558

ในเวทีสัมมนา “ AEC and SMEs Challenge: Next Step ซึ่งจัดโดย สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กระทรวงอุตสาหกรรม และสภาหอการค้าไทย เมื่อเร็วๆ นี้นับว่าเป็นเวทีหนึ่งที่ได้รับความสนใจจากทุกภาคส่วนเข้ารับฟังข้อมูล ในหัวข้อต่างๆ อาทิ การอยู่ร่วมกันภายใต้ความแตกต่างในหภูมิภาคอาเซียน ทางด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคง สังคม และวัฒนธรรม , ความท้าทายของเสาหลักสามเสาในประชาคมอาเซียน,ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียนส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจหรือไม่อย่างไร , พลเมืองอาเซียนกับการอยู่ร่วมกัน อย่างคับคั่ง โดยงานสัมมนามีเป้าหมายเพื่อให้ทุกภาคส่วนเตรียมความพร้อม พร้อมส่งเสริมให้สมาชิก 10 ประเทศในอาเซียนอยู่ร่วมกันภายใต้ความแตกต่างทั้งด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคง สังคมและวัฒนธรรม ซึ่งเวทีอภิปรายในหัวข้อ “พลเมืองอาเซียนกับการศึกษา” ชี้ให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของรัฐบาล ในการสนับสนุนภาคการศึกษา ส่งเสริมพัฒนาหลักสูตรอาเซียน เพื่อให้เป็นหลักสูตรนำร่อง สอนทั้งในระดับอนุบาล ประถมศึกษา และระดับมัธยม แต่เป็นนโยบายมุ่งไปที่โรงเรียนในสังกัดของรัฐบาล ซึ่งการสนับสนุนมาไม่ถึงโรงเรียนเอกาชน อย่างไรก็ตามนโยบายหลักสูตรอาเซียนนับเป็นการวางรากฐาน และสร้างความตระหนักให้กับนักเรียนทุกระดับชั้นปี

อาจารย์จินดา ตันตราจิณ ประธานกลุ่มเครือข่ายผู้บริหาร สถานศึกษาเอกชน กรุงเทพมหานคร และผู้อำนวยการโรงเรียนจินดาพงศ์ กล่าวในเวทีอภิปรายในหัวข้อ “พลเมืองอาเซียนกับการศึกษา”ว่า ปีนี้ภาคการศึกษามีการตื่นตัวเรื่องประชาคมอาเซียนค่อนข้างมาก แต่ก็ยังต้องบริหารจัดการอีกหลายด้าน เพราะยังไม่พร้อมเท่าที่ควร เนื่องจากแต่ละโรงเรียนเตรียมพร้อมกันจริงๆ เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา หรือในช่วงปีการศึกษา 2554 โดยเฉพาะโรงเรียนในสังกัดของรัฐบาลมีการเดินหน้าไปก่อน โดยเฉพาะในโครงการจัดตั้งโรงเรียนนำร่องจำนวน 54 แห่ง ให้เป็นโรงเรียนต้นแบบในการเรียน การสอนหลักสูตรอาเซียน ซึ่งประกอบด้วย 1. โรงเรียนนำร่องเพื่อสอนภาษาอังกฤษล้วนๆ หรือเรียกว่า “Sitter School” ซึ่งโรงเรียนกลุ่มนี้ต้องจัดให้สอนภาษาอาเซียน ภาษาใด ภาษาหนึ่งได้ อีก 1 ภาษา และต้องมีศูนย์อาเซียนอยู่ภายในโรงเรียน ปัจจุบันมีการคัดเลือกโรงเรียนต้นแบบได้แล้ว 30 แห่ง จากทั่วประเทศ 2. โรงเรียนที่มุ่งเน้นสอนภาษาอาเซียน 1 ภาษาในโรงเรียน หรือเรียกว่า “Buffer School” โดยรัฐบาลตั้งเป้าให้มี 24 โรง รวมโรงเรียนกลุ่ม1 และโรงเรียนกลุ่ม 2 มีจำนวน 54 โรงแล้วในปัจจุบัน และ 3. จัดให้มีการจัดตั้งศูนย์การศึกษาในภูมิภาค หรือเรียกว่า “ Education Hub” เพื่อให้พลเมืองในอาเซียนได้มาเรียนภาษา

