ก.ค.ศ.อนุมัติวิทยฐานะ 11 ราย

16 สิงหาคม 2556

นางรัตนา ศรีเหรัญ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) วิสามัญเกี่ยวกับวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งทำการแทน ก.ค.ศ.ได้มีมติอนุมัติวิทยฐานะทั้งหมด 11 ราย

ได้แก่ อนุมัติให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเลื่อนเป็นวิทยฐานะครูเชี่ยวชาญ 3 ราย และอนุมัติให้เลื่อนเป็นวิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษ 8 ราย ดังนี้ วิทยฐานะครูเชี่ยวชาญ 1 ราย ได้แก่ นางพิชญา นัยนิตย์ สถาบัน กศน.กรุงเทพฯ นางมนัญญา ลาหาญ ร.ร.บ้านหนองไฮ สพป.อำนาจเจริญ นางณิชยา รัศมี วิทยาลัยเทคนิคชัยนาท ส่วนวิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษ 8 ราย ได้แก่ นางยุพา ชิตมณี ร.ร.วัดเจริญราษฎร์ สพป.สงขลา เขต 2 นางลดารัตน์ สุขบุญ ร.ร.บ้านคอลอกาเว สพป.นราธิวาส เขต 1 นายชวรวย ภู่พุกก์ วิทยาลัยอาชีวศึกษาพิษณุโลก นายอนุสรณ์ จันทสุข ร.ร.สิรินธร สพม.เขต 33 นายสุรสิทธิ์ สุดประโคน ร.ร.บ้านซ่อง (ประชากรบำรุง) สพป.เพชรบุรี เขต 2 นางกานดา อานนท์ ร.ร.หาดใหญ่วิทยาลัย สพม.เขต 16 น.ส.ประนอม เจริญชนม์ ร.ร.วัดสุขไพรวัน สพป.ระยอง เขต 2 นายธนพร เชื้อวงศ์ ร.ร.ธรรมศาสตร์คลองหลวงวิทยาคม สพม.เขต 4

“นอกจากนี้ ก.ค.ศ.ยังอนุมัติให้ข้าราชการครูฯ มีวิทยฐานะรองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาชำนาญการพิเศษ 2 ราย คือ นายวิเชียร ศรีแก้วแฝก สพป.นครปฐม เขต 2 และนายกีรติ แสงตะวัน สพป.สุรินทร์ เขต 1” นางรัตนากล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33716&Key=hotnews

“จาตุรนต์” สนใจวิธีต่ออายุราชการให้ครูแก้ขาดแคลนครู

16 สิงหาคม 2556

“จาตุรนต์” สนใจแนวคิดต่ออายุราชการให้ครูถึง 65 ปี เพื่อช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนครู แต่ย้ำแก้ปัญหาขาดครูต้องใช้หลายวิธี เล็งนำเทคโนโลยีการศึกษาเข้ามาช่วยในการจัดการเรียนการสอนให้มากขึ้น

วานนี้(15ส.ค.) นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ กล่าวถึงแนวทางแก้ปัญหาการขาดแคลนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาจากการเกษียณอายุราชการ ซึ่งภายใน 5 ปีจะมีการขาดแคลนถึง 103,743 อัตราว่า จากข้อมูลพบว่าในสาขาวิชาที่เป็นพื้นฐานสำคัญคือ ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ ภาษาไทย และวิทยาศาสตร์ จะมีการขาดแคลนครู รวม 51,462 อัตรา ซึ่งในปี 2555 กระทรวงศึกษาธิการได้รับอัตรากำลังคืน 100% จำนวน 8,300 อัตรา ส่วนปี 2556 ยังไม่ได้พิจารณา แต่ทราบว่าจะได้รับคืนอัตราเกษียณทั้ง 100% เป็นปีสุดท้าย ทั้งนี้การคืนอัตราเกษียณ 100% คงเป็นเพียงวิธีการหนึ่งแต่ไม่ใช่คำตอบ เพราะหากขอคืนอัตราไปสักระยะอาจจะเจอปัญหาเพดานจำนวนข้าราชการที่ไม่เหมาะสมในภาพรวมทั้งประเทศ

