Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

ขออนุโลมสอน ป.บัณฑิตครูฉบับเก่า ‘ธัญบุรี’ วอนคุรุสภาไฟเขียว/ครูเก่า-นศ.จบใหม่ขาดตั๋วครูอื้อ!

16 พฤษภาคม 2556

นายประเสริฐ ปิ่นปฐมรัฐ คณบดีคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี เปิดเผยว่า เนื่องจากขณะนี้คุรุสภา ยังไม่ประกาศใช้มาตรฐานวิชาชีพครูฉบับใหม่ และยังไม่มีการอนุมัติให้มหาวิทยาลัยที่มีหลักสูตรป.บัณฑิตวิชาชีพครู เปิดการเรียนการสอนให้กับครู อาจารย์ที่อยู่ในระบบ และไม่มีใบประกอบวิชาชีพครู ส่งผลให้เกิดปัญหากับครูกลุ่มนี้เป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงอยากขอให้คุรุสภา อนุมัติให้ทุกมหาวิทยาลัย เปิดสอนในหลักสูตรเก่าไป เพื่อบรรเทาปัญหาดังกล่าวที่เกิดขึ้น โดยขณะนี้มีผู้มาติดต่อมาที่ มทร.ธัญบุรี เพื่อขอเรียนในหลักสูตร ป.บัณฑิตวิชาชีพครู กว่า 240 ราย ทั้งนี้ล้วนเป็นครู อาจารย์ ในจังหวัดปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา และนนทบุรี

“ปัญหานี้เคยเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 6 เดือนที่ผ่านมา และมหาวิทยาลัยมีการเรียกร้องให้คุรุสภา อนุมัติให้จัดการเรียนการสอนซึ่งขณะนั้นคุรุสภา ได้อนุมัติให้เปิดสอน ซึ่งก็ช่วยบรรเทาปัญหาของครูได้ระดับหนึ่ง แต่ในความเป็นจริงแล้วยังมีครูอีกจำนวนมากที่ยังไม่มีใบประกอบวิชาชีพครู และหากไม่มีใบนี้ในอนาคตก็ต้องตกงาน ทำให้ขาดครูที่มีความรู้ ความสามารถและประสบการณ์ในระบบได้ ผมเคยส่งหนังสือทวงถามเรื่องมาตรฐานวิชาชีพครูฉบับใหม่ไปที่คุรุสภา แต่ไม่ได้รับคำตอบกลับมา จึงส่งหนังสือขออนุโลมให้สามารถจัดการสอนในหลักสูตร ป.บัณฑิตวิชาชีพครู หลักสูตรเก่าไปที่คุรุสภาใหม่อีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้คำตอบกลับมาอีกเช่นกัน ซึ่งเท่าที่ทราบคุรุสภามีการเปลี่ยนคณะกรรมการชุดใหม่ ดังนั้นเรื่องจึงอาจมีความล่าช้า แต่ก็อยากให้เร่งแก้ไขโดยเร็วที่สุด” นายประเสริฐ กล่าวและว่า หากคุรุสภาประกาศใช้มาตรฐานวิชาชีพครูฉบับใหม่ออกมา มหาวิทยาลัยจะต้องจัดทำหลักสูตรใหม่ แล้วเสนอให้บอร์ดของมหาวิทยาลัย อนุมัติหลักสูตรซึ่งต้องใช้เวลานานถึง 4 เดือน จึงอยากให้คุรุสภา อนุโลมใช้หลักสูตรเก่าไปก่อนเพราะขณะนี้มีผู้เดือดร้อน 2 กลุ่ม คือ ครูอาจารย์ในระบบเดิมที่ไม่มีใบรับรอง และกลุ่มนักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาใหม่ และไม่ได้เรียน ในคณะคุรุศาสตร์ แต่มีความต้องการที่จะเป็นครู

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมหลายมหาวิทยาลัยในสายวิชาชีพครู มีเด็กสมัครเข้าเรียนมากกว่าปีที่ผ่าน แสดงให้เห็นว่าเด็กรุ่นใหม่มีความต้องการเป็นครู และขณะนี้มีกระบวนการผลิตครูพันธุ์ใหม่ รูปแบบการพัฒนาครู รูปแบบการศึกษาในอนาคตให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นคุรุสภาจึงควรทำงานในเชิงรุก และรัฐบาลเองก็ควรให้ความสำคัญกับอัตราครูใหม่ในระบบที่ยังขาดครูอยู่ ทั้งประถมศึกษา มัธยมศึกษา รวมถึงอาชีวศึกษาด้วย

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32723&Key=hotnews

‘ศธ.’ แก้กฎใหม่นักเรียนหญิง เฮ! เลิกห้ามซอยผม

16 พฤษภาคม 2556

‘ศธ.’แก้กฎกระทรวง น.ร.หญิง ‘ซอยผม’ ได้ พร้อมสั่งห้ามโรงเรียนออกระเบียบแย้ง หลังพบออกกฎเพิ่มห้าม น.ร.หญิงไว้ผมยาวเกิน 8 นิ้ว แถมต้องถักเปีย อย่างเดียว

เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหารองค์กรหลักของ ศธ. ว่าเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการ ศธ. ได้ลงนามในร่างกฎกระทรวงกำหนดความประพฤติ การแต่งกาย และแบบทรงผมของนักเรียนนักศึกษา พ.ศ. … ตามที่ได้เสนอให้พิจารณา โดยนายพงศ์เทพได้ปรับแก้ถ้อยคำในหมวด 3 แบบทรงผม โดยตัดคำว่า “ห้ามนักเรียนซอยผม” ออกจากข้อ 2.นักเรียนหญิงให้ไว้ผมสั้น หรือยาวก็ได้ กรณีไว้ยาวก็ให้รวบให้เรียบร้อย ห้ามนักเรียน ซอย ดัดผม ทำสีผม ไว้หนวดเครา หรือทำการอื่นใดที่ไม่เหมาะสมกับสภาพการเป็นนักเรียน โดยนายพงศ์เทพให้เหตุผลว่า การที่นักเรียนชายตัดรองทรงสั้นได้ไม่เลยตีนผมด้านหลัง ก็ถือว่าเป็นการซอยเช่นกัน ดังนั้น พอตัดคำว่าซอยผมออก จะรวมไปถึงนักเรียนหญิงที่สามารถซอยผมได้ด้วย

