โรงเรียนเอกชนวอน ศธ.แก้ปัญหาหนักอก ‘จาตุรนต์’ ไฟเขียวทุกฝ่ายช่วยคิดวิธี

29 กรกฎาคม 2556

ดร.จิระพันธุ์ พิมพ์พันธุ์ นายกสมาคมสภาการศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ ตนและผู้แทนจาก 14 สมาคมการศึกษาเอกชน ได้เข้าพบนายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) โดยได้ยื่นหนังสือร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหา การจัดการศึกษาเอกชนที่ต้องการให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้แก่ การเพิ่มเงินเดือนผู้ที่จบปริญญาตรี 15,000 บาท ก่อให้เกิดวิกฤติกับโรงเรียนเอกชนอย่างมาก เพราะเท่ากับปรับเพิ่มถึง 59.95% ในขณะที่การอุดหนุนจากภาครัฐไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง จึงอยากให้ทบทวนการอุดหนุนในส่วนนี้ใหม่ รวมถึงการอุดหนุนค่าครองชีพ ซึ่งรัฐควรสนับสนุนให้เต็มจำนวน ไม่ใช่ให้เอกชนร่วมออกครึ่งหนึ่ง นอกจากนี้ควรปรับเพิ่มเงินอุดหนุนรายหัวของเด็กที่ยังต่ำกว่าความเป็นจริงให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ปัจจุบันด้วย

ดร.จิระพันธุ์ กล่าวต่อไปว่า สิ่งที่เป็นปัญหาของโรงเรียนเอกชนในขณะนี้คือการเลื่อนไหลของครู เพราะโรงเรียนของรัฐในทุกสังกัดจะเปิดรับครูในช่วงกลางปี โดยเป็นครูที่มีวุฒิปริญญาตรี และมีใบประกอบวิชาชีพครูแล้วเท่านั้น ซึ่งครูเหล่านี้ส่วนมากจะไปจากโรงเรียนเอกชน จึงส่งผลกระทบอย่างกะทันหันต่อโรงเรียนเอกชน และทำให้เด็กเสียโอกาสการเรียนรู้เป็นอย่างมาก ดังนั้นรัฐบาลจึงควรกำหนดการสอบครูในช่วงปิดภาคเรียนที่ 2 หรือช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายน อีกทั้งควรกำหนดอัตรากำลังการผลิตครูสาขาวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และสังคมศึกษา ให้เพียงพอและสอดคล้องกับความต้องการ โดยสำรวจความต้องการทั้งในโรงเรียนของรัฐ และเอกชน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขาดแคลนครู และควรกำหนดสัดส่วนการรับนักเรียนในแต่ละสังกัดให้ชัดเจน เพราะการขยายห้องเรียนในโรงเรียนรัฐส่งผลให้เด็กในโรงเรียนเอกชนทั้งสายสามัญ และสายอาชีพลดลง

ด้านนายจาตุรนต์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาสถานศึกษาเอกชนประสบปัญหาหลายเรื่องที่รอการแก้ไข ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการทำงาน ตนจึงอยากให้เอกชนคิดหาวิธี หรืออาจจะจัดเวิร์กช็อปเพื่อรับฟังความคิดเห็น และรวบรวมประเด็นปัญหา รวมทั้งข้อเสนอแนะต่าง ๆ เกี่ยวกับการศึกษาเอกชนทั้งหมด จากนั้นให้นำมาเสนอตน เพื่อจะได้จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นร่วมกันจากทุกภาคส่วนให้ครอบคลุมทุกประเด็นปัญหาเพื่อนำไปสู่การแก้ไขอย่างแท้จริง.

–เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 30 ก.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33496&Key=hotnews

สพฐ.ดูผลจากละครภาษาอังกฤษ พบพัฒนาการด้านภาษาของนักเรียนดีขึ้น

29 กรกฎาคม 2556

นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เปิดเผยว่าสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) มีสถาบันภาษาอังกฤษ เป็นหน่วยงานหลักในการพัฒนาการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ ทั้งด้านนักเรียน ครูผู้สอน และหลักสูตรการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ โดยกิจกรรมเกี่ยวกับการพัฒนานักเรียนด้านภาษาอังกฤษ เป็นกิจกรรมสำคัญที่ สพฐ.ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง มีการส่งเสริมและพัฒนานักเรียนในด้านทักษะทางภาษาต่างๆ ครบทุกทักษะทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะนักเรียนที่มีความสามารถพิเศษด้านภาษาอังกฤษ จะได้รับการส่งเสริมและต่อยอดพัฒนาให้มีความรู้ ความสามารถมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น กิจกรรมการละคร เป็นกิจกรรมการพัฒนาที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการส่งเสริมทักษะภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารของนักเรียน ตลอดจนเสริมสร้างความมั่นใจและกล้าแสดงออกในการใช้ภาษาอังกฤษโดยผ่านบทละคร
ซึ่ง สพฐ.ได้ดำเนินการจัดกิจกรรมการอบรมและแข่งขันละครภาษาอังกฤษอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี และในปี 2556 นี้ ได้จัดโครงการค่ายภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนผ่านศิลปะการละครขึ้น โดยกำหนดจัดค่ายอบรมด้านความรู้ ทักษะกระบวนการ และการฝึกปฏิบัติจริงจากผู้มีความรู้และประสบการณ์ในส่วนกลางให้แก่ครูผู้สอนภาษาอังกฤษที่รับผิดชอบกิจกรรมละครภาษาอังกฤษของโรงเรียน เพื่อที่ครูที่เข้ารับการอบรมจะได้นำความรู้และทักษtกระบวนการไปขยายผลและฝึกฝนนักเรียนเพื่อเข้าแข่งขันละครภาษาอังกฤษในระดับภูมิภาค ซึ่งสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาได้ดำเนินการจัดการแข่งขันละครภาษาอังกฤษไปเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา ณ หอประชุมคุรุสภากรุงเทพมหานคร พบว่าทั้งครูผู้สอนและนักเรียนได้พัฒนาศักยภาพด้านการใช้ภาษาอังกฤษและความคิดสร้างสรรค์มากขึ้นอันจะเป็นการต่อยอดองค์ความรู้ไปสู่การพัฒนาขีดความสามารถด้านต่างๆ การมีสุนทรียภาพด้านการละครวรรณกรรมภาษาอังกฤษ ที่จะส่งผลให้นักเรียนมีเจตคติที่ดียิ่งขึ้นต่อภาษาอังกฤษอีกทั้ง ยังเป็นการขยายผลไปยังครูและนักเรียนในส่วนภูมิภาคทั่วประเทศอีกด้วย

