สพฐ. มึนปั่นหุ้น ‘แท็บเล็ต’ 5 ก.ค. บอร์ดอี-ออกชั่นเปิดต่อรอง บ.สุพรีม

4 กรกฎาคม 2556

นายชินภัทร ภูมิรัตนเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวถึงกรณีกระแสข่าวบริษัท เสิ่นเจิ้น อิงถังอินเทลลิเจ้น คอนโทรล จำกัด ปั่นหุ้นตัวเองด้วยการมาประโคมข่าวว่าได้ทำสัญญากับกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ไทย ในการจัดซื้อเครื่องแท็บเล็ตให้นักเรียน ว่าไม่ทราบเรื่องดังกล่าว แต่คิดว่าน่าจะเป็นการแสดงความคิดเห็นกันไปเอง อย่างไรก็ตาม ในวันศุกร์ที่ 5 ก.ค.56 จะมีการประชุมคณะกรรมการประกวดราคาการจัดซื้อจัดจ้างด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรืออี-ออกชั่น จัดซื้อแท็บเล็ตประจำปีการศึกษา 2556 โดยจะหารือทั้งประเด็นการต่อรองราคาจัดซื้อแท็บเล็ต ในโซน3 ที่บริษัท สุพรีม ดิสทิบิวชั่น (ไทยแลนด์) จำกัด ชนะไปด้วย ราคา 1,240,900,000 บาท จากราคาเริ่มต้น 1,245,914,360 บาทเฉลี่ย 2,908.24 บาทต่อเครื่อง แต่ราคาที่ชนะยังสูงอยู่รวมถึงการหารือประเด็นที่อาจเป็นปัญหาในโซน 1 และโซน 2

ขณะที่แหล่งข่าว ศธ. กล่าวว่า ประเด็นการปั่นหุ้นของบริษัท เสิ่นเจิ้น อิงถังฯน่าจะมีมูลความจริงเพราะข่าวจากประเทศฮ่องกง ได้รายงานก่อนจะมีการจัดอี-ออกชั่นหลายเดือนว่าบริษัท เสิ่นเจิ้น อิงถังฯได้ประกาศให้นักลงทุนทราบว่าบริษัทของตนชนะการประกวดราคาจัดซื้อแท็บเล็ตกับ ศธ.ไทย ซึ่งการประโคมข่าวดังกล่าวทำให้ราคาหุ้นของบริษัท เสิ่นเจิ้น อิงถังฯ พุ่งขึ้นหลายเท่าตัวแต่เมื่อภาครัฐได้ตรวจสอบความจริง กลับพบว่าเป็นเพียงข่าวหลอกเพื่อหวังปั่นหุ้นจึงเตรียมสั่งประหารชีวิตผู้บริหารของบริษัทเสิ่นเจิ้น อิงถังฯ ซึ่งด้วยเรื่องดังกล่าวทำให้บริษัท เสิ่นเจิ้น อิงถังฯ จะแพ้การอี-ออกชั่นปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาไม่ได้ เพราะเดิมพันด้วยชีวิต ผลการอี-ออกชั่นแท็บเล็ต ก็ออกมาตามคาด ว่าบริษัท เสิ่นเจิ้น อิงถังฯ ชนะประกวดราคา ไป 2 สัญญา จาก 4 สัญญา

“เพราะบริษัท เสิ่นเจิ้น อิงถังฯ มีเดิมพันสูง จึงยอมเสนอราคาประกวดที่ต่ำจนชนะ แต่ขาดทุน ขณะที่เรื่องนี้จะส่งผลกระทบอะไรกับคุณภาพและประสิทธิภาพแท็บเล็ตหรือไม่นั้น เข้าใจว่าทางคณะกรรมการอี-ออกชั่นของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) คงต้องไปเตรียมการรับมือแทน เบื้องต้นหากบริษัท เสิ่นเจิ้นอิงถังฯ รับสภาพขาดทุนไม่ไหวแล้วทิ้งงานเราก็สามารถยึดเงินแบงก์การันตีขอบบริษัทได้สัญญาละ 60 ล้านบาท รวม 2 สัญญาเป็นเงิน 120 ล้านบาท แล้วจัดอี-ออกชั่นใหม่ ส่วนการต่อรองราคาแท็บเล็ตกับบริษัทสุพรีมฯ คาดว่าจะต่อรองราคาให้ลดอีก300 ล้านบาท” แหล่งข่าว ศธ. กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33253&Key=hotnews

รมว.ศธ.จี้ 5 องค์กรหลักร่วมปฏิรูป มุ่ง ‘เรียนรู้-ผลสัมฤทธิ์’ เด็กไทยสูงขึ้น

4 กรกฎาคม 2556

เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับ ผู้บริหารระดับสูง 5 องค์กรหลักของ ศธ.ว่า ได้รับฟังรายงานความคืบหน้า ข้อเสนอแนะ และปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงานเรื่องต่างๆ ของสำนักงานปลัด ศธ.และสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) โดยพบว่าแต่ละหน่วยงานนำนโยบายของรัฐบาลในด้านการศึกษามาจำแนกแยกแยะ และพัฒนาเป็นแผนยุทธศาสตร์ได้อย่างดี และมีความชัดเจนในหลายเรื่อง เพื่อให้นโยบายเดินไปสู่เป้าหมายได้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งในส่วนของการนำไปปฏิบัตินั้น คงต้องติดตามกันต่อไปว่าแต่ละ ส่วนจะทำอย่างไร โดยอยากให้ประสาน และเชื่อมโยงกันทุกหน่วยงานใน 5 องค์กรหลัก โดยเฉพาะในเรื่องการปฏิรูปหลักสูตรการเรียนการสอน หรือการเรียนรู้ การพัฒนาครู การทดสอบการวัดผล และการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา ที่จะต้องนำไปอิงกับการจัดอันดับในการประเมินขององค์กรระหว่างประเทศ อีกทั้ง จะต้องพัฒนาระบบประเมินของไทยให้ดี และมีมาตรฐานมากขึ้นด้วย

