Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

ภัยคุกคามต่อความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์กับวัฒนธรรมไทย

ภัยคุกคามต่อความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์กับวัฒนธรรมไทย

ภัยคุกคามต่อความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์กับวัฒนธรรมไทย
ภัยคุกคามต่อความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์กับวัฒนธรรมไทย

26 พ.ย.56 นักศึกษา และเพื่อนอาจารย์ มหาวิทยาลัยเนชั่น
ประกอบด้วย นายไวภพ ตุ้ยน้อย อาจารย์วิเชพ ใจบุญ และนายณภัทร เทพจันตา
เข้าร่วมสัมมนา ณ โรงแรมคุ้มภูคำ จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 26 พ.ย.56
โดย กสทช. จัดเวิร์กช็อปนักศึกษา
เรื่อง ภัยคุกคามต่อความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์กับวัฒนธรรมไทย
(Threats on Cyber security and Its Implication on Thai Culture Workshop)

ตามที่ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาทุกประเทศในโลกมีอัตราการเติบโตของปริมาณผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่แบบที่เรียกกว่า สมาร์ทโฟน ขึ้นสูงมาก วิวัฒนาการได้ก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด จนทำให้ประชากรส่วนใหญ่ไม่ได้ให้ความสำคัญและตระหนักถึงความปลอดภัยของข้อมูลที่ตนเองได้ใช้ในการทำธุรกรรมผ่านสมาร์ทโฟนดังกล่าว ทำให้เกิดช่องโหว่ให้ผู้ไม่หวังดี และแฮคเกอร์ต่างใช้โอกาสนี้ในการโจรกรรมข้อมูล และก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลและองค์กรเป็นอย่างมาก โดยปัจจุบันไทยมีจำนวนผู้ใช้เครือข่ายออนไลน์ โดยเฉพาะเฟชบุ๊คในกรุงเทพมากเป็นอันดับ 1 ของโลก ยิ่งเป็นเป้าหมายของกลุ่มแฮคเกอร์ได้โดยง่าย

กสทช. เห็นความสำคัญ ได้ประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่องภัยคุกคามต่อความมั่นคงทางไซเบอร์กับวัฒนธรรมไทย ทุกภูมิภาค เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจและตระหนักถึงภัยคุกคามออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ ส่งเสริมให้เยาวชนและผู้เข้าร่วมประชุมใช้วัฒนธรรมนำชีวิต รู้จักใช้วัฒนธรรมในโลกไซเบอร์ รู้จักวิธีป้องกันปัญหาและวิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้องและเหมาะสม และเพื่อสร้างความตื่นตัวของภาคการศึกษา ประชาชนและกรรมการสภาวัฒนธรรม ตระหนักถึงภัยคุกคามต่อความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ รวมทั้งการใช้คอมพิวเตอร์ทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยการประชุมครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 3 ผู้เข้าประชุมประกอบด้วยนักเรียนนักศึกษา รวมทั้งครูอาจารย์ ตลอดจนผู้แทนหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ ผู้แทนองค์กรภาคเอกชน นักธุรกิจ และประชาชนที่สนใจ

http://www.pracharkomnews.com/hilight/%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%97%E0%B8%8A-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%81/

‘จาตุรนต์’ แนะสพฐ.ประชาพิจารณ์หลักสูตรก่อนใช้

26 พฤศจิกายน 2556

“จาตุรนต์”  แนะสพฐ. ส่งหลักสูตรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบและเปิดสังคมเข้ามามีส่วนร่วมด้วยก่อนนำไปใช้

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า เมื่อเร็ว ๆนี้ได้ประชุมคณะกรรมการกำหนดวิสัยทัศน์การปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ครั้งที่ 1/2556 ขอให้ที่ประชุมช่วยพิจารณาวิธีและกระบวนการที่เหมาะสมในการออกแบบ การจัดทำ ปรับปรุงหลักสูตร การนำหลักสูตรไปใช้และการประเมินผล โดยขอให้มีสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จะต้องเป็นผู้รับรองหลักสูตร และต้องเสนอให้ รมว.ศึกษาธิการลงนามก่อนประกาศใช้ เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย เมื่อจัดทำหลักสูตรเสร็จแล้วจะมีการส่งต่อให้หน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องรับทราบด้วย เช่น สพฐ. สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.)

