เด็กออกกลางคันยอดพุ่งหลักล้าน กศน.ปรับตัวเป็นที่พึ่งสร้างปัญญา

12 มิถุนายน 2556

นายสมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า จากการเป็นประธานคณะกรรมการตัดสินการประกวด “สุดยอด กศน.” ทั่วทุกภูมิภาค พบข้อสังเกตหนึ่งคือเด็ก กศน.ขณะนี้เป็นกลุ่มวัยรุ่นจำนวนมาก แสดงให้เห็นว่ามีเด็กประชากรวัยเรียน ที่ควรอยู่ในการศึกษาภาคบังคับและเรียนในระบบโรงเรียนหลุดออกจากระบบจำนวนมาก และจากการสอบถาม นายประเสริฐ บุญเรืองเลขาธิการ กศน. พบว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีนักศึกษา กศน. เพิ่มขึ้น 200,000 คน โดยส่วนใหญ่เป็นเด็กในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน หากตัวเลขการเพิ่มขึ้นของ กศน.ดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าในแต่ละปีมีเด็กหลุดจากระบบการศึกษาจำนวนมาก โดยกศน.รองรับได้เพียง 200,000 คน ส่วนที่ไม่ได้เรียนกับ กศน.หายไปอีกมีจำนวนมากแต่จะเป็นจำนวนเท่าไรต้องนำตัวเลขมาเปรียบเทียบระหว่างผู้เรียนจบชั้น ม.3 ในระบบโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กับเด็กที่เรียนต่อด้านอาชีวศึกษา และที่เรียนกับกศน.มีจำนวนเท่าไร รวมทั้งผู้เรียนจบจากสถานศึกษา สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ก็จะทำให้รู้ว่ามีเด็กที่หายไปจำนวนเท่าไร ซึ่งคาดการณ์เบื้องต้นว่าไม่น้อยกว่า1 ล้านคน

“เด็กที่หายไปจากระบบการศึกษาดังกล่าว เราไม่รู้ว่าหายไปอยู่ที่ไหน แต่ผมถือว่าเป็นเด็กกลุ่มเสี่ยง หรือเป็นเด็กลุ่มล่องลอย ไม่รู้อยู่ที่ไหนในสังคม และเป็นเรื่องสำคัญที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญ เพราะเด็กหายไป 1 ล้านคน ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ

เป็นตัวเลขที่รัฐบาลต้องตื่นตัว” นายสมพงษ์กล่าวและว่า โดยส่วนตัวเห็นว่าสาเหตุที่ทำให้เด็กหลุดจากระบบ เพราะโรงเรียนไม่สามารถดูแลเด็กได้ทุกกลุ่ม ทั้งที่มีกฎหมายรองรับ แต่การศึกษาของไทยมีผู้ที่ได้รับประโยชน์สูงสุดเพียง 20% เท่านั้น ซึ่งคือกลุ่มคนที่เรียนต่อมหาวิทยาลัย ซึ่งในเบื้องต้นนี้ เห็นว่า กศน.ต้องปรับตัวทำงานเชิงรุกให้มากขึ้น โดยเข้าไปค้นหาเด็กกลุ่มที่หายจากระบบกลับเข้าเรียนกับ กศน.

ด้านนายประเสริฐ บุญเรือง เลขาธิการ กศน. กล่าวว่า ตามข้อกำหนดของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เด็กที่เรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานจะต้องเรียนอยู่ในระบบ แต่เด็กบางคนอาจมีปัญหาด้านความประพฤติ ท้องก่อนวัยเรียน จนไม่สามารถเรียนอยู่ในระบบต่อไปได้ ทำให้ต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน ซึ่ง กศน.จะสามารถรับเด็กกลุ่มนี้เข้าเรียนได้ แต่ต้องให้เขตพื้นที่การศึกษาทำหนังสือส่งตัวมาให้ ซึ่งแต่ละปีมีตัวเลขเด็กที่มีปัญหาดังกล่าวค่อนข้างสูงเช่น จังหวัดขอนแก่น และนครราชสีมามีเด็กหลุดจากระบบการศึกษา จังหวัดละเป็นหมื่นคน