ในส่วนของโรงเรียนเอกชนถือว่ายังไม่ได้เริ่ม เนื่องจากขาดการนสนับสนุนด้านงบประมาณ ดังนั้นภาพรวมของการเตรียมความพร้อมของโรงเรียนเอกชนอยู่ที่ว่า โรงเรียนเอกชนแห่งใด มีความพร้อมก็ให้ดำเนินการไปกันก่อน ฐานะของโรงเรียนเอกชนจึงอยู่ในลักษณะช่วยเหลือตัวเอง ซึ่งในปัจจุบันจึงมีการร่วมกลุ่มกันระหว่างโรงเรียนเอกชนกว่า 700 แห่งในกรุงเทพฯ เพื่อทำหลักสูตรอาเซียนร่วมกัน มีการส่งตัวแทนของโรงเรียนเอกชนแต่ละแห่งไปดูงานที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยเชิญเอกอัครราชทูตลาวร่วมให้คำแนะนำ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการในส่วนของการพัฒนาหลักสูตรอาเซียน ของโรงเรียนเอกชน คาดว่าจะเสร็จไม่เกิน 1 เดือนข้างหน้า ครอบคลุม 8 กลุ่มสาระ ประกอบด้วย กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย และกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ

อาจารย์จินดา กล่าวโดยสรุป ประเทศไทยค่อนข้างเนื้อหอม เพราะมีทรัพยากรมาก และนับเป็น 1 ใน 10 ประเทศอาเซียน ที่น่าสนใจ ที่ประเทศสมาชิกจะเข้ามาลงทุน อย่างไรก็ตาม เราต้องมีความพร้อมด้านกฎหมาย ซึ่งต้องมีการบังคับใช้กฎหมายเหมือนๆ กัน เพื่อให้ 3 เสาหลัก ด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคง สังคมและวัฒนธรรม อยู่ร่วมกันได้ อย่างสันติสุข

สำหรับโรงเรียนจินดาพงศ์ ปัจจุบันมีการจัดสร้างศูนย์การเรียนรู้อาเซียน ซึ่งอยู่ที่โรงเรียนจินดาพงศ์ มีการทำฐานความรู้ของประเทศสมาชิก 10 ประเทศในอาเซียนไว้ในฐาน 10 ฐาน เพื่อประกอบการเรียนรู้ให้กับนักเรียนได้ศึกษา ค้นคว้า และทำรายงาน หากโรงเรียนใดจะเข้ามาดูงาน อนุญาตเปิดกว้างเพื่อถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับอาเซียนร่วมกัน

ที่มา: http://www.siamturakij.com

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33828&Key=hotnews

มท.ดึงผู้บริหารสังกัดสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษาจาก 76 จังหวัดพัฒนาเจตคติ

22 สิงหาคม 2556

รองปลัดกระทรวงมหาดไทยดึงผู้บริหารสังกัดสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษาจาก 76 จังหวัดพัฒนาเจตคติ และค่านิยมการสร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตย

วานนี้ (21 ส.ค.56) ที่โรงแรมวรบุรีอโยธยา จ.พระนครศรีอยุธยา หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รองปลัดกระทรวงมหาดไทย แสดงปาฐกถาพิเศษแก่ผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษาจาก 76 จังหวัด เรื่อง “การพัฒนาเจตคติ ค่านิยมการสร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตย และสร้างจิตสำนึกของความเป็นชาติ”

หม่อมหลวงปนัดดา กล่าวว่า เอกลักษณ์ของชาติไทยมีความเข้มแข็งที่มีลักษณะพิเศษยากที่จะหาชาติอื่นใดในภูมิภาคเปรียบได้ คือ ความรู้-รัก-สามัคคีที่ประชาชนคนไทยมีต่อกันมามายาวนาน จนชาวต่างชาติต่างพากันยกย่องสรรเสริญและยกย่องประเทศไทยเป็นกรณีศึกษาแห่งความสำเร็จ อย่างไรก็ดี เรื่องของคุณงามความดีของชาติ ต้องมีการสืบสานต่อ มิใช่หยุดชะงักลง

