จับ ‘สอบใหม่’ ครู ผช.โคราช ทำ 20 ข้อ คะแนนไม่ถึงครึ่ง

5 มิถุนายน 2556

ปธ.กก.สอบวินัยร้ายแรงฯ เผย’ชินภัทร’รับทราบข้อกล่าวหาแล้ว ให้ความร่วมมือดี ยันแม้เกษียณการสอบต้องเดินหน้าต่อ ชี้อดบำเหน็จบำนาญจนกว่าคดียุติ

เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน นายอภิชาติ จีระวุฒิ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษา ขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังนายชินภัทรมารับทราบข้อกล่าวหา ฐานไม่ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของทางราชการ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ทางราชการอย่างร้ายแรงกรณีปัญหาทุจริตครูผู้ช่วยกรณีพิเศษหรือเหตุจำเป็น ว12 ว่า คณะกรรมการสอบสวนจะหาข้อเท็จจริง ทั้งจากผู้ถูกกล่าวหา ตลอดจน หลักฐานจากทั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงการจัดสอบครูผู้ช่วย ว12 ชุดนางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นประธาน ซึ่งได้ส่งเอกสารมาแล้วจำนวน 1,444 หน้า รวมถึงเอกสารที่ได้จากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) อีกจำนวนกว่า 1,000 หน้า หากมีการพาดพิงหรือต้องการข้อมูลข้อเท็จจริงจากผู้ใด ก็จะเชิญคนเหล่านั้นมาให้ข้อเท็จจริง หรือขอเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมต่อไป

นายอภิชาติกล่าวว่า กรอบการทำงานของคณะกรรมการสอบสวนมีเวลารวบรวมเอกสารหลักฐานทั้งหมดภายใน 60 วัน เพื่อจัดทำบันทึกการแจ้งการรับทราบข้อกล่าวหา และสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหา ส่งให้ผู้ถูกกล่าวหาเพื่อแก้ข้อกล่าวหา หรือพยานหลักฐาน ทั้งเอกสารและพยานบุคคล ที่จะต้องเชิญมาสอบสวนภายใน 60 วัน จากนั้นคณะกรรมการสอบสวนจะพิจารณาว่าคำแก้ข้อกล่าวหาของผู้ถูกกล่าวหารับฟังได้หรือไม่ เพื่อทำความเห็นซึ่งอาจจะเสนอทั้งโทษร้ายแรง ไม่ร้ายแรง หรืออาจไม่มีโทษเลยก็ได้ เสนอต่อรัฐมนตรีว่าการ ศธ. พิจารณาวินิจฉัยในขั้นตอนสุดท้าย ทั้งนี้ คณะกรรมการสอบสวนได้นัดหารืออีกครั้งใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า

เลขาธิการ กกอ.กล่าวด้วยว่า ส่วนการยื่นอุทธรณ์ของนายชินภัทรนั้น มีความเข้าใจคลาดเคลื่อน เพราะขณะนี้ยังไม่ถึงขั้นตอนการอุทธรณ์ แต่สิ่งที่นายชินภัทรสามารถกระทำได้ คือ การทักท้วง หากผู้ถูกกล่าวหาเห็นว่ากรรมการสอบสวน ทั้ง 7 คน เป็นอริแก่ผู้ถูกกล่าวหา แต่กรณีนี้นายชินภัทรไม่ได้ทักท้วงอย่างอย่างใด ส่วนหนังสือที่นายชินภัทรส่งผ่านรัฐมนตรีว่าการ ศธ. เป็นการแจ้งข้อเท็จจริงบางประการเพิ่มเติมเนื่องจากเห็นว่า คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงฯอาจจะไม่ได้รับข้อมูลที่ครบถ้วน จึงไม่ใช่เรื่องการอุทธรณ์ ซึ่งตนจะเสนอรัฐมนตรีว่าการ ศธ.เพื่อขอรับเอกสารที่นายชินภัทรได้ส่งมา เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของสำนวนการสอบสวน

“การยื่นอุทธรณ์ สามารถทำได้เมื่อผลการสอบสวนออกมาเรียบร้อยแล้ว และผู้ถูกกล่าวหาเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ภายใน 30 วันนับจากวันที่ได้รับคำสั่งลงโทษ ซึ่งตามเวลาที่กำหนคดีนี้จะเสร็จสิ้นภายในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2556 แม้ผู้ถูกกล่าวหาจะเกษียณอายุราชการแล้ว กระบวนการสอบสวนก็สามารถเดินต่อไปได้ โดยทางราชการจะไม่จ่ายบำเหน็จบำนาญจนกว่าคดีจะสิ้นสุด” นายอภิชาติกล่าว

นางรัตนา ศรีเหรัญ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) กล่าวถึงกรณีคณะอนุกรรมการข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) เขตพื้นที่การศึกษาบางแห่ง มีมติให้ผู้อำนวยการโรงเรียนตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงก่อนพิจารณาให้ครูผู้ช่วยที่ทุจริตการสอบออกจากราชการ ว่า ไม่เป็นไร หากจะดำเนินการเพื่อความมั่นใจก็สามารถดำเนินการได้ ซึ่งเมื่อมีการแจ้งข้อมูลในประเด็นเหล่านี้เข้ามา จะต้องนำเข้าหารือและพิจารณาในที่ประชุม ก.ค.ศ.ต่อไป
“ตอนนี้มีแค่ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา 4 เขตแจ้งข้อมูลเข้ามายัง ก.ค.ศ.จากทั้งหมด 119 เขต ซึ่งข้อมูลที่แจ้งมา มีตั้งแต่การสั่งให้ออก ครูผู้ช่วยบางคนได้ลาออกไปก่อนและได้ไปบรรจุที่อื่นแล้ว รวมทั้งการเชิญผู้อำนวยการโรงเรียนที่ครูผู้ช่วยไปบรรจุอยู่ มาทำความเข้าใจในเรื่องของมติการให้ออก” เลขาธิการ ก.ค.ศ.กล่าว และว่า กรณีคนที่ลาออกแล้วไปเป็นครูที่อื่นนั้น ขณะยังไม่ขอให้ความเห็น แต่คิดว่าจะต้องนำเข้าหารือในการประชุม ก.ค.ศ.ต่อไป

