Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

โชว์กึ๋นสิ่งประดิษฐ์เด็กแก้น้ำท่วม สอศ.ผุดนวัตกรรม – รองรับศูนย์ซ่อมสร้างช่วยปชช.

3 ตุลาคม 2556

นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า ทุกๆ ปีสำนักวิจัยและพัฒนาอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้กำหนดจัดการแข่งขันประกวดสิ่งประดิษฐ์ ของคนรุ่นใหม่ เพื่อให้นักเรียน นักศึกษา อาชีวศึกษา ส่งผลงานเข้าประกวดเป็นประจำ

โดยปีการศึกษา 2556 กำหนดประเภทสิ่งประดิษฐ์ออกเป็น 6 ประเภท และกำหนดหัวข้อย่อยให้มีสิ่งประดิษฐ์เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมด้วย เนื่องจากในช่วงระยะหลังๆ ประเทศไทยประสบปัญหาอุทกภัย และ ทุกครั้งถึง สอศ.จะสนับสนุนสุขาลอยน้ำ เรือท้องแบน ตลอดจนจัดตั้งศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน (Fix it Center) เพื่อช่วยเหลือ ตรวจเช็ก และซ่อมแซมรถจักรยานยนต์ หรืออุปกรณ์ต่างๆ ที่จมน้ำแล้ว แต่ก็ยังไม่ครอบคลุม เพียงพอ สอศ.จึงกำหนดหัวข้อย่อยที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมรับมือปัญหาน้ำท่วม ขึ้นมา

“อย่างเช่นเรือท้องแบนที่นำไปบริการชาวบ้านที่เดือดร้อนยังมีข้อจำกัดอยู่ เช่น มีน้ำหนักมากจนเป็นอุปสรรคต่อการใช้งานในพื้นที่น้ำตื้น หรือเคลื่อนย้ายไปใช้งานในบางพื้นที่ ดังนั้น อาจจะต้องมีการออกแบบเรือที่เหมาะสมกับสภาพการใช้งานที่แตกต่างกัน เช่น เรือแอร์โบ๊ต ซึ่งเป็นเรือที่ทำจากไฟเบอร์กลาส มีเครื่องยนต์และใบพัดอยู่บนเรือด้านหลังคนขับ

ซึ่งที่ผ่านมาเรือแอร์โบ๊ตผลงานนักเรียน นักศึกษา ได้รับการพัฒนาจนสามารถนำมาใช้งานในพื้นที่ จ.สระแก้ว มาแล้วเมื่อปี 2555 หรืออย่างเครื่องกรองน้ำ ซึ่งเป็นผลงานที่นักเรียน นักศึกษา ส่งเข้าประกวดในปี ที่ผ่านๆ มาก็ใช้ประโยชน์ได้จริง เพราะมีคุณสมบัติคือ ใช้ได้ทั้งในพื้นที่ที่มีไฟฟ้าและไม่มีไฟฟ้า รวมถึงใช้กรองได้ทั้งน้ำประปาและไม่ใช่น้ำประปาอีกด้วย ซึ่งนวัตกรรมเหล่านี้เราอยากให้เกิดขึ้นอีกในการแข่งขันสิ่งประดิษฐ์ในปีนี้ เพื่อที่อนาคตจะสามารถนำไปใช้อำนวยความสะดวก หรือช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ประสบอุทกภัยได้จริง” เลขาธิการ กอศ.กล่าว

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 4 ต.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34345&Key=hotnews

วชช.เตรียมรับมือสังคมผู้สูงวัย

3 ตุลาคม 2556

นายกฤษณพงศ์ กีรติกร ประธานคณะกรรมการวิทยาลัยชุมชน กล่าวบรรยายเรื่อง “บทบาทสภาวิชาการกับกรอบนโยบายในการจัดการศึกษาของวิทยาลัยชุมชน (วชช.)” ที่รามาดาพลาซ่า แม่น้ำริเวอร์ไซด์ เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า ขณะนี้ร่าง พ.ร.บ.วิทยาลัยชุมชนผ่านการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) จากนี้จะเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร โจทย์ใหม่ของ วชช.คือมีผู้อยู่ในวัยทำงาน 35-40 ล้านคน และในจำนวนดังกล่าวเป็นนักศึกษาของ วชช.ประมาณ 11 ล้านคน โดย 29-30% จบการศึกษาจากสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) ประถมศึกษา และมัธยมศึกษา