ที่มา: http://www.naewna.com

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33497&Key=hotnews

อสค.ยืนยัน ‘นมโรงเรียน’ เพิ่มโภชนาการเด็กไทย

29 กรกฎาคม 2556

รอง ผอ.อสค. เผยโครงการนมโรงเรียนส่งผลให้เด็กนักเรียนมีพัฒนาการดีขึ้น เตรียมชงครม.ขอยืดเวลาเป็นผู้ส่งนมโรงเรียนต่อ

นายสุชาติ จริยาเลิศศักดิ์ รองผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อสค.)เปิดเผยว่า จุดเริ่มต้นของการส่งเสริมให้นักเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาลไปจนถึง ป.6 ดื่มนมนั้น มาจากปัญหาโภชนาการในอดีตที่เด็กนักเรียนมีภาวะขาดแคลนโปรตีน ประกอบกับปัญหาการกระจายน้ำนมดิบให้กับเกษตกรที่ยังไม่ทั่วถึง จนถึงปัจจุบันได้มีคณะกรรมการนมโรงเรียนเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการตลอดจนการควบคุมมาตรฐาน โดยคุณภาพนมต้องผ่านโรงงานที่ได้ จีเอ็มพี ที่มีการตรวจสอบทุก 3 ปี

ทั้งนี้ ในระหว่างกระบวนการดังกล่าวโรงงานหรือศูนย์กระจายนมจะต้องส่งหลักฐานการตรวจสอบคุณภาพโภชนาการมาให้คณะกรรมการนมโรงเรียนตรวจสอบ และเกษตกรที่จะส่งน้ำนมดิบให้กับแหล่งรับซื้อนม ก็จะต้องเป็นฟาร์มที่ผ่าน GAP เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมามักมีปัญหาในเรื่องการขนส่ง ทำให้นมบูดและเสียเมื่อถึงมือเด็ก ทั้งนี้ ตั้งแต่เปลี่ยนให้ อสค.ดำเนินการเองก็สามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้ ซึ่งในปลายเดือนกันยายน 2556 จะสิ้นสุดระบบที่ให้ อสค.จัดส่งนมโรงเรียน ทำให้ อสค.กำลังพิจารณาว่าจะส่งแผนงานทั้งหมดไปให้คณะรัฐมนตรีเพื่อขอยืดเวลาให้ อสค.เป็นผู้ส่งนมให้เช่นเดิม

ส่วนงบประมาณขณะนี้ตกอยู่ที่ 7 บาทต่อหัวประชากร ซึ่งปัจจุบันมีนักเรียนที่ต้องดื่มนมในโรงเรียนทั่วประเทศประมาณ 7.6 ล้านคน เดิมมีประมาณ 8 ล้านคนแต่เนื่องจากเด็กเกิดน้อยลงทำให้ปริมาณนักเรียนลดลง ซึ่งงบประมาณที่ได้รับทั้งหมดประมาณหมื่นกว่าล้านบาท ถือว่าเพียงพอสำหรับการจัดส่งนม 260 วันต่อปี เพราะหักวันเสาร์ อาทิตย์ออกไป ส่วนช่วงปิดเทอมจะแจกนมกล่องให้เด็กเอากลับไปดื่มที่บ้านจึงไม่มีปัญหา

สำหรับการประเมินในเรื่องของการแก้ปัญหาโภชนาการนั้น นายสุชาติ กล่าวว่า ประเด็นนี้ยังไม่ชัดเจน เนื่องจากไม่มีงบประมาณดำเนินการ แต่จากการวิจัยด้านอื่นๆ ที่นักวิชาการที่จัดหาชุดนักเรียนให้ นักเรียนแต่ละชั้นปีพบว่า อัตราการขยายเพิ่มคือชุดนักเรียนที่จัดหาให้จะต้องเพิ่มขนาดมากขึ้นในแต่ละปี ซึ่งอาจจะพอบอกได้ว่า การดื่มนมของโรงเรียนสามารถแก้ปัญหาและทำให้เด็กพัฒนาการดีขึ้น ส่วนจะพัฒนาคุณภาพนมให้ดีขึ้น โดยมีนโยบายจะใช้นมโรงเรียนในการแก้ปัญหาด้านโภชนาการของนักเรียนในด้านอื่นๆ เช่น การขาดเหล็ก ปัจจุบันอยู่ระหว่างการหารือว่าจะทำไปพร้อมกันได้อย่างไรบ้าง