ดังนั้น ข้าราชการจึงต้องมีสติรอบคอบและมีข้อพิจารณาด้วยความรับผิดชอบ โดยไม่ยอมเป็นเครื่องมือ ที่เป็นการทำลายล้างปรัชญาของความเป็นประเทศไทย เรื่องนี้จึงอยู่ที่การยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตที่ต้องเป็นฐานของการดำรงชีวิตของทุก ๆ คน ที่ต้องช่วยกันเสริมสร้างทัศนคติ

หม่อมหลวงปนัดดา กล่าวเพิ่มเติมว่า การกระทำในภารกิจของข้าราชการจึงเป็นการสร้างเสริมคุณงามความดีให้เกิดขึ้นแก่ประเทศชาติและประชาชน ที่สำคัญคือต้องรักษาผลประโยชน์ส่วนรวม จึงขอให้ผู้บริหารสถานศึกษาจาก 76 จังหวัดช่วยกันปลูกฝังค่านิยมดังกล่าวให้เกิดขึ้นเพื่อความภาคภูมิใจที่ทุกคนมีต่อแผ่นดินไทย

Source – ASTV ผู้จัดการออนไลน์ (Th)

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33802&Key=hotnews

จ่อโละเกณฑ์ย้ายครู “จาตุรนต์” เสนอตัดอัตรา ร.ร.ใหญ่ป้อน ร.ร.เล็กแก้ครูขาด

22 สิงหาคม 2556

“จาตุรนต์” จ่อโละเกณฑ์โยกย้ายครู ชี้ไม่ควรเน้นความสมัครใจ หรือให้ครูได้กลับไปอยู่บ้านเกิดเป็นหลัก ต้องเน้นคุณภาพการจัดการศึกษาและความเท่าเทียมของจำนวน ครู ร.ร.ขนาดใหญ่และขนาดเล็ก พร้อมเสนอใช้วิธีตัดโอนอัตราครูจาก ร.ร.ใหญ่ที่ครูกระจุกตัวแน่นไปยังร.ร.ที่ขาด ระบุยังไม่มีข้อยุติแต่ฝากการบ้านให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ ไปคิดรวมทั้งให้คิดระบบประเมินความดีความชอบที่มาจากการทำงานจริงเพื่อให้ครูตื่นตัวแข่งขันทำงาน ไม่ใช่ทำงานเช้าชามเย็นชามก็ได้ความดีความชอบ

วานนี้ (21 ส.ค.) ที่โรงแรมอิมพีเรียลควีนส์ปาร์ค นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวระหว่างเปิดประชุมสัมมนา อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา และ อ.ก.ค.ศ.ส่วนราชการ ว่า ศธ.มีนโยบายจะแก้ปัญหาครูขาดแคลน โดยจะเริ่มจากแก้ปัญหาการกระจุกตัวของครูในโรงเรียนขนาดใหญ่ส่งผลให้โรงเรียนขนาดเล็กเจอภาวะขาดแคลนครูอย่างหนัก โดยเฉพาะกลุ่มสาระวิชาหลัก ได้แก่ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษ ทำให้ครูที่มีอยู่ส่วนใหญ่ต้องสอนทั้งไม่ตรงกับสาขาวิชาที่ตนเองจบการศึกษามายิ่งเท่ากับเป็นการซ้ำเติมปัญหาขาดแคลนครูให้มากขึ้นไปอีก ดังนั้น จึงอยากให้มีการเกลี่ยครูจากโรงเรียนที่มีครูเกินไปในโรงเรียนที่มีครูขาด