นายกฤษณพงศ์ กล่าวว่า ดังนั้นจึงจำเป็นที่ วชช.ต้องเข้าไปเก็บตกกลุ่มวัยแรงงานที่ยังขาดโอกาสทางการศึกษาในระดับอุดมศึกษา ขณะเดียวกันต้องเตรียมความพร้อมเพราะประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย หรือแม้แต่นโยบายภาครัฐที่กำลังจะเกิดขึ้น เช่น กองทุนตั้งตัวได้ การลงทุน 2.2 ล้านล้านบาท เพื่อวางโครงสร้างระบบสาธารณูปโภคของประเทศ สิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นนี้ต้องเริ่มที่ วชช. สภาวิชาการของวิทยาลัยชุมชนต้องเป็นสมองให้กับ วชช. ด้วยการคิดหลักสูตรระดับอนุปริญญา หลักสูตรอาชีพ หรือหลักสูตร Modula เพื่อสนองตอบชุมชน และสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศ

–มติชน ฉบับวันที่ 4 ต.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34344&Key=hotnews

“จาตุรนต์” จี้เลื่อนสอบรับตรงหลังเด็กเรียนจบ

3 ตุลาคม 2556

จากกรณีที่ นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ มีแนวคิดปรับระบบการสอบรับตรงของมหาวิทยาลัย ขณะที่มหาวิทยาลัยหลายแห่งแสดงความไม่เห็นด้วยนั้น นายจาตุรนต์กล่าวว่า เป็นประเด็นที่เสนอต่อสังคมเพื่อให้ช่วยกันคิดว่าระบบที่ดำเนินการกันมาดีหรือไม่ อย่างไร ไม่ได้เป็นนโยบายที่สั่งการมหาวิทยาลัยต้องดำเนินการ ซึ่งขณะนี้มอบหมายให้จัดวงพูดคุยกันทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ก็กำลังขอข้อมูลการรับตรงของทุกมหาวิทยาลัยเพื่อมาพิจารณาถึงภาพรวมทั้งหมด ซึ่งสาเหตุสำคัญที่จุดประเด็นนี้ขึ้นมา เพราะเป็นเรื่องที่มีการร้องเรียนและวิพากษ์วิจารณ์กันมานานแล้วว่าระบบการรับตรงของมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่ทำอยู่เวลานี้ส่งผลกระทบต่อความไม่เป็นธรรมต่อเด็กส่วนใหญ่ที่ทำให้ไม่มีสิทธิ์สอบเข้ามหาวิทยาลัย และยังส่งผลกระทบต่อการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างร้ายแรง

รมว.ศึกษาธิการกล่าวด้วยว่า กรณีที่มหาวิทยาลัยไม่เห็นด้วยนั้น เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นการสั่งการให้ดำเนินการ แต่เป็นเรื่องที่เป็นปัญหาที่อยากให้ทำความเข้าใจและเกิดการแลกเปลี่ยน หากเสียงส่วนใหญ่เห็นดีอย่างไรก็ต้องคำนึงถึงเสียงส่วนใหญ่ และต้องประกาศก่อนล่วงหน้า 3 ปี จึงไม่มีผลต่อเด็ก ม.5-6 ในขณะนี้ แต่สิ่งที่อยากให้ปรับเปลี่ยนโดยเร็วที่สุด ซึ่งสามารถดำเนินการได้คือ เลื่อนสอบรับตรงออกไปหลังเด็กเรียนจบหลักสูตร ไม่ใช่จัดสอบกันขณะที่เด็กยังเรียนไม่จบอย่างเช่นที่หลายแห่งกำลังจัดสอบเวลานี้.