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33498&Key=hotnews

คอลัมน์: สถานี ก.ค.ศ: คุณวุฒิที่ ก.ค.ศ.รับรอง

29 กรกฎาคม 2556

ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวเกี่ยวกับการจัดการศึกษา ของมหาวิทยาลัยต่างประเทศซึ่งไม่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาให้ดำเนินการจัดการศึกษาในประเทศไทย ทำให้วุฒิที่สำเร็จการศึกษามานั้นเป็นวุฒิที่ไม่ได้รับการรับรอง ไม่สามารถใช้ประโยชน์ใดๆ ได้ นอกจากนี้ยังมีข่าวเกี่ยวกับการขายวุฒิการศึกษาปลอมทางเว็บไซต์ ซึ่งไม่เพียงแต่จะสร้างความเสียหายให้กับวงการศึกษาของประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังสร้างความเสียหายให้กับผู้ที่ไปสำเร็จการศึกษาจากสถาบันการศึกษาเถื่อนเหล่านั้น หรือผู้ที่ไปหลงกลซื้อวุฒิการศึกษาปลอมมาอีกด้วย สำหรับในแวดวงของวิชาชีพครูนั้น ก็มีกระแสข่าวที่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเข้าศึกษาต่อในสถาบันการศึกษาที่ไม่ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และสำนักงาน ก.พ. ด้วย ในวันนี้สำนักงาน ก.ค.ศ. จึงขอนำความรู้เกี่ยวกับความสำคัญของคุณวุฒิที่ ก.ค.ศ. รับรองมาชี้แจง ดังนี้

1.ผู้ที่สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรีขึ้นไป หากต้องการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย ต้องตรวจสอบว่าคุณวุฒิที่สำเร็จการศึกษามานั้น ก.ค.ศ. ให้การรับรอง และกำหนดเป็นคุณสมบัติเฉพาะสำหรับตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาหรือไม่ หาก ก.ค.ศ. ยังไม่ให้การรับรอง ต้องแจ้งให้สถาบันการศึกษาส่งคุณวุฒินั้นไปให้ ก.ค.ศ. รับรอง มิเช่นนั้นจะไม่มีสิทธิสมัครสอบ

2.เมื่อบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาแล้ว ไปศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น ก็ต้องตรวจสอบคุณวุฒิเช่นเดียวกันว่า ก.ค.ศ. ให้การรับรองคุณวุฒิที่ศึกษานั้นหรือไม่ เพราะหาก ก.ค.ศ. ยังไม่ได้ให้การรับรอง สำเร็จการศึกษามาแล้วก็ปรับวุฒิ ปรับเงินเดือนไม่ได้ ซึ่งทั้ง 2 กรณีต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.ค.ศ. กำหนดด้วย

3.คุณวุฒิการศึกษาที่ ก.ค.ศ. รับรอง หากเป็นสถาบันการศึกษาในประเทศไทย ก.ค.ศ. จะรับรองให้ผู้สำเร็จการศึกษาตามคุณสมบัตินั้นทั้งสถาบันการศึกษา พร้อมกำหนดอัตราเงินเดือนตามคุณวุฒิดังกล่าว แต่หากเป็นคุณวุฒิที่สำเร็จการศึกษาจากสถาบันการศึกษาต่างประเทศ ต้องเสนอ ก.ค.ศ. เพื่อพิจารณาเป็นรายๆ ไป ซึ่งคุณวุฒิที่ ก.ค.ศ. ให้การรับรองนั้น เพื่อประโยชน์ในการบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม

จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่า คุณวุฒิที่ ก.ค.ศ. รับรองนั้น สำคัญกับการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาอย่างไร ดังนั้นจึงฝากเตือนมายังผู้ที่สนใจจะเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ให้ตรวจสอบคุณวุฒิที่ท่านศึกษาอยู่ หรือผู้ที่เป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาอยู่แล้ว ก่อนการตัดสินใจไปศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น ให้ตรวจสอบคุณวุฒิการศึกษาที่จะไปศึกษาต่อว่าสามารถนำมาใช้เพื่อความก้าวหน้าในตำแหน่งที่ดำรงอยู่ได้หรือไม่ ก.ค.ศ. ให้การรับรองคุณวุฒิแล้วหรือไม่ หรือหากเป็นสถาบันการศึกษาต่างประเทศ สถาบันนั้นเปิดสอนถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ เพื่อที่จะได้ไม่เสียทั้งเงินและเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33499&Key=hotnews