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32995&Key=hotnews

ผุด ‘อ.ก.ค.ศ.สพฐ.’ แก้ปัญหา สพท. สอศ.ไม่ห่วงทุจริตคัด ‘รอง-ผอ.’ อาชีวะ

12 มิถุนายน 2556

เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยถึงกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ให้สถานศึกษาในสังกัด ที่เป็นหน่วยรับเปิดรับสมัครสอบคัดเลือกสรรหาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษาและรองผู้อำนวยการสถานศึกษา รวม 216 ตำแหน่ง ระหว่างวันที่ 10-16 มิถุนายน และจะสอบวันที่ 14 กรกฎาคมนี้ ว่าการสอบคัดเลือกรองผู้อำนวยการและผู้อำนวยการสถานศึกษาในสังกัด สอศ.นั้น ไม่น่ากังวลถึงปัญหาการทุจริต ที่ผ่านมา สอศ.ไม่เคยมีปัญหาในการสอบเลย เพราะมีขั้นตอนที่รัดกุม ทั้งในการออกข้อสอบเองและตรวจข้อสอบเอง และตอนสอบมีการตรวจตราสิ่งที่ต้องห้ามทุกอย่าง และที่สำคัญคนเข้าสอบไม่มีใครที่จะทำการทุจริต เพราะเป็นข้าราชการอยู่แล้ว หากถูกจับได้ก็ไม่คุ้มค่า อย่างไรก็ตาม การสอบครั้งนี้ คาดว่าจะมีผู้สมัครมากกว่าครั้งที่ผ่านมาเพราะมีการเปิดกว้างและผู้ที่เป็นข้าราชการครู ก็สามารถมา สมัครสอบได้ด้วย

ด้านนายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวถึงแนวคิดและข้อเสนอของคณะกรรมการ กพฐ. ที่จะให้มีคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่า แนวคิดนี้มาจากหลายครั้งเวลาเกิดปัญหาในระบบบริหารงานบุคคลระหว่างเขตพื้นที่การศึกษากับเขตพื้นที่การศึกษา ไม่มีผู้ตัดสินเพราะต่างฝ่ายต่างก็มีศักดิ์เท่ากัน และยังมีกรณีการย้ายระหว่างเขตพื้นที่ฯ ก็มีกรณีพิพาทและหาข้อยุติไม่ได้ ดังนั้น หากจะให้เรื่องนี้ยุติควรต้องทำแบบสมัยสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (สปช.) ที่มีคณะอนุกรรมการข้าราชการครู สปช. ทำหน้าที่ตัดสินข้อพิพาทระหว่างเขตพื้นที่ฯ ฉะนั้นจึงมีการเสนอให้มี อ.ก.ค.ศ. สพฐ. มีอำนาจหน้าที่พิจารณาเรื่องราวปัญหาข้อขัดแย้งต่างๆ เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลจากเขตพื้นที่ฯ โดยไม่ต้องเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) พิจารณาและตัดสิน ซึ่งทำให้มีเส้นทางที่ไกลและอาจแก้ไขปัญหาไม่ทันกับเหตุการณ์ โดยการจะมี อ.ก.ค.ศ.สพฐ.จะต้องไปแก้ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32994&Key=hotnews

‘สพฐ.’ ชู 3 จุดเน้น ปีงบ’ 57 เพิ่มคุณภาพ ‘ครู-นักเรียน’

12 มิถุนายน 2556

เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่า ที่ประชุมได้จัดทำแผนประกอบการเสนอร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2557 ซึ่งจะชี้แจงสัปดาห์หน้าต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ปี 2557 โดยนอกจากจะชี้แจงเกี่ยวกับวิสัยทัศน์และพันธกิจต่างๆ ของ สพฐ.แล้ว ยังจะนำเสนอจุดเน้นการดำเนินงานในปี 2557 เพื่อให้การนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ มีความชัดเจนมากขึ้น ประกอบด้วย 1.เน้นคุณภาพผู้เรียน ได้แก่ การพัฒนานักเรียนให้มีสมรรถนะและความสามารถทางวิชาการ และมุ่งเน้นนักเรียนกลุ่มที่มีความต้องการพิเศษให้ได้รับการส่งเสริมพัฒนาเต็มตามศักยภาพ ทั้งกลุ่มด้อยโอกาส กลุ่มพิการ และกลุ่มความสามารถพิเศษ

เลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อว่า 2.เน้นคุณภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา ได้แก่ ครูพัฒนาการสอน และพัฒนาตนเองได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงพัฒนาระบบแรงจูงใจเพื่อให้ครูมีขวัญกำลังใจ และ 3.เน้นการบริหารจัดการ ขณะเดียวกันโรงเรียนและสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) ทุกแห่งจะต้องจัดการศึกษาอย่างมีคุณภาพตามระดับมาตรฐานด้วย นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้ติดตามประเมินผลการนำรูปแบบ English Bilingual Education เข้าไปสอนในโรงเรียนขนาดเล็ก และกลาง โดยได้ดำเนินการในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) เขตละ 2 โรงเรียน รวม 366 แห่ง และโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ 53 แห่ง รวมเป็น 434 แห่ง ซึ่งพบว่าแม้โรงเรียนขนาดเล็ก จะขาดแคลนหลายเรื่อง แต่เมื่อได้จัดสภาพแวดล้อมให้นักเรียนฝึกใช้ภาษาอังกฤษเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เด็กมีความกล้า และมีผลสัมฤทธิ์ทางด้านภาษาอังกฤษสูงกว่าค่าเฉลี่ยของ สพฐ.

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32993&Key=hotnews

คอลัมน์: รายงานพิเศษ: โรงเรียน(ไม่) ซ่อนอ้วนปลูกฝัง 3 อ. ช่วยเด็กลดพุง

12 มิถุนายน 2556

ความจริงของเด็กไทยในวันนี้ คือ ส่วนใหญ่ไม่ได้กินอาหารเช้า แถมอาหารเช้ายังไม่มีคุณภาพ ไม่ครบ 5 หมู่ พอถึงเวลาอาหารกลางวัน อาหารก็มีคุณภาพต่ำอีก เพราะงบประมาณไม่พอเพียง ส่วนอาหารว่างก็ไร้คุณค่า ทั้งหวาน มัน เค็ม ที่สำคัญยังกินผักและผลไม้น้อยมาก เชื่อว่าอีกไม่เกิน 10 ปี เด็กไทย 1 ใน 5 จะเป็น “โรคอ้วน” สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้ร่วมดำเนินงานด้านการจัดการเด็กอ้วนในโรงเรียน โดยในงาน “เวทีสานงาน เสริมพลัง ร่วมสร้างประเทศ ไทยให้น่าอยู่”  สสส.และภาคีเครือข่ายได้ร่วมกันทบทวนบทเรียน ” ทราบแล้วเปลี่ยน…โรงเรียน(ไม่) ซ่อนอ้วน” โดย นายสง่า ดามาพงษ์ ผู้จัดการโครงการโภชนาการสมวัย สสส. ไขความจริงว่า ปัจจุบันร.ร.ส่วนใหญ่จัดเมนูอาหารพลังงานสูง โดย 1 ใน 3 กินอาหารที่มีแป้ง ไขมัน โซเดียมในปริมาณสูงเป็นประจำ ทั้งนี้ พบข้อมูลที่น่าสนใจว่า ร.ร.ที่มีการจัดผลไม้ให้กับเด็กใน 1 สัปดาห์ มีเด็กอ้วนน้อยกว่าร.ร.ที่ไม่จัดผลไม้ร้อยละ 30 ขณะที่ร.ร.ที่รับการสนับสนุนจากบริษัทเครื่องดื่มและขนมมีเด็กอ้วนเป็น 1.5 เท่าของ ร.ร.ที่ไม่มี