นางพนิตากล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ให้เพิ่มคำว่า “หากนักเรียนมีความจำเป็นต้องไว้ทรงผมแตกต่างจากที่กำหนดเนื่องจากความจำเป็นทางศาสนา ประเพณี หรือความจำเป็นอื่นใด ก็ให้อยู่ในอำนาจของสถานศึกษานั้นเป็นผู้พิจารณา” และให้ตัดคำว่า “โรงเรียนอาจกำหนดแบบทรงผมได้เท่าที่ไม่ขัด หรือแย้งกับกฎกระทรวงนี้ โดยให้รับฟังความคิดเห็น และทำประชาพิจารณ์ร่วมกับนักเรียนให้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสถานศึกษาก่อน” ออกไป

“หมายความว่า กฎกระทรวงฉบับนี้จะเปิดกว้างให้อิสระกับนักเรียน โดยโรงเรียนไม่มีสิทธิไปกำหนดหลักเกณฑ์ต่างๆ เพิ่มเติม อาทิ เดิมกฎกระทรวงกำหนดว่าเด็กผู้หญิงไว้ผมยาวได้แต่ต้องรวบให้เรียบร้อย แต่บางโรงเรียนกำหนดเพิ่มเติมว่าการรวบให้เรียบร้อย อาจหมายถึงแต่ต้องรวบให้เรียบร้อย แต่บางโรงเรียนกำหนดเพิ่มเติมว่าการรวบให้เรียบร้อย อาจหมายถึงการถักผมเปียอย่างเดียว หรือบางโรงเรียนอาจจะกำหนดว่า ไม่ให้ผมยาวเลยตีนผมไปเกินกว่า 8 นิ้ว เป็นต้น หากตัดถ้อยคำนี้ออก เท่ากับว่าโรงเรียนจะไม่สามารถกำหนดอะไรเพิ่มเติมได้อีกเลย เพราะในร่างกฎกระทรวงไม่ได้ให้อำนาจไว้ ทั้งนี้ คาดว่าร่างกฎกระทรวงดังกล่าวจะเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 21 พฤษภาคม ก่อนจะประกาศในราชกิจจานุเบกษา เพื่อให้มีผลบังคับใช้ภายในปีการศึกษา 2556 นี้ การแก้ร่างกฎกระทรวงครั้งนี้ นายพงศ์เทพเป็นคนขีดฆ่าถ้อยคำ และพิจารณาข้อกฎหมายด้วยตนเอง จึงคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร” นางพนิตากล่าว

นางพนิตากล่าวอีกว่า ขณะนี้โรงเรียนหลายแห่งได้ทยอยเปิดภาคเรียนแล้ว และมีบางโรงเรียนไล่ให้นักเรียนไปตัดผมใหม่ ดังนั้น นายพงศ์เทพจึงมอบให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ไปทำความเข้าใจกับผู้บริหารโรงเรียนว่าขอให้ยึดถือกฎกระทรวง พ.ศ.2518 เป็นหลัก เพราะกฎกระทรวงดังกล่าวให้นักเรียนชายไว้ผมรองทรงได้ และไว้ผมยาวได้ ประเด็นส่วนใหญ่ไม่ต่างกับร่างกฎกระทรวงฉบับใหม่ เพียงแต่มีรายละเอียดเพิ่มเติมนิดหน่อยเท่านั้น

นางพนิตากล่าวต่อว่า สำหรับร่างกฎกระทรวงกำหนดความประพฤติฯ ฉบับใหม่ แบ่งเป็น 3 หมวด ได้แก่ หมวด 1 ความประพฤติ เป็นการกำหนดเรื่องความประพฤติของนักเรียน และนักศึกษา ดังนี้ 1.นักเรียน และนักศึกษาต้องประพฤติตนอยู่ในระเบียบวินัยของสถานศึกษาที่ตนสังกัดอยู่ และต้องไม่ประพฤติตนดังนี้ หนีเรียน หรือออกนอกสถานศึกษาโดยไม่ได้รับอนุญาตในช่วงเวลาเรียน เล่นการพนัน จัดให้มีการเล่นการพนัน หรือมั่วสุมในวงการพนัน พกพาอาวุธ หรือวัตถุอันตราย ซื้อ จำหน่าย แลกเปลี่ยน ให้หรือเสพสุรา เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ สิ่งมึนเมา หรือทำให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหาย ลักทรัพย์ กรรโชกทรัพย์ ข่มขู่ บังคับขืนใจเพื่อเอาทรัพย์สินบุคคลอื่น หรือทำให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหาย ก่อเหตุทะเลาะวิวาท ทำร้ายร่างกายผู้อื่น เตรียมการหารือการกระทำใดๆ อันน่าจะก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย หรือขัดต่อศีลธรรมอันดีงามของประชาชน แสดงพฤติกรรมทางชู้สาวซึ่งไม่เหมาะสมในที่สาธารณะ เกี่ยวข้องกับการค้าประเวณี ออกนอกสถานที่พักเวลากลางคืนเพื่อเที่ยวเตร่ หรือรวมกลุ่ม อันเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนเอง หรือผู้อื่น และโรงเรียน หรือสถานศึกษาอาจกำหนดระเบียบว่าด้วยความประพฤติของนักเรียน และนักศึกษาได้เท่าที่ไม่ขัด หรือแย่งกับกฎกระทรวงนี้