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า การแก้ปัญหาขาดแคลนครูต้องดูทั้งระบบ ทั้งการขอคืนอัตราเกษียณฯ การเกลี่ยครูจากโรงเรียนที่ครูเกินไปยังโรงเรียนที่ขาดครู การเกลี่ยให้ครูได้สอนตรงตามวิชาเอก รวมทั้งการหาครูใหม่มาทดแทน ซึ่งขณะนี้ก็ยังมีปัญหาเรื่องการผลิตครูไม่ตรงกับความต้องการ โดยจากข้อมูลของสภาคณบดีคณะคุรุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทยพบว่าใน 5 ปีตั้งแต่ปี 2556-2560 จะมีผู้จบการศึกษาสายครูทั้งสิ้น 259,522 คน แม้มากกว่าจำนวนที่ขาด แต่คาดได้ว่าในสาขาขาดแคลนก็ยังจะเป็นปัญหาใหญ่อยู่ต่อไป

” ผมคิดว่าการเพิ่มคนอย่างเดียวคงไม่พอ แต่ต้องมีการนำเทคโนโลยีการศึกษาเข้ามาช่วยในการเรียนการสอนให้มากขึ้น และนำระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์มาช่วยในการเกลี่ยกำลังคน รวมถึงการแก้ไขกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการจัดสรรอัตรากำลังคนที่เหมาะสม” นายจาตุรนต์ กล่าว
ต่อข้อถามถึงข้อเสนอของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่จะขอขยายเวลาการเกษียณอายุราชการของครูในสาขาขาดแคลนออกไปเป็น 65 ปี นายจาตุรนต์ กล่าวว่า ถ้าพิจารณาจากแนวโน้มของการที่สังคมไทยจะมีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ตนมองว่าเป็นวิธีหนึ่งที่น่าจะเป็นประโยชน์ แต่คงต้องพิจารณาในรายละเอียด รวมทั้งหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดูว่าจะจ้างแบบไหน เพราะเป็นเรื่องที่จะกระทบในส่วนอื่น แต่ส่วนตัวเห็นว่าการขยายเวลาเพื่อให้เป็นครูผู้สอนต่อไปเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจ.

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33715&Key=hotnews

ดึงนักการศึกษาต่างชาติแบ่งปันความรู้ให้ครูไทย

16 สิงหาคม 2556

ครุศาสตร์ จุฬาฯ จับมือสพฐ.และเครือข่าย เตรียมจัดงานมหกรรมการศึกษาเพื่อพัฒนาวิชาชีพครู EDUCA 2013 วันที่ 9-11 ต.ค.ที่เมืองทองธานี ดึงนักการศึกษาระดับโลกมาให้แบ่งปันความรู้ให้ครูไทย หวังเพิ่มศักยภาพให้ครูได้นำไปใช้งานจริง

นายศีลชัย เกียรติภาพันธ์
วานนี้(15 ส.ค.) ที่คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ร่วมกับ คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ สมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีศึกษาไทย และ บริษัท ปิโก (ไทยแลนด์)ร่วมแถลงข่าวการจัดงาน EDUCA 2013: มหกรรมทางการศึกษาเพื่อพัฒนาวิชาชีพครู ครั้งที่ 6 ภายใต้แนวคิด “Strong Performers and Successful Reformers” ระหว่างวันที่ 9-11 ตุลาคม 2556 ที่อาคารอิมแพค ฟอรั่ม(ฮอลล์9) เมืองทองธานี โดยนายศีลชัย เกียรติภาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปิโก (ไทยแลนด์)กล่าวว่า ปีนี้ยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนาวิชาชีพครูเช่นเดิม โดยจะนำรายงานการศึกษาขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) เมื่อปี 2011 มานำเสนอที่แสดงให้เห็นหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าปัญหาการศึกษาเป็นปัญหาสากล ซึ่งทุกประเทศทั่วโลกสามารถเรียนรู้ร่วมกันได้จากประเทศที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาการศึกษาอย่างเข้มแข็ง นอกจากนั้นยังเปิดโอกาสให้ครูและนักการศึกษาไทยได้ร่วมเรียนรู้จากนักการศึกษาระดับโลกมากขึ้น โดยเชิญนักการศึกษาระดับโลกมาบรรยายและอภิปรายในหัวข้อที่น่าสนใจ อาทิ”หลักสูตร การสอนและการวัดประเมินผล” และ “ครุศึกษาเพื่ออนาคต” โดย ศ.ดร.เบนจมิน เลอวิน อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รัฐออนแทรีโอ ประเทศแคนาดา หรือปาฐกถาพิเศษเรื่อง “บทเรียนด้านการศึกษาจากฟินแลนด์:การเปลี่ยนแปลงสู่ความสำเร็จ” รวมทั้งยังมีการจัดนิทรรศการแสดงนวัตกรรมทางการศึกษาและเทคโนโลยี เช่น ห้องเรียนแห่งอนาคต ห้องพัฒนาอัจฉริยภาพรอบด้าน เป็นต้น ผู้ที่สนใจเข้าร่วมงานสามารถดูรายละเอียดและสำรองที่นั่งได้ที่ www.educathai.com ได้ตั้งแต่วันนี้ ถึง 30 กันยายน 2556 หรือสอบถามเพิ่มเติม โทร.0-2748-7000 ต่อ 134