“ร.ร.ไม่ควรมีนโยบายรับการสนับสนุนจากบริษัทน้ำอัดลมเพื่อได้เต็นท์ น้ำดื่ม จัดกิจกรรมต่างๆ ซึ่งจะได้ตู้ขายน้ำอัดลมอัตโนมัติที่เป็นสัญญาที่ผูกมัดนาน นับ 10 ปี แต่แลกกับการทำลายสุขภาพเด็กโดยไม่รู้ตัว ขณะนี้พยายามเข้าไปแก้ปัญหา แต่ก็พบว่ามีหลายร.ร.ที่ติดสัญญาแบบนี้อยู่ ร.ร.ที่จัดกิจกรรมทางกายให้นักเรียนสัปดาห์ละ 3 ครั้ง จะพบเด็กอ้วนน้อยกว่าร.ร.ที่ไม่ได้จัดถึง ร้อยละ 20 ฉะนั้น เมื่อทราบทั้งหมดนี้แล้วต้องเปลี่ยน!” นายสง่าย้ำนายสง่าบอกว่า สิ่งที่จะต้องทำต่อไปคือ อย่านิ่งเฉย ปล่อยให้ลูกหลานอ้วน โดยเด็กเล็กที่อ้วนจะเสี่ยงเป็นผู้ใหญ่อ้วนร้อยละ 25-30 เด็กโตและวัยรุ่นที่อ้วน จะเสี่ยงเป็นผู้ใหญ่อ้วนร้อยละ 80 มาช่วยกันปรับเปลี่ยนแก้ไขให้เด็กมีกิจกรรมทางกาย และโภชนาการที่สมวัย โดยยึดหลัก 3 อ. ได้แก่ อารมณ์ อาหาร ออกกำลังกาย ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าลดได้จริง

อารมณ์ คือ การสร้างแรงจูงใจ ในการลดความอ้วน เช่น เพื่อสุขภาพ เพื่อคนที่เรารัก หรือจะเพื่อความสวยงาม อาหาร ให้ใช้วิธี 2 ให้ 3 ไม่ คือ 1.ให้กิน 3 มื้อ ครบ 5 หมู่ 2.ให้กินผัก ผลไม้ 3.ไม่กินข้าวหรือแป้งมากจนเกินไป 4.ไม่กินจุบจิบ 5.ไม่กินหวานหรือมันมากจนเกินไป และออกกำลังกาย อย่างน้อยครั้งละ 30 นาที สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง แต่หากความอ้วนมาเยือนแล้ว ควรออกกำลังกาย 45 นาที ถึง 1 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 5-6 ครั้ง ได้ออกกำลังกายทุกวันยิ่งดีมีประโยชน์

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32992&Key=hotnews

ฟุ้งเด็กประถมกล้าใช้ภาษาอังกฤษ

12 มิถุนายน 2556

ASTVผู้จัดการรายวัน – “ชินภัทร” ฟุ้งประเมินผลการสอน English Bilingual Education ใน ร.ร.ประถมขนาดเล็ก-กลางกว่า 400 โรง พบเด็กกล้าใช้ภาษาอังกฤษและผลสัมฤทธิ์ดีขึ้น

นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการ กพฐ. กล่าวว่า สพฐ.ได้เตรียมการทำแผนเพื่อประกอบการนำเสนอคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2557 ในสัปดาห์หน้า โดย สพฐ.จะนำเสนอจุดเน้นในการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2557 ซึ่งผ่านความเห็นชอบของที่ประชุม กพฐ.แล้วใน 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่
1.การพัฒนาคุณภาพผู้เรียน
2.การพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา
3.การบริหารจัดการ เน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการพัฒนาการศึกษาอย่างมีคุณภาพ

นอกจากนี้ ในที่ประชุมยังได้ติดตามประเมินผลการนำรูปแบบ English Bilingual Education เข้าไปสอนในโรงเรียนขนาดเล็ก และกลาง โดยได้ดำเนินการในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) เขตละ 2 โรงเรียน รวม 366 แห่ง และโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ 53 แห่ง รวมเป็น 434 แห่ง ซึ่งพบว่าแม้โรงเรียนขนาดเล็กจะขาดแคลนในหลายเรื่อง แต่เมื่อได้มีการจัดสภาพแวดล้อมให้นักเรียนได้มีการฝึกใช้ภาษาอังกฤษเพิ่มมากขึ้น ส่งผลทำให้เด็กมีความกล้า และมีผลสัมฤทธิ์ทางด้านภาษาอังกฤษสูงกว่าค่าเฉลี่ยของ สพฐ.ด้วย

