5 กรกฎาคม 2556
เสาวนีย์ นิ่มปานพยุงวงศ์
รัฐบาลได้เตรียมจัดทำโครงการเงินกู้เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศวงเงิน 2.2 ล้านล้านบาทเพื่อรองรับการขยายตัวของเมืองและประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศกำลังต้องการกำลังคนอย่างมหาศาล ทำให้หน่วยงานหลักอย่าง สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)ต้องเร่งปรับแผนการผลิตกำลังคนให้ตรงกับความต้องการของโครงการก่อสร้างระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนกว่า 10 สาย ทั้งระบบรถไฟความเร็วสูง รถไฟรางคู่และถนนเชื่อมต่อเครือข่ายการขนส่งระบบราง ซึ่งเน้นแรงงานทุกระดับในสายงานก่อสร้าง
โดย นายชัยพฤกษ์เสรีรักษ์เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา บอกว่า ประเทศไทยในภาวะที่ต้องเร่งพัฒนากำลังคนอย่างมาก โดยเฉพาะกำลังก้าวสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในอีก 2 ปีข้างหน้า โดยทางสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการได้รับมอบหมายในเรื่องของการเตรียมกำลังคน กำลังแรงงานให้พร้อมรับกับโครงการเงินกู้เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้ามคมนาคมขนส่งของประเทศวงเงิน 2.2 ล้านล้านบาท ที่จะเดินหน้าโครงการก่อสร้างขนส่งระบบราง ซึ่งแผนดำเนินงาน ได้มีศาสตราจารย์พิเศษภาวิช ทองโรจน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธานคณะทำงาน โดยได้ทำการศึกษาความต้องการออกเป็น 2 แนวทาง ได้แก่ 1.ศึกษาความเร่งด่วนเฉพาะความต้องการกำลังคนตามโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม และ2.ศึกษาความต้องการกำลังคนในภาพรวมทั่วประเทศจากกลุ่มอุตสาหกรรม เกษตรกรรม และบริการ
“ที่ผ่านมาเราไม่สามารถผลิตแรงงานได้พอเพียงกับความต้องการ ผลิตเท่าไร่ก็ไม่พอ แต่ก็บอกได้เลยว่าไม่เคยมีเด็กอาชีวะที่เรียนจบไปแล้วแต่ตกงาน ไม่ว่าจะสายช่าง สายอุตสาหกรรม สายพาณิชกรรม ซึ่งเราพยายามดึกเด็กนักเรียนเข้ามาเรียนในสายอาชีพ แต่ก็ยังไม่เพียงพอ ซึ่งขณะนี้ก็ยังมีอุปสรรคในเรื่องของเด็กเข้ามาเรียนในสายอาชีวะน้อยลงกว่าเป้าหมายที่กำหนดเอาไว้ที่ 37% และสายสามัญที่ 64 % โดยเราได้ตั้งเป้าหมายว่าภายในปี 2559 ต้องดึกเด็กเข้ามาเรียนในสายอาชีพให้ได้ 40% เป็นอย่างน้อยและภายใน 5 ปีต้องได้เพิ่มเป็น 50% แต่ในปีนี้สัดส่วนก็ยังเท่าเดิม แสดงว่าคนก็ยังสนใจสายอาชีพเท่าเดิม ขณะเดียวกันรัฐบาลได้มีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ มีความต้องการกำลังคนจำนวน ในส่วนนี้ก็เป็นโจทย์ที่รัฐบาลได้มอบหมายให้ทางอาชีวศึกษาไปปรับแผนว่าทำอย่างไรจะเร่งผลิตกำลังคนได้ตามที่ต้องการและมีคุณภาพ” นายชัยพฤกษ์ กล่าว