ด้าน ดร.เบญจลักษณ์ น้ำฟ้า รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า ครูมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบเด็ก ซึ่งเด็กที่เข้ามาในระบบจะมีบุคลิก ลักษณะแตกต่างกัน อีกทั้งสังคมมีการเปลี่ยนแปลงตลอด ดังนั้นครูมีความจำเป็นมากต้องพัฒนากระบวนการเรียนรู้ตลอดเวลา ส่วนบทบาทของสพฐ.สนับสนุนเขตพื้นที่การศึกษาพัฒนาครู รวมถึงพัฒนาครูร่วมกับหน่วยงานต่างๆ เช่น คณะครุศาสตร์ จุฬา จัดโครงการพัฒนาครูให้เป็นครูพี่เลี้ยง และร่วมกับภาคเอกชนในการพัฒนาครู เพื่อที่จะทำให้ครูได้เห็นถึงวัฒนธรรม บริบทการเรียนรู้ที่หลากหลาย อันจะนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพครูได้ทั้งประเทศ

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33714&Key=hotnews

แผนเปิดอาชีวะเพิ่ม 10 แห่ง สะดุด! “จาตุรนต์” สั่งทบทวนเน้นคุณภาพ

16 สิงหาคม 2556

“จาตุรนต์” จ่อทบทวนเปิดสถาบันอาชีวะอีก 10 แห่ง ชี้ต้องจำกัดจำนวน นศ.ผลิตให้มีคุณภาพ ย้ำต้องไม่กระทบต่อการผลิตระดับปวช. และ ปวส.

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า ตนได้ฝากให้ที่ประชุมคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) ไปพิจารณาเรื่องการเปิดการเรียนการสอนของสถาบันการศึกษาชีวศึกษา ในหลักสูตรเทคโนโลยีบัณฑิต ซึ่งเป็นหลักสูตรระดับปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติการ โดยเห็นว่าการเปิดสอนระดับปริญญาตรีของ สอศ.นั้นไม่ควรเปิดสอนหรือทุ่มเททรัพยากรไปกับการเรียนการสอนในระดับปริญญาตรีมากเกินไป ซึ่งบอร์ด กอศ.เห็นด้วยกับนโยบายของตน เนื่องจากการเรียนการสอนระดับอาชีวศึกษาที่สำคัญต้องทุ่มเททรัพยากรไปกับการเน้นไปจัดการศึกษาในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) เพื่อให้รองรับกับความต้องการของภาคเอกชน ไม่ใช่ทุ่มเททรัพยากรไปกับการสอนระดับปริญญาตรีจนกระทบต่อการจัดการศึกษาระดับปวช. ปวส. อีกทั้งในอนาคตจะมุ่งไปสู่การกำหนดสัดส่วนนักเรียนอาชีวศึกษาต่อสามัญศึกษาเป็น 51:49 จำเป็นต้องใช้ทรัพยากร บุคลากร งบประมาณ และอุปกรณ์การเรียนการสอนมหาศาล