ที่มา: หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการรายวัน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32991&Key=hotnews

สวนดุสิตพร้อมเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับ รองรับการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ประชาคมอาเชียน

11 มิถุนายน 2556

ผศ.ดร.พิทักษ์ จันทร์เจริญ รักษาราชการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต(มสด.) เปิดเผยถึง ความคืบหน้าของ พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เพื่อเป็น มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ ว่าชาวสวนดุสิตทุกคนต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ โดยเฉพาะเรื่องความคืบหน้าของ พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยสวนดุสิต พ.ศ…. นั้น เพราะในขณะนี้คณะกรรมาธิการได้พิจารณาร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวพิจารณาครบทุกมาตราแล้ว เหลือขั้นตอนอยู่ระหว่างการสรุปทบทวนรายละเอียด ที่คาดว่าภายในเดือน มิ.ย.คงเรียบร้อย และจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในสมัยประชุมที่จะถึงในเดือน ส.ค.นี้ ด้วยเหตุนี้ คนมสด.จะต้องศึกษา และทำความเข้าใจรายละเอียดต่างๆ เพื่อพัฒนาและปรับปรุงตนเองให้รองรับการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมที่จะเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ดังนั้น บุคลากรสายวิชาการจำเป็นต้องมีความรู้ความสามารถที่หลากหลายกว้างขวางมากกว่าความรู้เดิมที่มีอยู่ รวมถึงพัฒนาศักยภาพของตนเอง เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ เพื่อสร้างความเข้มแข็งทางวิชาการและองค์กร โดยใช้ความรู้ความสามารถของตนเองที่มีอยู่

นอกจากนี้ความต่อเนื่องของการบริหารมหาวิทยาลัยที่จำเป็น ต้องดำเนินการอย่างจริงจังคือ มาตรการประหยัดพลังงานและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นนโยบายหลักของรัฐบาล หากมหาวิทยาลัยไม่สามารถทำได้จะมีผลกระทบต่องบประมาณ อย่างไรก็ตาม การที่อาจารย์จะมุ่งสอนหนังสืออย่างเดียวนั้น จะทำให้ความสามารถด้านอื่นๆถูกบดบัง ดังนั้นบุคลากรสายวิชาการต้องตระหนักและสร้างความสามารถในการอยู่รอดให้ได้ด้วยการพัฒนาตนเอง โดยใช้เทคนิคและเทคโนโลยีมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ โดยเฉพาะเรื่องงานวิจัยที่ถือเป็นภาระงานอย่างหนึ่งที่จำเป็นสำหรับอาจารย์ ซึ่ง มสด.ให้ความสำคัญกับงานวิจัยอย่างมาก จึงได้จัดตั้งศูนย์การเรียนรู้เพื่อการวิจัยท้องถิ่นใน 3 จังหวัด คือ หนองคาย อุบลราชธานี และพิษณุโลก เพื่อเป็นสถานที่ในการฝึกอบรมและวิจัยเพื่อการพัฒนาท้องถิ่นอย่างแท้จริง ทั้งนี้สวนดุสิตจะเปิดเรียนแบบอาเซียนในปีการศึกษา 2557 โดยเริ่มภาคเรียนที่ 1 เดือนสิงหาคม-ธันวาคม และภาคเรียนที่ 2 เดือนมกราคม-พฤษภาคม ดังนั้นในระหว่างนี้อาจารย์ต้องเตรียมความพร้อมให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงด้วย

