‘ป.3/ป.6’ อ่านไม่ออกเกือบแสนใน 80 เขต – จี้ ‘ร.ร.-ครู’ ทำแผนฟื้นฟู

24 กันยายน 2556

เมื่อวันที่ 23 กันยายน นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้มอบให้โรงเรียนทั่วประเทศใช้แบบทดสอบคัดกรองนักเรียนที่อ่านไม่ออกในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 และประถมศึกษาปีที่ 6 ระหว่างวันที่ 9-20 กันยายน และให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษารายงานผลมายัง สพฐ. ซึ่งการคัดกรองเป็นไปตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เรื่องมาตรการเร่งรัดคุณภาพการอ่านรู้เรื่องและการสื่อสาร เพื่อทำให้สถานศึกษาปลอดการอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ว่า ขณะนี้มีประมาณ 80 เขต พื้นที่ฯ จากทั้งหมด 183 เขต ได้ส่งผลข้อมูลการคัดกรองนักเรียนด้านการอ่านมายัง สพฐ.แล้ว พบว่า

–  ระดับชั้น ป.3 มีจำนวนนักเรียนที่ยังอ่านไม่ได้ ร้อยละ 8 หรือ 64,000 คน จากนักเรียนทั้งหมด 8 แสนคน

– นักเรียนชั้น ป.6 อ่านไม่ได้ร้อยละ 4 หรือ 32,000 คน จากนักเรียนทั้งหมด 8 แสนคน

– นักเรียนที่อยู่ในระดับดี ในระดับชั้น ป.3 มีร้อยละ 56 และ ป.6 ร้อยละ 60 ส่วนที่เหลืออยู่ในระดับพอใช้และปรับปรุง

ทั้งนี้ จำนวนนักเรียนที่อ่านไม่ออกในปีที่ผ่านมามีประมาณร้อยละ 2-3
นายชินภัทรกล่าวต่อว่า นักเรียนที่อ่านไม่ออกจะต้องมีการจัดการเรียนการสอนแบบเข้มข้น การใช้นวัตกรรม หรือจะใช้วิธีการจัดการสอนเพิ่มเติมในช่วงเย็นก็ได้ ขึ้นอยู่กับสถานศึกษา โดยนักเรียนที่อ่านไม่ได้ต้องได้รับการดูแลและพัฒนาเพื่อให้อ่านหนังสือได้ตามนโยบายของนายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการ ศธ. ที่ให้นโยบายว่านักเรียนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ต้องหมดไป ซึ่ง สพฐ.และเขตพื้นที่ฯ ทั่วประเทศต้องเร่งดำเนินการในเรื่องนี้ให้เป็นรูปธรรมมากที่สุดตั้งแต่ปิดภาคเรียนเดือนตุลาคม พร้อมให้โรงเรียนและครูผู้สอนมีแผนช่วยเหลือฟื้นฟูสมรรถนะการอ่านให้กับนักเรียนกลุ่มนี้ โดยมีเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนนี้ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2557 ซึ่ง สพฐ.จะติดตามความคืบหน้าทุกๆ เดือนเพื่อปรับลดจำนวนนักเรียนอ่านไม่ได้ให้ใกล้ศูนย์ให้มากขึ้น

“เมื่อ สพฐ.ได้ข้อมูลจากเขตพื้นที่ฯ ครบทั้งหมด จะประมวลผลและสังเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดอีกครั้ง เพื่อให้เห็นภาพระดับประเทศต่อไป ส่วนเด็กชายขอบและกลุ่มเด็กชาติพันธุ์ที่มักจะมีปัญหาการสื่อสารภาษาไทย โดยเฉพาะการอ่านและเขียนนั้น เด็กกลุ่มนี้ที่อยู่ในโรงเรียนสังกัด สพฐ.ทุกคน เป็นกลุ่มเป้าหมายที่ต้องได้รับการดูแลเช่นกัน ถือเป็นเรื่องยาก เพราะเด็กยังอ่านภาษาไทยไม่ได้ โดย สพฐ.อาจนำนวัตกรรมเข้ามาช่วย และมีสะพานการเชื่อมโยงการเรียนภาษาไทย หรือที่เรียกว่าการเรียนแบบทวิภาษา จะทำให้เด็กเรียนรู้เรื่อง” นายชินภัทรกล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34220&Key=hotnews