นอกจากนี้ในการกำหนดวิสัยทัศน์การปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานนั้นควรให้หน่วยงานและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้หารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวาง เช่น คณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ แม้จะมีการประชุมรับฟังที่เป็นการรวบรวมข้อมูลจากการสนทนากลุ่มมาแล้วหลายจุด พบว่ายังมีความเห็นต่างกันมากในเรื่องหลักสูตร บางรายเห็นว่าหลักสูตรในปัจจุบันไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนอะไร บางรายอาจจะเห็นว่าต้องปรับปรุงเป็นบางส่วน

ดังนั้น หากจัดให้มีการประชุมแสดงความคิดเห็นที่เหมาะสมให้แก่ผู้เกี่ยวข้องมากๆ ได้มาพูดคุยหารือร่วมกันจะทำให้รู้ว่ามีความจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนหลักสูตรอย่างไรบ้าง และที่จำเป็นมากต้องให้คนทั้งสังคมเข้ามามีส่วนร่วม เพราะหลักสูตรเกี่ยวข้องกับเด็กนักเรียน ครู ผู้ปกครองทุกคน หากประชาชนในวงกว้างได้รับความรู้ความเข้าใจในความจำเป็น เนื้อหา รายละเอียดของการปรับปรุงหลักสูตร ก็จะสร้างความเข้าใจ เห็นดีเห็นงามตามไปด้วย ซึ่งส่งผลให้การปฏิรูปหลักสูตรประสบผลสำเร็จ ไม่เป็นอุปสรรค และที่สำคัญเป็นไปตามนโยบายของ ศธ.ที่ต้องการให้กระบวนการต่างๆ ในการปฏิรูปการศึกษา ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนของ ศธ. และคนทั้งสังคม เข้ามามีส่วนร่วมให้มากขึ้น

ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34936&Key=hotnews

ชี้เรียนอาชีวะโอกาสก้าวหน้าดีกว่าปริญญาตรี

26 พฤศจิกายน 2556

ภาคอุตสาหกรรมตั้งคำถามผู้ปกครองบังคับลูกเรียนปริญญาทำให้ชีวิตดีขึ้นจริงหรือ ชี้เรียนอาชีวะมีโอกาสดีกว่ามาก เผย 3-5 ปีข้างหน้า 40 อุตสาหกรรมไทยขาดแรงงานกว่า 3.8 แสนคน ย้ำถ้าไม่พัฒนาทักษะฝีมือให้เด็กไทยก็ทำได้แค่แย่งงานแรงงานต่างด้าวที่ไร้ฝีมือ

วานนี้ (25พ.ย.) ที่มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ จ.นครศรีธรรมราช มีการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “การบูรณาการการทำงานร่วมระหว่างหน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการเพื่อเพิ่มปริมาณผู้เรียนในระดับอาชีวศึกษาให้มีกำลังคนที่เพียงพอต่อความต้องการของประเทศทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ” ซึ่งมีผู้บริหารโรงเรียนมัธยม ครูแนะแนว โรงเรียนเอกชน เขตพื้นที่การศึกษา และสำนักงานกศน.เข้าร่วมกว่า 1,500 คน โดยดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชชีวศึกษา(กอศ.) กล่าวว่า การส่งเสริมให้เด็กหันมาเรียนสายอาชีพเป็นเรื่องที่มีความสำคัญและจำเป็นเร่งด่วน โดยเฉพาะโครงการ 2.2 ล้านล้านบาทของรัฐบาลจะทำให้มีความต้องการแรงงานฝีมือเพิ่มอีกเป็นแสนคน รัฐบาลจึงมีนโยบายปรับสัดส่วนผู้เรียนสายอาชีวะต่อสายสามัญเป็น 51 ต่อ 49 ภายในปี 2558 ซึ่งในปีนี้มีความพยายามรณรงค์เชิญชวนเด็กม.3 แต่ในปีหน้าจะประสานกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) รณรงค์ทำความเข้าใจกับเด็กตั้งแต่ชั้น ม.1 โดยมีหลักการสำคัญอยู่ที่การสอนเด็กได้รู้จักสำรวจตนเองว่ามีความถนัดด้านใด เป็นการทำความรู้จักตนเอง เพื่อจะได้รู้ว่าชีวิตควรจะเดินไปทิศทางใด และสามารถเลือกศึกษาต่อได้อย่างเหมาะสม ซึ่งอาจต้องมีทบทวนหลักสูตรการเรียนการสอนด้วย

น.ส.บุณฑริก กุศลวิทย์ อุปนายกสมาคมโรงแรมไทย กล่าวว่า เมื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียนซึ่งมีพลเมืองรวมกันกว่า 600 ล้านคน หากรวมกับจีน ญี่ปุ่น เกาหลีหรืออินเดียก็จะมีกำลังการบริโภคมหาศาล ในขณะที่การท่องเที่ยวได้กลายเป็นปัจจัยที่ 5 ของมนุษย์ไปแล้ว ทำให้งานที่เกี่ยวเนื่อง อาทิ งานโรงแรมและการบริการจึงต้องการบุคลากรอีกจำนวนมาก แม้แต่ทุกชาติในอาเซียนก็พูดตรงกันว่าขาดแคลนแรงงานด้านนี้เหมือนกันทุกประเทศ เฉพาะประเทศไทยก็คาดว่าในปี 2015 จะมีรายได้จากการท่องเที่ยวถึง 2.2 ล้านล้านบาท ถ้าเราไม่สะดุดขาตัวเองเสียก่อน ดังนั้นการเรียนสายอาชีพจึงมีอนาคตที่ดี ซึ่งในส่วนของโรงแรมจะรับนักศึกษา ปวช.มาฝึก 2 ปี โดยให้ฟรีทุกอย่าง และยังจ่ายค่าแรงให้อีกด้วย เมื่อเรียนจบแล้ว หากจะเรียนต่อปริญญาตรีก็ยังให้การสนับสนุน ซึ่งจะทำให้มีโอกาสก้าวหน้าไปสู่ตำแหน่งบริหารได้มากกว่าคนที่เข้ามาทำงานด้วยวุฒิปริญญาตรี