’จาตุรนต์’ ดันคุณภาพการศึกษาไทยขึ้นแท่น

29 กรกฎาคม 2556

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า นโยบายเร่งด่วนที่ต้องการผลักดันให้การประเมินคุณภาพการศึกษาของไทยโดยองค์กรต่างประเทศ โดยเฉพาะการประเมิน PISA ให้ขยับไปสู่อันดับที่สูงขึ้น เนื่องจากการการประเมินครั้งล่าสุดของ PISA พบว่า ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 50 จากประเทศที่เข้าร่วมประเมิน ประมาณ 60 ประเทศนั้น โดยส่วนตัวเห็นว่า การจะขับเคลื่อนเรื่องนี้ให้สำเร็จจะต้องมีการประกาศเป้าหมายที่ชัดเจน ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ และต้องขับเคลื่อนพร้อมกันทั่วประเทศให้ไปในทิศทางเดียวกัน ที่ผ่านมา หลายหน่วยงานมีการดำเนินการต่างๆ เพื่อให้ประเทศไทยเลื่อนไปอยู่ในอันดับที่ดีขึ้น แต่เป็นในลักษณะต่างคนต่างทำ จึงไม่เห็นผลเท่าที่ควร

นายจาตุรนต์ กล่าวด้วยว่า ต้องมีการมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาขับเคลื่อนเรื่องนี้ในภาพรวมโดยเฉพาะ ซึ่งองค์ประกอบของคณะทำงานชุดนี้ควรมีความหลากหลาย ซึ่งนอกจากจะต้องมีหน่วยงานหลักต้นสังกัดของสถานศึกษา ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) แล้วนั้น ยังควรมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและมีบทบาทสำคัญ คือ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) รวมทั้งผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษา ด้านการสอน นักการศึกษามาร่วมเป็นคณะทำงานด้วย อย่างไรก็ตาม ระหว่างการประชุมมอบนโยบายให้ สพฐ.เมื่อเร็วๆ นี้ ตนได้มอบหมายให้ สพฐ.เป็นแม่งานในการขับเคลื่อนไทยเลื่อนอับดับ PISA ยกร่างแผนการทำงานรวมถึงไปเตรียมการเรื่องการตั้งคณะทำงานด้วย พร้อมกันนี้ ได้ฝากให้สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) เข้าไปช่วย สพฐ.จัดทำแผนขับเคลื่อนด้วย

“จะต้องมีการรณรงค์ในวงกว้างไปยังโรงเรียน ครู นักเรียนและผู้ปกครองด้วย เพราะการสอบ PISA นั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัย อาจไม่ได้รับความร่วมมือ เพราะฉะนั้น จำเป็นต้องทำความเข้าใจเพื่อให้ได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย อย่างไรก็ตาม จะต้องรอการประกาศผล PISA ล่าสุด ช่วงปลายปีก่อน เพื่อดูว่าประเทศไทยอยู่ในอันดับใด จากนั้นจึงตั้งเป้าหหมายได้ ว่าต้องการขับเคลื่อนให้ไทยเลื่อนขึ้นมาอยู่ในอันดับที่เท่าไร ทั้งนี้ การขับเคลื่อนจะต้องทำทั้งระบบ คือ ต้องมีการดำเนินการในส่วนอื่นๆ ตามมาด้วย เช่นมีการพัฒนาภาษาอังกฤษตามมา กำหนดเป้าหมายว่า การทำข้อสอบภาษาอังกฤษระดับนานาชาติ ต้องมีคะแนนดีขึ้นเท่าใด รวมถึงต้องเชื่อมโยงกับการพัฒนาครูด้วย”–จบ–

ที่มา: หนังสือพิมพ์บ้านเมือง

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33500&Key=hotnews

ม็อบครูผู้ช่วย ฮือประท้วง! จี้ กคศ.ทบทวนมติ ปลดจากราชการ

29 กรกฎาคม 2556

จี้กคศ.ทบทวนมติ ปลดจากราชการ
เครือข่ายครูผู้ช่วยฮึ่ม-นัดชุมนุมหน้าศธ.วันนี้ ยื่น 3 ข้อเสนอรมว.ศธ.วอนทบทวนคำสั่งให้ออกจากราชการ ตั้งคนนอกสอบทุจริต ขอให้รัฐเยียวยาการเงิน พักชำระหนี้ที่ใช้ตำแหน่งกู้มา โอดหลังดีเอสไอ-ก.ค.ศ.ส่งหนังสือแจ้งให้อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ ทั้ง 119 เขต เพิกถอนบรรจุตำแหน่งครูผู้ช่วยทั้ง 344 ราย ที่ถูกกล่าวหาว่าทุจริตการสอบ ตั้งแต่เดือนมิ.ย. ที่ผ่านมา ทุกคนต้องอยู่ด้วยความลำบาก ถูกสังคมรุมด่าขี้โกง ชีวิตเหมือนตกนรกทั้งเป็น ทำให้ครอบครัวเดือดร้อนไปทั่ว เพราะไม่มีรายได้มาเลี้ยงดู ลั่นขอพิสูจน์ความจริงให้ถึงที่สุด

เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 28 ก.ค. ที่สหกรณ์ออมทรัพย์ครูนครราชสีมา นายศิริชัย สมบัติโพธิ์ อดีตครูผู้ช่วย สังกัดโรงเรียนประถมศึกษาแห่งหนึ่งใน จ.ขอนแก่น ประธานเครือข่ายครูผู้ช่วย ว 12/56 และบรรดาอดีตครูผู้ช่วยที่ถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ระบุพบพฤติการณ์ส่อทุจริต ในการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการครู ในตำแหน่งครูผู้ช่วยกรณีมีความจำเป็น หรือเหตุพิเศษ ว 12 สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ในครั้งที่ผ่านมา โดยได้รับผลกระทบจากคำสั่งอนุกรรมการครู และบุคลากรทางการศึกษาเขตพื้นที่ให้เพิกถอนตำแหน่ง จำนวน 150 คน นัดหมายเดินทางมาพบนายออน กาจกระโทก ผู้แทนข้าราช การครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อเสนอปัญหาจากการถูกเพิกถอนจากตำแหน่ง และขอให้ช่วยเหลือเยียวยาอย่างเร่งด่วน
นายศิริชัยเปิดเผยว่า พี่น้องครูผู้ช่วยที่ถูกให้ออกจากราชการต่างประสบปัญหาการเงิน ถูกสังคมพิพากษาเป็นพวกทุจริตและขี้โกง ต้องดำรงชีวิตอยู่อย่างหลบซ่อนเสมือนตกนรกทั้งเป็น พวกเรายังไม่ได้รับความเป็นธรรมเท่าที่ควร ขณะที่ขบวนการไต่สวนยังไม่ครบถ้วน แต่ถูกกล่าวหา โดยไม่มีโอกาสได้ชี้แจงเท่าที่ควร ดังนั้น วันที่ 30 ก.ค.นี้จึงได้นัดหมายอดีตครูผู้ช่วยให้มาพร้อมกันที่ด้านหน้ากระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เพื่อขอความเป็นธรรมจากนายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศธ. โดยจะมีข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ดังนี้

1.ขอให้ทบทวนมติก.ค.ศ. ที่มีคำสั่งให้ออกจากข้าราชการใช้รูปแบบเหมารวมยกเขตพื้นที่การศึกษา โดยหลักการควรต้องสอบสวนข้อเท็จจริงดำเนินการเป็นรายบุคคลที่ถูกตรวจสอบพบพยานหลักฐานในการกระทำผิดที่ชัดเจน

2.ขอให้มีการแต่งตั้ง ซึ่งต้องสรรหาจากบุคคลภายนอกที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับองค์กรและมีความเป็นกลาง ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง มาสืบสวนสอบสวนหาความจริงให้ปรากฏต่อสังคม และ

3.ขอให้วิงวอนรัฐบาล รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หามาตรการช่วยเหลือเยียวยาด้านเศรษฐกิจระหว่างดำเนินการสอบสวน เช่น ออกมาตรการชะลอ พักชำระหนี้ จากสถาบันการเงินต่างๆ ตามสิทธิที่บุคคลทั้ง 344 นี้ ซึ่งมีส่วนหนึ่งใช้ตำแหน่งหน้าที่กู้เงินมา เนื่องจากตั้งแต่ถูกให้ออกจากข้าราชการไม่มีรายได้มาเลี้ยงชีพและครอบครัว รวมถึงหนี้เงินกู้ที่ต้องส่งจ่ายทุกเดือน

“ทุกคนมีความหวังที่จะกลับเข้าไปรับราชการครูเหมือนเดิม เพื่อคุณภาพชีวิตของตนเองและครอบครัวกลับมาเป็นปกติสุขอีกครั้ง จึงอยากขอโอกาสให้เราได้พิสูจน์ตัวเองบ้าง หากตรวจจับโพยเฉลยข้อสอบพบที่สนามสอบใด อยู่กับบุคคลใด ก็ควรจัดการตามกฎหมายเป็นรายๆ ไม่ใช่เหมายกเข่ง กล่าวหาคนที่ทำคะแนนสูงว่าเป็นพวกทุจริต เพราะหลายคนเคยผ่านสนามสอบมาแล้ว จึงมีประสบการณ์และต้องการบรรจุเป็นข้าราชการครูเพราะเป็นอาชีพที่มั่นคง จึงเตรียมความพร้อมเข้าอบรมหลักสูตรติวเตอร์ อ่านหนังสืออย่างหนักจนประสบความสำเร็จ” นายศิริชัยกล่าว

ส่วนข้ออ้างทำผิดข้อ 34 ประธานเครือข่ายฯ กล่าวว่า เป็นเพียงแนวทางเชิงวิเคราะห์เชื่อมโยงตามความน่าจะเป็น ไม่ใช่พยานหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่าใครที่กาผิดข้อ 34 จะต้องทุจริต ขณะนี้พวกเราได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งไปที่คณะอนุกรรมการข้าราช การครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) เขตพื้นที่ หากไม่ดำเนินการตามกำหนดเวลาก็จะยื่นต่อศาลปกครอง ซึ่งเป็นที่พึ่งสุดท้ายของกระบวนการยุติธรรม

ด้านนายออนกล่าวว่า ตามที่ดีเอสไอและคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ได้ส่งหนังสือแจ้งให้อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ ทั้ง 119 เขต ให้เพิกถอนบรรจุตำแหน่งครูผู้ช่วย ที่ส่อทุจริต จำนวน 344 ราย เมื่อเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา การพิสูจน์ความจริงแม้จะผ่านขบวนการตรวจสอบของดีเอสไอและก.ค.ศ.แล้ว แต่ยังวิตกกังวลว่ายังไม่ชัดเจนเท่าที่ควร ทำให้ผู้ถูกเพิกถอนได้รับความเดือดร้อน เคลือบแคลงใจในผลที่ได้รับ จึงเป็นที่มาของการรวมตัวกันเป็นเครือข่าย เพื่อเรียกร้องให้พิสูจน์ความจริงให้กระจ่างมากกว่านี้ ขอให้รมว.ศธ.ยึดหลักการที่เคยกล่าวไว้อย่างหนักแน่นว่าเป็น ศธ.ที่สะอาดและโปร่งใส จึงหวังว่าการดำเนินการกรณีนี้ต้องให้ความยุติธรรมแก่ทุกฝ่าย