นางพนิตากล่าวว่า หมวดที่ 2 การแต่งกาย ดังนี้ การแต่งกาย นักเรียน และนักศึกษาต้องแต่งกายให้เหมาะสมกับวัย และสภาพการเป็นนักเรียน และนักศึกษา นักเรียนต้องแต่งกาย หรือแต่งเครื่องแบบนักเรียนตามกฎหมายว่าด้วยเครื่องแบบนักเรียน นักศึกษาต้องแต่งกาย หรือแต่งเครื่องแบบนักศึกษาตามข้อบังคับ หรือระเบียบของสถานศึกษานั้น และนักเรียน นักศึกษา ไม่ใช้เครื่องสำอาง หรือสิ่งปลอมเพื่อเสริมสวย เว้นแต่กรณีมีความจำเป็น ทั้งนี้ ให้อยู่ในดุลพินิจของโรงเรียน หรือสถานศึกษาพิจารณาเป็นกรณีไป

“และหมวด 3 แบบทรงผม กำหนดให้นักเรียนต้องไว้ทรงผมแบบสุภาพเรียบร้อยเหมาะสมกับกาลเทศะ ดังนี้ 1.นักเรียนชายให้ไว้ผมด้านข้าง และด้านหลังยาวไม่เลยตีนผมหรือผมรองทรงก็ได้ 2.นักเรียนหญิงให้ไว้ผมสั้นหรือยาวก็ได้ กรณีไว้ยาวก็ให้รวบให้เรียบร้อย ห้ามนักเรียน ดัดผม ทำสีผม ไว้หนวดเครา หรือทำการอื่นใดที่ไม่เหมาะสมกับสภาพการเป็นนักเรียน โดยข้อกำหนดดังกล่าวนี้ไม่ใช้บังคับกับนักเรียนในสถานศึกษาที่จัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยและนักศึกษา โดยให้ไว้ทรงผมแบบสุภาพเรียบร้อยเหมาะสมกับกาลเทศะตามข้อบังคับ หรือระเบียบของสถานศึกษา หากนักเรียนมีความจำเป็นต้องไว้ทรงผมแตกต่างจากที่กำหนดไว้ เนื่องจากความจำเป็นทางศาสนา ประเพณี หรือความจำเป็นอื่นใด ก็ให้อยู่ในอำนาจของสถานศึกษาเป็นผู้พิจารณา” นางพนิตากล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32722&Key=hotnews

คอลัมน์: อาชีวะ…สร้างสรรค์: สอศ. จับมือศูนย์อบรม AICAT อิสราเอล เสริมความรู้การเกษตรสมัยใหม่ ให้นักศึกษาวษท.

16 พฤษภาคม 2556

กว่า 12 ปีแล้ว ที่วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี (วษท.) สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) จับมือศูนย์ฝึกอบรมนานาชาติด้านการเกษตรในเขตอราวา (Arava international Center For Agricultural Training : AICAT) ประเทศอิสราเอล ทำโครงการจัดการเรียนการสอนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) สาขาพืชศาสตร์ระบบทวิภาคี เปิดโลกกว้างกับการเรียนแบบ Learning by doing เรียนรู้จากการปฏิบัติจริง ขณะเดียวกันครูเกษตรยังสอนให้เคารพกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ฤดูกาล โดยนำมาผสมผสานกับความรู้ที่เป็นเทคโนโลยี ทำให้อาชีวะสร้างคนเกษตรที่มีคุณภาพเต็มร้อยสู่สังคมโลกสีเขียวอย่างต่อเนื่อง

ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) กล่าวถึงที่มาของโครงการดังกล่าวว่า สอศ. เห็นความสำคัญของการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ทางด้านเกษตรกรรมที่ทันสมัย ดังนั้นจึงดำเนินการจัดความร่วมมือดังกล่าวขึ้น เพราะเห็นว่า ประเทศอิสราเอลมีเทคโนโลยีการเกษตรและระบบชลประทานสมัยใหม่ แม้พื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นทะเลทรายจนสามารถเรียกได้ว่า อิสราเอลเป็นแหล่งที่ผลิตพืชผลที่สำคัญหล่อเลี้ยงผู้คนบนโลกใบนี้อีกแหล่งหนึ่ง

สำหรับแนวทางการดำเนินงานนั้นสอศ.จะคัดเลือกนักศึกษาระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.)1 จาก วษท. ทั้ง 43 แห่ง มาเตรียมความพร้อมแบบเข้มข้นและศึกษาภาคเรียนที่ 1 ในศูนย์ที่ วษท.ร้อยเอ็ด วษท.มหาสารคาม และวษท.ศรีสะเกษ เพื่อคัดกรองคนที่มีความแข็งแกร่งทั้งด้านร่างกาย จิตใจ มีทักษะในการใช้ภาษาอังกฤษ บินไปเรียนภาคทฤษฎีในห้องเรียน และฝึกปฏิบัติงานฟาร์มของเกษตรกรอิสราเอล ในเขตอราวา เป็นเวลา 11 เดือน โดยทุกคนต้องทำงานวิจัยหรือ Mini Project ซึ่งเป็นโจทย์ที่ตั้งขึ้นและแก้ไขเอง พร้อมนำเสนอก่อนกลับมาเรียนต่อที่ไทยอีก 1 ภาคเรียน โดยภาคเรียนที่ 1/2556 นี้ได้เริ่มขึ้นแล้ว ซึ่งทางฝั่งอิสราเอล Miss Hanni Arnon ผู้อำนวยการ AICAT ได้มาพบกับนักศึกษาระดับ ปวส.1 จำนวน 110 คน ที่กำลังเข้าคอร์สเตรียมความพร้อม โดย Miss Hanni Arnon ยังช่วยติวเข้มให้รู้เคล็ดลับในการเรียน การฝึกอบรม และการดำเนินชีวิตในประเทศอิสราเอลอีกด้วย