ทั้งนี้ ปัจจุบัน สอศ. เปิดสอนระดับปริญญาตรีในสถาบันการอาชีวศึกษาแล้ว 9 แห่งจากทั้งหมด 19 แห่งมีนักศึกษาประมาณ 800 คนและอีก 10 แห่งที่เหลือจะทยอยเปิดเพิ่มในปีการศึกษา 2557 ซึ่งอาจจะต้องมาทบทวนว่าควรจะเปิดสอนทั้งหมดหรือไม่ โดยขณะนี้ตนยังไม่ได้ลงนามในหลักสูตรที่เสนอมา เพราะอยากจะขอดูในหลักการและดูข้อมูลให้ชัดเจนก่อนว่าแต่ละแห่งเปิดสอนโดยมุ่งเน้นคุณภาพและเป็นสายปฏิบัติการจริงหรือไม่ อีกทั้งจะต้องพิจารณาด้วยว่ามีอาจารย์ที่จบระดับปริญญาเอก ระดับปริญญาโทกี่คนเป็นตามข้อกำหนดของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) หรือไม่ และมีห้องปฏิบัติการหรือไม่ ไม่ใช่อนุโลมหรือผ่อนผัน อย่างไรก็ตาม การเปิดสอนระดับปริญญาตรีจะต้องคำนึงถึงการผลิตคนให้มีคุณภาพและต้องจำกัดจำนวนบัณฑิตที่จะผลิตด้วย

“เวลานี้เราต้องเน้นการจัดการศึกษาระดับปวช. และปวส.มากกว่าระดับปริญญาตรี เพราะเราต้องการสร้างค่านิยมว่าจบปวช.และ ปวส. มีโอกาสทำรายได้มากกว่าผู้ที่จบปริญญาตรีได้ แต่ถ้าไปเน้นการสอนระปริญญาตรีสายอาชีพมากเกินไป จะทำให้เกิดค่านิยมว่าต้องจบปริญญาตรีสายอาชีพก่อน ถึงจะมีรายได้สูง ซึ่งเป็นสิ่งที่อันตรายเพราะจะทำให้การเรียนระดับปวช.และปวส.ล้มเหลว โดยขณะนี้ก็เกิดขึ้นแล้วว่าเด็กจบปวช. และปวส. ได้เงินเดือน 18,000-25,000 บาท อีกทั้งภาคเอกชนก็ยืนยันว่าหากมีการมากำหนดหลักสูตร และฝึกปฏิบัติงานร่วมกัน ภาคเอกชนก็พร้อมที่จะจ้างเด็กที่จบปวช. และปวส.แพงกว่า 15,000 บาทต่อเดือน ดังนั้นการจะเปิดระดับปริญญาตรีจึงควรจะอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้กระทบกับทรัพยากรต่าง ๆ ที่จะต้องนำไปใช้ในการสอนระดับปวช. และปวส.” นายจาตุรนต์ กล่าว

Source – ASTV ผู้จัดการออนไลน์ (Th)

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33713&Key=hotnews

สพฐ.เวิร์กช็อปการศึกษาพื้นฐาน

15 สิงหาคม 2556

นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวภายหลังประชุมผู้บริหารสำนักงานคณะกรรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เปิดเผยว่า สพฐ.เตรียมจัดประชุม เวิร์กช็อป ใหญ่ 3 เรื่องตลอดเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่ สพฐ.รับผิดชอบอยู่ เริ่มจากเวิร์กช็อปแรกจะจัดขึ้น 18 สิงหาคมนี้เกี่ยวกับการเรียนการสอนโดยเฉพาะ เชิญผู้เกี่ยวข้อง ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมาให้ความเห็นใน 3 ประเด็นใหญ่ๆ คือ ประเด็นแรก การระดมความเห็นเกี่ยวกับการพัฒนาผู้เรียนแต่ละช่วงชั้นควรจะเป็นเช่นไร เน้นแก้ปัญหาเด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ การเพิ่มผลสัมฤทธิ์การเรียนภาษาไทย เพิ่มทักษะการ คิดคำนวณความสามารถในการใช้เหตุผล ประเด็นที่สอง การระดมความเห็นเกี่ยวกับการนำหลักสูตรไปสู่การปฏิบัติ การจัดการเรียนการสอนจริงในชั้นเรียน การสร้างความเข้าใจให้กับครู และประเด็นที่สาม การวัดและประเมินผล