ที่มา: http://www.thairath.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34343&Key=hotnews

มทร.ธัญบุรีเปิดรับ ปวส.เรียนต่อ ป.ตรี

3 ตุลาคม 2556

รศ.ดร.ประเสริฐ ปิ่นปฐมรัฐ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (มทร.ธัญบุรี) เปิดเผยว่า ตามที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการมอบหมายให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.)มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) และมทร.ธัญบุรี ทำการวิจัยสถานการณ์อาชีวศึกษาและจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อพัฒนาการอาชีวศึกษาของประเทศ ทำให้ทราบว่าขณะนี้ปัญหาสำคัญของการอาชีวศึกษาไทยที่เป็นปัญหาหลัก คือ เรื่องบุคลากรที่กำลังประสบปัญหาขาดแคลนอัตรากำลัง เนื่องจากมีแนวโน้มครูที่มีความเชี่ยวชาญจะเกษียณอายุราชการเพิ่มมากขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ขณะเดียวกันก็มีปัญหาครูอาชีวศึกษาไม่ค่อยได้รับการอบรมเพื่อเพิ่มทักษะความชำนาญเท่าที่ควร ซึ่งอาจเป็นเพราะขาดงบประมาณในส่วนนี้

อธิการบดีมทร.ธัญบุรี กล่าวต่อไปว่า จากผลการวิจัยดังกล่าวทางคณะผู้วิจัยทั้ง 4 สถาบันจึงมีความเห็นร่วมกันว่าพร้อมที่จะให้การสนับสนุนการพัฒนาครูอาชีวศึกษาทั้งการเรียนต่อในระดับปริญญาตรี โท เอก รวมถึงเป็นพี่เลี้ยงในการฝึกอบรมเฉพาะทางและการพัฒนาหลักสูตรอาชีวศึกษา เพราะเห็นความจำเป็นที่จะต้องเร่งยกระดับและพัฒนาครูอาชีวศึกษาให้ได้เรียนต่อสายตรง หรือเข้ารับการอบรมเฉพาะทางให้มากขึ้น นอกจากนี้ในการลงพื้นที่เก็บข้อมูลยังมีเสียงเรียกร้องให้มทร.ธัญบุรี เปิดหลักสูตรต่อเนื่องระดับปริญญาตรี ในสายเทคโนโลยี/สายวิชาชีพ (ปฏิบัติการ) เพื่อรับผู้ที่จบหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ให้ได้เรียนต่อระดับปริญญาตรีในระหว่างที่สถาบันการอาชีวศึกษายังไม่พร้อม ซึ่งมทร.ธัญบุรีก็รับปากที่จะช่วยดูแล โดยจะเริ่มในปีการศึกษา 2557 นี้ทันที

“วันนี้เด็กที่จบ ปวส.จากอาชีวศึกษา มีเส้นทางการเรียนต่อน้อย ทำให้เด็กไม่ค่อยอยากเรียนอาชีวะ ประกอบกับหลายปีที่ผ่านมามหาวิทยาลัย หรือ สถาบันเทคโนโลยีเกือบทุกแห่ง รวมถึง มทร.ธัญบุรี เน้นรับเด็กที่จบ ม.6 จึงมีการเรียกร้องให้เราเปิดเส้นทางให้ จนกว่าสถาบันการอาชีวศึกษาที่ตั้งขึ้นจะมีความพร้อม” รศ.ดร.ประเสริฐ กล่าว.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34342&Key=hotnews

ดีเอสไอ สั่งสอบครูผู้ช่วยกว่า 2 พันราย คุณสมบัติไม่ผ่าน

3 ตุลาคม 2556

กรมสอบสวนคดีพิเศษ ส่งเรื่องถึงกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อให้ตรวจสอบสอบคุณสมบัติครูผู้ช่วย 2,161 ราย หลังพบผู้สมัครสอบบรรจุยังขาดคุณสมบัติ

นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เผยถึงผลการดำเนินคดีพิเศษกรณีทุจริตการสอบคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่าผู้สมัครสอบคัดเลือกมีคุณสมบัติไม่ครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ทั้งการยื่นเอกสารหลักฐานการสมัครสอบไม่ถูกต้อง หรือขาดคุณสมบัติในการสมัครสอบ ดีเอสไอ จึงทำหนังสือถึงกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อแจ้งไปยังเขตพื้นที่การศึกษา ให้เร่งดำเนินการตรวจสอบบุคคลที่ได้รับการบรรจุแต่งตั้งเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วยแล้ว จำนวนทั้งสิ้น 2,161 ราย และหากพบการกระทำความผิดขอให้ดำเนินการทางวินัยและทางอาญากับผู้ที่กระทำความผิดในการสมัครสอบทันที
สำหรับหลังการสืบสวนสอบสวนพบว่า มีผู้ที่สอบได้และได้รับการบรรจุแต่งตั้งแล้วมีคุณสมบัติไม่ครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้น ได้แก่