“ปีนี้นักศึกษาจะฝึกความพร้อมเป็นเวลา 6 ดือน ใน 3 ด้านหลัก คือ ด้านแรก เตรียมความพร้อมด้านร่างกายและจิตใจ มีครูทหารมาฝึกระเบียบวินัย ความรับผิดชอบ ภาวะผู้นำ ความตรงต่อเวลา และนำน้อง ๆ ออกกำลังทุกวันตั้งแต่ตีห้า ถึงหกโมงเช้า หลังจากนั้นก็ทำกิจกรรมจิตอาสา บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม และเข้าวัดปฏิบัติธรรม ด้านที่สอง เตรียมความพร้อมด้านวิชาการคือความรู้ที่จะต้องนำไปใช้ ให้เข้าค่าย English Camp เพื่อฝึกพูด เขียน อ่านภาษาอังกฤษ เพราะต้องนำไปใช้ในการเรียน การสื่อสาร ทำงานวิจัย และต้องเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่าง ๆเพื่อใช้ในการบันทึกผลงาน ทำรายงาน ทำงานวิจัย ความรู้ที่ต้องเตรียมอีกด้านหนึ่งคือความรู้ด้านสถิติการวางแผนการทดลอง เพราะน้อง ๆ ต้องไปทำรายงานเกี่ยวกับการวิเคราะห์ดิน ศึกษาการเจริญเติบโตของพืชผัก ทำ Mini Project ส่งสถาบัน AICAT และด้านที่สาม คือการฝึกทักษะด้านพืชศาสตร์โดยนักศึกษาจะต้องลงปฏิบัติงานจริงในฟาร์ม เพื่อให้เกิดความชำนาญ ทั้งเรื่องของการเตรียมดินการปลูก การดูแลรักษา การจัดจำหน่าย โดยนักศึกษาจะได้เรียนรู้งานจากเจ้าของฟาร์มชาวอิสราเอลโดยตรง ซึ่งตลอดเวลา 11 เดือน จะมีครูคนไทยไปอยู่ดูแลและให้คำปรึกษาด้วย” ดร.ชัยพฤกษ์กล่าว ถือเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่สำคัญของน้อง ๆ นักศึกษาจากวิทยาลัยเกษตรจะได้เก็บเกี่ยวความรู้วิทยาการและเทคโนโลยีทางการเกษตรมาใช้พัฒนาการเกษตรของบ้านเราต่อไป ผู้สนใจโครงการสอบถามรายละเอียดได้ที่กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) www.vec.go.th

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32721&Key=hotnews

สกอ. ห่วงยอดกู้ กรอ. ต่ำกว่าเป้า ตีฆ้อง น.ศ.ให้เต็มโควต้า 1 แสนราย

16 พฤษภาคม 2556

เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม นายอภิชาติ จีระวุฒิ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหารองค์กรหลักของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ว่า ตนได้เสนอต่อที่ประชุมองค์กรหลักให้มีการเร่งประชาสัมพันธ์เพิ่ม เติม เพื่อให้นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ระดับอนุปริญญา/ระดับปริญญาตรี ตัดสินใจเลือกว่าจะยื่นกู้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) หรือกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) เพราะปัจจุบันนักศึกษาสามารถเลือกกู้ได้ทั้งสองกองทุน อย่างไรก็ตาม ในการกู้ยืมปีการศึกษา 2555 ที่ผ่านมา พบว่านักศึกษาส่วนใหญ่จะยื่นกู้ กยศ.ส่วนหนึ่ง เพราะกู้ต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยมัธยมศึกษา ส่วน กรอ.มีจำนวนผู้กู้น้อยมาก โดยปีการศึกษา 2555 สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ได้โควต้าจำนวน 70,000 ทุน แต่มีผู้ยื่นกู้เพียง 17,000 คนเท่านั้น ซึ่งเป็นที่น่าเสียดาย

นายอภิชาติกล่าวต่อว่า สำหรับปีการศึกษา 2556 กยศ.ได้เปิดให้นักเรียนนักศึกษายื่นกู้ กยศ.และกรอ. ผ่านระบบ e-Studentloan แล้วตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม ถึง 30 มิถุนายน ซึ่งเหลือเวลาอีกไม่มากก็จะครบกำหนดแล้ว แต่ปรากฏว่ายังมีนักศึกษามาขอกู้ไม่มากเท่าที่ควร ทั้งที่ สกอ.ได้โควต้ามากถึง 100,000 ทุน ดังนั้น จึงห่วงสถานการณ์ว่าจะมีจำนวนผู้กู้ กรอ.น้อย เหมือนปีที่ผ่านมา จึงอยากให้นักศึกษากู้ กรอ.มากขึ้น ส่วนคนที่เคยกู้ กยศ.มาตั้งแต่เรียนมัธยมศึกษา ก็สามารถเปลี่ยนมากู้ กรอ.ได้

“อยากให้นักศึกษาที่เรียนประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) อนุปริญญา และระดับปริญญาตรี มอง กรอ.เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง เพราะหากมีคนเลือกน้อย ก็น่าเสียดาย และคิดว่าหากเลือกกู้ กรอ. มีสิทธิจะได้แน่นอน ส่วน กยศ.นั้น มีผู้กู้จำนวนมากอยู่แล้ว โดยทั้งสองกองทุนมีจุดเด่นต่างกัน โดย กยศ.จะเน้นผู้ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ที่รายได้ครอบครัวต้องไม่เกิน 200,000 บาทต่อปี ส่วนกรอ.ไม่มีการกำหนดรายได้ขั้นต่ำของครอบครัว และจะชำระคืน เมื่อมีเงินเดือน 16,000 บาท ดังนั้น จึงอยากให้นักศึกษาพิจารณาจุดเด่นของแต่ละกองทุนและ เลือกตัดสินใจให้ดี” นายอภิชาติกล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32720&Key=hotnews

ออกกฎเหล็กคุมเด็กตีกันรับเปิดเทอม ฝ่าฝืนเจอโทษสูงสุดถอนใบอนุญาต ร.ร. สช.สั่งห้าม ‘เหล้า-รับน้องนอกสถานที่’