ส่วนเวิร์กช็อปเรื่องที่ 2 จะจัดในวันที่ 24 สิงหาคม เป็นเรื่องการใช้ไอซีทีเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน โดยจะนำเสนอข้อมูลสภาพการใช้ไอซีทีเพื่อกระบวนการจัดการเรียนการสอน การพัฒนามาตรฐานของสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ประสิทธิภาพในการใช้สื่อไอซีทีเพื่อการเรียนการสอนที่สำคัญจะเชิญผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาร่วมในการวิจัยและพัฒนาการใช้ ไอซีทีในการสอน และเวิร์กช็อปสุดท้าย จะจัดในวันที่ 30 สิงหาคม เรื่องการพัฒนาครูและระบบประเมินวิทยฐานะ เป็นการระดมความคิดเกี่ยวกับแนวคิดการประเมินวิทยฐานะครู ที่สอดคล้องกับสมรรถนะจริงของครูและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนทั้ง 3เรื่องนายจาตุรนต์ จะเข้าร่วมประชุมด้วยเพราะเวิร์ก ช็อปที่สพฐ.จัดขึ้นเป็นไปตามนโยบายรัฐมนตรี เมื่อจัดครบทั้ง 3 ครั้ง สพฐ.จะนำข้อมูลที่ได้มาสังเคราะห์ในช่วงเดือน กันยายน

–คมชัดลึก ฉบับวันที่ 15 ส.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33706&Key=hotnews

สอศ.ยัน ป.ตรีสายปฏิบัติการสำคัญ สนอง ‘จาตุรนต์’ เร่งเพิ่ม ‘ปวช.-ปวส.’ บริการเอกชน

15 สิงหาคม 2556

นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) กล่าวถึงกรณีนายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) ระบุว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ควรมุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ให้มีศักยภาพและจำนวนตามความต้องการของประเทศ มากกว่าการเปิดสอนระดับปริญญาตรีสายปฏิบัติการ เพราะอาจไปเปิดซ้ำซ้อนกับมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนอยู่แล้ว ว่า ประเด็นนี้ รมว.ศธ.ได้หารือกับผู้บริการกอศ.แล้ว ตั้งแต่ได้มอบนโยบาย โดยรายงาน รมว.ศธ.กลับไปว่า ภารกิจหลักของสอศ.ยังคงมุ่งเน้นผลิตกำลังคนระดับฝีมือ หรือปวช. และกำลังคนระดับเทคนิค หรือ ปวส.

โดยปัจจุบัน สอศ.ผลิตกำลังคนระดับ ปวช.ได้ประมาณ 400,000 คน ขณะที่ ปวส.ผลิตได้ประมาณ 200,000 คน ส่วน ป.ตรีสายปฏิบัติการ ซึ่งเปิดการเรียนการสอน ปีการศึกษา 2556 เป็นปีแรก มียอดผู้เข้ารับการศึกษาประมาณ 600 คน ซึ่งสอศ.กำหนดกรอบว่า จะผลิตไม่ให้เกิน 2,000 คนต่อปี ดังนั้น จึงยืนยันได้ว่าภารกิจพิเศษของ สอศ. คือ การเร่งหามาตรการเพิ่มจำนวนผู้เรียน ปวช.และโดยเฉพาะปวส. ซึ่งปีนี้จำนวนผู้เรียนลดลง ควบคู่การพัฒนาคุณภาพผู้เรียนปวช. และ ปวส.ให้มีศักยภาพตรงตามความต้องการของภาคเอกชนมากยิ่งขึ้น

สอศ.ยังคงให้ความสำคัญกับ ป.ตรีสายปฏิบัติการเช่นเดิม เพียงแต่จะเปิดการเรียนการสอนเฉพาะสาขาที่มีความต้องการและจำเป็นเท่านั้น โดยกรอบแนวคิดคือผู้เรียนจะต้องเรียนแบบทวิภาคีกับสถานประกอบการอย่างน้อย 50 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนหน่วยกิต

“ประเด็นสำคัญที่ลงตัวกับรัฐมนตรี คือ เราจะไม่เปิดในสาขาที่มหาวิทยาลัยเปิดสอนอยู่ก่อนแล้ว แต่จะเปิดสาขาที่สถานประกอบการต้องการ หรือเป็นสาขาวิชาเฉพาะมากๆ เช่น สาขาพลังงาน ที่เจาะลึกลงไปเป็นเมเจอร์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปิโตรเลียม พลังงานทดแทน หรือพลังงานถ่านหิน และสาขาการควบคุมเครื่องจักรกลอัตโนมัติระยะไกล เป็นต้น” เลขาธิการ กอศ.กล่าว

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 16 ส.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33705&Key=hotnews