“เส้นทางความสำเร็จในชีวิตมีอยู่หลากหลาย แล้วทำไมครูแนะแนวจึงไม่เติมเต็มข้อมูลเหล่านั้นให้นักเรียน เพื่อช่วยให้เขาค้นพบเส้นทางเดินชีวิตที่เหมาะสมกับตนเอง และได้ทำในสิ่งที่ชอบและมีความสุข” น.ส.บุณฑริก กล่าว

ในขณะที่นายพงศ์เดช ศรีวชิรประดิษฐ์ ประธานอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ไทย กล่าวว่า ในอีก 3-5 ปี 40 อุตสาหกรรมของไทยจะขาดแคลนแรงงานระดับฝีมือถึง 3.8 แสนคน ในขณะที่เรามีแรงงานต่างด้าวอยู่กว่า 3.7 ล้านคน ซึ่งเป็นแรงงานไร้ฝีมือ ตนจึงอยากถามว่าเราจะให้เด็กไทยไปแย่งงานแรงงานไร้ฝีมือเหล่านั้นหรือจะพัฒนาคนของเราให้เป็นแรงงานฝีมือซึ่งยังมีความต้องการอีกมหาศาล เมื่อจบแล้วไม่ตกงานแน่นอน แต่ก็ต้องยอมรับว่าการรณรงค์ให้เด็กหันมาเรียนสายอาชีพนั้น ปัญหาสำคัญอยู่ที่ผู้ปกครอง ไม่ใช่เด็ก ครูแนะแนวจึงต้องเป็นผู้ชี้แจงกับผู้ปกครองให้เข้าใจ ซึ่งตนอยากให้ถามผู้ปกครองว่าการที่อยากให้ลูกเรียนปริญญาทำให้ชีวิตดีขึ้นจริงหรือ เป็นการบังคับให้ลูกเรียนเพื่อสนองตนเอง หรือสนองลูกกันแน่ ดังนั้นเด็กต้องลุกขึ้นมาค้นหาตัวตนให้ได้ว่าต้องการอะไร ซึ่งจะช่วยให้สามารถตัดสินใจเส้นทางชีวิตได้อย่างถูกต้องเหมาะสม

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34937&Key=hotnews

ก.ค.ศ.เสนอต่ออายุราชการครูเป็น 65 ปี

26 พฤศจิกายน 2556

เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน นายภาวิช ทองโรจน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่ากระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ในฐานะรองประธานคณะกรรมการผลิตและพัฒนาครู เปิดเผยว่า จากการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “การปฏิรูประบบการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา” ที่มีนายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการ ศธ.เป็นประธานเมื่อเร็วๆ นี้ ที่ประชุมมีการเสนอความคิดเห็นหลายประเด็น อย่างระบบความก้าวหน้าของวิชาชีพข้าราชการครูยังไม่ชัดเจนเพราะไปผสมอยู่กับระบบราชการ ไม่ได้เป็นระบบวิชาชีพเช่นเดียวกับวิชาชีพอื่น ๆ

ทางด้าน นพ.กำจร ตติยกวี รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) ประธานคณะทำงานการผลิตครู กล่าวว่า กำลังรวบรวมความคิดเห็นจากการประชุมซึ่งหลายฝ่ายมองว่าการจะสร้างคุณภาพนักเรียน จะต้องไปเสริมสร้างอะไรได้บ้าง อย่างการผลิตครูควรจะต้องไปผูกกับการบรรจุครูเพราะก่อนการผลิตครู จะไม่รู้ว่าเมื่อผลิตออกมาแล้วจะไปอยู่ที่ไหนบ้าง

ส่วนแนวคิดการเสนอต่ออายุราชการครูเป็น 65 ปี นั้น ยังไม่ใช่ข้อสรุปซึ่งหากจะต่ออายุราชการน่าจะต้องดูเป็นรายโรงเรียนที่มีความจำเป็นต่อคุณภาพมากกว่า อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะต้องประชุมหารือกันอีกหลายรอบเพื่อหาข้อสรุปกำหนดเป็นมาตรการระยะสั้นและระยะยาว