16 พฤษภาคม 2556

เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม นายบัณฑิตย์ ศรีพุทธางกูร เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ตนได้ทำหนังสือแจ้งไปยังโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชน ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) เพื่อเตรียมพร้อมในช่วงเปิดภาคเรียนใน 2 เรื่อง ได้แก่ 1.แนวปฏิบัติเรื่องกิจกรรมรับน้องของโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชน ขอกำชับให้สถานศึกษาดำเนินกิจกรรมรับน้องให้เป็นไปอย่างสร้างสรรค์ ไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพและความ เสมอภาคของบุคคล หลีกเลี่ยงพฤติกรรมก้าวร้าวที่รุนแรง อันจะส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจ

เลขาธิการ กช.กล่าวต่อว่า การดำเนินกิจกรรมควรตั้งอยู่ในครรลองของระบอบประชาธิปไตย ภายใต้กรอบกฎหมายและศีลธรรมอันดี โดยไม่มีอบายมุขทุกชนิดเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การพนัน สารเสพติด ทั้งนี้ สถานศึกษาต้องกำหนดแผนหรือมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาต่างๆ โดยให้ความสนใจ เอาใจใส่ เฝ้าระวัง และกวดขันนักเรียนนักศึกษาอย่างต่อเนื่อง และมีคณะครูคอยควบคุมดูแลระหว่างทำกิจกรรม มีการเตรียมพร้อมป้องกันอุบัติเหตุ ตลอดจนความเสี่ยงและอันตรายในเรื่องต่างๆ ไม่สนับสนุนให้มีกิจกรรมรับน้องนอกสถานศึกษา และหากสถานศึกษาใดไม่มีแผนงานหรือมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการจัดกิจกรรมการรับน้อง ปล่อยปละ ให้เกิดเหตุการณ์อันไม่พึงประสงค์ สถานศึกษา ต้องรับผิดชอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามควรแก่กรณี
เลขาธิการ กช.กล่าวด้วยว่า 2.ขอให้โรงเรียนเอกชนในระบบประเภทอาชีวศึกษา เพิ่มความเข้มงวดในเรื่องความประพฤติของนักเรียน นักศึกษา และเคร่งครัดในการปฏิบัติตามกฎของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) โดยให้โรงเรียนจัดทำแผนป้องกันและแก้ปัญหา ความประพฤติของนักเรียนให้ครอบคลุมดังนี้ 1.เข้มงวดระเบียบวินัย การแต่งกาย ความประพฤติของนักเรียน นักศึกษาให้เป็นไปตามกฎระเบียบโดยเฉพาะเรื่องการป้องกันการก่อเหตุทะเลาะวิวาท 2.ให้สถานศึกษาจัดทำระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนนักศึกษาเพื่อแก้ไขปัญหาของนักเรียนนักศึกษาได้อย่างถูกต้อง เหมาะสมและยั่งยืน โดยมีครูแนะแนว ครูที่ปรึกษา ฝ่ายปกครองและบุคลากรทางการศึกษาที่เกี่ยวข้อง ดูแลเอาใจใส่นักเรียนนักศึกษาอย่างใกล้ชิด 3.ให้สถานศึกษาตระหนักถึงความสำคัญของคุณภาพการสอนตามหลักเกณฑ์มาตรฐานการอาชีวศึกษา อย่างไรก็ตาม หากสถานศึกษาใดปล่อยปละละเลยไม่ดูแลนักเรียน นักศึกษาของตน ปล่อยให้มีประพฤติตนไม่เหมาะสมจนเป็นเหตุให้เสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่นและสังคมโดยรวม สช.จะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย เริ่มตั้งแต่ว่ากล่าวตักเตือนไปจนถึงให้หยุดดำเนินการเรียนการสอนและยกเลิกใบอนุญาตต่อไป อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชน จำนวน 428 แห่ง และเป็นโรงเรียนกลุ่มเสี่ยงที่มีปัญหาทะเลาะวิวาท 10 โรงเรียน

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32719&Key=hotnews

ศธ. สั่งล้อมคอกสอนเด็กหนีรอดหากถูกลืมในรถ

16 พฤษภาคม 2556

โพสต์ทูเดย์ ศธ. ออกคู่มือดูแลเด็กนักเรียนป้องกันเกิดเหตุโศกนาฏกรรมซ้ำรอยน้องพอตเตอร์-น้องเอย

นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า ได้ทำหนังสือกำชับไปยังสถานศึกษาเพื่อให้สอนวิธีการช่วยเหลือเด็กกรณีติดอยู่ในรถ เช่น การเปิดประตู การบีบแตร สัปดาห์ละ 1 ครั้งเพื่อให้เด็กเกิดความชำนาญและความเคยชิน สามารถช่วยตนเองได้หากถูกลืมไว้ในรถเพื่อป้องกันเหตุโศกนาฏกรรมซ้ำรอย ด.ช.สุริยการ พากัน หรือน้องพอตเตอร์ อายุ 3 ขวบ และ ด.ญ.มนัสนันท์ ทองภู่ หรือน้องเอย วัย 3 ขวบ

นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศธ. กล่าวว่า การหารือกับเครือข่ายโรงเรียนขนาดเล็กเห็นร่วมให้แต่งตั้งคณะกรรมการร่วมพัฒนาการศึกษาให้มีคุณภาพยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามการจะยุบโรงเรียนยังไม่สามารถทำได้ทันทีต้องฟังความคิดเห็นประชาชนในพื้นที่เสียก่อนส่วนร่างระเบียบทรงผมใหม่ที่จะเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี วันที่ 26 พ.ค.นี้ เด็กนักเรียนชายและหญิงตัดสั้นซอยไว้ยาวทำได้ แต่ต้องไม่ขัดกับระเบียบที่กำหนด

ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32718&Key=hotnews

ศธ .ปิ๊งตั้งกรรมการร่วมถกทางออกยุบ – ควบ ร.ร.

