23 สิงหาคม 2556
เป้าหมายที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ได้กำหนดไว้เรื่องหนึ่งสำหรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน คือภายในปี 2558 จะต้องให้ผลการจัดอันดับการศึกษาไทย โดยผลการทดสอบ PISA ของไทยให้อยู่ในอันดับที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นการยกระดับคุณภาพการศึกษาไทยสู่ระดับโลก ในการที่จะทำให้ผลการสอบ PISA สูงขึ้น ภายในปี 2558 (2015) ซึ่งเป็นปีที่ตรงกับการประเมินผลระยะที่ 3 (PISA 2006 และ PISA 2015) หน่วยงานและบุคคลที่เกี่ยวข้องจะต้องเตรียมการและดำเนินการตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
โครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ (PISA) เป็นโครงการประเมินผลการศึกษาของประเทศสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือและพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) มีจุดประสงค์เพื่อสำรวจว่าระบบการศึกษาของประเทศได้เตรียมเยาวชนของชาติให้พร้อมสำหรับการใช้ชีวิตและการมีส่วนร่วมในสังคมในอนาคตเพียงพอหรือไม่ เป็นการประเมินสมรรถนะของนักเรียนวัย 15 ปี ที่จะใช้ความรู้และทักษะเพื่อเผชิญกับโลกในชีวิตจริง มากกว่าการเรียนรู้ตามหลักสูตรในโรงเรียน ในด้านการรู้เรื่องการอ่าน (Reading Literacy) การรู้เรื่องคณิตศาสตร์ (Mathematical Literacy) และการรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ (Scientific Literacy) โดยแบ่งการประเมินออกเป็น 2 รอบ ได้แก่ รอบที่ 1 (Phase l: PISA 2000 PISA 2003 และ PISA 2006) และรอบที่ 2 (Phase ll: PISA 2009 PISA 2012 และ PISA 2015)
ในการดำเนินการผลการทดสอบ PISA ของไทย ให้ดีขึ้นจากผลการสอบครั้งก่อนๆ นั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการมีความกระตือรือร้นสูงมาก ในการขับเคลื่อน/ผลักดันให้บรรลุเป้าหมาย โดยให้มีคณะกรรมการ/คณะทำงานขับเคลื่อนในระดับกระทรวง (Macro level) การดำเนินงานตามแนวทางนี้จะทำให้เกิดความมั่นใจได้ว่าการเพิ่มคะแนนการสอบ PISA ของไทยในรอบใหม่มีความเป็นไปได้
อย่างไรก็ตาม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั้งประถมศึกษาและมัธยมศึกษาทั้งประเทศ และสถานศึกษาในภาครัฐและเอกชน ซึ่งเป็นสถานที่ที่เกิดการเรียนรู้ของผู้เรียนเกือบทั้งหมด ก็ควรที่จะต้องตระหนักและหาหนทางในการกำหนดมาตรการแนวปฏิบัติเพื่อยกระดับผลการสอบ PISA ของตนเอง (SBM) สำหรับแนวทางที่จะช่วยให้หน่วยงานระดับเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษา (Micro level) กำหนดมาตรการเพื่อรองรับ นอกจากการปรับระบบการเรียนการสอน การวัดผลประเมินผล โดยเฉพาะเครื่องมือวัดผล กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน (กิจกรรมวิชาการ, ชุมนุม, ชมรม) ให้เข้มข้นขึ้นแล้วก็ควรมีการศึกษางานวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมาใช้ในการพัฒนา / ปรับปรุง
ในที่นี้จะขอนำเสนอให้มีการศึกษารายงานผลการศึกษาของโครงการ PISA ประเทศไทย สถาบันส่งเสริมการสอนวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2544) เรื่อง ปัจจัยที่ทำให้ระบบโรงเรียนประสบความสำเร็จเป็นรายงานการศึกษาที่วิเคราะห์ผลกระทบจากตัวแปรด้านโรงเรียนที่ส่งผลต่อคุณภาพการศึกษาของนักเรียน โดยศึกษาข้อมูลจากโครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ PISA 2009