ขณะที่นางสุทธศรี วงษ์สมาน ปลัด ศธ. กล่าวต่อว่า สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ได้เสนอแนวคิดการต่ออายุราชการครูจาก 60 ปี เป็น 65 ปี แต่จะต้องเป็นข้าราชการครูในสาขาที่ขาดแคลน ครูในท้องถิ่นที่มีความต้องการครูเป็นพิเศษ ซึ่งจะต้องมีการกำหนดเงื่อนไขต่างๆ ในการต่ออายุราชการด้วย เช่น การกำหนดวิทยฐานะขั้นต่ำที่จะต่ออายุราชการได้ อาจจะไม่ต่ำกว่าวิทยฐานะเชี่ยวชาญ เช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยที่จะต่ออายุราชการให้อาจารย์ที่จะต้องมีตำแหน่งทางวิชาการไม่ต่ำกว่ารองศาสตราจารย์ เป็นต้น ทั้งนี้ เรื่องการต่ออายุราชการครูอยู่ระหว่างการศึกษาและจัดทำรายละเอียดของสำนักงาน ก.ค.ศ. ซึ่งการนำแนวคิดนี้มาใช้ จะลดปัญหาการขาดแคลนครูได้ระดับหนึ่งโดยเฉพาะสาขาที่ขาดแคลน

Source – มติชนออนไลน์ (Th)

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34935&Key=hotnews

เล็งแก้โจทย์ 15 ปี ปั๊มครูเกิน 2.8 แสน

25 พฤศจิกายน 2556

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า เมื่อเร็วๆ นี้ได้ประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “แนวทางการผลิตครูให้สอดคล้องกับความต้องการทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ” ซึ่งที่ประชุมได้หารือเรื่องการผลิตและพัฒนาครูเพื่อรองรับอัตราที่จะเกษียณอายุราชการในระยะยาวก่อน อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) พบว่า อีกประมาณ 10 ปี (2556-2565) จะมีครูเกษียณอายุราชการประมาณ 2 แสนคน ถึงปี 2570 ประมาณ 2.8 แสนคน เฉลี่ยจะมีครูเกษียณอายุราชการปีละประมาณ 2 หมื่นคน ขณะที่ตัวเลขการผลิตครูแต่ละปีประมาณ 5 หมื่น เท่ากับว่า ในช่วง 10 ปี จะมีครูเกิน 3 แสนคน 15 ปี เกิน 4.5 แสนคน ซึ่งเกินจำนวนครูเกษียณอายุราชการ 2.5 เท่า เพราะฉะนั้นจะต้องแก้ปัญหาเร่งด่วน ควบคุมปริมาณในการผลิตครู และวางแผนดูแลครูที่จบเกินอยู่ขณะนี้ รวมถึงครูอัตราจ้างในระบบมี 6 หมื่นคน โดยจะเชิญผู้เกี่ยวข้องมาประชุมเพื่อหาข้อสรุปต่างๆ ในวันที่ 4 ธันวาคมนี้ ทั้งนี้ สถาบันผลิตครูจะรับนักศึกษาครูกันตามอัธยาศัยต่อไปไม่ได้แล้ว จะทำให้ปัญหาอัตราครูเกินสะสมไปเรื่อย

นายจาตุรนต์ กล่าวด้วยว่า เมื่อเร็วๆ นี้มีการประชุมคณะกรรมการกำหนดวิสัยทัศน์การปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ครั้งที่ 1 เพื่อสรุปความคืบหน้าการดำเนินงานของคณะกรรมการชุดต่างๆ รวมทั้งรับทราบสรุปการจัดทำร่างหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ทั้งนี้ที่ประชุมเห็นตรงกันว่า ควรให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเรื่องนี้ให้กว้างขวางมากขึ้น เพราะยังมีความเห็นต่างกันมาก บางรายเห็นว่า หลักสูตรในปัจจุบันไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนอะไร บางรายอาจจะเห็นว่าต้องปรับปรุงเป็นบางส่วน ฯลฯ
ด้าน นายภาวิช ทองโรจน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำศธ. กล่าวว่า ที่ประชุมโดยทั่วไปเห็นด้วยที่จะต้องมีการปรับปรุงหลักสูตร ขณะเดียวกันก็มีข้อกังวลต่างๆ ทั้งในแง่ของการนำหลักสูตรไปใช้ การปรับตัวของครูผู้สอน รวมถึงกระบวนการต่างๆ ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวิธีการเรียนการสอน ซึ่งเดิมจะใช้ศึกษานิเทศก์ แต่ระบบใหม่จะต้องมีเรื่องของเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นในการประชุมคณะกรรมการจัดตั้งสถาบันหลักสูตรและนวัตกรรมการเรียนรู้ ที่มี รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธานเมื่อเร็วๆ นี้ นายจาตุรนต์จึงไฟเขียวให้จัดตั้งสถาบันดังกล่าวขึ้น ทำหน้าที่เก็บข้อมูลและวิจัยหลักสูตร เพื่อให้หลักสูตรมีวิวัฒนาการไปเรื่อยๆ ไปหยุดนิ่ง รวมถึงสร้างนวัตกรรมการเรียนการสอนที่ทันสมัย ทำงานเชื่อมโยงหน่วยงานที่มีสถานศึกษาในสังกัดทุกแห่ง