16 พฤษภาคม 2556

ศธ.-เครือข่าย รร.ขนาดเล็ก-รร.ทางเลือก ได้ทางออกตั้งกรรมการร่วมราชการ และ ปชช. พัฒนา รร.ขนาดเล็กและทางเลือกโฮมสคูล ชี้หากจะยุบโรงเรียนใดต้องฟังเสียงส่วนใหญ่เป็นหลัก พร้อมออกตัวแค่ให้ สพฐ.ไปสำรวจทำแผนพัฒนาไม่ยุบหรือควบรวมทันที ด้านตัวแทนผู้ปกครองซัดข่าวยุบทำป่วน จี้พัฒนา รร.ประกันคุณภาพเด็ก ฉะเขตฯละเลย-ครูเงินเดือนสูงแต่อู้สอน ขณะที่ “ชินวรณ์”โดดค้านสุดตัว อ้างไม่มีมาตรการรองรับวอนรบ.ทบทวน

ที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เมื่อวันที่ 15 พ.ค.56 สมาคมสภาการศึกษาทางเลือกไทยและตัวแทนเครือข่ายโรงเรียน ชุมชน (โรงเรียนขนาดเล็ก) ทั่วประเทศ ได้เข้าพบ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ และนายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เพื่อหารือถึงแนวทางแก้ไขปัญหาโรงเรียนขนาดเล็ก และได้มีการแถลงข่าวร่วมกัน โดยนายพงศ์เทพ กล่าวว่า จากการหารือและพูดคุยกัน มีโรงเรียนขนาดเล็กหลายแห่งที่ได้รับความร่วมมือจากชุมชนและจัดการศึกษาได้ดี ขณะเดียวกันก็มีการสะท้อนให้เห็นปัญหาของโรงเรียนขนาดเล็ก คือการขาดผู้บริหาร และการขาดครู ซึ่งทำให้โรงเรียนบางแห่งมีปัญหาเรื่องคุณภาพการศึกษา อย่างไรก็ตามทั้งหมดที่มาพบกันวันนี้ ต่างมีเป้าหมายเดียวกันคือ การจัดการศึกษาให้เป็นประโยชน์กับเด็ก ซึ่งจะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลปัญหาและสนับสนุนแนวทางในการพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็ก การศึกษาทางเลือก และการศึกษาแบบบ้านเรียน (โฮมสคูล)

“การที่ สพฐ.สั่งให้เขตพื้นที่ฯ ไปทำแผนพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็กนั้น ไม่ได้หมายความว่าทำเสร็จแล้วจะไปยุบรวม หรือควบรวมทันที เพราะที่สำคัญที่สุดคือต้องรับฟังความคิดเห็นของชุมชนว่ามีความคิดเห็นอย่างไร หากชุมชนไม่ให้ยุบก็ต้องส่งเสริมให้เขาอยู่ได้”

นายชัชวาล ทองดีเลิศ เลขาธิการสมาคมสภาการศึกษาทางเลือกไทย กล่าวว่า ที่จริงแล้วการจัดการศึกษาไม่ใช่เป็นบทบาทของ ศธ.แต่เพียงฝ่ายเดียว ซึ่งจะต้องเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม วันนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ทั้งนี้ในทางปฏิบัติโรงเรียนขนาดเล็กมีชุมชน มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีภาคภาคธุรกิจเอกชน วัด มาช่วยสนับสนุนอยู่แล้วดังนั้นการแก้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กต้องแก้ตรงจุดคือการมีส่วนร่วมของหลายฝ่าย ซึ่งสมาคมสภาการศึกษาทางเลือกไทย มีมาตรา 12 ชัดเจนอยู่แล้ว คือให้สิทธิพ่อ แม่ บุคคล สถาบันศาสนา สถานประกอบการ ชุมชน เอกชน จัดการศึกษาแต่ที่ผ่านมายังมีอุปสรรค ดังนั้นหากมีคณะกรรมการหลายภาคส่วนมามีส่วนร่วมจะเป็นทางออกที่สำคัญเพื่อให้ทุกฝ่ายได้มีเวทีพูดคุยกัน

ด้านตัวแทนผู้ปกครองโรงเรียนขนาดเล็ก กล่าวว่า ข่าวการยุบโรงเรียนขนาดเล็ก สร้างความรู้สึกปั่นป่วน เพราะไม่รู้ว่าจะส่งลูกไปเรียนที่ไหน เพราะชุมชนหาผ้าป่ามาพัฒนาโรงเรียนเอง ตอนนี้ไม่ได้มองว่าจะยุบโรงเรียนแล้ว แต่มองว่าจะพัฒนาโรงเรียนให้มีคุณภาพอย่างไรเขตพื้นที่ฯ ก็ไม่สนใจที่จะเข้ามาดูแลปล่อยปละละเลย ชุมชนเคยทำแผนพัฒนาโรงเรียนไปยังเขตพื้นที่ฯ ก็ไม่มีการตอบรับ ส่งผู้บริหารมาร่วมกันทำแล้วก็ย้ายผู้บริหารไป ครูก็ทำงานเช้าชามเย็นชามแล้วก็หายไป อย่างนี้นักเรียนจะมีคุณภาพ ได้อย่างไร ซึ่ง ศธ.เองก็ขึ้นเงินเดือนให้กับครู แต่คุณภาพการศึกษาของเด็กกลับ ตกต่ำลง

ที่รัฐสภา วันเดียวกัน นายชินวรณ์บุณยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) อดีตรมว.ศึกษาธิการกล่าวถึงกรณีที่ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ ให้นโยบายผู้อำนวยการเขตการศึกษาทั่วประเทศในการยุบโรงเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียนต่ำกว่า 60 คน ว่า กรณีดังกล่าวมีกระแสคัดค้าน อย่างต่อเนื่อง ซึ่งตนก็เป็นคนหนึ่งที่คัดค้านไม่เห็นด้วยที่จะยุบโรงเรียนขนาดเล็ก เพราะไม่มีมาตรการ รองรับที่ชัดเจนและไม่ตอบโจทย์ด้านการศึกษาอย่างแท้จริง เพราะตลอด 2 ปี ที่ผ่านมารัฐบาลยังไม่ให้ความสำคัญกับ เรื่องการศึกษา นอกจากนี้การยุบโรงเรียน ยังไม่ตรงกับหลักการของรัฐธรรมนูญมาตรา49 ที่บัญญัติไว้ว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาไม่น้อยกว่าสิบสองปี ที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย”