1. ผู้สมัครสอบได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู หรือใบอนุญาตปฏิบัติการสอน หรือหนังสือรับรองสิทธิที่ออกให้โดยคุรุสภา ตามคำสั่งจ้างหรือสัญญาจ้างรวมกันไม่ครบ 3 ปี
2. สัญญาจ้างที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติการสอนมีระยะเวลารวมกันไม่ครบ 3 ปี
3. มีการรับรองคุณสมบัติของผู้สมัครสอบที่ไม่ชอบด้วยระเบียบกฎหมาย

นอกจากนี้ ยังพบว่า ยังมีปัญหาข้อสอบรั่วรวมทั้งมีการนำเครื่องมือสื่อสารเข้าไปภายในห้องสอบ ขณะนี้พบปัญหาเพิ่มผู้ที่สอบได้คะแนนสูงจำนวน 344 คน และคนที่สอบไม่ได้ก็มีปัญหาว่ามีคุณสมบัติที่ไม่ครบ แต่กับได้รับการพิจารณาให้สอบผ่าน ดังนั้นผู้ที่เข้าข่ายต้องถูกดำเนินการเอาผิด คือ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบใบสมัครสอบด้วย

–อินโฟเควสท์ โดย สุดทีวัล สุขใส/ณัฐชญา อัครยรรยง อีเมล์: natchaya@infoquest.co.th–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34338&Key=hotnews

เลขาธิการ กกอ.ค้านตั้งกระทรวงอุดมฯ ชงแก้ กม.แยกเป็นทบวงแทน

3 ตุลาคม 2556

นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยถึงกรณีข้อเสนอของที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย(ทปอ.)ที่กำลังศึกษาและจัดทำโครงการจัดตั้งกระทรวงอุดมศึกษาและวิจัย เนื่องจากเห็นว่าการอยู่รวมกับกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)ทำให้เกิดปัญหาในการทำงานที่ไม่คล่องตัว ว่า ตนต้องขอเข้าไปศึกษารายละเอียดต่าง ๆ ก่อน และเท่าที่ดูขณะนี้มหาวิทยาลัยเองมีอิสระในการทำงานอยู่แล้ว โดยตอนนี้ยังมองไม่เห็นงานอะไรของมหาวิทยาลัยที่จะต้องเสนอผ่านศธ. ยกเว้นเรื่องงบประมาณ ซึ่งต่อไปถ้าพ.ร.บ.การอุดมศึกษา มีผลบังคับใช้แล้ว ก็จะเป็นกลไกที่หนึ่งที่เข้ามาช่วยจัดสรรงบประมาณให้สอดรับกับความต้องการของมหาวิทยาลัย และทำให้คล่องตัวมากขึ้น ดังนั้นก็อาจจะไม่จำเป็นที่จะต้องพูดเรื่องการแยกกระทรวง

เลขาธิการกกอ. กล่าวต่อว่า เว้นแต่มองว่า มหาวิทยาลัยอยากนำเรื่องงานวิจัยเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แต่ตรงนั้นก็ต้องมองภาพกว้างไปที่หน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย อาทิ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เป็นต้น ต้องมองเป็นโครงสร้างขนาดใหญ่ ขณะเดียวกันยังมีอีกหลายโมเดลที่น่าสนใจ ต้องศึกษารายละเอียดให้รอบคอบก่อน เพราะถ้าแยกออกไปเลยอาจจะมีปัญหา