ที่มา: http://www.naewna.com

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32986&Key=hotnews

สพฐ.จัดชุมนุมลูกเสืออาเซียน

11 มิถุนายน 2556

นายกมล รอดคล้าย รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รองเลขาธิการ กพฐ.) เปิดเผยว่า ศธ. โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้มอบหมายให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) เขต 16 เป็นเจ้าภาพงานชุมนุมลูกเสือจังหวัดชายแดนใต้ ไทย-ประชาคมอาเซียน ครั้งที่ 9 ประจำปีการศึกษา 2556 ระหว่างวันที่ 30 มิ.ย.-5 ก.ค. ที่ค่ายลูกเสือเทศบาลนครหาดใหญ่ จ.สงขลา เพื่อส่งเสริมให้เยาวชนไทยและเยาวชนในชาติสมาชิกอาเซียน เกิดความรักและสามัคคีในหมู่คณะ รู้จักการเสียสละ ทำประโยชน์แก่สังคม และบ่มเพาะให้มีระเบียบ วินัย มีภาวะผู้นำ ส่งเสริมให้เกิดความมั่นคงในประเทศชาติ โดยกิจกรรมชุมนุมที่จะเกิดขึ้นนี้ จะมีลูกเสือ เนตรนารี และ ผู้บังคับบัญชาจาก 13 เขตพื้นที่การศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ลูกเสือจาก 5 ภูมิภาคของประเทศ และลูกเสือจากประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย ตลอดจนชาติสมาชิกอื่นๆ รวมประมาณ 1,700 คนเข้าร่วมงาน

รองเลขาธิการ กพฐ. กล่าวต่อว่า ตลอด 5 วันที่เยาวชนจะเดินทางมาเข้าค่ายร่วมกัน นอกจากกิจกรรมชุมนุมลูกเสือต่างๆ ที่กำหนดไว้ตามปกติแล้ว ยังมีกิจกรรมการแสดงทางวัฒนธรรม เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้วัฒนธรรมของกันและกัน ซึ่งจะเป็นประโยชน์เมื่อต้องเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปีพ.ศ.2558 และยังสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีของเยาวชนอาเซียนด้วย

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 12 มิ.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32985&Key=hotnews

สช.เสนอตั้งศูนย์’วันสต๊อปเซอร์วิส’บริการครู-นักเรียนต่างชาติ-เพิ่มรายได้ไทย

11 มิถุนายน 2556

นายบัณฑิตย์ ศรีพุทธางกูร เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) กล่าวว่า เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) เชิญตัวแทนของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ตัวแทนโรงเรียนนานาชาติ มาหารือถึงการอำนวยความสะดวกให้ครู นักเรียน ต่างชาติในอาเซียน ที่จะเข้ามาเป็นอาจารย์สอน หรือเข้ามาเรียนในประเทศไทย เพื่อให้ทราบปัญหา อุปสรรค และแนวทางการแก้ไข เนื่องจากรมว.ศธ.ให้ความสำคัญ เพราะในปี 2558 ประเทศจะก้าวเข้าสู่การประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน จึงจำเป็นที่จะต้องอำนวยความสะดวกให้กับบุคคลกลุ่มนี้ เพราะการเข้ามาจะเพิ่มรายได้ทางเศรษฐกิจให้ประเทศ จึงมาหารือกับหน่วยงานต่างๆ ว่ามีอะไรที่จะอำนวยความสะดวกให้บุคคลกลุ่มนี้

เลขาธิการ กช. กล่าวต่อว่า นอกจากการอำนวยความสะดวกเรื่องวีซ่า ระยะเวลาที่อาศัยอยู่ในไทย ซึ่งครูต่างชาติจะได้วีซ่าอยู่ประเทศแค่ 2 ปี และจะต้องเดินทางออกนอกประเทศ และครูบางคนต้องเดินทางไปประเทศลาว เพื่อขอประทับตราออกนอกประเทศและกลับเข้าไทยใหม่ ซึ่งทำให้เสียเวลา หากเรามีหน่วยงานที่อำนวยความสะดวกให้ก็จะช่วยเหลือได้มาก นอกจากนี้ การเดินทางมาของครู นักเรียนต่างชาติ ต้องติดต่อหลายหน่วยงานมาก อาทิ กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กรมการจัดหางาน เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดมีขั้นตอนมาก ควรจะมีศูนย์บริการจุดเดียวเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) ให้บริการก็จะเกิดประโยชน์ ทั้งนี้ จากการคำนวณพบว่า แต่ละวันจะมีครู และนักเรียน 50-100 ราย เข้ามาใช้บริการ