นายชินวรณ์ กล่าวต่อว่า ขอเรียกร้องให้กระทรวงศึกษาธิการหามีมาตรการชัดเจนในการรองรับการยุบโรงเรียนและขอให้เร่งส่งเสริมคุณภาพของโรงเรียน ทั้งมิติของครู ผู้บริหารโรงเรียนรวมทั้งการมีส่วนร่วมกับชุมชน และต้องการให้ภาคีเครือข่ายการศึกษาต่างๆ ร่วมมือกันติดตามเรื่องการยุบโรงเรียนของรัฐบาลชุดนี้ด้วย นอกจากนี้ตนได้ตั้งข้อสังเกตในการเตรียมจัดซื้อรถตู้เพื่อเตรียมการสำหรับรับส่งนักเรียน จำนวน 1,000 คัน คันละ 1.6 ล้านบาท

“อยากให้รัฐบาลทบทวนและนำเม็ดเงินดังกล่าวมาพัฒนาการศึกษาดีกว่าและแสวงหาพันธมิตรเครือข่ายรถ-รับส่งนักเรียนในแต่ละพื้นที่ดีกว่า อีกทั้งตนยังสงสัยว่าทำไมการยุบโรงเรียนถึงมาจัดซื้อรถตู้ได้ ซึ่งจะต้องติดตามต่อไป”

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32716&Key=hotnews

เร่งสางทุพโภชนาการเด็ก

15 พฤษภาคม 2556

นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัด ศธ. เปิดเผยถึงกองทุนเพื่อโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนประถมศึกษา ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารกองทุน ว่า กองทุนมุ่งแก้ไขปัญหาทุพโภชนาการนักเรียนประถมศึกษาทั่วประเทศ ให้มีภาวะเจริญสมบูรณ์ทุกคน ผ่านการกินอาหารถูกต้องตามหลักโภชนาการ

ดังนั้นในแผนยุทธศาสตร์ของกองทุนจึงกำหนดให้มีโครงการทุนหมุน เวียนส่งเสริมผลผลิตเพื่ออาหารกลางวัน เปิดโอกาสให้ร.ร.ระดับประถมฯ เสนอโครงการทั้งการปลูกพืชหรือเลี้ยงสัตว์เข้ามา เพื่อขอรับเงินทุนเฉลี่ย 300,000 บาทต่อโรง ไปดำเนินโครงการ ด้วยการนำวัตถุดิบที่ได้มาประกอบอาหารเพิ่มเติมจากที่ได้รับงบประมาณอาหารกลางวัน 13 บาทต่อนักเรียน 1 คน จากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ปลัดศธ. กล่าวต่อว่า สำหรับเงินทุนที่จัดสรรให้ร.ร.นั้น คณะกรรมการบริหารกองทุนได้นำดอกผลสะสมประมาณ 2,000 ล้านบาท ซึ่งได้จากการนำเงินกองทุน 6,000 ล้านบาท ที่รัฐบาลอุดหนุนเป็นทุนประเดิมปีละ 500 ล้านบาท จนครบตามจำนวนข้างต้น ไปพัฒนา จนมีเงินดอกผลสะสมดังกล่าวไว้ใช้สำหรับโครงการทุนหมุนเวียน แต่ใกล้เข้าสู่ช่วงเปิดภาคเรียนที่ 1/2556 แล้ว กลับมีการเสนอโครงการขอรับทุนแค่ 300 กว่าล้านบาท จากที่ตั้งเป้าไว้ 900 ล้านบาท จึงขอให้ร.ร.ที่สนใจ เร่งจัดทำโครงการเสนอเข้ามา

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 16 พ.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32709&Key=hotnews

“พงศ์เทพ” ห้ามรับน้องนอกสถานที่ กำชับเน้นจัดกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์

15 พฤษภาคม 2556

นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ กล่าวถึงการรับน้องใหม่ของนักเรียนนักศึกษาอาชีวศึกษา ว่า เพื่อป้องปรามไม่ไห้เกิดปัญหาหลังกิจกรรมรับน้องของนักเรียนนักศึกษาอาชีวะกระทรวงศึกษาธิการจึงให้สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กำชับสถานศึกษาในสังกัดดูแลการจัดกิจกรรมรับน้องให้เป็นไปตามมาตรการรับน้องปีการศึกษา 2556 ของกระทรวงศึกษาธิการ โดยให้เน้นการจัดกิจกรรมรับน้องในเชิงสร้างสรรค์ ทั้งนี้ตนเห็นว่าการรับน้องของอาชีวศึกษานั้นเป็นกิจกรรมที่มีมานาน หากห้ามปรามก็อาจจะทำให้บางส่วนต่อต้านและแอบไปรับน้องกันเองโดยพลการ กิจกรรมรับน้องเป็นสิ่งดีงาม แต่ต้องกระทำให้ถูกต้องเหมาะสมตามเจตณ์นารมณ์ที่มุ่งหวังเชื่อมสัมพันธภาพของของรุ่นพี่รุ่นน้องให้มีความสามัคคี มีระเบียบวินัย ภาคภูมิใจในสถาบัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เคารพ ครู อาจารย์ หากกิจกรรมรับน้องเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ก็ควรสนับสนุน