อย่างไรก็ตาม หลักเกณฑ์การโยกย้ายของคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ในปัจจุบันไม่เปิดช่องให้ ศธ.เข้าไปบริหารจัดการครูได้อย่างเต็มที่ เพราะหลักเกณฑ์การโยกย้ายนั้นมีรายละเอียดต่างๆมากมาย เช่น การโยกย้ายจะต้องเป็นไปตามความสมัครใจของครู ซึ่งตามข้อเท็จจริงแล้วครูที่เกินอยู่ในโรงเรียนขนาดใหญ่ก็จะไม่มีใครสมัครใจย้ายไปอยู่โรงเรียนอื่น หรือแม้แต่หลักเกณฑ์การย้ายให้ครูกลับภูมิลำเนา ก็ไม้ได้พิจารณาว่าเมื่อครูได้กลับไปอยู่ภูมิลำเนาแล้วได้สอนตรงตามวิชาเอกหรือไม่กลายเป็นแก้ปัญหาหนึ่งแต่ไปซ้ำเติมปัญหาขาดแคลนครูเพิ่มขึ้น เป็นต้น

นายจาตุรนต์ กล่าวต่อว่า การบริหารงานบุคคลที่ไม่มีประสิทธิภาพนี้จึงทำให้เกิดปัญหาการกระจุกตัวของครูในโรงเรียนใหญ่ และทำให้เกิดการดูดครูจากโรงเรียนเล็กมาโรงเรียนใหญ่สร้างความไม่เท่าเทียมกัน และเมื่อโรงเรียนขนาดเล็กประสบภาวะขาดแคลนครู ก็ไม่ต้องหวังว่าการพัฒนาคุณภาพการเรียนการเรียนการสอนในวิชาต่างๆจะประสบความสำเร็จ ทั้งนี้ ตนจึงมอบหมายให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ไปรวบรวมปัญหาทั้งหมดว่า หลักเกณฑ์ใดบ้างที่ติดขัดไม่สามารถกระจายครูได้อย่างทั่วถึง เพื่อให้ ก.ค.ศ.ปรับแก้หลักเกณฑ์ดังกล่าว

“ข้อเสนออย่างหนึ่งสำหรับการแก้ปัญหาครูเกินและครูขาด คือ การตัดโอนอัตราจากโรงเรียนที่มีครูเกินไปยังโรงเรียนที่มีครูขาด ซึ่งจะเป็นการบังคับโดยอัตโนมัติให้ครูต้องย้ายตามอัตราไปในโรงเรียนที่ขาดครู แต่ข้อเสนอดังกล่าวยังไม่เป็นข้อยุติ ต้องรอให้ ก.ค.ศ.ไปศึกษารายละเอียดก่อน ขณะเดียวกัน จะให้ศึกษาหลักเกณฑ์การโยกย้ายในภาพรวมด้วย โดยผมได้ให้นโยบายว่า หลักเกณฑ์การโยกย้ายไม่ควรคำนึงถึงความสมัครใจ และดูแลให้ครูที่อยู่ภูมิลำเนาได้ย้ายกลับบ้าน ซึ่งสิ่งที่ถูกต้องจะต้องคำนึงถึงผลสัมฤทธิ์ในการจัดการศึกษา ความเท่าเทียมระหว่างโรงเรียนที่ไม่ปล่อย ความเป็นธรรม และส่งเสริมให้ครูมีโอกาสพัฒนาตนเองด้วย ซึ่งนอกจากหลักเกณฑ์การโยกย้ายแล้วได้ฝากให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ไปรับปรุงเกณฑ์พิจารณาความดีความชอบด้วย เพราะปัจจุบันไม่ว่าครูจะทำหน้าที่การสอนหรือไม่ตั้งใจทำหน้าที่ครูก็จะได้รับการพิจารณาความดีความชอบทุกคน จึงเท่ากับว่า อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่และผู้บริหารโรงเรียนไม่ได้มีหน้าที่พิจารณาความดีความชอบเลย ดังนั้นจึงอยากให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ปรับเกณฑ์การพิจารณาความดีความชอบด้วย เพื่อให้เป็นไปตามผลการปฎิบัติงานจริงของครู ซึ่งจะส่งเสริมให้ครูทำงานแข่งขันกันมากขึ้น” รมว.ศึกษาธิการ กล่าว

Source – ASTV ผู้จัดการออนไลน์ (Th)