“เรื่องที่สำคัญมาก และต้องทำโดยเร็ว คือการปฏิรูปการเรียนรู้ การเรียนการสอน ที่ต้องคู่ขนานไปกับการปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่กว่าจะเริ่มใช้อย่างทั่วถึงก็น่าจะใช้เวลาอีกประมาณ 2-3 ปี ฉะนั้น ระหว่างนี้จะทำอย่างไรให้การเรียนการสอนมีผลสัมฤทธิ์ที่สูงขึ้น และตอนนี้มีวิทยาการใหม่ๆ เกิดขึ้นในยุคอินเตอร์เน็ต การเรียนในยุคใหม่ต้องหาวิธีให้เด็กคิดเป็น และอธิบายได้ ไม่ใช่ให้เด็กค้นคำตอบทางอินเตอร์เน็ตแล้วนำมาตัดแปะส่งรูปเท่านั้น อีกทั้ง ควรต้องปรับการเรียนการสอนใหม่ๆ ในหลายๆ วิชา” นายจาตุรนต์กล่าว

นายจาตุรนต์กล่าวว่า ส่วนการจัดทดสอบโดยสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) ต้องดูว่ามาตรฐาน และความเชื่อมโยงกับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน เช่น การออกข้อสอบนอกหลักสูตรหรือไม่ จนทำให้ผลคะแนนต่ำ หรือกรณีที่ผลคะแนนสูง อาจเป็นเพราะเด็กไปเรียนนอกตำรา เป็นต้น สำหรับเรื่องคอมพิวเตอร์พกพา หรือแท็บเล็ตนั้น เรื่องใหญ่คือเนื้อหาสาระที่ป้อนเข้าไปในแท็บเล็ต เพราะไม่ใช่เอาเนื้อหาอะไรใส่เข้าไปก็ได้

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33251&Key=hotnews

เกาะติดการปฏิรูปการศึกษาไทย 2

4 กรกฎาคม 2556

เพชร เหมือนพันธุ์
การปฏิรูปการศึกษาครั้งนี้เป็นความหวังของอนาคตประเทศไทย ยุคไทยก้าวเข้าสู่อาเซียน AEC อยากเปรียบเทียบให้เห็นความชัดเจนว่า การออกแบบปฏิรูปการศึกษา การปฏิรูปหลักสูตรการศึกษา ก็เสมือนการสร้างบ้าน การสร้างบ้านจะให้มีความมั่นคงแข็งแรงสวยงามเพียงใด ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบสองส่วนคือ หนึ่ง แบบรูปรายการ หรือพิมพ์เขียว (Blue Print) และสอง ช่างก่อสร้างที่มีความเชี่ยวชาญแบบรูปรายการจะเป็นเค้าโครงที่บ่งบอกถึงรูปโครงสร้างหน้าตาของอาคาร อยากให้เป็นทรงสเปน ทรงอิตาลี ทรงไทย หรือทรงโมเดิร์น อย่างไรก็อยู่ที่ผู้เขียนแบบจะกำหนด อยากให้มีห้องเล็ก มีห้องใหญ่ มีห้องใต้ดินก็จะอยู่ที่ผู้เขียนแบบ ส่วนจะให้เกิดความมั่นคง แข็งแรง สวยงามอย่างไรอยู่ที่ฝีมือช่างก่อสร้าง

หลักสูตรใหม่กระทรวงศึกษาฯกำลังออกแบบอยู่ขณะนี้ก็เปรียบเสมือนกำลังออกแบบพิมพ์เขียว (Blue Print) หลักสูตรทางการศึกษา ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งเป็นหัวใจของการศึกษาทุกระดับ ภาพที่ปรากฏผ่านสื่อคือ ลดเวลาเรียนในห้องลง จากปีละ 1,000-1,200 เหลือ 600-800 ชั่วโมง จัดกลุ่มสาระวิชาออกเป็น 6 กลุ่มสาระวิชา ลดลงจากเดิมที่มี 8 สาระวิชา ในระดับชั้นประถมศึกษาจะเรียนวันละ 5 คาบ ในระดับชั้นมัธยมศึกษาเรียนวันละ 6 คาบ โดยจะจัดให้มีการเรียนนอกห้องเรียนปีละ 400 ชั่วโมง

เห็นหน้าตาพิมพ์เขียวหลักสูตรที่ออกมาแล้วรู้สึกว่าเป็นอย่างไรครับ ดูแบบพิมพ์เขียวก่อนที่จะนำไปก่อสร้างในปีการศึกษาหน้า