นายพงศ์เทพ กล่าวต่อว่า นโยบายรับน้องในภาพรวม นั้น ห้ามไม่ให้สถานศึกษาจัดกิจกรรมรับน้องใหม่นอกสถานศึกษาโดยเด็ดขาด และในการจัดกิจกรรมรับน้องใหม่นั้น ให้สถานศึกษาเป็นเจ้าภาพจัดกิจกรรมโดยอยู่ในการดูแลรับผิดชอบร่วมกันของผู้บริหารและครู การจัดกิจกรรมให้มีลักษณะสร้างสรรค์ส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรมไม่ขัดต่อระเบียบของวิทยาลัยและประเพณีวัฒนธรรมที่ดีงามของสังคม รวมถึงต้องเคารพเสรีภาพส่วนบุคคลด้วย ห้ามล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคลทั้งทางร่างกายและจิตใจ ทั้งนี้ สถานศึกษาต้องจัดให้มีกลุ่มเครือข่ายนักเรียน ครูที่ปรึกษา ผู้ปกครองเพื่อช่วยกันดูแลพฤติกรรมของนักเรียนนักศึกษา โดยแจ้งข้อมูลข่าวสารให้กับวิทยาลัยทราบเพื่อป้องกันการรับน้องภายนอกสถานศึกษา และให้สถานศึกษาประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอกเช่นเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานพยาบาลชุมชนเพื่อเฝ้าระวังการจัดกิจกรรมรับน้องใหม่ พร้อมเปิด call center ประจำสถานศึกษาเพื่อให้ผู้ปกครองและหน่วยงานเครือข่ายติดต่อสื่อสารกับสถานศึกษาในการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการรับน้องใหม่ของสถานศึกษานั้นๆ หากเครือข่ายครู ผู้ปกครองตลอดจนประชาชนผู้เกี่ยวข้องไม่สามารถแจ้งข้อมูลโดยตรงกับวิทยาลัยต่างๆได้ให้แจ้งไปที่สายด่วนสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา 1156 ได้ตลอด 24 ชม

“ การรับน้องต้องจัดอย่างสร้างสรรค์ อยู่ในขอบเขตดีงาม หลีกเลี่ยงพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง ปราศจากอบายมุข สารเสพติด และการล่วงละเมิดทางเพศ ส่งเสริมให้จัดกิจกรรมสร้างสรรค์อย่างหลากหลาย อาทิ กิจกรรมทางศาสนาเพื่อปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม กิจกรรมสันทนาการส่งเสริมความสามารถ การกล้าแสดงออก การเตรียมพร้อมเรียนสายอาชีพ แนะนำสถานศึกษา โดยให้จัดกิจกรรมอยู่ในสถานศึกษา และอาจมีกิจกรรมจิตอาสาเพื่อสังคมและชุมชนร่วมกันระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้อง ซึ่งต้องมีผู้บริหารและคุณครูดูแลอย่างใกล้ชิด หากสถานศึกษาจัดกิจกรรมรับน้องอย่างสร้างสรรค์ข้างต้นก็เชื่อได้ว่าจะไม่เกิดปัญหาตามมาและได้รับการชื่นชมจากผู้ปกครองและประชาชนทั่วไป “ นายพงศ์เทพ กล่าว

ที่มา: http://www.naewna.com

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32708&Key=hotnews

‘ยอมความ’ แอบอ้างชื่อ สมัครแอดมิสชั่นส์’ 56

15 พฤษภาคม 2556

เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม นางศศิธร อหิงสโก ผู้จัดการสมาคมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (สอท.) เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีมีการแอบอ้างชื่อในการสมัครคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษาด้วยระบบกลางการรับนิสิตนักศึกษาหรือแอดมิสชั่นส์ ประจำปีการศึกษา 2556 ว่าขณะนี้ทราบแล้วว่ามีการแอบอ้างชื่อไปสมัครแอดมิสชั่นส์กลางจริง แต่ไม่ขอเปิดเผยข้อมูลของนักเรียน และจากที่สอบถามนักเรียนทั้ง 2 คนให้ข้อมูลเป็นอย่างดี โดยนักเรียนยอมรับว่ารู้จักกันและไม่พอใจกันจนทำให้เกิดกรณีดังกล่าวขึ้น และที่ผ่านมานักเรียนที่ถูกแอบอ้างชื่อที่แอดมิสชั่นส์ได้ ได้ไปแจ้งความดำเนินคดีกับคู่กรณีแล้ว แต่เมื่อได้คุยกันและตกลงกันได้ก็ยอมรับที่จะไม่เอาความกับคู่กรณี เพราะติดแอดมิสชั่นส์ทั้งคู่ ดังนั้น ในส่วนของ สอท. เมื่อทั้ง 2 ฝ่ายตกลงกันได้ด้วยดี ก็ถือว่าเรื่องนี้จบแล้ว และได้ส่งรายชื่อของนักเรียนทั้ง 2 คน ไปสอบสัมภาษณ์แล้ว อย่างไรก็ตาม ตนฝากนักเรียนทุกคนไม่ควรที่จะแกล้งกัน เพราะถ้ายอมความกันไม่ได้ จะทำให้เกิดปัญหาบานปลายอีก

นางศศิธรกล่าวต่อว่า นอกจากกรณีที่แอบอ้างชื่อไปแอดมิสชั่นส์กลางแล้ว ยังไม่มีกรณีอื่นอีก ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี และคิดว่านักเรียนคงเข้าใจระบบแอดมิสชั่นส์กลางมากขึ้น เพราะมีการให้ข้อมูลข่าวสารอย่างต่อเนื่อง และหลังจากนี้จะเป็นช่วงสอบสัมภาษณ์ระหว่างวันที่ 15-17 พฤษภาคม ต้องขอให้นักเรียนที่ผ่านการคัดเลือกเข้าไปตรวจเช็กวันและสถานที่ที่ต้องไปสอบสัมภาษณ์ทางเว็บไซต์ www.cuas.or.th เพื่อไม่เสียสิทธิ หรือยังมีข้อสงสัย ติดต่อสอบถามได้ โทร.0-2354-5150-2

–มติชน ฉบับวันที่ 16 พ.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32707&Key=hotnews