“สช.ต้องการให้นักศึกษาต่างประเทศเข้ามาศึกษามากขึ้น เรื่องนี้เป็นนโยบายของรมว.ศธ. โดยสช.ประชุมหารือแล้ว เสนอแนวทางดังกล่าวให้รมว.ศธ.พิจารณา หลังจากนี้ จะนำประเด็นดังกล่าวเข้าหารือในที่ประชุมอีกครั้ง ซึ่งจะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม เพื่อหาแนวทางในการอำนวยความสะดวกแก่บุคคลกลุ่มนี้” นายบัณฑิตย์กล่าว

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 12 มิ.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32984&Key=hotnews

เตือนทุจริตสอบครูสูญเงินสิ้นอนาคต

11 มิถุนายน 2556

นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษา (ศธ.) กล่าวถึงกรณีกลุ่มครูผู้ช่วยในกลุ่ม 344 ราย ที่ได้รับการบรรจุแต่งตั้งแต่ได้ชิงลาออกก่อนที่อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ จะมีมติสั่งให้ผู้อำนวยการโรงเรียนดำเนินการให้ออก แต่มีบางหน่วยงานของ ศธ.จะรับคนกลุ่มนี้เข้าไปทำงานต่อว่า ในส่วนของผู้ที่ชิงลาออกก่อนนั้น ถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะถึงจะไม่ลาออก โดยหลักการแล้วถ้าตรวจสอบพบว่ามีการทุจริตก็ต้องให้ออกอยู่ดี ส่วนกรณีที่คนกลุ่มดังกล่าวไปสมัครงานในหน่วยงานอื่นก็เป็นหน้าที่ของหน่วยงานต้นสังกัดที่จะตรวจสอบคุณสมบัติและขึ้นอยู่กับว่าไปสมัครในงานประเภทใด เพราะหากไปสมัครเป็นครูก็มีกฎหมาย พ.ร.บ.ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษากำหนดเรื่องคุณสมบัติผู้ที่จะมาเป็นครูไว้อยู่แล้ว

“สำหรับการสอบครูผู้ช่วยในรอบใหม่ที่กำลังจะสอบเร็ว ๆ นี้ ผมอยากเตือนผู้ที่จะเข้าสอบว่าขอให้ตั้งใจสอบ และอ่านหนังสือเยอะ ๆ ใช้วิธีที่ถูกต้อง เพราะที่ผ่านมาเห็นชัดเจนแล้วว่าผู้ที่ทำการทุจริต แม้จะปรากฏว่าสอบได้ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำงาน ไม่ได้เป็นครู เสียทั้งเงิน เสียทั้งอนาคต เพราะไม่สามารถไปสอบบรรจุที่ไหนได้อีกเลย อย่างที่เห็น ๆ กันอยู่เพราะเราเอาจริง” นายพงศ์เทพกล่าว
ด้าน นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า การสอบครูผู้ช่วยรอบใหม่ ตนได้ประสานกับทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้แจ้งไปยังกองบัญชาการตำรวจนครบาลเพื่อให้ช่วยสอดส่อง หากพบว่ามีการกระทำความผิดให้แจ้งมายังศธ. ซึ่งเท่าที่ดูได้รับความร่วมมือที่ดี ขณะเดียวกันยังขอความร่วมมือไปยังกระทรวงมหาดไทย (มท.) เพื่อขอความร่วมมือไปยังจังหวัดต่าง ๆ ให้แจ้งไปยังอำเภอ และหมู่บ้านให้ช่วยสอดส่องเรื่องดังกล่าวอีกทางหนึ่งด้วย.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32983&Key=hotnews

ร้อง! ครูลวนลามศิษย์เพศเดียวกันมากขึ้น อ.ก.ค.ศ.ด้านวินัย จี้ ผอ.สอดส่อง/โทษไล่ออก-ริบใบวิชาชีพ