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33801&Key=hotnews

4 มหาลัยร่วมวิจัยหาวิธีพัฒนาอาชีวศึกษา

22 สิงหาคม 2556

“จาตุรนต์” มอบ ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ เป็นแม่งานดึง3มหาลัย ร่วมทำวิจัยพัฒนาการอาชีวศึกษาของไทย หวังยกระดับคุณภาพมาตรฐานช่างฝีมือ รวมถึงเพิ่มจำนวนผู้เรียนสายอาชีวะให้สอดคล้องความต้องการของประเทศ

วานนี้(21ส.ค.)นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ กล่าวถึงการจัดการอาชีวศึกษาว่า มีความสำคัญอย่างมาก เพราะต้องผลิตและพัฒนากำลังคนสายอาชีพให้มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน ตรงตามความต้องการของสถานประกอบการ แต่ปัจจุบันการจัดการอาชีวศึกษายังมีข้อจำกัดในด้านต่าง ๆ ทั้งความเหมาะสม ความทันสมัยในสาขาวิชา มาตรฐานองค์ความรู้ และสื่อเทคโนโลยีทางการศึกษา ส่งผลให้จำนวนผู้เรียนอาชีวศึกษาลดลง ขณะที่ความต้องการกำลังคนด้านอาชีวศึกษามีมากขึ้น ตนจึงมอบหมายให้มีการทำความร่วมมือศึกษาสถานการณ์อาชีวศึกษาและการจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อการพัฒนาอาชีวศึกษา ระหว่างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ(มจพ.) กับ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) เพื่อศึกษาและวิเคราะห์บทบาท พันธกิจ สภาพการดำเนินงาน ปัญหาและอุปสรรคของการจัดการอาชีวศึกษา รวบรวมและวิเคราะห์สถานการณ์อาชีวศึกษาอย่างรอบด้าน รวมถึงดูปัจจัยความสำเร็จของประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีและประเทศสิงคโปร์ เพื่อจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการพัฒนาการอาชีวศึกษาของประเทศให้เดินไปอย่างถูกทาง สอดรับกับนโยบาย “ปีแห่งการรวมพลังยกระดับคุณภาพการศึกษา” รวมถึงเพื่อเพิ่มสัดส่วนผู้เรียนอาชีวศึกษาต่อสายสามัญ เป็น 50ต่อ 50 ด้วย
ศ.ดร.ธีรวุฒิ บุณยโสภณ อธิการบดี มจพ. กล่าวว่า การอาชีวศึกษาเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในด้านอุตสาหกรรม ดังนั้นต้องมาช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรที่จะผลิตกำลังคนระดับฝีมือและเทคนิค เพื่อป้อนสู่ภาคเอกชนที่เข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมบริการและอุตสาหกรรมเกษตร อย่างไรก็ตามการพัฒนาการอาชีวศึกษาจะต้องอ้างอิงข้อมูลการวิจัยที่ถูกต้อง แม่นยำ เพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจในการขับเคลื่อนการอาชีวศึกษา ซึ่งมจพ. สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง(สจล.) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี(มจธ.) ได้รับดำเนินการศึกษาวิจัยทิศทางการผลิตและพัฒนาการอาชีวศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการของสถานประกอบการ รองรับการก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 โดยจะให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายนนี้ และเปิดให้มีการประชาพิจารณ์ภายในเดือนตุลาคม

ด้านดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.) กล่าวว่า สอศ.มีภารกิจสำคัญในการผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษาระดับ ปวช.และปวส. ซึ่งต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบ โดยดำเนินการให้สอดคล้องกับนโยบายของ รมว.ศึกษาธิการที่ต้องการเพิ่มสัดส่วนผู้เรียนอาชีวศึกษากับสายสามัญ เป็น 50ต่อ 50 และการผลิตแรงงานที่มีคุณภาพ ภายในระยะเวลา 2 ปี ดังนั้นอาชีวศึกษาจึงต้องมีการปรับตัวขนานใหญ่ เพื่อดำเนินการให้ได้ตามเป้าหมาย โดยประเมินสภาพปัจจุบัน ปัญหา ความต้องการ ประเด็นตามนโยบายต่าง ๆ ซึ่งมีความจำเป็นที่ต้องศึกษาและดำเนินการอย่างเป็นระบบที่ชัดเจน โดยจะนำข้อมูลที่ได้รับจากการวิจัยมาปรับแผนการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2557 ต่อไป