การจัดการเรียนนอกห้องเรียนปีละ 400 ชั่วโมง จะจัดการเรียนอย่างไรเพื่อให้เด็กได้ฝึกฝนตนเองกิจกรรมหลายอย่างทางโรงเรียนจัดไว้ให้ จัดเป็นชุมนุมกิจกรรมต่างๆ (Club) เช่น กีฬา ดนตรี ศิลปะ อาสาพัฒนา หรืออาจเป็นกิจกรรมนอกโรงเรียนเช่น สมัครเป็นสมาชิกชมรมนักฟุตบอลของชุมชนที่ตนอาศัยอยู่ ซึ่งในต่างประเทศมีชมรมภายนอกโรงเรียนมากมาย ส่วนในเมืองไทยยังไม่ชัดเจน เวลาส่วนนี้ 400 ชั่วโมง กระทรวงศึกษาธิการจะออกแบบให้สถานศึกษาบริหารอย่างไรจึงจะมีคุณภาพ มีตัวอย่างให้ดูในหลายประเทศ

สอนให้น้อย เรียนให้มาก (Teach Less Learn more) ในประเทศสิงคโปร์ที่ระดับผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของเขาอยู่ในลำดับที่ 5 ของโลกใช้วิธีการเรียนการสอนเช่นนี้ คือครูจะสอนเด็กไม่ใช้เวลามาก แต่จะให้เด็กได้ฝึกปฏิบัติ ได้สร้างทักษะ สร้างความชำนาญการเรียนรู้และแก้ปัญหาให้แก่ตนเอง ในประเทศเยอรมนี เด็กนักเรียนจะเรียนในภาคเช้าเต็ม เรียนภาคบ่าย 1-2 ชั่วโมง ถึงบ่ายสองโมง หลังจากนั้นเด็กจะกลับบ้าน หรือเข้าร่วมกิจกรรมที่เขาสนใจ ชมรมต่างๆ เข้าคลับ (Club) แม้เด็กเขาจะเรียนในห้องน้อย แต่เขาเรียนหนักกว่าเด็กไทย ครูเขาจะพูดน้อย แต่เด็กเขาจะเรียนมาก ครูเขาจะให้เด็กได้ฝึก ได้ทำกิจกรรมมาก ส่วนเด็กไทยที่ผ่านมาจะเรียนมาก ทำกิจกรรมน้อย เปรียบเสมือนเราใช้เวลาเรียนปั่นจักรยาน หรือเรียนว่ายน้ำอยู่ในห้องเรียนมากเกินไป แต่ไม่ได้ลงไปฝึกในสนามหรือไม่ได้ลงไปสระว่ายน้ำ การศึกษาไทยจึงคุณภาพลดลงโดยลำดับ

หลักสูตรและครูผู้สอนจึงมีความสัมพันธ์กันมาโดยตลอด เสมือนคนเขียนพิมพ์เขียวกับช่างก่อสร้าง ช่างก่อสร้างก็เหมือนครู สามารถพัฒนา สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เพราะโดยทักษะ พื้นฐานเขาเป็นช่างโดยอาชีพอยู่แล้ว แม้ว่าจะมี นวัตกรรมใหม่ๆ หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาเขาก็สามารถใช้วัสดุเหล่านั้นก่อสร้างได้ ครูก็สามารถพัฒนาวิธีสอนของตนเองได้เร็วเช่นกัน ขอเพียงผู้ออกแบบเขียนแบบได้ชี้แจงให้เข้าใจก่อน ใช้ให้ถูกต้องเหมาะสม บ้านหลังใหม่ก็จะเกิดขึ้นตามจินตนาการของผู้เขียนแบบ

ถ้าได้ช่างเก่งๆ ได้ครูเก่ง สิ่งก่อสร้างที่ออกมาก็อาจได้คุณภาพตามแบบที่กำหนดถึง 100 เปอร์เซ็นต์
สร้างบ้านตามแบบพิมพ์เขียวเสร็จแล้ว สอนเด็กให้เรียนตามหลักสูตรใหม่จบแล้ว ไม่ทราบว่าจะถูกใจเจ้าของบ้านจะถูกใจผู้เข้าอยู่อาศัย จะพอใจผู้นำผลผลิตไปใช้หรือเปล่า บางครั้งสร้างเสร็จก็จะได้คำตอบทันที แต่บางครั้งต้องใช้เวลาหลายปี หลักสูตรใหม่ก็เช่นกัน การทดลองสร้าง การทดลองใช้ การ (Try Out) จึงมีความจำเป็น เคยจำได้ไหมครับ บ้านทรงสเปนเคยเป็นที่นิยม เข้ามาสู่เมืองไทยเมื่อ 20 กว่าปีที่ผ่านมา เดี๋ยวนี้บ้านทรงนั้น อยู่อาศัยไม่ได้แล้ว ไม่เหมาะกับอากาศเมืองไทย

สิ่งที่ผู้ปกครองต้องการคือ ระดับประถมศึกษา ป.1-ป.6 ขอให้ลูกอ่านออก เขียนได้ คิดเลขคล่อง เข้ากับเพื่อนได้ มีนิสัยดีใฝ่รู้ใฝ่เรียน ใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีแสวงหาความรู้ ได้มีวัฒนธรรมของรักความเป็นไทยเท่านั้นเอง ส่วนในมัธยมศึกษาตอนต้น ม.1-ม.3 เป็นช่วงวัยเด็กที่จะก้าวเข้าสู่วัยรุ่นตอนต้น โดยธรรมชาติ เด็กต้องการมีสมบัติส่วนตัวที่สามารถผลิตได้ด้วยตนเอง สามารถพึ่งตนเองได้บางส่วน ต้องการเรียนรู้ประสบการณ์ในทักษะการผลิตเบื้องต้น เช่น เรียนรู้งานไม้ ลานปูน งานไฟฟ้า งานเกษตร อยากเป็นนักแสวงหา วิชาช่างพื้นฐานเด็กควรได้เรียนรู้และได้ฝึกปฏิบัติในระดับนี้ ส่วนในระดับ ม.ปลาย คือ ชั้น ม.4-ม.6 เด็กควรจะได้เลือกแล้วว่าตนเองจะเรียนในสายวิชาชีพ หรือสายวิชาการ เมื่อได้เลือกเรียนสายใดแล้วเด็กก็จะได้ตั้งใจมุ่งไปสู่ความสำคัญในสายนั้น
น่าเสียดายที่หลักสูตรในอดีตที่ผ่านมาไม่ได้ตอบคำถามเหล่านี้

