กศน.พร้อมแก้กฎกระทรวง “อายุ 20 ปีขึ้นไป ถึงมีสิทธิ์เทียบระดับพื้นฐาน”

12 กันยายน 2556

ตามที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ ระบุว่าอาจจะต้องมีการปรับปรุงหลักเกณฑ์การเทียบระดับการศึกษาขั้นสูงสุดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ของสำนักงาน กศน. เพราะอาจส่งผลกระทบต่อการเพิ่มจำนวนผู้เรียนสายอาชีพนั้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 11 ก.ย.56 นายประเสริฐ บุญเรือง เลขาธิการ กศน. กล่าวว่า ตามกฎกระทรวงว่าด้วยการแบ่งระดับและการเทียบระดับการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2556 ที่ลงนามโดยนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีต รมว.ศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 28 ม.ค.56 ได้มีการเพิ่มข้อความในวรรค 2 ของข้อ 2 ของ กฎกระทรวงฯ ฉบับแรก พ.ศ.2546 ว่า
“สำหรับผู้เรียนซึ่งมีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ มีประสบการณ์ประกอบอาชีพเป็นหลักแหล่งไม่น้อยกว่า 3 ปี และมีพี้นความรู้ไม่ต่ำกว่าระดับประถมศึกษาอาจะนำผลการเรียน ความรู้ ประสบการณ์มาประเมินเทียบระดับการศึกษาระดับการศึกษาสูงสุดของการศึกษาขั้นพื้นฐาน ประเภทสามัญได้ ทั้งนี้ในการประเมินระดับการศึกษาดังกล่าวให้สำนักงาน กศน.และหน่วยงานกลางทางการศึกษาที่เกี่ยวข้องซึ่งหมายถึงสำนักงานทดสอบทางการศึกษา(สทศ).จัดทำมาตรฐานการเรียนรู้ ระดับการศึกษา และเครื่องมือวัดและประเมินผลไม่ต่ำกว่ามาตรฐานการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย”

ซึ่งข้อความดังกล่าวมีการกำหนดคุณสมบัติของผู้เรียนที่ชัดเจนอยู่แล้ว แต่หากนายจาตุรนต์ เห็นว่าจะมีผลกระทบต่อการเพิ่มจำนวนผู้เรียนสายอาชีวศึกษา สำนักงาน กศน. ก็พร้อมจะปรับปรุงกฎกระทรวงฯ เพื่อเพิ่มอายุของผู้เรียน หรือปรับหลักเกณฑ์ให้มีความรัดกุมยิ่งขึ้น ตามนโยบาย เพื่อให้การจัดการศึกษาเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ

“ที่จริงการเทียบระดับการศึกษามีมานานแล้วโดยกฎกระทรวงฯ ฉบับแรกออกมาตั้งแต่ปี 2546 แต่เป็นการเทียบที่ระดับ ขณะที่การเทียบระดับแบบข้ามระดับได้นี้เพิ่งดำเนินการครั้งแรกปี 2556 โดยอายุเฉลี่ยของผู้ที่เข้ารับการประเมินเทียบระดับ ก็อยู่ที่ 30-45 ปี ไม่มีคนที่อายุต่ำกว่า 20 ปีแน่นอน เพราะกฎกระทรวงฯ เขียนไว้ชัดเจน แม้แต่คนที่ไม่มีอาชีพ เช่น พระภิกษุ ก็ไม่สามารถเข้ารับการเทียบระดับได้ รวมถึงเด็กที่ยังไม่มีรายได้ยังต้องพึ่งพาพ่อแม่ก็ไม่สามารถลงทะเบียนเทียบระดับได้เช่นกัน เพราะฉะนั้น จะไม่มีศูนย์เทียบระดับใดรับผู้ที่ไม่มีคุณสมบัติเข้าโครงการได้แน่นอน” นายประเสริฐ กล่าว

ที่มา: http://www.siamrath.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34073&Key=hotnews