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33800&Key=hotnews

กรมการศาสนาเล็งเทียบโอนหลักสูตรธรรมกับโรงเรียน

22 สิงหาคม 2556

กรมการศาสนาเล็งเทียบโอนหลักสูตรธรรมศึกษาตรี-โท-เอก กับการเรียนปกติ แนะสถานศึกษาบรรจุไว้ในใบแสดงผลการเรียน แสดงเด็กเป็นคนดี และนำไปพิจารณาเข้าเรียนต่อและทำได้

นายปรีชา กันธิยะ อธิบดีกรมการศาสนา เปิดเผยว่า ขณะนี้ กรมการศาสนา (ศน.)ได้นำหลักสูตรธรรมศึกษาตรี-โท-เอก มาเป็นวิชาแกนหลักสำคัญในการเรียนการสอนที่ศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นหลักสูตรของแม่กองธรรมสนามหลวงของคณะสงฆ์เพื่อให้ผู้เรียนสามารถนำหลักธรรมของพระพุทธศาสนามาปรับใช้ในการดำรงชีวิต สร้างเสริมพื้นฐานจิตใจของเด็กและเยาวชนให้มีจิตสำนึกในเรื่องคุณธรรม ความดี ตลอดจนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ที่มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข

อีกทั้งตนยังมีแนวคิดที่จะบรรจุหลักสูตรดังกล่าวให้เป็นวิชาเลือกและสามารถเทียบโอนหน่วยกิตกับวิชาการทางโลกได้ด้วยโดยผู้เรียนธรรมศึกษาตรี-โท-เอก สามารถนำไปเทียบโอนหน่วยกิตการเรียนในกลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม หรือหากเป็นไปได้ก็อาจให้ผู้สอบได้ธรรมศึกษาตรี-โท-เอก เทียบวุฒิเทียบเท่าผู้จบมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 ตามลำดับ

นายปรีชากล่าวต่อไปว่านอกจากนี้ควรให้มีการระบุวิชาทางพระพุทธศาสนาเป็นรายวิชาไว้ในระเบียนแสดงผลการเรียนของเด็กด้วย เพื่อรับรองเด็กที่ผ่านการอบรมว่าเป็นคนดี มีคุณธรรม และเหมาะสมที่จะเข้าศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น หรือเหมาะสมที่เข้าทำงานในสถานประกอบการต่างๆ และสถานศึกษาหรือสถานประกอบการควรจะพิจารณาเด็กเหล่านี้เป็นพิเศษ อย่างไรก็ตามในวันที่ 26 ส.ค.นี้ ตนจะไปหารือกับศธ.และหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เป็นไปตามกฎกระทรวง และระเบียบที่ศธ.กำหนด และให้ผู้เรียนวิชาทางพระพุทธศาสนาธรรมศึกษาชั้นตรี – โท – เอก สามารถเทียบโอนหน่วยกิตได้และมีกำลังใจที่จะศึกษาทางธรรมต่อไป

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33799&Key=hotnews

กยศ.จัดงานพี่ช่วยน้อง

21 สิงหาคม 2556

“ทนุศักดิ์” ผงะเจอวิกฤติเด็กเบี้ยวหนี้ กยศ.จี้จัดงานรณรงค์พร้อมสร้างจิตสำนึกให้นักเรียนนักศึกษาใช้หนี้คืน

นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รมช.คลัง เปิดเผยว่า ในวันที่ 30 ส.ค.นี้ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ได้จัดงานเปิดตัวโครงการ “พี่ช่วยน้อง” เพื่อรณรงค์ให้เด็กนักเรียนนักศึกษาที่กู้ยืมเงินจากกยศ.นำเงินมาชำระหนี้คืน หลังจากพบว่าขณะนี้จำนวนหนี้ค้างชำระของนักเรียนนักศึกษาที่ครบกำหนดชำระหนี้แต่ไม่ยอมมาชำระหนี้คืนมากถึง 25% ของจำนวนผู้กู้ทั้งหมด 4 ล้านราย หรือคิดเป็น 1 ล้านราย ขณะที่มีมูลหนี้ค้างชำระประมาณ 50,000 ล้านบาท จากวงเงินปล่อยกู้รวมทั้งสิ้นประมาณ 4 แสนล้านบาท