ไม่อยากเห็นความล้มเหลวในการปฏิรูปหลักสูตรในครั้งนี้ มีอุทาหรณ์เรื่องหนึ่งที่อยากยกมาประกอบคือ เมื่อประมาณสองปีที่แล้ว ผู้เขียนได้ไปดูงานโรงงานอุตสาหกรรมแป้งมันในจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งมีเครือข่ายอยู่ในภาคอีสานหลายจังหวัด ผลผลิตแป้งมันได้ส่งไปขายยังต่างประเทศทั้งในยุโรปและประเทศจีน ได้ทราบว่าลูกชายได้เข้ามาช่วยดูแลบริษัทด้วย ผมก็ได้คุยเรื่องการศึกษาของลูกชายเจ้าของบริษัทแห่งนี้ ท่านได้เล่าให้ฟังมาสมัยเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ลูกชายของท่านได้เข้าเรียนในหลายโรงเรียน เรียนแล้วก็มีปัญหา ถูกครูกล่าวหาว่าไม่รับผิดชอบ เรียนโง่ เรียนไม่ทันเพื่อน ท่านได้ส่งเข้าไปเรียนในโรงเรียนดังๆ ในกรุงเทพ ก็เรียนไม่จบ มีข้อกล่าวหาเช่นเดิม
จนในที่สุด ท่านได้ตัดสินใจส่งลูกไปเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมศึกษาที่ประเทศสิงคโปร์ เพียงปีเดียวลูกชายของท่านก็พูดภาษาอังกฤษได้คล่อง สื่อสารภาษาจีนได้ ผลการเรียนดีขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ ท่านก็เลยสรุปว่า วิธีเรียน วิธีสอนในโรงเรียนในประเทศสิงคโปร์แตกต่างจากประเทศไทย เขาสามารถสอนเด็กโง่ให้กลายเป็นเด็กที่ฉลาดได้ ปัจจุบันท่านก็ได้ลูกชายที่เรียนจบจากสิงคโปร์คนนี้มาช่วยงานบริษัทของท่าน

นักปฏิรูปและนักศึกษาทั้งหลายไม่ลองหันกลับมาดูข้อผิดพลาดบางประการของตนเองบ้างหรือครับ ปรับวิธีเรียน เปลี่ยนวิธีสอน ยืมแทคติค ดีๆ ของเขามาใช้ เผื่อจะได้ประโยชน์ต่อการปฏิรูปการศึกษาครั้งนี้

“เด็กไทยที่ผ่านมา จะเรียนมาก ทำกิจกรรมน้อย เปรียบเสมือนเราใช้ เวลาเรียนปั่นจักรยาน หรือเรียนว่ายน้ำอยู่ในห้องเรียนมากเกินไป การศึกษาไทยจึงคุณภาพลดลงโดยลำดับ”

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33250&Key=hotnews

เฟ้นเด็กเก่งคณิตแข่งจีเอสพี

3 กรกฎาคม 2556

นางพรพรรณ ไวทยางกูร ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) แจ้งว่า สสวท.ได้จัดประกวดผลงานสร้างสรรค์ของคนมีความสามารถทางคณิตศาสตร์โดยใช้โปรแกรม The Geometers Sketchpad (GSP) ระดับประเทศ ประจำปี 2556 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นเวทีสำหรับนักเรียนทุกระดับชั้นในการนำความรู้คณิตศาสตร์ที่ได้รับในห้องเรียนมาประมวลสร้างสรรค์ผลงาน การประกวดแบ่งออกเป็น 3 ระดับชั้น ได้แก่ ประถมศึกษา มัธยมต้น และมัธยมปลาย

“จุดเด่นในปีนี้คือ การประกวดรอบคัดเลือก เป็นการสอบแบบโอเพ่นบุ๊ก ที่เปิดโอกาสให้เด็กได้ศึกษาค้นคว้าเพื่อหาคำตอบ ทั้งจากที่บ้านและโรงเรียน อันเป็นรูปแบบใหม่ของการสอบที่สอดคล้องกับชีวิตจริง โดยขณะนี้ สสวท.ได้เฟ้นหาสุดยอดทีมเพื่อเข้าสู่การแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศแล้ว จำนวน 120 ทีม (ระดับละ 40 ทีม) และจะประกวดรอบชิงชนะเลิศ ในเดือน สิงหาคมนี้ ได้แก่ ระดับประถมศึกษา วันที่ 5-6 สิงหาคม มัธยมศึกษาตอนต้น วันที่ 7-8 สิงหาคม และมัธยมศึกษาตอนปลาย วันที่ 9-10 สิงหาคม ณ โรงแรมเอส 31 กรุงเทพฯ” ผอ.สสวท.กล่าว