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34922&Key=hotnews

อาชีวะเอกชนหนุนจัดทวิภาคีชู 1 สถานประกอบการ 1 ทุน – เน้นจบแล้วมีงานทำ

25 พฤศจิกายน 2556

คณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมภาคเอกชนร่วมจัดและสนับสนุนการศึกษา ตั้งคณะทำงานแก้ไขอุปสรรคในการจัดการศึกษาเอกชน เพิ่มผู้เรียนอาชีวศึกษาเอกชน เตรียมจัดทวิภาคี 100% หนุนโครงการ 1 สถานประกอบการ 1 ทุน หรือ 1 ตำบล 1 ทุน จูงใจและส่งเสริมคนมาเรียนอาชีวะเพราะได้เรียนฟรี เรียนจบแล้วมีงานทำในสถานประกอบการ

นางสุทธศรี วงษ์สมาน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมภาคเอกชนร่วมจัดและสนับสนุนการศึกษา เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า ที่ประชุมได้รับทราบสถานการณ์การจัดการศึกษาของเอกชน ที่ขณะนี้ประสบปัญหาในหลายด้าน โดยเฉพาะการสนับสนุนจากภาครัฐ ปัญหาการคิดอัตราภาษีโรงเรือน ซึ่งปัจจุบันการคิดอัตราภาษีจะขึ้นอยู่กับการประเมินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทำให้ผลการประเมินมีความหลากหลาย อีกทั้งอัตราภาษีก็คิดในรูปแบบธุรกิจบริการ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสถานศึกษา เนื่องจากการจัดธุรกิจการศึกษาไม่ใช่ธุรกิจที่มีรายได้เหมือนธุรกิจบริการต่างๆ ที่มีรายได้มาก

ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) อยู่ระหว่างประสานกรมสรรพากร เพื่อขอให้ออกพระราชกฤษฎีกายกเว้นภาษีอากรการโอนภาษีที่ดินให้แก่สถานศึกษาเอกชน ซึ่งที่ผ่านมาเคยเสนอขอให้คิดในอัตราต่ำสุดที่ 1-2% ขณะเดียวกันยังมีปัญหาในเรื่องการเสียภาษีนำเข้าสื่อการเรียนการสอนที่ทันสมัยจากต่างประเทศ ที่มีการคิดในอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ โรงเรียนเอกชนส่วนใหญ่เสนอว่าอยากให้มีการลดหย่อนภาษี หรือคิดในอัตราภาษีการศึกษาแทน

“ขณะนี้มีเสียงสะท้อนจากสถานประกอบการด้วยว่า การจัดการศึกษาระบบทวิภาคีนั้น ยังไม่มีผู้เรียนเข้าร่วมตามเป้าหมายอย่างพอเพียง จึงเสนอว่าอยากให้อาชีวศึกษาเอกชนเข้าร่วมกับสถานประกอบการในการจัดการเรียนการสอนระบบทวิภาคี 100% นอกจากนี้มีข้อเสนอด้วยว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่สถานประกอบการในตำบลหรือในจังหวัดที่อยากได้คนเข้าทำงานจัดสรรทุนให้เด็กอาชีวะ โดยทำเป็นโครงการ 1 สถานประกอบการ 1 ทุน หรือ 1 ตำบล 1 ทุน ซึ่งจะมีรูปแบบคล้าย 1 อำเภอ 1 ทุน ซึ่งจะเป็นการจูงใจและส่งเสริมคนมาเรียนอาชีวะ เพราะได้เรียนฟรี หรืออาจจะจูงใจว่า เมื่อมาเรียนจบแล้วมีงานทำในสถานประกอบการด้วย” ปลัด ศธ.กล่าว

นอกจากนี้ยังมีปัญหาความล่าช้าในเรื่องการขออนุมัติหลักสูตรการเรียนการสอนของ โรงเรียนเอกชน วิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกชน ซึ่งที่ประชุมเห็นว่าควรจะไปทบทวนและแก้ไขกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องหากจำเป็น ที่ต้องแก้ไขเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม จากปัญหาต่างๆ ที่ประชุมจึงได้ตั้งคณะทำงาน 3 ชุดเพื่อดูแล ได้แก่ คณะทำงานที่มีหน้าที่ดูแลปัญหาภาษีโรงเรือน การลดหย่อนภาษี คณะทำงานดูแลกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคในการจัดการศึกษาเอกชน คณะทำงานที่ส่งเสริมการเพิ่มผู้เรียนอาชีวศึกษาเอกชน ซึ่งจะรวมถึงการดูแลการจัดการศึกษาให้ได้คุณภาพมาตรฐานและผลิตกำลังคนอาชีวศึกษาเอกชนให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคเอกชนด้วย

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34921&Key=hotnews

เสวนาขับเคลื่อนนโยบาย ศธ.