“จริง ๆ อาจจะต้องไปดูแนวทางอื่น ๆ เพิ่มเติม โดยแนวทางที่น่าสนใจคือ เป็นทบวงอิสระที่อยู่ในสังกัด ศธ. ซึ่งในกฎหมายระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน กำหนดให้มีทบวงใต้กระทรวงได้ โดยมีปลัดทบวงฯ เป็นผู้กำกับดูแล อย่างไรก็ตามปัจจุบันระบบการบริหารงานของสกอ.เป็นรูปแบบคณะกรรการการอุดมศึกษา(กกอ.)ขึ้น โดยมีเลขาธิการกกอ. อยู่ในการกำกับดูแล ดังนั้นในการบริหารงานรัฐมนตรีว่าการศธ. ก็ถูกตัดออกจากสายงานบังคับบัญชาอยู่แล้ว เป็นการกระจายอำนาจให้กกอ. เป็นผู้กำหนดนโยบาย และเลขาธิการกกอ.เป็นคนรับไปดำเนินการบริหารจัดการ เป็นระบบที่กระจายอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการศธ.ลงมา แต่หากจะต้องมีการปรับเปลี่ยนจริง ๆ การเปลี่ยนสถานะเป็นทบวงที่อยู่ภายใต้ศธ. ก็ถือเป็นอีกแนวทางที่น่าสนใจ ” นายทศพรกล่าว

Source – มติชนออนไลน์ (Th)

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34336&Key=hotnews

“อนุดิษฐ์” หวั่นแจกคูปองแท็บเล็ตทำระบบการเรียนป่วน

3 ตุลาคม 2556

“อนุดิษฐ์” ปัด ไม่ทราบกรณีที่ สพฐ.เล็งแจกคูปองแท็บเล็ต 3,000 บาท ให้เด็ก ป.1 และ ม.1 ระบุ หากต่างคนต่างซื้ออาจมีปัญหารุ่นและเครื่องที่ต่างกัน เกรงจะเชื่อมโยงข้อมูลไม่ได้ แง้มขอศึกษาข้อมูลก่อน

วานนี้ (2 ต.ค.) ที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีที กล่าวถึงกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เสนอแนวคิดให้รัฐบาลพิจารณาแจกคูปองมูลค่า 3,000 บาท ให้กับเด็กนักเรียนชั้นป.1 และ ม.1 แทนการแจกเครื่องแท็บเล็ตตามนโยบายของรัฐบาล ในปีการศึกษา 2557 ว่า ส่วนตัวยังไม่ทราบรายละเอียดในเรื่องดังกล่าว และยังไม่ได้มีการหารือกันทั้งกับสพฐ.และ กระทรวงศึกษาธิการ
อย่างไรก็ตาม ในความเห็นส่วนตัวหากนักเรียนใช้แท็บเล็ตรุ่นที่ต่างกัน ระบบปฏิบัติการที่ต่างกัน สเปคเครื่องที่ต่างกัน จะต้องมาดูว่าจะสามารถเชื่อมต่อข้อมูลถึงกันได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ เพราะส่วนสำคัญในการใช้แท็บเล็ตในห้องเรียนนั้น จะต้องใช้กระบวนการในการเรียนการสอนร่วมกันได้ ซึ่งหากต่างคนต่างซื้อ ก็อาจจะมีปัญหาในเรื่องของระบบที่จะเชื่อมโยงกัน

ทั้งนี้ หากมีแนวความคิดว่าจะดำเนินการดังกล่าว ก็ต้องกำหนดมาตรฐานของเครื่องว่าจะเป็นแบบใด และรองรับอะไรได้บ้าง ถ้าสามารถจัดการเรื่องมาตรฐานซอฟต์แวร์ ระบบปฏิบัติการ ตลอดจนแอพพลิเคชั่นได้นั้น แนวคิดดังกล่าวก็อาจจะเป็นไปได้

“ปัจจุบันกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้บริหารจัดการเรื่องการแจกแท็บเล็ต ทั้งการจัดหาและการใช้จ่ายงบประมาณ โดยความเป็นไปได้หรือไม่ว่าจะมีการแจกคูปองนั้น ตนไม่ขอออกความเห็นในตอนนี้ เนื่องจากยังไม่เห็นรายละเอียด ซึ่งในมุมมองการบริหารจัดการแท็บเล็ตนั้น ทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่าแท็บเล็ตมีความจำเป็นต่อการศึกษาและยังช่วยให้นักเรียนมีความกระตือรือร้นสนใจการเรียนมากขึ้น” น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าว.