สพฐ.พัฒนากลุ่ม ร.ร.ทีปังกรฯ

15 สิงหาคม 2556

นายกมล รอดคล้าย รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวว่า พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร มีรับสั่งให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) พัฒนากลุ่มโรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์ ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้แก่

1.ร.ร.ทีปังกรวิทยาพัฒน์ (วัดโบสถ์)

2.ร.ร.ทีปังกรวิทยาพัฒน์ (วัดน้อยใน)

3.ร.ร.ทีปังกรวิทยาพัฒน์ (ทวีวัฒนา)

4.ร.ร. ทีปังกรวิทยาพัฒน์ (วัดประดู่)

5.ร.ร.ทีปังกรวิทยาพัฒน์ (มัธยมวัดหัตถสารเกษตร) และ

6.ร.ร.ทีปังกรวิทยาพัฒน์ (วัดสุนทรสถิต)

เพื่อจะได้เป็นต้นแบบให้ร.ร.อื่นๆ ต่อไป สพฐ.จึงตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนา ร.ร.ทีปังกรฯขึ้นมา ทำงาน 4 เรื่อง คือ 1.วางแผนระยะยาว 3 ปี ทั้งพัฒนาคุณภาพวิชาการ ระบบบริหาร พัฒนางานตาม พระราชดำริ

รองเลขาฯ กพฐ. กล่าวต่อว่า 2.จัดอบรมผู้บริหารร.ร. โดยมอบให้สถาบันพัฒนาครูคณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษา (สคบศ.) รับผิดชอบ 3.จัดอบรมครู ทั้ง 6 ร.ร. โดยจะให้ครูมีวัฒนธรรมองค์กรแบบ ทีปังกร ทำงานสนองพระราชดำริ และเรียนรู้ตามรอยพระยุคลบาท และ 4.จัดกิจกรรมพัฒนาเด็ก 3 เรื่อง คือ 1.ให้เด็กมีความกตัญญูต่อพ่อแม่ 2.เข้าใจประวัติศาสตร์ไทย และ 3.เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งหมดจะใช้งบประมาณ 5 ล้านบาท จะเสร็จสิ้นใน ต.ค.นี้

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 16 ส.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33704&Key=hotnews

ศธ.ตั้งกรรมการเนื้อหาแทบเล็ต

15 สิงหาคม 2556

วังจันทรเกษม : นายกมล รอดคล้าย รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จะเป็นเจ้าภาพประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่องการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ และแทบเล็ตเพื่อการเรียนการสอนและการผลิต กระทรวงศึกษาธิการต้องการวิเคราะห์ 3 เรื่องคือ อุปกรณ์ภายในแทบเล็ตนั้นเหมาะสำหรับนักเรียนหรือไม่ และมีประสิทธิภาพอย่างไร องค์ประกอบพื้นฐานในการเรียนรู้ของเด็ก สื่อสารอินเทอร์เน็ตต่างๆ ซึ่งปัจจุบันยังไม่สมบูรณ์แบบเท่าที่ควร

อย่างไรก็ตาม เรื่องเนื้อหาของแทบเล็ตเชื่อว่าได้ผลิตไว้มาก พอสมควรแล้ว โดยมีข้อคิดเห็นว่าควรจะมีคณะกรรมการคัดเลือกเนื้อหาโดยเฉพาะ เพราะจากนโยบายการจัดตั้งสถาบันพัฒนาหลักสูตร การเรียนรู้แห่งชาติแสดงถึงความสำคัญที่ทุกประเทศต้องมีสถาบันดัง กล่าว ถ้ามีสถาบันดังกล่าวขึ้นจะส่งผลให้มีคณะกรรมการคัดเลือกที่เหมาะสมที่จะแจกจ่ายไปยังโรงเรียนได้

ที่มา: หนังสือพิมพ์โลกวันนี้

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33703&Key=hotnews

สภาการศึกษาจับมือ UNESCO และ OECD ยกระดับการศึกษาไทย สู่สากล

15 สิงหาคม 2556

สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ เป็นองค์กรที่มีภารกิจหลักในการจัดทำนโยบายและแผนการศึกษาของประเทศ เพื่อให้คนไทยได้มีการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างเสมอภาคและเป็นธรรมแต่เนื่องจากปัจจุบันสถานการณ์โลกและประเทศมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมการเมือง วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการศึกษาทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งนี้จากข้อมูลสถิติต่างๆ พบว่าขีดความสามารถของประเทศไทยมีแนวโน้มลดลง