22 พฤศจิกายน 2556

จากการเสวน “แนวคิดสู่การพัฒนา ปัญหาไม่ใช่อุปสรรค” ในการประชุมขับเคลื่อนนโยบายกระทรวงศึกษาธิการสู่การปฏิบัติ การรวมพลังยกระดับคุณภาพการศึกษา ปี 2556 เมื่อเร็วๆ นี้ ดร.เอนก ล่วงลือ ผอ.กลุ่มนิเทศติดตามและประเมินผล สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพฐ.) ปทุมธานี เขต1 กล่าวว่า สิ่งที่จะทำให้การศึกษาสำเร็จก้าวหน้าอยู่ที่ตัวครู ซึ่งเวลานี้เห็นว่าครูเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะสอนเด็กในแต่ละช่วงวัย ตามหลักสูตรที่กำหนดขึ้น แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคในการสอนของครูคือการขาดเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่จะดึงความสนใจให้เด็กเข้าห้องเรียนและกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ และการขาดขวัญและกำลังใจที่ดีที่จะส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาความก้าวหน้าของงาน เป็นผลให้ครูไม่ปล่อยศักยภาพของตนเองออกมาอย่างเต็มที่ จึงอยากให้ผู้บริหารที่มีอำนาจในการตัดสินใจร่วมกันพิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นขวัญและกำลังใจครูให้ฮึกเหิมในการทำงาน ทั้งนี้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาของชาติ เพราะตั้งแต่มีการปฏิรูปการศึกษามาเป็นเขตการศึกษาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของเด็กและคุณภาพของครูก็ลดลงโดยตลอด

ด้าน ดร.สมชัย ชวลิตธาดา ผอ.โรงเรียนเอกชัย จ.สมุทรสาคร กล่าวว่า ปัญหาการศึกษาจะถูกหยิบยกขึ้นมาพูดก็ต่อเมื่อมีการประกาศผลจัดอันดับการศึกษาระดับประเทศ หรือมีการเปลี่ยนแปลงผู้นำระดับจังหวัดหรือระดับประเทศ จากนั้นก็เงียบหายไปเป็นระยะ อย่างไรก็ตามหากพูดถึงนโยบายด้านการศึกษาแล้วอยากให้พิจารณาว่า ทุกครั้งที่มีนโยบายเกี่ยวกับการศึกษาลงมาสู่โรงเรียน ควรวิเคราะห์ก่อนว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญกับบทบาทหน้าที่ของโรงเรียนหรือไม่ เพราะทุกวันนี้มีนโยบายด้านการศึกษาจากหลายกระทรวงไม่เฉพาะกระทรวงศึกษาธิการเท่านั้นที่ลงมาสู่โรงเรียน จึงต้องพิจารณาก่อนว่าเหมาะกับสภาพปัญหาของโรงเรียนหรือไม่ เพราะนโยบายบางอย่างก็เหมาะสมกับบางโรงเรียนเท่านั้น ซึ่งหากนโยบายใดตรงกับสภาพปัญหาของโรงเรียนก็ควรทำเต็มที่ แต่หากไม่ค่อยตรงก็จะทำพอประมาณ แต่ทั้งนี้ต้องถ่ายทอดและทำความเข้าใจกับครูให้ชัดเจนก่อนเพื่อไม่ให้เกิดกระแสการต่อต้าน โดยให้ครูร่วมเป็นผู้กำหนดเป้าหมายที่จะนำนโยบายไปสู่ความสำเร็จด้วยตนเอง

ทุกวันนี้การนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติเป็นเหมือนไฟไหมฟาง คือ ทำเป็นงานๆ ให้แล้วเสร็จ ซึ่งการทำลักษณะนี้จะได้ผลชั่วคราวเท่านั้นไม่ยั่งยืน จึงมองว่าหากจะแก้ปัญหาต้องคิดให้ยาวอย่างเป็นระบบ โดยต้องวางแผนตั้งแต่ต้นเช่นการแก้ปัญหาเด็กอ่านไม่ออกก็ไม่ใช่ระดมการซ่อมเสริมเท่านั้น เพราะต้องทำกันทุกปีแต่จะต้องวางระบบอย่างไรให้เด็กอ่านได้โดยไม่ต้องซ่อมเลยจะดีกว่า” ดร.สมชัย กล่าว