ดูรายละเอียดทีมที่ผ่านการคัดเลือกได้ที่เว็บไซต์ www.ipst.ac.th หมวดข่าวประกาศ สสวท. เฟซบุ๊กสาขาคณิตศาสตร์ มัธยมศึกษา สสวท.https://www.face-book.com/ipstmath หรือ สอบถามที่โทร.0-2335-5222

ทั้งนี้ จีเอสพีเป็นโปรแกรมที่ สสวท.ได้ส่งเสริมให้ใช้ในการจัดการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ เพื่อให้นักเรียนคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหาและนำคณิตศาสตร์ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ อีกทั้งเป็นเครื่องมือให้นักเรียนบูรณาการคณิตศาสตร์เข้ากับเทคโนโลยีและวิชาต่างๆ ได้อย่างหลากหลายมากยิ่งขึ้น

–คมชัดลึก ฉบับวันที่ 3 ก.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33245&Key=hotnews

วชช.จัด กศ.ใหม่นำร่อง 4 หลักสูตรตอบสนองชุมชน

3 กรกฎาคม 2556

รศ.ชวนี ทองโรจน์ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่น สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) กล่าวว่า ในการสัมมนาสภาวิชาการวิทยาลัยชุมชน ประจำปี 2556 เมื่อเร็วๆนี้ ได้มอบนโยบายการจัดการศึกษารูปแบบใหม่ของวิทยาลัยชุมชน(วชช.) 3 รูปแบบ ได้แก่

1.การจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาท้องถิ่นชุมชน เรียกว่า แทร็กวิทยาลัยชุมชน โดยจะเน้นพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะที่สอดคล้องกับความต้องการของคนในชุมชน ตอบสนองการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน

2.การจัดการศึกษาเพื่อการประกอบอาชีพ หรือ แทร็กอาชีพ เน้นการพัฒนาอาชีพ ตอบสนองความต้องการแรงงาน ทักษะ และการประกอบอาชีพอิสระ และ

3.การจัดการศึกษาระดับอนุปริญญาหรือแทร็กอนุปริญญา เน้นการต่อยอดความรู้ตอบสนองความต้องการศึกษาต่อระดับปริญญา

“ทุกรูปแบบจัดการศึกษาที่แตกต่างกันเพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการผู้เรียนอย่างแท้จริง ซึ่งทั้ง 3 รูปแบบนี้สามารถเทียบโอนผลการเรียนการสอนลักษณะนี้จะทำให้เกิดความยืดหยุ่นคล่องตัว และสามารถสนองตอบความต้องการของชุมชน ประเทศชาติและภูมิภาคได้ดียิ่งขึ้นโดยปีการศึกษา 2556 เริ่มนำร่องจัดการเรียนรูปแบบใหม่ใน 4 หลักสูตร ได้แก่ หลักสูตรการเกษตรแบบผสมผสาน หลักสูตรการท่องเที่ยว หลักสูตรการอาหาร และหลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุ/เด็ก/ผู้ป่วย”  รศ.ชวนี กล่าว

ดร.กฤษณพงศ์ กีรติกร ประธานคณะกรรมการ วชช.กล่าวว่า ในแทร็กวชช.และแทร็กอาชีพ จะจัดการเรียนการสอนในลักษณะโมดูล(Module)ซึ่งแตกต่างจากการเรียนแบบสะสมหน่วยกิตทั่วไป และระยะเวลาการเรียนจะไม่ถูกจำกัดว่าจะต้องเรียนกี่ชั่วโมงเพื่อให้เท่ากับกี่หน่วยกิต แต่จะใช้การวัดสมรรถนะหรือผลสัมฤทธิ์ที่เกิดขึ้นจริงเป็นเกณฑ์ ดังนั้นการจัดการเรียนการสอนจะขึ้นอยู่กับ วชช.แต่ละแห่งที่จะออกแบบหลักสูตรและระยะที่ใช้ว่าแค่ไหนจึงจะสามารถทำให้เกิดการเรียนรู้และออกไปประกอบอาชีพจริงได้

–คมชัดลึก ฉบับวันที่ 3 ก.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33244&Key=hotnews

 

เผยมุมมอง ค่านิยมหญิงไทย ผ่านผู้บริหารหญิงของสถาบันอาชีวะ

3 กรกฎาคม 2556

ในวันที่สังคมไทยมองสิทธิ ความเสมอทางเพศระหว่างหญิงและชายเท่าเทียมกัน เราจึงเห็นว่าสังคมไทยมีสตรีแถวหน้าที่มีความสามารถมากมายในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ตลอดจน แวดวงการการศึกษาก็เช่นกัน ที่ปัจจุบันมีการพัฒนาหลักสูตรในระดับปริญญาตรีของสายการเรียนอาชีวะ ซึ่งเป็นสายที่มักจะมีผู้บริหารชายเสียส่วนใหญ่ แต่ในวันนี้เรามีผู้บริหารหญิงสามท่านของสถาบันการอาชีวศึกษา ซึ่งเป็นดั่ง “สามทหารเสือสาวแห่งอาชีวะ” ที่มีความสามารถและความเป็นผู้นำไม่แพ้ผู้บริหารชายท่านอื่นๆ และยังได้รับการยอมรับในวงการอาชีวศึกษาอย่างกว้างขวาง มาพูดถึงบทบาทของสตรีในสังคมอาชีวศึกษาทุกวันนี้ให้ฟัง