โดยชี้ให้เห็นว่าลักษณะของระบบโรงเรียนที่ประสบผลสำเร็จ และลักษณะที่ระบบของไทยเป็นอยู่ ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการจัดทำแผนขับเคลื่อน และปรับปรุงระบบโรงเรียนที่เป็นอยู่
สำหรับระบบโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จในรายงานฉบับนี้ หมายถึง โรงเรียนที่นักเรียนมีผลการประเมินการอ่านสูงกว่าค่าเฉลี่ย OECD (493 คะแนน) ภูมิหลังทางเศรษฐกิจสังคมของนักเรียนส่งผลกระทบต่อคะแนนการอ่านต่ำกว่าประเทศ OECD และความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐกิจสังคม และผลการประเมินมีค่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยข้อมูลชุดนี้น่าจะนำไปใช้ประโยชน์การจัดทำแผนการขับเคลื่อนได้มากและตรงประเด็น ลักษณะของระบบโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จ และลักษณะที่ระบบของไทยเป็นอยู่ มีดังนี้
1.ระบบโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จ สามารถจัดให้นักเรียนมีโอกาสทางการเรียนเท่าเทียมกัน ไม่ว่านักเรียนจะมีภูมิหลังทางเศรษฐกิจ-สังคม อย่างไร
โรงเรียนไทยมีการแบ่งกลุ่มตามภูมิหลังทางสังคมและวัฒนธรรมปรากฏชัดเจน ค่าดัชนีเฉลี่ยของสถานะทางสังคมและวัฒนธรรมของโรงเรียนกลุ่มสูงและกลุ่มต่ำแตกต่างกันถึงเกือบสองหน่วยดัชนี (ความแตกต่างเฉลี่ย 1.76) ซึ่งประเทศสมาชิก OECD ไม่มีประเทศมีความแตกต่างสูงขนาดนี้
2.ระบบโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ให้อำนาจอิสระแก่โรงเรียนในด้านการกำหนดการเรียนการสอนและออกแบบการประเมินผลได้เอง แต่ไม่จำเป็นต้องให้โรงเรียนแข่งขันกันรับนักเรียน
ประเทศไทยมีบรรยากาศของการแข่งขันกันรับนักเรียนสูงมาก การที่โรงเรียนต้องสอบคัดเลือกนักเรียนและสอบในวันเดียวกัน หรือรับมอบตัววันเดียวกันกับวันสอบของโรงเรียนอื่นเป็นการแข่งขันที่สูงที่สุด เพราะต่างโรงเรียนต่างแย่งนักเรียนกัน ตัดโอกาสไม่ให้นักเรียนและพ่อแม่มีทางเลือกโรงเรียนที่หลากหลาย
3.ในประเทศสมาชิก OECD ส่วนใหญ่โรงเรียนเอกชนมีผลการประเมินสูงกว่าโรงเรียนของรัฐ แต่
หลังจากอธิบายด้วยเหตุผลทางภูมิหลังทางเศรษฐกิจ-สังคมและประชากรศาสตร์ของโรงเรียนและนักเรียนแล้ว ในประเทศสมาชิก OECD นักเรียนโรงเรียนของรัฐมีผลการประเมินสูงกว่าโรงเรียนเอกชน ส่วนประเทศไทยโรงเรียนของรัฐสูงกว่าเอกชนทั้งก่อนและหลังอธิบายด้วยตัวแปรทางภูมิหลังทางเศรษฐกิจและสังคม
ประเทศไทย พ่อแม่ส่วนใหญ่นิยมเลือกโรงเรียนของรัฐ และผลการประเมินนักเรียนในโรงเรียนของรัฐสูงกว่าโรงเรียนเอกชนอยู่แล้ว และเมื่ออธิบายด้วยตัวแปรทางเศรษฐกิจและสังคมแล้ว โรงเรียนของรัฐยิ่งสูงขึ้นอีก
4.พ่อแม่ต้องการเลือกโรงเรียนที่มีคุณภาพทางวิชาการมากกว่าความช่วยเหลือทางการเงิน
สำหรับการปฏิบัติในประเทศไทย ขณะนี้ให้ลำดับความสำคัญกับมาตรการการช่วยเหลือทางการเงินเป็นอันดับแรก แต่มาตรการการยกระดับคุณภาพการศึกษายังไม่ถูกจัดลำดับความสำคัญ
5.ระบบโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จมีการกระจายทรัพยากรอย่างเป็นธรรม มีค่าใช้จ่ายทางการศึกษาที่สูงและการใช้จ่ายมักให้ลำดับความสำคัญกับเงินเดือนครูมากกว่าทำชั้นเรียนขนาดเล็ก