วันแดียวกัน ที่ห้องประชุมสำนักงานเทศบาลนครนครราชสีมา จ.นครราชสีมา นายธานินทร์ เปรมปรีดิ์ ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามการทุจริต กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พร้อมคณะเจ้าพนักงานสอบสวน ได้เรียกตัวบุคคลที่สอบครูผู้ช่วยของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ในเขตพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา จำนวน 51 ราย มาให้ปากคำกรณีทุจริตการสอบครูผู้ช่วยเมื่อวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมา โดยวันนี้เป็นวันแรก มีการเรียกตัวมาสอบปากคำทั้งหมด 16 ราย และจะทยอยเรียกตัวมาสอบปากคำให้ครบทั้ง 51 ราย จนถึงวันที่ 7 มิถุนายน หลังจากนั้นจะทยอยเรียกผู้ที่อยู่ในจังหวัดใกล้เคียงมาสอบปากคำต่อไปจนครบ 344 คน

นายธานินทร์กล่าวว่า ผู้ที่เข้าข่ายทุจริตสอบครูผู้ช่วยในพื้นที่ จ.นครราชสีมา มีจำนวนทั้งสิ้น 51 ราย แบ่งเป็นผู้ที่สอบครูผู้ช่วยได้ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษานครราชสีมา เขต 1-7 จำนวน 48 ราย และในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 31 จำนวน 3 ราย ซึ่งดีเอสไอมีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการซื้อข้อสอบครูผู้ช่วย ในการสอบปากคำครั้งนี้ก็ได้นำข้อสอบที่เคยทำได้คะแนนสูงมาให้ทดลองทำดูใหม่ด้วย

หากพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตสอบครูผู้ช่วยจะเข้าข่ายถูกดำเนินคดีอาญาได้เช่นกัน เป็นคนละส่วนกับคำสั่งเพิกถอนการบรรจุครูผู้ช่วยซึ่งเป็นเรื่องทางวินัย สำหรับการเรียกผู้เข้าข่ายทุจริตสอบครูผู้ช่วยทั้ง 51 รายมาให้ปากคำ จะเป็นกลุ่มแรก หากใครไม่ยอมมาจะมีหมายเรียกให้มาพบพนักงานสอบสวนที่กรุงเทพฯ โดยเป็นหมายเรียกในฐานะผู้ต้องหาคดีอาญา

นายธานินทร์กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังมีผู้ต้องสงสัยเพิ่มเติมอีก 104 ราย ที่มีคะแนนสูงผิดปกติ ซึ่งอยู่ระหว่างการวิเคราะห์ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตสอบครูผู้ช่วยหรือไม่ หากมีข้อมูลและหลักฐานความผิดชัดเจนต้องถูกเพิกถอนบรรจุครูผู้ช่วยเช่นกัน

ส่วนการไล่หาตัวการใหญ่ทุจริตการสอบ นายธานินทร์กล่าวว่า ดีเอสไอได้ทำคู่ขนาน กันไป ระหว่างไล่จากล่างขึ้นบนและบนลงล่าง โดยการไล่จากข้างบนนั้น ขณะนี้กำลังรวบรวมข้อมูล และหลักฐานว่ามีผู้บริหารระดับสูงในกระทรวงศึกษาธิการคนใดบ้างเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง ส่วนข้างล่างนั้น ต้องมีการเรียกตัวผู้ต้องหาทั้ง 344 ราย มาสอบปากคำ ซึ่งเป็นลำดับล่างสุดที่มีการนำข้อสอบออกมา และทำการสืบสาวไปหาผู้เกี่ยวข้องระดับบนขึ้นไป

“344 รายที่ดีเอสไอเรียกมาสอบปากคำครั้งนี้ ไม่ได้เป็นจุดที่ดีเอสไอให้ความสำคัญมากนัก เนื่องจากมีข้อมูลและหลักฐานชัดเจนว่าทุจริตสอบแน่นอน เพียงแต่ต้องการเปิดโอกาสทั้ง 344 รายมาให้ปากคำเพื่อเป็นพยาน ผู้ที่ให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี ดีเอสไอจะกันไว้เป็นพยานโดยไม่แจ้งความในคดีอาญา ส่วนผู้ที่ไม่ยอมมา ต้องแจ้งความในคดีอาญาต่อไป” นายธานินทร์กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังดีเอสไอสุ่มเอาข้อสอบจำนวน 20 ข้อ มาให้ผู้ถูกเรียกสอบปากคำทั้ง 16 คน ทดลองทำปรากฏว่าทั้งหมดทำได้เพียง 7-8 ข้อเท่านั้น แต่บางคนได้ให้ปากคำที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี โดยเฉพาะในรายของครูผู้ช่วยของโรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา ที่ยอมรับว่าได้ซื้อข้อสอบจากข้าราชการครูคนหนึ่ง ในราคา 4 แสนบาท แต่ไม่รู้ว่าเอาข้อสอบมาจาก ที่ใด โดยครูที่มาติดต่ออ้างว่าทำกันหลายคน

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32919&Key=hotnews