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34335&Key=hotnews

ข่าวดี!! คุรุสภาฟื้น ป.บัณฑิต

3 ตุลาคม 2556

คอลัมน์ ชีพจรครู
กลับมาพบกันอีกครั้งกับคอลัมน์
“ชีพจรครู” ซึ่งสัปดาห์นี้มีข่าวดีมาป่าวประกาศให้เพื่อนครูรับทราบเหมือนเช่นเคย นั่นคือ การฟื้นหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพครู หรือ ป.บัณฑิต ต้องบอกว่า เป็นข่าวดีอย่างมาก เพราะก่อนหน้านี้ทั้งครูและสถาบันการผลิตครูต่างเรียกร้องมาที่สำนักงานเลขาธิการคุรุสภาว่าขอให้สถาบันการศึกษาสามารถเปิดสอนหลักสูตรป.บัณฑิตได้ ภายหลังคณะกรรมการคุรุสภาได้มีมติยกเลิกการจัดการสอนไปเมื่อปี 2553 เนื่องจากเกิดปัญหาสถาบันการศึกษาจัดการเรียนการสอนไม่ได้คุณภาพ ทำให้เกิดปัญหาซื้อขาย ป.บัณฑิต โดยเฉพาะตามศูนย์การศึกษานอกที่ตั้งต่างๆ ขณะเดียวกันยังรับคนที่ไม่ได้เป็นครูมาเรียนอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดคณะกรรมการคุรุสภาทนเสียงเรียกร้องไม่ไหว จึงได้มีมติเห็นชอบให้เปิดสอนหลักสูตร ป.บัณฑิตอีกครั้ง นายไพฑูรย์ สินลารัตน์ ประธานคณะกรรมการคุรุสภา กล่าวว่า ขณะนี้มีความจำเป็นที่จะต้องเปิดหลักสูตร ป.บัณฑิต อีกครั้ง เพื่อเปิดโอกาสให้คนที่เป็นครูประจำการ หรือครูจ้างสอน ที่ปัจจุบันมีจำนวนประมาณ 7-8 หมื่นคน แต่ยังไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู ได้พัฒนาตัวเองเพื่อให้ได้รับใบอนุญาตฯ โดยที่ประชุมคณะกรรมการคุรุสภา ได้มอบหมายให้สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา วางหลักเกณฑ์และแบบประเมินการติดตามหลักสูตรการเรียนการสอนทางด้านครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ ซึ่งจะคุมตั้งแต่หลักสูตร จำนวนผู้เรียน รายชื่อผู้เรียน รายชื่อผู้สอนที่จะต้องส่งให้คณะกรรมการคุรุสภาอนุญาตก่อนจึงจะเปิดสอนได้ ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถจัดทำหลักเกณฑ์แล้วเสร็จและเริ่มเปิดหลักสูตร ป.บัณฑิตได้อีกครั้งอย่างช้าในปีการศึกษา 2557

อย่างไรก็ตาม หลักสูตร ป.บัณฑิตที่จะเปิดใหม่นี้ จะเปิดให้เฉพาะคนที่เป็นครูอยู่แล้ว เช่น ครูอัตราจ้างในโรงเรียนต่างๆ ที่ยังไม่มีใบอนุญาตฯ ไม่รับคนทั่วไป โดยจะต้องได้รับการรับรองจากสถานศึกษาว่าได้ทำการสอนจริงๆ นอกจากนี้ที่ประชุมยังหารือถึงเรื่องการควบคุมคุณภาพการเปิดสอน ป.บัณฑิต โดยเห็นว่าที่ผ่านมาวิชาชีพครูค่อนข้างอะลุ้มอล่วย ทำให้หลายสถาบันจัดการศึกษาไม่มีคุณภาพ ดังนั้น ในอนาคตถ้าต้องการให้วิชาชีพครูมีคุณภาพจริงๆ ต้องดูแลเชิงคุณภาพอย่างเข้มข้น โดยต่อไปหลักสูตรที่เปิดสอน จะต้องได้รับการรับรองจากคณะกรรมการคุรุสภาก่อน และจำนวนผู้เรียนจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด เป็นต้น ขณะเดียวกันหลักเกณฑ์สำหรับสถาบันที่จะเปิดสอน ป.บัณฑิต ก็ต้องเข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะอาจารย์ผู้สอน จะต้องมีตัวตนจริงๆ จำนวนผู้สอนกับจำนวนนักศึกษาเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด และจะอนุญาตให้เปิดสอนเฉพาะในที่ตั้งเท่านั้น ไม่ให้เปิดสอนนอกสถานที่ตั้งเด็ดขาด เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการจัดการศึกษาไม่มีคุณภาพ