ในแนวทางที่การศึกษาความจำเป็นเร่งด่วนได้เชิญเอกชนในกลุ่มของอุตสาหกรรมก่อสร้างมาร่วมให้ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ความต้องการในแต่ละงาน แต่ละระดับ โดยทางอาชีวศึกษาก็ได้รับการสนับสนุนจาก ดร.โอฬาร ไชยประวัต ประธานผู้แทนการค้าไทยและที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ทำการวิเคราะห์ความต้องการกำลังคนซึ่งทางสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ฯได้ทำการศึกษาไว้เดิม โดยพบว่าความต้องการกำลังคนในทุกระดับของภาพรวมตลาดแรงงานในระยะ 6 ปีนับตั้งแต่เริ่มโครงการจนแล้วเสร็จมีความต้องการแรงงานสูงถึง 280,000 คน
โดยแบ่งสัดส่วนแรงงานที่จบทางประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ซึ่งเทียบเท่าชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 และประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) เทียบเท่าอนุปริญญามีความต้องการ 110,000 คน จาก 280,000 คน ซึ่งที่ผ่านมาอาชีวศึกษาผลิตคนออกไปเท่าไร่ก็ยังไม่พอ จึงต้องมีการปรับแผนการดำเนินงานต่างๆ เพื่อดึงเข้ามามาเรียนในสายอาชีพมากขึ้น โดยตั้งเป้าว่าปี 2556 จะต้องผลิตกำลังคนได้ 28,825 คน ปีที่ 2 จำนวน 86,475 คน และปีที่ 3 จำนวน 115,300 คนเป็นตัวสะสมไปเรื่อยๆ
“การดำเนินงานในส่วนของอาชีวศึกษาจะใช้ 3 แนวทาง โดยมุ่งตรงต่อความต้องการกำลังคนใน 3 กลุ่มคือกลุ่มงานระบบรถไฟฟ้า กลุ่มงานระบบรางและคมนาคมทางถนน ซึ่งอาชีพหลักก็คือช่างก่อสร้างต่างๆ และมีสาขาอื่นที่เกี่ยวข้องซึ่งแนวทางที่ 1 จะให้เด็กที่เรียนสาขาตรงอยู่แล้ว เช่นสาขาก่อสร้างสาขาช่างยนต์ หรือสาขาที่เกี่ยวข้องมาเรียนเสริมในส่วนที่อาชีพนั้นๆ ต้องการ เมื่อเรียนจบออกไปก็สามารถทำงานได้ทันที แต่สายอาชีพนี้มีคนเรียนน้อยมาก ทั้งๆ ที่ตลาดแรงงานมีความต้องการมาก แต่กลับมีเด็กมาเรียนน้อง” นายชัยพฤกษ์ กล่าว
ส่วนแนวทางที่ 2 จะแนะแนวให้ความรู้กับนักศึกษาที่เรียนอยู่ในสาขาอื่น เช่นสาขาไฟฟ้า สาขาอิเล็กทรอนิกส์ สาขาสถาปัตยกรรม มาเรียนรู้เพิ่มเติม ในวิชาที่สายอาชีพนั้นๆ ต้องการ เพื่อเด็กมาเรียนในสาขาที่มีความต้องการมากขึ้นหรือ เรียนเพิ่มเติมในบางวิชาที่เกี่ยวข้อง แต่สามารถทำงานได้เหมือนกัน และแนวทางที่ 3 เราพบว่าแรงงานในประเทศไทยส่วนใหญ่อยู่ในภาคของการผลิตและการเกษตรประมาณ 79% รวมๆ กว่า 30 ล้านคน ซึ่งกำลังแรงงานกลุ่มนี้ไม่ได้ทำงานตลอดเวลา แต่จะทำงานเป็นฤดูกาลตามฤดูกาลผลิต
ดังนั้น ในส่วนนี้ก็จะมีการเพิ่มทักษะช่างฝีมือกับคนกลุ่มนี้ โดยเฉพาะคนที่มีพื้นฐานการก่อสร้างอยู่แล้ว ส่วนคนที่ไม่มีพื้นฐานเลยก็ต้องฝึกอบรมสามารถเปลี่ยนอาชีพได้ ซึ่งใน 3 วิธีนี้สามารถผลิตแรงงานได้พอเพียง เชื่อว่าใน 3 แนวทางนี้จะตอบสนองความต้องการแรงงานในช่วงที่เร่งเดินหน้าก่อสร้างโครงการต่างๆ ได้
