23 กันยายน 2556
ถือว่าเป็นงานใหญ่อีกงานหนึ่งของสำนักบริหารงานวิทยาลัยชุมชน (ส.วชช.) ที่ได้จัดประชุมสัมมนากรรมการสภาวิทยาลัยชุมชนทั่วประเทศ เมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งนอกจากการประชุมจะมีกรรมการสภาวิทยาลัยชุมชนทั่วประเทศเข้าร่วมประชุมมากกว่า220 คน แล้ว ภายในงานยังได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิเข้าร่วมแบ่งกลุ่มระดมความคิดเห็นเพื่อนำเสนอแนวทางในการพัฒนาวิทยาลัยชุมชน (วชช.) ในอนาคต เพื่อเป็นก้าวย่างสำคัญ อันนำไปสู่การเป็นสถาบันอุดมศึกษาที่จัดการศึกษาที่ยั่งยืน และสามารถสนองตอบต่อความต้องการของประชาชนในแต่ละชุมชนได้อย่างแท้จริง
จากการเกาะติดเวทีการสัมมนาตลอดระยะเวลา 2 วันเต็ม ผู้ทรงคุณวุฒิที่เข้าร่วมเป็นวิทยากรได้นำเสนอทัศนะและมุมมองในแง่ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิทยาลัยชุมชนที่น่าสนใจไม่น้อย เริ่มที่ ดร.กฤษณพงศ์ กีรติกร ประธาน คณะกรรมการวิทยาลัยชุมชน ที่ได้แสดงทัศนะในการเสวนาเรื่อง “บทบาทสภาวิชาการกับกรอบนโยบายในการจัดการศึกษาของวิทยาลัยชุมชน” ว่า “โจทย์ใหม่ของวิทยาลัยชุมชน ขณะนี้มีผู้อยู่ในวัยทำงานประมาณ 35-40 ล้านคน และในจำนวนดังกล่าวเป็นนักศึกษาของวิทยาลัยชุมชนประมาณ 11 ล้านคน ส่วนใหญ่ ประมาณ 29-30% จบการศึกษาจากสำนักงานส่งเสริมการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพฐ.) ดังนั้นจึงจำเป็นที่วิทยาลัยชุมชนจะต้องเข้าไปเก็บตกกลุ่มวัยแรงงานที่เหลือที่ยังขาดโอกาสทางการศึกษาในระดับอุดมศึกษา ขณะเดียวกันต้องมีการเตรียมความพร้อมกับอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้น เพราะประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย หรือแม้แต่แนวนโยบายของภาครัฐที่กำลังจะเกิดขึ้น เช่น กองทุนตั้งตัวได้ การลงทุน 2.2 ล้านล้านบาท เพื่อวางโครงสร้างระบบสาธารณูปโภคของประเทศ ทั้งการทำรถไฟความเร็วสูง รถไฟรางคู่ เป็นต้น สิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้นต้องเริ่มที่วิทยาลัยชุมชน สภาวิชาการของวิทยาลัยชุมชนต้องเป็นสมองให้กับวิทยาลัยชุมชน ด้วยการคิดหลักสูตรระดับอนุปริญญา หลักสูตรอาชีพ หรือหลักสูตร Modula เพื่อสนองตอบชุมชน และสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศในอนาคต”
ด้านนายวรวุฒิ บุญเพ็ญ ประธานกรรมการสภาวิทยาลัยชุมชนสมุทรสาคร กล่าวในการสัมมนาเรื่อง “เหลียวหลัง แลหน้า การจัดการเรียนรู้ในวิทยาลัยชุมชน” ว่า “กรรมการสภาวิทยาลัยชุมชนทั้งหลายที่เข้ามาร่วมงานกับวิทยาลัยชุมชนนั้น ล้วนแต่มาด้วยความตั้งใจ เสียสละ เพราะเห็นว่าวิทยาลัยชุมชนคือคำตอบในการแก้ปัญหาทางการศึกษาของประเทศ ดังนั้น วิทยาลัยชุมชนจึงควรให้เกียรติกับกรรมการสภาวิทยาลัยชุมชนตามสมควรด้วย เพราะมีองค์กรหลายองค์กรเป็นแบบอย่างที่ดี เช่น สภาเกษตรกร มีระเบียบกำหนดสิทธิของผู้เป็นกรรมการไว้อย่างน่าภาคภูมิใจ ทำให้ทุกคนที่เข้าไปเป็นกรรมการนั้นจะยิ่งต้องทุ่มเทปฏิบัติงานเพื่อองค์กรนั้นๆ