ประเทศไทยครูมีเงินเดือนไม่สูงแต่ชั้นเรียนมีขนาดใหญ่ และข้อมูลชี้ว่าโรงเรียนที่มีผลทางวิชาการสูง มีครูและทรัพยากรที่ดีกว่า และเป็นโรงเรียนที่มีนักเรียนได้เปรียบทางสถานะเศรษฐกิจและสังคม ส่วนโรงเรียนที่ด้อยเปรียบหรือโรงเรียนยากจน มีดัชนีสถานะเศรษฐกิจและสังคม และดัชนีทรัพยากรต่ำกว่าทั้งสองอย่าง ครูดีๆ มีคุณภาพมีอยู่เฉพาะในโรงเรียนดีๆ ที่มีผลทางวิชาการสูง ส่วนครูในโรงเรียนยากจน นอกจากไม่ใช่ครูคุณภาพสูงแล้วยังต้องแบกภาระงานนอกเหนือจากการสอนอีก เพราะทรัพยากรบุคคลมีจำกัด จึงเกิดความแตกต่างจากโรงเรียนเศรษฐกิจดีในช่องว่างที่กว้างมาก ซึ่งเป็นตัวชี้บอกถึงความไม่เสมอภาคในการกระจายทรัพยากร
6.โดยทั่วไปโรงเรียนที่มีบรรยากาศทางระเบียบวินัยดี นักเรียนและครูมีพฤติกรรมทางบวกและมีความสัมพันธ์อันดีระหว่างนักเรียนกับครู มีแนวโน้มที่มีคะแนนการอ่านสูง
แม้ว่าโดยทั่วไปในประเทศส่วนใหญ่จะมีแนวโน้มเป็นเช่นนั้น แต่สำหรับประเทศไทย แม้ว่านักเรียนจะรายงานถึงระเบียบวินัยที่ดี และอยู่ในอันดับต้นๆ ของตาราง แต่กลับไม่มีความสัมพันธ์กับคะแนน หรือมีความสัมพันธ์แบบกลับกัน
ส่วนการปรับระบบโรงเรียนของไทย คณะผู้ศึกษาและจัดทำรายงานฉบับดังกล่าว มีข้อเสนอและชี้แนะ ดังต่อไปนี้
1) ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพการเรียนรู้ เนื่องจากความผิดพลาดของระบบที่ผ่านมาคือ การส่งเสริมทรัพยากรที่ไม่เสริมการเรียนรู้ ตัวแปรที่ส่งผลกระทบทางลบ เช่น การปล่อยให้ครูที่ขาดแคลนเกษียณอายุก่อนเวลา และการเก็บอัตราครูเกษียณทำให้ขาดแคลนครูมากยิ่งขึ้น การเรียนกวดวิชานอกโรงเรียนตลอดจนการสนับสนุนการใช้ ICT ตามกระแสการพาณิชย์
2) การทำให้นักเรียนจำนวนมากที่สุดอยู่ในมือครูคุณภาพสูง โดยเฉพาะนักเรียนกลุ่มอ่อนจำเป็นที่ต้องการความช่วยเหลือจากครูดี การยกระดับให้ครูส่วนใหญ่ของประเทศเป็นครูคุณภาพสูงจึงเป็นเรื่องจำเป็นต้องทำอย่างรีบด่วน
3) มุ่งเน้นให้นักเรียนกลุ่มด้อยเปรียบทางสถานะทางวัฒนธรรม สังคม และเศรษฐกิจ ทั้งโรงเรียนที่ด้อยเปรียบ และนักเรียนที่ด้อยเปรียบในโรงเรียน ให้ได้รับการส่งเสริมสนับสนุนอย่างเพียงพอ การปฏิบัติที่ผ่านมาที่รัฐจัดหาทรัพยากรให้นักเรียนเท่ากันทุกคนไม่ใช่คำตอบ แต่กลับขยายการปฏิบัติที่ผ่านมาเป็นการขยายช่องว่างระหว่างกลุ่มที่มีสถานะต่างกันให้กว้างขึ้นอีก
4) มุ่งสร้างความเข้มแข็งทางการศึกษา สร้างนักเรียนที่มีความรู้และทักษะถึงระดับ 5 และสูงกว่าให้มีสัดส่วนมากขึ้น (ระดับการรู้เรื่องในการประเมินผล PISA มีระดับ 1 ถึงระดับ 6)
5) เวลาเรียนและวิชาเรียน นักเรียนไทยมีวิชาเรียนมากกว่านักเรียนวัยเดียวกันในประเทศอื่นๆ นักเรียนจึงมีเวลาเรียนแต่ละวิชาต่ำ แต่เรียนหลายวิชาต่อสัปดาห์ จึงควรมีการทบทวนการใช้เวลาเรียนและวิชาเรียน ส่วนการกวดวิชานั้นไม่ควรได้รับการส่งเสริม
6) ประเด็นการใช้คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตในการเรียนการสอน เป็นนโยบายที่ต้องมีความระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะนอกจากยังไม่มีรายงานว่าการใช้คอมพิวเตอร์ของนักเรียนส่งผลทางบวกต่อการเรียนรู้ ยังปรากฏข้อมูลที่เป็นเชิงลบ