“ส่วนระยะยาวการผลิตคนของอาชีวศึกษาจะต้องพัฒนาศักยภาพสูงขึ้น โดยมีการปรับหลักสูตรและเนื้อหาวิชาต่างๆ ให้เหมาะกับงานที่จะทำ และเป็นปีแรกที่ปรับมีการเรียนการสอนถึงปริญญาตรีในบางสาขา เช่นสาขาที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี เพราะความต้องการของตลาดแรงงานมีมากกว่าวุฒิ ปวช.ปวส. แต่ผู้ที่เรียนในระบบอุดมศึกษา ที่เรียนจบปริญญาตรีไม่มาทำงาน จึงมีความจำเป็นต้องผลิตคนโดยการเพิ่มวุฒิสูงขึ้นในสายอาชีพ และในอนาคตหลักสูตรต่างๆ จะมีเนื้อหาเฉพาะมากขึ้น เช่น ถ้าเป็นอาชีพก่อสร้างระบบรถไฟฟ้าอาจจะต้องเรียนเพิ่มเนื้อหาเกี่ยวกับระบบไฟฟ้า ระบบรางควบคู่ไป เรียนช่างยนต์ ช่างเชื่อม และอาชีพช่างก่อสร้างก็ต้องเรียนสามารถสร้างถนนได้ ไม่ใช่ก่อสร้างบ้าน หรือสร้างตึกได้เท่านั้น แต่ต้องเรียนสำหรับสร้างถนนโดยเฉพาะ ก็จะมีการออกแบบวิชาเฉพาะ และเพื่อให้มั่นใจว่าจบไปแล้วสามารถทำงานได้ทันที ก็จะต้องออกแบบการเรียนการสอนให้เด็กได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงโดยการส่งไปฝึกงานกับมืออาชีพได้เรียนรู้จากการทำงานจริง และยังได้เงินสนับสนุนเป็นค่าตอบแทนด้วย”นายชัยพฤกษ์กล่าว
นอกจากเร่งพัฒนาไปที่เป้าหมายแล้ว ในส่วนของบุคลากรที่จะทำงานขับเคลื่อนอย่างสถาบันการศึกษาของอาชีวศึกษาในทุกพื้นที่ ก็ต้องปรับแผนการดำเนินงาน ให้สอดคล้องกับความต้องการแรงงานเช่นกัน เช่น การพัฒนาครูใสอดคล้องกับเทคโนโลยีการก่อสร้างรถไฟฟ้า รถไฟความเร็วสูงและรถไฟรางคู่ การจัดเตรียมครูฝึกในสถานประกอบการสามารถกำกับดูแลการเรียนและการฝึกงานทวิภาคีแบบเต็มเวลาในสถานประกอบการได้ และเพิ่มปริมาณครูเพียงพอต่อภาระงาน พร้อมกับการพัฒนาเครื่องมืออุปกรณ์ที่จำเป็นเร่งด่วนและจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมเฉพาะกิจบริเวณ Site งาน หรือสถานศึกษาที่ใกล้เคียงกับโครงการ และจัดตั้งสถานศึกษาเฉพาะทางด้านขนส่งเพื่อผลิตกำลังคนต่อเนื่องระยะยาว
“ต้องยอมรับว่าค่านิยมของเด็กยุคใหม่ต่อการเรียนสายอาชีพยังมีไม่มาก เพราะยังมีทัศนคติเดิมๆ ในเรื่องของการเรียนสายอาชีพ ที่ต้องเป็นพวกใช้แรงงาน ต้องทำงานนักและภาพลบของเด็กอาชีวศึกษาที่ออกสู่สื่อต่างๆ ดังนั้น การจะปรับทัศนคติของผู้ปกครองก็เป็นเรื่องใหญ่ไม่แพ้กับ การเดินหน้าปรับหลักสูตรเนื้อหา ปรับวิธีการเรียนการสอนแล้ว ก็ต้องเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้ทราบถึงภาพลักษณ์ใหม่ของอาชีวศึกษาและทิศทางของความต้องการแรงงาน ที่ยืนยันได้ว่าสายอาชีวศึกษาไม่มีทางตกงานแน่นอน แถมยังเป็นที่ต้องการอีกมาก แต่เราต้องเพิ่มศักยภาพสูงขึ้น ทั้งในแง่ของทฤษฎีและการปฏิบัติที่เน้นทำงานได้จริง และทำงานได้เทียบเท่ากับผู้ที่เรียนสายสามัญ ซึ่งคนของสายอาชีพจะได้เปรียบต้องที่เน้นการปฏิบัติ สามารถทำงานได้ทันที” นายชัยพฤกษ์ กล่าว
‘ใช้ 3 แนวทาง โดยมุ่งตรงต่อความต้องการกำลังคนใน 3 กลุ่มผลิตคนให้เพียงพอ’
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33269&Key=hotnews