มากขึ้น หรือพูดง่ายๆ ก็คือ เมื่อให้เกียรติกัน กรรมการ สภาฯ ก็จะยิ่งมีกำลังใจ และจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้สูงขึ้นตามมาด้วย”
ขณะที่อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษาอย่าง ดร.สุเมธ แย้มนุ่น ซึ่งได้เข้ามานั่งฟังการอภิปรายของประธานสภาวิทยาลัยชุมชนทั้ง 4 ภาค ได้กล่าวเสวนาเรื่อง “ทิศทางของวิทยาลัยชุมชนในทศวรรษที่สอง” ว่า “จากที่ได้ฟังประธานสภาวิทยาลัยชุมชน แต่ละท่านขึ้นมาสะท้อนภาพการทำงานจริงในพื้นที่แล้ว พบว่าผู้ที่จะเข้ามาเป็นกรรมการสภาวิทยาลัยชุมชนนั้น มิได้ทำหน้าที่เพียงมาประชุมตามอำนาจหน้าที่ที่ถูกระบุไว้เหมือนกับในมหา วิทยาลัยทั่วๆ ไปเท่านั้น แต่ต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการผลักดันให้เกิดการทำงานร่วมกันในทุกภาคส่วนของชุมชนจริงๆ ซึ่งถ้ามองอย่างไม่เข้าใจก็จะคิดว่า เป็นการล้วงลูก แต่แท้จริงแล้วคือการให้การสนับสนุนเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จ ของการทำงานในระดับพื้นที่จริงๆ วิทยาลัยชุมชน จึงต้องกล้าเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกับความเป็นจริงมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องการทำหลักสูตร การจัดการเรียนการสอน ที่ต้องตอบโจทย์ในระดับพื้นที่ได้อย่างแท้จริง”
ส่วนการประมวลผลการประชุมกลุ่มย่อยเรื่องการระดมทุนจากภาคส่วนต่างๆ เพื่อมาเป็นกำลังในการขับเคลื่อนวิทยาลัยชุมชน หลังจากแยกกลุ่มวิภาคและวิเคราะห์กันอย่างเอาจริงเอาจัง สามารถสรุปในภาพรวมได้ว่า “การจะระดมเงิน หรือทรัพยากรใดๆ ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ในการระดมทุนต้องคำนึงถึงภาพลักษณ์ มีเกียรติและศักดิ์ศรี เราควรตระหนักให้ดีว่า การที่ใครจะมอบอะไรให้กับเรานั้นเขาควรมอบให้ด้วยความศรัทธา เราต้องสร้างให้ทุกคนได้เห็นว่า วิทยาลัยชุมชน มีประโยชน์ต่อชุมชนจริงๆ เราจึงจะสามารถระดมทุนได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน”
นี่เป็นเพียงบางเสี้ยวบางตอนของการประชุมสัมมนากรรมการสภาวิทยาลัยชุมชนทั่วประเทศและผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษา ประจำปี 2556 ซึ่งสะท้อนให้เห็นพัฒนาการ และก้าวย่างที่ชัดเจนของวิทยาลัยชุมชน ที่จะต้องเดินไปข้างหน้าในอนาคตโดยจะต้องมีการกำหนดเป็นแผนงานไปสู่การปฏิบัติที่ชัดเจน ภายใต้ปรัชญาที่ว่า “วิทยาลัยชุมชนเสริมสร้างโอกาสทางการศึกษาระดับอุดมศึกษา เพื่อเพิ่มคุณค่าชีวิตและศักยภาพของบุคคลและชุมชน”
ที่มา: หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34216&Key=hotnews