ที่มา: http://www.matichon.co.th/khaosod

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33502&Key=hotnews

‘จาตุรนต์’ ให้ข้าราชการใช้ Facebook เปิดรับฟังความคิดเห็นของสังคมภายนอก

26 กรกฎาคม 2556

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการให้นโยบายในการเข้าถึงข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการว่าตนกำหนดให้มีการประชุมกับผู้บริหารองค์กรหลักของกระทรวงศึกษา เดือนละ 2 ครั้ง โดยประชุมสัปดาห์เว้นสัปดาห์ในวันพุธ แต่ละครั้งของการประชุมจะไม่ใช้เวลามากนักทั้งนี้เพื่อต้องการให้การทำงานร่วมกันของ ศธ.เป็นเอกภาพ สำหรับการประชุมเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ตนได้ขอให้แต่ละองค์กรหลักนำนโยบายที่ตนได้ประกาศไว้เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2556 ไปพิจารณาดำเนินการให้เป็นแผนงาน/โครงการในการขับเคลื่อน ซึ่งอาจจะมีการทำ Workshop เพื่อให้เกิดความเข้าใจร่วมกันในเรื่องใหม่ๆ ของการทำงาน และต้องการให้เห็นความคืบหน้าของนโยบาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายต่างๆ ที่จะไปเกี่ยวข้องกับผู้ได้รับประโยชน์หรือผู้มีส่วนร่วม (Stakeholder) กับการศึกษา เช่น ครูผู้สอน ผู้เรียนผู้ปกครอง ผู้ประกอบการภาคธุรกิจ ฯลฯ  เพื่อให้คนทั้งสังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาให้มากที่สุดโดยต้องออกแบบระบบการรับฟังความคิดเห็นที่มีประสิทธิภาพ และใช้สื่อที่มีอยู่อย่างเต็มที่  ซึ่งตนได้เสนอให้ใช้  Social Media โดยเฉพา  ะFacebook  เพราะจะเป็นสื่อสำคัญในการเปิดรับฟังความคิดเห็นของสังคมที่มีต่อนโยบายการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ  ซึ่งจะมีการขับเคลื่อนกิจกรรมใหญ่ๆ ในเดือนสิงหาคม 2556 ยกเว้นบางเรื่องที่เป็นเรื่องเฉพาะก็จะทยอยดำเนินการ เพื่อให้รวดเร็วทันใจต่อสังคมมากขึ้น

ที่มา: http://www.naewna.com

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33485&Key=hotnews

 

อาเซียนสัญจร 4 ภูมิภาคและกรุงเทพมหานคร ปี 2556

26 กรกฎาคม 2556

อาเซียนสัญจร 4 ภูมิภาคและกรุงเทพมหานคร ปี 2556 : มหกรรมอาเซียนสัญจร 4 ภูมิภาคและกรุงเทพมหานคร ภายใต้โครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากรและเยาวชนเพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ประจำปี 2556

พันธกรณีในการเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมอาเซียน (ASEAN Community : AC) ในปี 2558 ของประเทศไทย ตามที่ผู้นำอาเซียนได้เห็นพ้องร่วมกันนั้น โดยรัฐบาลไทยให้ความสำคัญต่อการเตรียมความพร้อมของประชาชนชาวไทย ต่อการรวมกลุ่มของภูมิภาคและภายใต้บริบทการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกดังปรากฏในคำแถลงนโยบายของรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี (นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ที่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2554 เกี่ยวกับการนำประเทศไทยไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ในปี 2558 อย่างสมบูรณ์ โดยสร้างความพร้อมและความเข้มแข็งทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม และการเมืองและความมั่นคง รวมถึงการเพิ่มขีดความสามารถของทรัพยากรมนุษย์เพื่อรองรับการเปิดเสรีประชาคมอาเซียน โดยในส่วนหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนของไทยต่างให้ความสำคัญในการเร่งเตรียมความพร้อมเพื่อให้การเป็นประชาคมอาเซียนเป็นไปอย่างสมบูรณ์

การศึกษามีบทบาทสำคัญในการสร้างประชาคมอาเซียนโดยการศึกษาเป็นกลไกในการปลูกฝังค่านิยม แนวความคิดความเข้าใจกันระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน และเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งและความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจของอาเซียนและเศรษฐกิจโลก

กระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะหน่วยงานหลักในการเตรียมความพร้อมทรัพยากรมนุษย์ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างประชาคมอาเซียนอย่างยั่งยืนตระหนักถึงความสำคัญ ในการสร้างความรู้ความเข้าใจที่เกี่ยวกับอาเซียนและประชาคมอาเซียน การศึกษาผลกระทบทั้งเชิงบวกและลบ และเร่งผลักดันให้มีการพัฒนาเยาวชน บุคลากรทางการศึกษา และประชาชนทั่วไป เพื่อพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงและตอบสนองต่อความต้องการตลาดแรงงาน รวมทั้งสามารถแข่งขันได้ในเวทีภูมิภาคและโลก ได้มีการเตรียมการและดำเนินการในหลากหลายรูปแบบอย่างต่อเนื่องทั้งในระดับชาติและภูมิภาค รวมทั้งได้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียนของกระทรวงศึกษาธิการ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธานคณะกรรมการอำนวยการ และผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ (นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด) เป็นประธานคณะกรรมการดำเนินการเพื่อขับเคลื่อนการเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียนของกระทรวงศึกษาธิการ ทั้งนี้ ได้กำหนด 6 ประเด็นสำคัญ เพื่อขับเคลื่อนการเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียนของกระทรวงศึกษาธิการ โดยมุ่งเน้นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานด้านการศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ให้เกิดผลอย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ ดังนี้

(1) การรณรงค์การใช้ภาษาอังกฤษ และเรียนรู้ภาษาต่างประเทศอื่น (2) การสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับอาเซียน (3) การผลิตและพัฒนาครู (4) การเคลื่อนย้ายในอาเซียน (5) การเสริมสร้างเครือข่ายระหว่างประเทศ (6) การจัดตั้งศูนย์อาเซียนศึกษา สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เล็งเห็นถึงความสำคัญในการเผยแพร่ความรู้เรื่องอาเซียนและการพัฒนาศักยภาพที่จำเป็น โดยเฉพาะทักษะภาษาอังกฤษให้แก่นักเรียน นักศึกษา และบุคลากรทางการศึกษา จึงกำหนดจัดมหกรรมอาเซียนสัญจร 4 ภูมิภาค และกรุงเทพมหานคร ภายใต้โครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากรและเยาวชน เพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ประจำปี 2556 เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในประชาคมอาเซียนและการส่งเสริมการใช้ภาษาอังกฤษและส่งเสริมบทบาทเด็กและเยาวชนไทยในเวทีระดับนานาชาติ อันจะนำไปสู่การมีบทบาทนำและการเป็นประชาชนอาเซียนที่มีคุณภาพต่อไปด้วย โดยเป้าหมายของโครงการ ประกอบด้วย นักเรียน นักศึกษา และบุคลากรทางการศึกษารวมถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับด้านการศึกษาจากทั่วประเทศ

กิจกรรมต่างๆ ในโครงการ ได้แก่

1. การจัด Workshop และการแข่งขันพูดภาษาอังกฤษในที่ชุมชน เป็นการส่งเสริมให้เยาวชนไทย อายุระหว่าง 16 – 20 ปี ได้มีโอกาสพัฒนาความรู้และเทคนิคด้านการพูดภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้องและมั่นใจ
2. การจัด Workshop และการแข่งขันการเขียนเรียงความภาษาอังกฤษ เป็นการส่งเสริมให้นักเรียนมัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า อายุระหว่าง 14-18 ปี ได้มีโอกาสพัฒนาความรู้ด้านการเขียนภาษาอังกฤษที่ถูกต้อง
3. การแข่งขันสะกดคำภาษาอังกฤษระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและมัธยมศึกษาตอนปลาย เพื่อฝึกฝนทักษะด้านการฟัง การสะกดคำ และการเขียนคำภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้องและรวดเร็วที่สุด
ทั้งนี้ผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศในการแข่งขันทั้ง 3 กิจกรรม จะได้รับทุนศึกษาดูงานในต่างประเทศ
นอกจากนี้ยังมีการจัดสถานีกิจกรรมฐานความรู้สู่ประชาคมอาเซียน เป็นการเสริมสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับอาเซียนและประชาคมอาเซียน โดยผ่าน 4 สถานีกิจกรรม ประกอบด้วย
1) สถานี Knowing ASEAN นำเสนอข้อมูลที่สำคัญและโดดเด่น ของ 10 ประเทศสมาชิกอาเซียน
2) สถานี Food & Currency in ASEAN เสริมสร้างการรับรู้ถึงวัฒนธรรมของประเทศในอาเซียนผ่านอาหารที่โดดเด่นของแต่ละประเทศ และเรียนรู้เศรษฐกิจของอาเซียนผ่านสกุลเงินตราของแต่ละประเทศ
3) สถานี Mobility in ASEAN สร้างการรับรู้เรื่องการเคลื่อนย้ายนักเรียน นักศึกษา แรงงานฝีมือและบริการวิชาชีพใน 7 สาขาวิชาชีพ และ 1 สาขางานบริการ ได้แก่ วิศวกร สถาปนิก นักบัญชี ช่างสำรวจ แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล และสาขาบริการท่องเที่ยว
4) สถานี Do you know AC? เรียนรู้เรื่องอาเซียนและประชาคมอาเซียนทั้ง 3 เสาหลัก ได้แก่ ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน
กำหนดการดำเนินกิจกรรมครั้งที่ 1 พิธีเปิดโครงการฯ และกิจกรรมรอบภาคกลาง และ กทม.
วันที่ 25 – 26 กรกฎาคม 2556 ที่โรงแรมอิมพีเรียล ควีนส์ปาร์ค กทม.ครั้งที่ 2 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
วันที่ 8 – 10 สิงหาคม 2556 ที่โรงแรมโฆษะ จังหวัดขอนแก่นครั้งที่ 3 ภาคใต้
วันที่ 22 – 24 สิงหาคม 2556 ที่โรงแรมเค พาร์ค แกรนด์ จังหวัดสุราษฏร์ธานีครั้งที่ 4 ภาคเหนือ
วันที่ 5 – 7 กันยายน 2556 ที่โรงแรมลำปางเวียงทอง จังหวัดลำปางครั้งที่ 5 รอบชิงชนะเลิศ
วันที่ 28 กันยายน 2556 ที่โรงแรมมณเฑียร ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพมหานคร
เยาวชนผู้สนใจสามารถสมัครร่วมกิจกรรมต่างๆ ในส่วนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภายในวันที่ 2 สิงหาคม 2556 ภาคใต้ ภายในวันที่ 16 สิงหาคม 2556 และภาคเหนือ ภายในวันที่ 30 สิงหาคม 2556 ดูรายละเอียดที่ www.bic.moe.go.th หมายเลขโทรศัพท์ 0 2281 6370 ต่อ 108 – 110 และ 122