“เรื่องการผิดนัดชำระหนี้ครั้งนี้ถือว่าเข้าขั้นวิกฤติทางด้านวินัยของคนในชาติอย่างมากในช่วง 17 ปีที่ผ่านมา เพราะการผิดนัดชำระหนี้ครั้งนี้เป็นเพราะเด็กนักเรียนนักศึกษามีค่านิยมที่ผิด หลังจากที่เห็นคนอื่นไม่ยอมชำระหนี้ตัวเองก็ไม่ชำระหนี้คืนตามไปด้วยขณะเดียวกันบางคนก็นำเงินไปซื้อสิ่งของหรือนำไปใช้อย่างอื่นแทนที่จะนำเงินมาชำระหนี้คืน ทำให้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาสัดส่วนหนี้ค้างชำระมีเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง”

นอกจากนี้กระบวนการของกยศ.เองยังขาดความใกล้ชิดกับทั้งนักเรียนนักศึกษาและสถาบันการศึกษา จึงทำให้ความตระหนักในการชำระหนี้คืนมีน้อยลงไปมาก จนทำให้เด็กนักเรียนนักศึกษายอมเข้าสู่กระบวนการของการฟ้องร้องและการไกล่เกลี่ย ซึ่งถือว่าสถานการณ์เช่นนี้มีความน่าเป็นห่วงอย่างมาก ที่ทุกฝ่ายต้องเร่งหามาตรการมากระตุ้นเตือนและชักชวนให้เด็กนักเรียนนักศึกษาที่กู้ยืมเงินกยศ.มาชำระหนี้คืนโดยด่วน

นายทนุศักดิ์ กล่าวว่า ในการจัดงานโครงการพี่ช่วยน้องครั้งนี้ถือว่ามีความสำคัญมากเพราะจะมีโครงการต่าง ๆ เพื่อรณรงค์และกระตุ้นให้เด็กนักเรียนนักศึกษาหันมาใช้เงินคืนให้กับกยศ.เพราะหากไม่ใช้หนี้คืนก็จะไม่มีเงินให้กับเด็กนักเรียนนักศึกษารุ่นน้องต่อ ๆ ไป ซึ่งการหาแนวทางให้เด็กนักเรียนคืนเงินถือว่าเป็นเรื่องที่ดีกว่าการร้องขอให้รัฐบาลเพิ่มเงินงบประมาณให้ โดยภายในงานนี้จะมีการประสานงานเพื่อให้ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องมาร่วมด้วย เพราะกระทรวงการคลังต้องการสนับสนุนให้เด็กนักเรียนนักศึกษามีงานทำด้วย เพื่อจะได้มีเงินใช้หนี้คืนกยศ.ซึ่งในจำนวนเด็กนักเรียนนักศึกษาที่ผิดนัดชำระหนี้ครั้งนี้จะมีประมาณ 40% ที่ยังไม่มีงานทำ

ส่วนนโยบายการใช้กระบวนการเครดิตบูโรหรือการเปิดเผยข้อมูลการกู้ยืมเงินของนักเรียนนักศึกษาเพื่อให้เด็กนักเรียนคืนหนี้นั้นยืนยันว่าไม่ได้เป็นการรังแกเด็กแต่อย่างใดเพราะได้มีระยะเวลาให้เด็กนักเรียนนักศึกษาถึง 5 ปีก่อนเปิดเผยข้อมูลในทางกลับกันถือว่าเป็นเรื่องดีที่กระบวนการเครดิตบูโรจะสร้างความน่าเชื่อถือหรือความมั่นใจให้กับเด็กนักเรียนนักศึกษามากกว่า