11 มิถุนายน 2556

นายอภิชาติ จีระวุฒิ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.)ในฐานะประธานคณะกรรมอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) วิสามัญ วินัยและการออกจากราชการ เปิดเผยว่า จากการทำหน้าที่เป็นประธาน อ.ก.ค.ศ.วิสามัญ พิจารณาโทษเกี่ยวกับวินัยและการออกจากราชการ พบว่ามีเรื่องร้องเรียนกรณีครูล่วงละเมิดทางเพศนักเรียนเพิ่มมากขึ้น และไม่ได้มีเฉพาะครูชายลวนลามทางเพศนักเรียนหญิงเท่านั้น แต่มีการร้องเรียนกรณีใหม่ พบครูมีพฤติกรรมลวนลามนักเรียนเพศเดียวกัน คือครูผู้หญิงลวนลามนักเรียนหญิง ครูผู้ชายลวนลามทางเพศนักเรียนชาย

ประธาน อ.ก.ค.ศ.วิสามัญ กล่าวต่อไปว่า ส่วนใหญ่ครูที่ลวนลามเด็กจะเป็นครูวิชาที่ต้องมีความใกล้ชิดกับเด็กนอกเวลาเรียน เช่น วิชาพลศึกษานาฏศิลป์ และล่าสุดที่มีร้องเรียนเข้ามาใหม่คือครูสอนคอมพิวเตอร์ เพราะต้องมีการสัมผัสเนื้อตัวเด็ก โดยส่วนใหญ่ครูที่ถูกร้องเรียนจะอยู่ในต่างจังหวัดมากกว่าในเขตกรุงเทพฯ สำหรับการพิจารณาโทษนั้น หากพบว่าเป็นการล่วงละเมิดทางเพศจริง โทษคือไล่ออก หรือปลดออกทันที แต่ถ้าเป็นกรณีทำอนาจารเด็ก ก็ต้องดูว่าถึงขั้นไหน กระทำอย่างไรกับเด็ก และเคยกระทำความผิดกรณีอื่นมาหรือไม่ หากพบว่าขาดคุณสมบัติก็สามารถไล่ออกได้ทันที

“ล่าสุดเมื่อเร็วๆ นี้ อ.ก.ค.ศ.วิสามัญ วินัยและการออกจากราชการเพิ่งมีมติลงโทษข้าราชการครูคนหนึ่งที่ทำอนาจารเด็ก โดยให้ออกจากราชการและเสนอให้คุรุสภายกเลิกใบประกอบวิชาชีพด้วย เพื่อไม่ให้สามารถกลับมาเป็นครูได้อีก แม้จะเป็นโรงเรียนเอกชนก็ตาม ทั้งนี้ ส่วนใหญ่กรณีอนาจารจะเกิดกับเด็กประถม มากกว่ามัธยมเพราะยังเด็ก ส่วนล่วงละเมิดทางเพศจะเกิดกับนักเรียนมัธยมมากกว่า ซึ่งตนอยากฝากผู้บริหารโรงเรียนให้ช่วยสอดส่อง และสังเกตกิริยาอาการของครูกับนักเรียนให้มากขึ้น” นายอภิชาติ กล่าว และว่า นอกจากนี้ยังพบว่ามีข้อร้องเรียนว่าครูขายยาเสพติดเพิ่มมากขึ้นด้วย ซึ่งหากเป็นกรณีดังกล่าวจะถือว่ามีความผิดร้ายแรงมีโทษไล่ออกทันที

ด้านนายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.) กล่าวว่าเมื่อเร็วๆ นี้ มีผู้นำจดหมายร้องเรียนเกี่ยวกับพฤติกรรมไม่เหมาะสมของครูอาจารย์ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) เนื้อหาระบุถึงกิจกรรมเข้าค่ายลูกเสือ เนตรนารี ในสถานศึกษาหลายแห่งที่มีการล้มวัวกินเหล้า เมาแล้วลวนลามเด็กโดยไม่มีใครกล้าโวยวายว่าขณะนี้ได้มอบหมายให้นายโรจนะ กฤษเจริญ รองเลขาธิการ กอศ. ตรวจสอบแล้วว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ และหากเป็นเรื่องจริง มีวิทยาลัยที่เกิดเหตุลักษณะนี้กี่แห่ง เพราะเรื่องนี้คงไม่ได้มีความผิดแค่โทษทางวินัยเท่านั้น แต่มีความผิดทางอาญาด้วย

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32982&Key=hotnews