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33484&Key=hotnews

ศธ.หวังเทียบเท่าสากลวางกรอบนโยบายอาชีวะ 9 ด้าน

26 กรกฎาคม 2556

ศึกษาธิการ : รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการมั่นใจแผน กรอบแนวทางการขับเคลื่อนนโยบายสู่การปฏิบัติของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เชื่อนำไปสู่การปฏิบัติได้ทันที

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวภายหลังรับฟังยุทธศาสตร์แลกเปลี่ยนข้อคิดของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาว่า การอาชีวศึกษาถือเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาประเทศทั้งการ เตรียมกำลังคนให้พร้อมและมีคุณภาพ จึงได้จัดนโยบายการศึกษาอาชีวศึกษาให้มีมาตรฐานเทียบ เท่าระดับสากล ผลักดันกรอบคุณวุฒิวิชาชีพ พัฒนาการเรียนการสอนแบบทวิภาคี ที่สำคัญคือการวาง เป้าหมายเพิ่มสัดส่วนผู้เรียนอาชีวศึกษากับสามัญเป็น 50:50 ใน ปี 2558
ทั้งนี้ คณะกรรมการการอาชีวศึกษาได้กำหนดกรอบแนวทางการขับเคลื่อนนโยบายไปสู่การปฏิบัติ 9 ด้าน ประกอบด้วย

1.ประเมินสถานการณ์อาชีวศึกษาโดยเร่งด่วน

2.เร่งผลิตกำลังคนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ และประกาศนียบัตรชั้น สูง

3.เร่งผลักดันให้เกิดระบบกรอบคุณวุฒิวิชาชีพ

4.ขยายและยกระดับการเรียนการสอนแบบทวิภาคี

5.ยกระดับความร่วมมือกับต่างประเทศให้มากขึ้น

6.ปรับภาพลักษณ์การอาชีวศึกษา

7.ขยายโอกาสทางการศึกษาและยกระดับการศึกษาของแรงงานไทย

8.พัฒนาแรงงานต่างด้าวให้มีความรู้ความสามารถและทักษะสอดคล้องกับความต้องการ และ

9.สร้างเครือข่ายอาชีวอาเซียน

อย่างไรก็ตาม ถือว่าสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาได้นำนโยบายมาทำแผนมาตรการได้อย่างเป็นรูปธรรม ทำให้เชื่อมั่นได้ว่าจะนำไปสู่การปฏิบัติได้ทันที

ที่มา: หนังสือพิมพ์โลกวันนี้

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33482&Key=hotnews

ศธ.ตั้งคณะทำงานเพิ่มอันดับ ‘PISA’

26 กรกฎาคม 2556

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่าจาก นโยบายที่ต้องการขับเคลื่อนประเทศไทย ให้ไต่อันดับสูงขึ้นในโครงการประเมินผล นักเรียนนานาชาติ ของประเทศสมาชิก องค์กรเพื่อความร่วมมือและพัฒนาเศรษฐกิจ หรือ PISA เพราะผลประเมินครั้งล่าสุด ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 50 จากประเทศ ที่เข้าร่วมประเมิน 60 ประเทศนั้น ส่วนตัว เห็นว่าถ้าจะขับเคลื่อนให้สำเร็จจะต้อง ประกาศเป้าหมายที่ชัดเจนและขับเคลื่อน พร้อมกันทั่วประเทศในทิศทางเดียวกัน ซึ่งที่ผ่านมาหลายหน่วยงานต่างคนต่างทำ จึงไม่เห็นผลเท่าที่ควร ฉะนั้นจึงจำเป็น ต้องมีการตั้งคณะทำงาน เพื่อขับเคลื่อน โดยมีสำนักงานคณะกรรมการการศึกษา ขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เป็นแม่งาน

“คณะทำงานชุดนี้ ประกอบด้วย 5 หน่วยงานหลัก คือ สพฐ. สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย และสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นอกจากนั้น มีผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษา ด้านการสอน นักการศึกษา ร่วมเป็นคณะทำงาน” รัฐมนตรีว่าการ ศธ.กล่าว และว่า เรื่องนี้ต้องรณรงค์ในวงกว้างเพราะการสอบ PISA ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัย จึงอาจไม่ได้รับความร่วมมือ

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33481&Key=hotnews