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33780&Key=hotnews

สพฐ.เร่งผลักดันให้เด็กไทยอ่านออกเขียนได้ จ่อเสนอ 2 โครงการให้”จาตุรนต์”พิจารณา

21 สิงหาคม 2556

สพฐ. ผุด 2 โครงการเพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปการเรียนรู้ทั้งระบบตามนโยบาย “จาตุรนต์” พุ่งเป้าแก้ปัญหาอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ และการส่งเสริมเด็กไทยคิดวิคราะห์ ประยุกต์ความรู้ไปใช้ในชีวิต
วันที่ (20 ส.ค.) นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่า สพฐ.ได้นำข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากการประชุมเชิงปฏิบัติการระดมความคิดเห็นเรื่องการปฏิรูปการเรียนรู้ทั้งระบบเมื่อวันที่ 18 ส.ค. มาพิจารณาเพื่อวางแผนขับเคลื่อนการปฎิรูปการเรียนรู้ทั้งระบบและได้ข้อสรุปว่า สพฐ.จะดำเนินการ 2 เรื่องเพื่อเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนและเพื่อช่วยให้ประเทศไทยไต่อันดับการประเมินพิซ่า (PISA) ตามนโยบายของ นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)

โดยประเด็นแรกที่ สพฐ.จะดำเนินการให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมใน คือ การเพิ่มผลสัมฤทธิ์ในการเรียนวิชาภาษาไทยและการแก้ปัญหาอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ซึ่งตามแผนงานที่วางไว้เมื่อเปิดภาคเรียนที่ 2 ของปีการศึกษา 2556 สพฐ.จะให้เขตพื้นที่การศึกษาทุกแห่ง สแกนนักเรียนในช่วงชั้นที่ 1 (ป.1-ป.3) เพื่อหาเด็กกลุ่มเสี่ยงที่ยังไม่สามารถ อ่านออกเขียนได้ และนำตัวเด็กกลุ่มนี้มาสอนเสริมให้เพื่อให้เด็กสามารถอ่านออกเขียนได้ จากนั้น เมื่อใกล้สิ้นสุดภาคเรียนที่ 2 ของปีการศึกษา 2556 ซึ่งนักเรียน ป.3 ทุกคนจะต้องเข้ารับการทดสอบการอ่านออกเขียนได้ซึ่ง สพฐ.จัดขึ้นนั้น สพฐ.ตั้งเป้าจำนวนนักเรียนที่คะแนนผ่านเกณฑ์ สามารถอ่านออกเขียนได้จะต้องใกล้เคียง 100 % ทั้งนี้ สพฐ.จะมอบหมายให้เขตพื้นที่การศึกษาไปจัดทำแนวทางสแกนวัดระดับทักษะภาษาไทยของนักเรียนช่วงชั้นที่ 1 พร้อมทำคู่มือให้เสร็จภายในช่วงปิดภาคเรียนที่ 1 ของปีการศึกษา 2556 นี้

“นอกจากนี้ สพฐ.จะมีมาตรการส่งเสริมการพัฒนากระบวนการคิดวิเคราะห์ ซึ่งเป็นเป้าหมายอันดับหนึ่งของการปฏิรูปการเรียนรู้ครั้งนี้ด้วย โดยจะมีการพัฒนาการเรียนการสอนที่ฝึกให้เด็กประยุกต์ข้อมูลความรู้ด้านภาษา การคำนวน และวิทยาศาสตร์ มาใช้ในชีวิตประจำวันมากขึ้น รวมถึงการจัดทำคู่มือฝึกอบรมครู ในการส่งเสริมกระบวนการคิดตามกลุ่มสาระการเรียนรู้”เลขาธิการ กพฐ. กล่าวและว่า สพฐ.จะเร่งดำเนินการทั้งสองเรื่องดังกล่าว และจัดทำเป็นรายงานเสนอต่อ นายจาตุรนต์ พิจารณาเห็นชอบต่อไปคาดว่าจะเสนอได้ภายในวันที่ 7 ก.ย.นี้

Source – ASTV ผู้จัดการออนไลน์ (Th)

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33778&Key=hotnews