อย่างไรก็ตาม การฟื้นหลักสูตร ป.บัณฑิตดังกล่าว ดูจะมีข้อห่วงใยจากนายสุรวาท ทองบุ ประธานสภาคณบดีครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย ที่มองว่าคนที่มาเรียน จะเป็นครูประจำการหรือครูจ้างสอนแท้จริงหรือไม่ ดังนั้น จึงเสนอให้คุรุสภาเป็นผู้ตรวจสอบข้อมูลว่าคนที่ถูกส่งรายชื่อมา เป็นครูที่ปฏิบัติการสอนจริงๆ วุฒิการศึกษาตรงกับความต้องการ และขาดแคลนครูหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาพบปัญหาว่าโรงเรียนรับคนที่จบในสาขาที่แปลก และไม่เหมาะสมมาเป็นครู เช่น สาขาการโรงแรม สาขาการจัดการ สาขาบริหารธุรกิจ เป็นต้น และส่งคนเหล่านี้มาเรียนหลักสูตร ป.บัณฑิต ซึ่งคนที่จบสาขาเหล่านี้ อาจไม่ตอบโจทย์ด้านคุณภาพการศึกษาในระยะยาว แต่หากจบวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ แล้วรับมาเป็นครู จะส่งเสริมคุณภาพการศึกษาได้ดีมาก จึงอยากให้เข้มงวดในการรับเข้าเรียน

เป็นอีกเสียงสะท้อน ที่คุรุสภาคงต้องไปขบคิดเพื่อหาแนวทางการแก้ไขให้ลงตัวและสามารถตอบโจทย์คุณภาพการศึกษาให้ได้มากที่สุด…

ที่มา : นสพ.มติชน

ที่มา: http://www.prachachat.net

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34334&Key=hotnews

ฮือฮาวัดเชียงราย-เปิด ร.ร.ผู้เฒ่า

3 ตุลาคม 2556

ร.ร.ผู้เฒ่า – ผู้สูงอายุนับร้อยคนเข้าเรียนหนังสือทั้งภาษาไทย อังกฤษและจีน ที่วัดหัวฝาย อ.พาน จ.เชียงราย โดยบางคนอายุมากถึง 96 ปี เจ้าอาวาสเผยต้องการสร้างวัดเป็นศูนย์การเรียนของผู้สูงวัย เมื่อวันที่ 1 ต.ค.

เมื่อวันที่ 1 ต.ค. ที่วัดหัวฝาย ต.สันกลาง อ.พาน จ.เชียงราย พระครูปิยวรรณ พิพัฒน์ เจ้าอาวาส เปิดเผยว่า ทางวัดได้เปิดสถานศึกษาเพื่อให้ความรู้เบื้องต้นแก่ผู้ใหญ่ ซึ่งมีนักเรียน เป็นหญิงสูงอายุชื่อคุณยายจันสม เจียมสกุล อายุกว่า 96 ปี เป็นหนึ่งใน 100 คนของผู้ที่มาสมัครเรียน ที่โรงเรียนวัดแห่งนี้ อาตมาเป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียนตั้งแต่ปี 2554 โดยร่วมกับทางชุมชนและศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจัดตั้งขึ้นเพื่อให้ความรู้เบื้องต้นกับผู้ที่อยู่ในวัยผู้ใหญ่และทำกิจกรรม เข้าแถวเคารพธงชาติ และสวดมนต์ไหว้พระ ยายจันสมก็มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงเดินเหินได้ดีร่วมทำกิจกรรมกับเพื่อนร่วมชั้นเรียนเป็นประจำ