7) เปลี่ยนวิธีการสอนและประเมินผลให้สะท้อนเป้าหมายของการเรียนการสอนและหลักสูตรเพื่อยกระดับมาตรฐานการเรียนรู้ การเรียนการสอนต้องมีความพยายามให้นักเรียนให้รู้เรื่อง (Literacy) นักเรียนต้องเรียนและสอบได้จริงๆ จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนวิธีการวัดและตัดสินผลการสอบได้และต้องพยายามเปลี่ยนแปลงประมวลการสอบคัดเลือกเข้าศึกษาในระดับสูงกว่า
8) เร่งรัดการปรับปรุงระเบียบวิจัยของนักเรียนความปลอดภัยในบรรยากาศทางการเรียนในด้านการปฏิบัติของครูเชิงพฤติกรรมที่นอกเหนือจากงานสอนปกติในห้องเรียน
ข้อมูลที่นำเสนอดังกล่าวข้างต้น เป็นสารสนเทศที่ได้จากการวิเคราะห์เชิงวิชาการจากหลักฐานที่เชื่อถือได้ (Evidence base) ควรอย่างยิ่งที่ผู้เกี่ยวข้องกับระบบการศึกษาของไทยระดับนโยบาย (Macro level) ได้แก่ กระทรวงศึกษาธิการ กรมกองในสังกัด และระดับปฏิบัติการและหน่วยงานกำกับติดตาม (Micro level) ได้แก่สถาบันอุดมศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั้งประถมศึกษาและมัธยมศึกษา และสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของรัฐและเอกชน นำข้อมูลดังกล่าวนี้เป็นทางเลือกหนึ่งสู่การปฏิบัติในส่วนที่ตนเองเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นการประกาศนโยบายออกกฎกระทรวง ออกระเบียบการปรับปรุงหลักสูตรการเรียน การสอน การพัฒนาครู การจัดสรรงบประมาณ ฯลฯ ทุกภาคส่วนควรนำการบริหารจัดการที่เน้นผลวิจัย/ประเมิน (Research based management) มาพัฒนาการศึกษาให้มากขึ้นเพื่อหนีความอลเวง ในการใช้ความคิดส่วนตนในลักษณะของอัศวินม้าขาว
ขอชื่นชม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ที่กล่าวไว้ว่า ท่านไม่ใช่อัศวินม้าขาว ดังนั้น การยกระดับคุณภาพของผู้เรียนตามเป้าหมายที่กระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดดังที่กล่าวข้างต้น คือการทำให้ผลการทดสอบ PISA ของไทยดีขึ้นนั้น ควรมีการเสวนาวิชาการในวงกว้างเกี่ยวกับแนวทางการยกระดับการเรียนรู้ของผู้เรียนสู่นานาชาติ เพื่อให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเห็นความสำคัญและกระตือรือร้นที่จะเสาะแสวงหาองค์ความรู้ ในการกำหนดมาตรการทั้งระดับมหภาคและจุลภาค หน่วยงานหรือองค์กรนอกสังกัดกระทรวงศึกษาธิการที่มีศักยภาพและดำเนินการให้สังคมเกิดความรู้ที่ควรเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมส่งเสริมความรู้ เช่น สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพของเยาวชน (สสค.) ในการผลักดันให้ผู้เรียนมีผลการทดสอบ PISA ของไทยให้สูงขึ้น และได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้น ควรจะเป็นความรับผิดชอบของทุกภาคส่วน ไม่เพียงเฉพาะกระทรวงศึกษาธิการ สพฐ. สกศ. สสวท. เท่านั้น สถานศึกษาทุกแห่ง เขตพื้นที่การศึกษาทุกเขตพื้นที่ พ่อแม่
ที่สำคัญยิ่งคือ ตัวผู้เรียนเอง จะต้องมีความตระหนักปรับตัว และให้ความร่วมมือเพื่อสร้างประเทศไทยให้มีความเจริญก้าวหน้าทัดเทียมกลุ่มประเทศชั้นนำของโลก โรงเรียน ผู้บริหารโรงเรียน ครู นักเรียน และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานจะต้องมีความรับผิดชอบในการเพิ่มผลการสอน PISA ให้สูงขึ้น
(ที่มา:มติชนรายวัน 22 สิงหาคม 2556)
http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33830&Key=hotnews