เริ่มจาก นางสุพิศ ยางาม ผู้อำนวยการวิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงใหม่ ผู้ริเริ่มหลักสูตรการเรียนการสอนสายอาชีวะที่ประสบความสำเร็จมากมาย ได้กล่าวว่า สายการเรียนอาชีวะที่ ผู้หญิงนิยมเรียนอยู่ในปัจจุบันหนีไม่พ้นสาขาบัญชี คอมพิวเตอร์ธุรกิจ การตลาด ซึ่งเป็นอาชีพที่ต้องใช้ความละเอียดรอบคอบสูง จึงเป็นอาชีพที่ค่อนข้างจะเหมาะสมกับความเป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย แต่ขณะนี้ก็มีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่เลือกเรียนในสาขาวิชาที่เป็นของผู้ชายอย่างสาขาช่างต่างๆ เช่น ช่างยนต์ ช่างไฟฟ้า ช่างอิเล็กทรอนิกส์นั้น อาชีพเหล่านี้ในอดีตจะไม่รับ นักเรียนหญิง แต่ปัจจุบันสาขาเหล่านี้เปิดรับนักเรียนทุกเพศอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งก็มีผู้หญิงให้ความสนใจเรียนด้านนี้อยู่ไม่น้อยและยังเรียนได้ดีกว่าผู้ชายด้วย เพราะผู้หญิงมีบุคคลิกที่ความละเอียดและรอบคอบมากกว่าทำให้เป็นที่ยอมรับของตลาดแรงงานอย่างมาก แต่เนื่องด้วยค่านิยมของคนไทยยังคงมองว่าสาขาอาชีพเหล่านี้เป็นสาขาอาชีพของผู้ชายทำให้ผู้ปกครองยังไม่สนับสนุนให้บุตรสาวเรียนในสาขานี้มากเท่าที่ควร”
ด้าน ดร.กฤชนันท์ ภู่สวาสดิ์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยพาณิชยการบึงพระพิษณุโลก กล่าวต่อว่า เมื่อผู้หญิงหันไปเรียนวิชาอื่นๆ มากขึ้นทำให้ปัจจุบันการเรียนในด้านคหกรรมซึ่งเป็นอีกหนึ่งสาขาที่เหมาะกับผู้หญิงมากที่สุดนั้น มีผู้เรียนลดน้อยลงอย่างมาก

“อีกไม่นานประเทศไทยจะเข้าสู่ประชาคมอาเซียนแล้ว และการแข่งขันทางเทคโนโลยีปัจจุบันนี้มีมากมายทั้งในอาเซียนและทั่วโลก แต่ประเทศไทยของเรามีจุดแข็งอยู่ นั่นคือ ความเป็นไทย ในงานด้านศิลปะ งานฝีมือ งานโบราณของไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่ต่างชาติต่างก็เห็นคุณค่าในงานเหล่านี้ ดิฉันอยากอยากรณรงค์ให้เด็กๆ เห็นว่า อาชีพด้านคหกรรม อาชีพที่ต้องใช้ฝีมือและความปราณีตน่าจะเป็นจุดขายของไทยมากที่สุด ธุรกิจด้านนี้จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจและไปได้สวยในอนคต จึงอยากจะให้เด็กรุ่นใหม่หันมาสนใจเรียนในด้านเหล่านี้ ซึ่งทางอาชีวะเองก็มีโครงการที่จะปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตรให้น่าสนใจและทันสมัยมากขึ้นด้วย”

ท้ายสุด ดร.ชมพูนุช บัวบังศร ผู้อำนวยการวิทยาลัยพณิชยการเชตุพน ฝากถึงนักเรียนหญิงที่สนใจจะเรียนในสายอาชีวะว่า ปัจจุบันโอกาสของสตรีมีสูงมากขึ้น จะเห็นได้จากการทำงานที่ผู้หญิงก็มีความสามารถไม่แพ้ผู้ชาย และด้านการศึกษาที่ต่างก็เปิดโอกาสให้แก่ผู้หญิงและผู้ชายอย่างเท่าเทียมกัน วิชาชีพทุกวันนี้เปิดกว้างมาก ไม่ว่านักเรียนต้องการเรียนด้านไหน สาขาอะไร ตนในฐานะครูเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีทั้งสิ้น แต่ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเกิดจากความรัก ความชอบ ไม่ใช่เรียนตามกระแส ถ้าเราทำทุกอย่างด้วยความรัก ความชอบ ทำทุกอย่างออกมาจากใจ สิ่งนั้นก็จะดีที่สุด

ที่มา: http://www.naewna.com

เผยมุมมอง ค่านิยมหญิงไทย ผ่านผู้บริหารหญิงของสถาบันอาชีวะ

 

กรอ.ปล่อยกู้ ‘ปวส.-ป.ตรี’ 1,313 หลักสูตรถึง 31 ก.ค.