ด้านนายคณิน นาคะไพบูลย์ ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนรัตนาธิเบศร์ กล่าวว่า ปัญหาการศึกษาในเวลานี้คือไม่ได้มีการคุยกันให้ชัดเจนเรื่องการศึกษาต่อระดับอุดมศึกษา เพราะขณะนี้สถานศึกษาระดับอุดมศึกษาโดยมากจะจัดสอบตรง ทำให้เด็กต้องเลือกวิธีกวดวิชาเพื่อให้สอบได้ เพราะหากมัวแต่เรียนในระบบคงสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ ส่วนเรื่องการสอนให้เด็กคิดเป็นนั้นเป็นเรื่องที่ดีแต่ตัวครูไม่เข้าใจเรื่องการสอนวิเคราะห์จึงมุ่งแต่จะหารายได้ด้วยการสอนกวดวิชา รวมถึงการให้เกรดเทียมกับเด็กเพื่อไม่ให้เป็นเป้าสายตาว่าสอนเด็กไม่มีคุณภาพ

ที่มา: หนังสือพิมพ์บ้านเมือง

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34905&Key=hotnews

‘ภาวิช’ ชงรื้อรูปแบบผลิตครู

22 พฤศจิกายน 2556

ศ.พิเศษ ดร.ภาวิช ทองโรจน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ประชุมคณะทำงานกำหนดประเด็นปฏิรูปการผลิตและพัฒนาครู ได้ยกร่างข้อเสนอการปฏิรูประบบผลิตครู เพื่อเสนอต่อ นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศธ.ในการประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง แนวทางการผลิตครูให้สอดคล้อง กับความต้องการทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ ในวันที่ 23 พ.ย.นี้ ที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) โดยมีข้อเสนอ ต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์ปัญหาครูของชาติ อาทิ กระบวนการผลิตครู ควรทำเหมือนกระบวนการผลิตแพทย์ ที่ผู้จบแพทย์ทุกคนสามารถเป็นแพทย์ปฏิบัติทั่วไปได้ ดังนั้นผู้ที่จบครูทุกคน จะต้องสอนชั้นประถมศึกษาในทุกวิชาได้ จากนั้นจึงให้มีกระบวนการในการพัฒนาครูที่ มีความสามารถเฉพาะทางต่อไป เพราะที่ผ่านมาพบปัญหาครูสอนไม่เป็น ไม่สามารถสอนนอกเหนือไปจากวิชาเอกที่จบมาได้ เพราะระบบผลิตครูปัจจุบันมีการจำแนกวิชาเอกตั้งแต่ต้น

ศ.พิเศษ ดร.ภาวิช กล่าวต่อไปว่า เสนอให้ใช้โครงการ ครูพันธุ์ใหม่ รูปแบบใหม่ ผลิตนักศึกษาครูที่มีคุณภาพจริง ๆ ควบคู่กับการจัดระบบคัดเลือกครูในตลาดเสรี ให้ได้ครูที่มีคุณภาพเข้ามา โดยจำนวนการผลิตครูทั้งหมดจะขึ้นอยู่กับข้อมูลอัตราเกษียณอายุราชการในอนาคต ที่มีประมาณ 20,000 คนต่อปี ซึ่งการบรรจุเข้ารับราชการครู ก็แบ่งสัดส่วนเป็นครูพันธุ์ใหม่ครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งเปิดโอกาสให้นักศึกษาครูสอบแข่งขัน จะทำให้ได้ครูใหม่เป็นครูที่ มีคุณภาพทั้งหมด ทั้งนี้ หาก รมว.ศธ.เห็นด้วย ก็จะมีการกำหนด รายละเอียดโครงการให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34902&Key=hotnews

เตือนเด็กไทยอ่อนภาษาเสียเปรียบคู่แข่ง

22 พฤศจิกายน 2556

โพสต์ทูเดย์ห่วงเด็กไทยอ่อนอังกฤษเมินเรียนภาษาอาเซียน เสียเปรียบการแข่งขันหลังเปิดเออีซี แนะปรับทัศนคติใหม่

น.ส.จุไรรัตน์ แสงบุญนำ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า จุดอ่อนที่สำคัญของเด็กไทยเวลานี้ คือ มีทักษะด้านภาษาอังกฤษอ่อนกว่าคนในประเทศเพื่อนบ้านที่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีขณะเดียวกันเด็กไทยยังไม่ตื่นตัวเรียนภาษาเพื่อนบ้านอาเซียนเนื่องจากมีทัศนคติที่ผิด ซึ่งอาจทำให้เสียโอกาสการแข่งขันในอนาคตได้