ด้วยเหตุนี้สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาจึงได้จัดทำ โครงการข้อเสนอนโยบายด้านการศึกษาของประเทศไทย โดยร่วมมือกับองค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization หรือUNESCO) และ องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organization for Economic Cooperation and Development หรือ OECD) เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาและประสิทธิภาพการศึกษาให้ได้มาตรฐานสากลเกิดการเรียนรู้อย่างเท่าทันต่อสภาวการณ์ปัจจุบัน และอนาคตโดยมีความสอดคล้องกับนโยบายด้านการศึกษาของรัฐบาลและแนวนโยบายแห่งรัฐได้แก่ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ แผนการศึกษาแห่งชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และยุทธศาสตร์ประเทศ ในการจัดทำข้อเสนอนโยบายด้านการศึกษาของประเทศไทย สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ได้มีการหารือกับ UNESCO และ OECDมาเป็นระยะโดยกำหนดขอบเขตข้อเสนอนโยบายด้านการศึกษาสำคัญของประเทศไทยไว้ 5 ประเด็น คือ

1. การประเมินระบบการศึกษาโดยรวม เน้น เรื่องคุณภาพ ความเสมอภาค และการปฏิรูป นโยบายกฎระเบียบ โครงสร้าง นโยบายพิเศษ และแนวทางปฏิบัติเพื่อปรับปรุงการศึกษาให้สอดคล้องกับนโยบายการศึกษาของรัฐบาล แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11 และแผนประชาสังคมวัฒนธรรมอาเซียน

2. นโยบายด้านครู และการเสริมสร้างความสามารถของครูและผู้บริหารโรงเรียน การเลื่อนวิทยฐานะ โดยการวิเคราะห์ทรัพยากรที่มีอยู่ รวมทั้งการประเมินโอกาสเพื่อการเปลี่ยนแปลงอย่างมีประสิทธิภาพ (การเสริมสร้างความสามารถครู การเลื่อนวิทยฐานะ การยกระดับให้เป็นวิชาชีพชั้นสูง การเป็นผู้นำในโรงเรียน การมีส่วนร่วมในสังคมการเรียนการสอนในพหุวัฒนธรรม ผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน)

3. การพัฒนาหลักสูตร เน้นความสามารถด้านภาษาความเป็นพลเมืองโลก ความมีขันติธรรม ความเสมอภาคและพลเมืองศึกษา

4. การประเมินผลสัมฤทธิ์ โดยตัวชี้วัดด้านการศึกษาที่เป็นสากลได้แก่ การประเมินผลสัมฤทธิ์ด้านการอ่าน คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ระดับนานาชาติหรือ PISA การทดสอบทางการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือ O-NET และตัวชี้วัดอื่นที่เกี่ยวข้อง

5. การเรียนโดยใช้สื่อเคลื่อนที่ (Mobile Learning) เน้นการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการศึกษาและฝึกอบรมครู

ในการนี้ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาได้จัดประชุมสัมมนาทางวิชาการระหว่างประเทศ ประจำปี 2556 เรื่อง “การศึกษาเพื่ออนาคตประเทศไทย” ระหว่างวันที่23 – 25 มิถุนายน 2556 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอก คอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ ซึ่งมีครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา เข้าร่วมการประชุมสัมมนา กว่า 1,000 คน โดยในการประชุมได้มีการนำเสนอแนวทางการจัดการศึกษาของประเทศสมาชิกUNESCO และ OECD จากภูมิภาคอื่นมาเทียบเคียงกับผลการศึกษาของประเทศไทย รวมถึงมีผู้แทนจาก UNESCO และ OECD มาให้ข้อเสนอแนะและคำแนะนำในการจัดทำ “ข้อเสนอนโยบาย ด้านการศึกษาของประเทศไทย”