3 กรกฎาคม 2556

น.ส.ฑิตติมา วิชัยรัตน์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้เปิดระบบ e-Studentloan กองทุนเงิน กู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) สำหรับนักศึกษาชั้นปี 1 ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ทุกสาขา และปริญญาตรี เฉพาะสาขาที่เป็นความต้องการหลัก และมีความชัดเจนของการผลิตกำลังคนของประเทศ 90 กลุ่มสาขาวิชา หรือ 1,313 หลักสูตร/สาขาวิชา มีสิทธิขอกู้ยืมเงินในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2556 ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม หากผู้กู้ยืมมีฐานะยากจน มีรายได้ครอบครัวไม่เกิน 200,000 บาทต่อปี สามารถกู้ยืมค่าครองชีพเพิ่มเติมจากค่าเล่าเรียนได้ เมื่อเรียนจบ และมีรายได้ถึง 16,000 บาทต่อเดือน ต้องผ่อนจ่ายชำระคืนในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 ภายในเวลา 15 ปี

น.ส.ฑิตติมากล่าวอีกว่า สำหรับนักศึกษาที่ประสงค์ขอกู้ยืม ดูรายละเอียดเพิ่มเติม และขอกู้ยืมผ่านระบบ e-Studentloan ทาง www.studentloan.or.th ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม โทร.0-2610-4888

–มติชน ฉบับวันที่ 4 ก.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33242&Key=hotnews

กศน.กางปฏิทินประเมินจบ ม.6 ใน 8 เดือน

3 กรกฎาคม 2556

นายประเสริฐ บุญเรือง เลขาธิการสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (สำนักงาน กศน.) เปิดเผยว่า ตามที่ กศน. จัดโครงการยกระดับการศึกษาประชาชน จบ ม.6 ใน 8 เดือน อย่างมีคุณภาพ นั้น กศน. ได้ประกาศรับสมัครกลุ่มเป้าหมาย ผู้เข้ารับการประเมิน และประสานงานกับ สถาบันทดสอบทางการ ศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เพื่อดำเนินการประเมินภาคทฤษฎี และ เตรียมการจัดทำข้อสอบ และการกำหนดสนามสอบ 1 จังหวัด 1 แห่ง ส่วนพื้นที่ห่างไกล หรือมีกลุ่มเป้าหมายจำนวนมาก สามารถมี สนามสอบมากกว่า 1 แห่งได้ โดยให้อยู่ในดุลพินิจของสำนักงาน กศน.จังหวัด ทั้งนี้ ต้องกำกับ ควบคุม ดูแล การดำเนินการสอบให้ เป็นไปอย่างเรียบร้อย ไม่ให้เกิดการทุจริต หรือเกิดความเสียหายแก่ ทางราชการ

เลขาธิการ กศน. กล่าวต่อไปว่า การประเมินผลแบ่งเป็น 2 ภาค ได้แก่ ภาคทฤษฎี 70% และภาคประสบการณ์ 30% โดย ข้อสอบภาคทฤษฎี จะเป็นข้อสอบจาก สทศ. 20% และข้อสอบ ของ กศน. 50% ซึ่งจะต้องผ่านการประเมินภาคทฤษฎีในแต่ละ รายวิชาไม่น้อยกว่า 50% ก่อน จึงเข้าสู่การประเมินภาคประสบการณ์ ที่เป็นการประเมินด้วยการปฏิบัติจริง และหรือสัมภาษณ์ และ หรือชิ้นงาน และหรือแฟ้มประมวลประสบการณ์ โดยแต่ละราย วิชาต้องได้คะแนนภาคทฤษฎี และภาคประสบการณ์รวมกันไม่ น้อยกว่า 60% ทั้งนี้ การจัดสอบภาคทฤษฎีจะจัดให้มีการสอบ 2 ครั้ง ครั้งที่ 1 จัดสอบโดย สทศ. วันที่ 27-28 ก.ค.นี้ ประกาศผล 25 ส.ค. และ จัดสอบโดย กศน. วันที่ 3-4 ส.ค. ครั้งที่ 2 จัดสอบโดย สทศ. วันที่ 23-24 พ.ย. ประกาศผล 25 ธ.ค. และจัดโดย กศน. วันที่ 30 พ.ย.-1 ธ.ค. 2556 ดูตารางสอบได้ที่ www.pattanadownload.com

–เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 4 ก.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33241&Key=hotnews

ปรับศึกษาทางไกลสอดคล้องชุมชนแล้วเสร็จ ก.ค.นี้

3 กรกฎาคม 2556

ศ.ดร.ปรัชญา เวสารัชช์ ประธานอนุกรรมการพิจารณาและติดตามประเมินผลการจัดการศึกษาระบบการศึกษาทางไกล เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ อนุกรรมการพิจารณาและติดตามฯ ได้ประชุมร่วมกับคณะทำงานพัฒนาเกณฑ์การเปิดดำเนินการหลักสูตรระดับปริญญาในระบบการศึกษาทางไกล ที่มี ผศ.สุพรรณี สมบุญธรรม เป็นประธาน เรื่องหลักเกณฑ์การขอเปิดและดำเนินการหลักสูตรระดับปริญญาในระบบการศึกษาทางไกล พ.ศ.2548 ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ปรับปรุงประกาศที่จะต้องสอดคล้องและดำเนินการตามมติคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.) โดยเฉพาะการอนุมัติให้เปิดหลักสูตรต้องเป็นสาขาวิชาที่เป็นความต้องการของชุมชนและสังคม โดยเป็นสาขาวิชาที่สถาบันนั้นๆ มีความเชี่ยวชาญเฉพาะ และต้องมีผลการประเมินคุณภาพการศึกษาภายนอก ระดับคณะในระดับดีมากในรอบปีการศึกษาสุดท้าย และไม่ให้จัดการเรียนการสอนในระบบการศึกษาทางไกลในหลักสูตรระดับปริญญาเอก เนื่องจากเป็นหลักสูตรสำคัญ ผู้เรียนควรได้รับความรู้เหมาะกับการเป็นดุษฎีบัณฑิต