“เด็กไทยไม่ตื่นตัวด้านภาษาสื่อสารภาษาอังกฤษได้ไม่ดี พูดภาษาอาเซียนก็ไม่ได้ หากเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(เออีซี) จะทำให้เสียเปรียบการแข่งขันในตลาดงาน รวมทั้งอาจทำให้ไทยเสียโอกาสในธุรกิจท่องเที่ยวด้วย เพราะนักลงทุนต่างชาติอาจเข้ามาทำตลาดและชิงส่วนแบ่งไป” น.ส.จุไรรัตน์ กล่าว

ทั้งนี้ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอาเซียนมียอดนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วง5 ปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นปีละ 8.4% มีรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น เฉลี่ยปีละ 18%โดยประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นปีละ 11.2% รายได้จากการท่องเที่ยวขยายตัว 17.6%

นอกจากนี้ ยังมีการคาดการณ์ว่าภูมิภาคอาเซียนจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงปี 2558-2563 เพิ่มขึ้น 6.5% สูงกว่าอัตราการเติบโตเฉลี่ยของโลกระดับ 4.1%

น.ส.จุไรรัตน์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันประเทศกลุ่มซีแอลเอ็มวี ได้แก่ กัมพูชาลาว พม่า และเวียดนาม มีการสอนภาษาไทยอย่างเข้มข้นมากขึ้น เพราะเห็นว่าไทยมีศักยภาพด้านแหล่งท่องเที่ยว รวมทั้งเป็นศูนย์กลางการคมนาคม จึงทำให้หลายประเทศสนใจมาลงทุนด้านอุตสาหกรรมต่างๆ ในไทยมากขึ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมท่องเที่ยว

นอกจากนี้ ประเทศกลุ่มนี้ต่างเร่งพัฒนาคุณภาพการศึกษา หากประเทศไทยไม่พัฒนาตัวเอง อาจถูกประเทศอื่นแซงหน้าในอนาคต อย่างไรก็ตาม คาดหวังว่าการรวมตัวประชาคมอาเซียนจะช่วยกระตุ้นให้เด็กไทยหันมาให้ความสำคัญด้านภาษามากขึ้น

ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34901&Key=hotnews

ปลัด ศธ.หนุนเพิ่มเงินพิเศษ ‘ครู’ สาขาขาดแคลน-สอนเก่ง-ร.ร.เสี่ยงภัย

22 พฤศจิกายน 2556

เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน นางสุทธศรี วงษ์สมาน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการขับเคลื่อนการผลิตและพัฒนาวิชาชีพครูตามนโยบายของนายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการ ศธ. ว่า ขณะนี้ได้มีการยกร่างตั้งคณะกรรมการมาขับเคลื่อนในการผลิตและพัฒนาวิชาชีพครูเพื่อนำเสนอรัฐมนตรีว่าการ ศธ.แล้ว ซึ่งวันที่ 23 พฤศจิกายน จะมีการระดมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเรื่องการผลิต เช่น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) เป็นต้น มาร่วมหารือเรื่องการผลิตครูทั้งระบบ ส่วน วันที่ 24 พฤศจิกายน จะระดมหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาวิชาชีพครูทั้งระบบ โดยเรื่องการพัฒนาวิชาชีพครู จะต้องนำมาพิจารณาทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นการคัดเลือก แต่งตั้งคนเข้ามาเป็นครู จะมีหลักเกณฑ์ใหม่ๆ หรือไม่ และจะทำอย่างไรให้คนเก่งและดีมาเป็นครูซึ่งจะมีเรื่องใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยต้องเอื้อให้คนเหล่านั้น มาเป็นครูในปริมาณที่เพียงพอและตรงตามความต้องการ และเมื่อได้ครูเข้ามาในระบบแล้ว จะต้องมีการพัฒนาให้เชื่อมโยงกับผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน รวมทั้งจะต้องดูโอกาสและความก้าวหน้าของครู นอกจากนี้ จะต้องดูเรื่องขวัญและกำลังใจของครูในเรื่องหนี้สินต่างๆ ด้วย

ปลัด ศธ.กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เสนอให้เงินเพิ่มพิเศษแก่ครูในสาขาวิชาชีพที่ขาดแคลนนั้น มี ความเป็นไปได้เพื่อเป็นการรับรองวุฒิการศึกษาในสาขาขาดแคลนและจะได้ดึงดูดให้คนเก่งมาเป็นครู ทั้งนี้ การให้เงินเพิ่มพิเศษดังกล่าว คิดว่าคงไม่ให้เฉพาะครูสาขาขาดแคลน แต่ควรจะพิจารณาให้ครูในส่วนอื่นๆ ด้วย เช่น ครูในพื้นที่ห่างไกล ครูในพื้นที่เสี่ยงภัย ครูที่ทุ่มเทการเรียนการสอนมาก ครูที่สอนหนังสือเก่ง แต่ไม่มีเวลาทำผลงานทางวิชาการ เป็นต้น โดยทั้งหมดนี้ จะต้องให้ได้ข้อสรุปเพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องพิจารณาต่อไป

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34900&Key=hotnews