และหลังจากนี้ ในการประชุมคณะกรรมการบริหาร UNESCO ครั้งที่ 192 ในเดือนกันยายน 2556 และการประชุมสมัยสามัญของ UNESCO ในเดือนตุลาคม 2556 นี้อาจมีการนำเสนองานด้านการศึกษาที่ประเทศไทยทำร่วมกับUNESCO และ OECD ด้วย เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะจากที่ประชุมและนำมาปรับปรุงร่างข้อเสนอนโยบายด้านการศึกษาเพื่อเป็นแนวทางให้หน่วยงานด้านการศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันสร้างความเข้มแข็งของระบบการศึกษาไทย และพัฒนาความสามารถของบุคลากรทางการศึกษาของประเทศเพื่อให้การศึกษาไทยเป็นการศึกษาที่มีคุณภาพยิ่งขึ้น

ผู้สนใจสอบถามรายละเอียดได้ที่ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา เลขที่ 99/20 ถนนสุโขทัยแขวงดุสิต กรุงเทพฯ 10300 โทร.0-2241-8284 ต่อ 2411และเว็บไซต์ www.onec.go.th

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33702&Key=hotnews

เผยเด็กไทยเข้ามหา’ลัยแค่ 30%

15 สิงหาคม 2556

เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ อธิการบดี มศว กล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “มศว.กับการขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อสังคม” ในงานโครงการบริหารวิชาการธุรกิจเพื่อสังคมว่า จากสถิติตัวเลขประชากรศาสตร์ พบว่าปัจจุบันมีเด็กเกิดโดยเฉลี่ย 7 แสนคนต่อปี และกฎหมายบังคับให้เรียนหนังสือทุกคน แต่ในความเป็นจริงกลับมีเด็กเข้าสู่ระบบการศึกษาเพียง 98% จบ ป.6 และ ม.3 ประมาณ 96% แม้จะเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างมาก แต่ไม่ได้พูดถึงคุณภาพเมื่อเด็กจบไปแล้วสามารถอ่านออกเขียนได้คล่องหรือไม่ และเด็กมีทัศนคติ มีความรู้ และมีความสุขในการดำเนินชีวิตหรือไม่

นพ.เฉลิมชัย กล่าวว่า ส่วนระดับอุดมศึกษา พบว่ามีเด็กเข้าสู่มหาวิทยาลัยน้อยลง มีเพียง 30% หรือประมาณ 2 แสนคน จากประชากรเด็ก 7 แสนคน และในจำนวน 2 แสนคน เรียนจบบ้าง ไม่จบบ้าง หรือจบแบบไม่รู้ว่าจะไปใช้ชีวิตอย่างไร ไม่มีทักษะความรู้ ความสามารถ ทั้งที่งบประมาณส่วนหนึ่งที่ใช้ในการเรียนมาจากภาษีประชาชน ดังนั้น มองว่าอุดมศึกษาควรเข้าไปช่วยให้บัณฑิตไทยรู้จักพึ่งพาตัวเอง ทำประโยชน์เพื่อสังคมมากขึ้น

นายมีชัย วีระไวทยะ นายกสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน กล่าวว่า บัณฑิตที่จบมีเพียง 30% ที่มีงานทำ ส่วน 70% ระบุไม่ได้ว่ามีงานทำหรือไม่ ดังนั้น อยากให้ผู้บริหารทางการศึกษาของไทยตื่นตัวเรื่องนี้มากขึ้น และส่งเสริมให้นักศึกษาช่วยเหลือตนเองได้ ไม่เช่นนั้นนักศึกษาไทยจะลำบาก เมื่อคนในประเทศลำบาก การพัฒนาประเทศจะลำบากไปด้วย

“ฉะนั้น ถึงเวลาแล้วที่ต้องเปลี่ยนระบบการศึกษาแบบท่องจำ มาเป็นให้เด็กคิดวิเคราะห์ และมีความคิดสร้างสรรค์ ริเริ่มค้นคว้าหาทางเลือกในการดำเนินชีวิตเองได้ ทั้งชีวิตส่วนตัว และชีวิตการงาน ขณะเดียวกันต้องสอนให้เด็กแก้ปัญหาอุปสรรคต่างๆ ได้ แนวทางหนึ่งคือให้นักศึกษาเรียนรู้การทำธุรกิจเพื่อสังคม เพื่อทำให้สังคมดีขึ้น ช่วยพัฒนาการศึกษา และขจัดความยากจน โดยเอากำไรมาช่วยคนที่รอคอยโอกาส ไม่ใช่ช่วยคนที่มีเงินแล้ว” นายมีชัยกล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33701&Key=hotnews