“สถาบันที่จัดการศึกษาทางไกล ที่เกาหลี ได้เก็บค่าเล่าเรียนนักศึกษาไม่ต่างจากนักศึกษาที่เรียนในระบบการศึกษาทั่วไป ขณะที่ต้นทุนการจัดการศึกษาทางไกลไม่ได้ถูกกว่าการจัดการศึกษาปกติ แต่เน้นให้ผู้เรียนมีความรู้จริงสามารถนำไปใช้ได้ ต่างจากไทยไม่เน้นว่าผู้เรียนต้องมีความรู้จริง แค่ให้ได้ปริญญาและไม่ต้องเรียนมากคณะทำงานพัฒนาเกณฑ์การเปิดดำเนินการฯ จะต้องนำข้อมูลนี้มาปรับปรุงประกาศให้สอดคล้องกับของไทย” ศ.ดร.ปรัชญา กล่าว

ส่วนความคืบหน้าในการพิจารณารับทราบหลักสูตรการจัดการศึกษาระบบการศึกษาทางไกลของสถาบันอุดมศึกษา 9 แห่ง แต่ขอยกเลิก 4 แห่ง เนื่องจากเกรงว่าจะจัดการสอนไม่ได้คุณภาพ ทำให้เหลือสถาบันขอรับทราบและปรับปรุงหลักสูตร 5 แห่ง 10 หลักสูตร สกอ.ได้ไปตรวจประเมินที่สถาบันทั้งหมดแล้ว และอยู่ช่วงพิจารณาข้อมูล แต่จะต้องเร่งดำเนินให้เร็วที่สุด และต้องเร่งดำเนินการปรับปรุงประกาศดังกล่าวให้เสร็จภายในเดือนนี้ เนื่องจากนายอภิชาติ จีระวุฒิ เลขาธิการ กกอ. ให้เร่งดำเนินการ เพื่อจะได้ประกาศใช้

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33240&Key=hotnews

ห่วงลอกการบ้านผ่านสื่อออนไลน์ นักวิชาการแนะปรับวิธีสอนเด็ก-เพิ่มกิจกรรม

3 กรกฎาคม 2556

นายอมรวิชช์ นาครทรรพ ที่ปรึกษาด้านวิชาการ สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) กล่าวถึงผลวิจัยของ Child Watch เรื่องวงจรชีวิต “เด็กไทย 1 วันทำอะไรบ้าง” ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พบว่า เด็กไทย 1 ใน 3 ถูกสื่อโซเชี่ยลมีเดียดึงเวลาไปจากครอบครัว กว่า 50 เปอร์เซ็นต์ เสียเวลาตั้งแต่ตื่นนอน 6-8 ช.ม. ไปกับสื่อออนไลน์ ขณะที่อีก 40 เปอร์เซ็นต์ ยอมรับว่าอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเด็กกลุ่มนี้มีความเสี่ยงต่อโรค “ขาลีบ ก้นใหญ่ มือยาว ปากจู๋ หูเล็ก” โดยขาลีบและก้นใหญ่ เพราะไม่ค่อยได้เดิน ไม่ออกกำลังกาย เนื่องจากวันๆ เอาแต่นั่งเล่นมือถือ ส่วนมือยาว เพราะใช้นิ้วอย่างหนักกับการสไลด์หน้าจอและกด แมสเสจ ขณะที่ปากจู๋ เพราะไม่ค่อยได้พูดเอาแต่แชต และหูเล็ก เพราะมีไว้เสียบหูฟังอย่างเดียว

ปรึกษาด้านวิชาการ สสค. กล่าวต่อว่า ดังนั้น ครอบครัวจึงจำเป็นต้องชิงพื้นที่สื่อออนไลน์ ด้วยการหากิจกรรมทำร่วมกันกับลูกหลาน ขณะที่โรงเรียนเองจำเป็นต้องเป็นแรงหนุนสำคัญในการสร้างกิจกรรมทางเลือกที่หลากหลายให้ลูกศิษย์ โดยเฉพาะการเรียนการสอนต้องปรับให้สอดคล้องกับสิ่งที่เด็กอยากเรียน เด็กจึงจะมีฉันทะในการเรียนรู้ และรักที่จะลงมือทำเอง ไม่ใช่เรียนลัดด้วยการลอกการบ้านลอกข้อสอบ ไม่เช่นนั้นต่อไปประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศตัดแปะ หรือ Copy and Paste กล่าวคือ ปฏิบัติตามคำสั่งได้อย่างเดียวเพราะคิดไม่เป็น ฉะนั้นหากทุกฝ่ายช่วยกัน ปัญหาต่างๆ ที่เกิดจากสื่อออนไลน์ เช่น ปัญหาการลอกการบ้านเพื่อนผ่านสื่อออนไลน์ ซึ่งเป็นการเรียนรู้แบบไฮเทค ลอกการบ้านผ่านไลน์ ผ่านสื่อโซเชี่ยลมีเดีย ส่งผลให้เด็กเรียนได้แต่ไม่รู้เรื่อง เพราะไม่มีองค์ความรู้ หรือเด็กสมาธิสั้น ซึ่งหากแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ การโดดเรียนก็จะลดลงตามได้

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 4 ก.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33237&Key=hotnews