เจ้าอาวาสกล่าวว่า ทางโรงเรียนยังได้เชิญครูผู้สอนที่สมัครใจมาให้ความรู้ด้านต่างๆ กับ ผู้เข้าเรียนไม่ว่าจะการอ่านหนังสือ และเขียนภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และจีน เบื้องต้น ฯลฯ ปัจจุบันมีครูอาสาผลัดเปลี่ยนกันมา 20 คน ส่วนผู้เข้าเรียนก็รับสมัครเป็นรุ่นๆ แต่ละรุ่นใช้เวลาเรียนประมาณ 1 ปี เพราะไม่ใช่หลักสูตรเร่งรัดใดๆ จนกว่าผู้เรียนจะเข้าใจ นอกจากนี้ยังมีการเรียนและทำกิจกรรมนันทนาการและเพื่อส่งเสริมสุขภาพแก่ผู้สูงอายุ เช่น จัดรำวงย้อนยุค เต้นรำประกอบท่าทาง รวมถึงการฝึกสอนด้านการทำสมุนไพรประเภทลูกประคบ ขนมพื้นบ้าน ถักทอผ้า สานทางมะพร้าว ฯลฯ เพื่อใช้ในกิจกรรมภายในชุมชนหรือสร้างรายได้ให้กับผู้เข้าเรียน

ด้านคุณยายจันสมกล่าวว่า ตนเป็นนักเรียนรุ่นที่ 2 และคงเป็นผู้ที่มีอายุมากที่สุด แม้ว่า หูตาจะฝ้าฟางมองเห็นไม่ค่อยชัดเจน รวมทั้งหูไม่ค่อยจะได้ยินเสียงแต่ก็มีความตั้งใจเรียนรู้ เพราะการมาเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ทำให้มีความรู้ด้านภาษาบอกกล่าวลูกหลานได้ ขณะเดียวกันมีการทำอาหารและมีกิจกรรมอื่นๆ ทำ ให้มีเพื่อนมากมาย ทำให้มีความสุขซึ่งเชื่อว่าจะทำให้ร่างกายมีสุขภาพที่แข็งแรงด้วย

ที่มา: http://www.matichon.co.th/khaosod

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34333&Key=hotnews

เบรกคูปองซื้อแท็บเล็ต นร.’จาตุรนต์’ชี้แนวคิดไม่ตกผลึกเร่งอี-ออกชันโซน 3 อีก 4 แสนเครื่อง

2 ตุลาคม 2556

เมื่อวันที่ 1 ต.ค.56 นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ กล่าวถึงกระแสข่าวว่าในปีงบประมาณ 2557 รัฐบาลมีแนวคิดจะแจกคูปองเงินสด 3,000 บาท ให้ผู้ปกครองนักเรียนชั้น ป.1 และ ม.1 เพื่อนำไปซื้อแท็บเล็ต ว่า เป็นเพียงแนวคิดที่เสนอกัน แต่ไม่ใช่ข้อสรุป และขณะนี้ต้องดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างแท็บเล็ต ตามระเบียบในโครงการแท็บเล็ตเพื่อการศึกษาไทย ที่ผ่านมาให้เสร็จสิ้นเสียก่อนซึ่งในส่วนของโซน 3 ยังอยู่ระหว่างยกเลิกสัญญาและเปิดประมูลใหม่ซึ่งคาดว่าคงใช้เวลาไม่นานจากนั้นจะมีการประชุมสรุปบทเรียนที่ผ่านมาทั้ง 2 ปีงบประมาณว่า การจัดซื้อจัดจ้างมีข้อดีและข้อเสีย อุปสรรคอย่างไร เพื่อหาแนวทางแก้ไข โดยเฉพาะคือเรื่องของความล่าช้า ซึ่งเป็นเรื่องที่แก้ยาก เพราะตามระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีอี-ออกชั่น มีการกำหนดกฎเกณฑ์ที่รัดกุม เพื่อป้องกันการล็อกสเปกและการสมยอมราคา หากมีการร้องเรียน หรือทักท้วงก็ต้องตรวจสอบและชี้แจงข้อเท็จจริง ซึ่งมักจะใช้ระยะเวลานาน และส่งผลกระทบต่อนักเรียนที่ทำให้อุปกรณ์ไปถึงเด็กช้ามาก บางครั้งข้ามปีงบประมาณก็ยังดำเนินการไม่เสร็จอีกประเด็นเป็นเรื่องของคุณสมบัติ จะต้องพิจารณาว่าสามารถกำหนดมีสเปกที่มีคุณสมบัติสูงขึ้นได้หรือไม่ เพื่อรองรับแอพพลิเคชั่นที่จะพัฒนาไปอีก 2-3 ปีข้างหน้าด้วย

“ข้อเสนอที่จะให้มีการใช้คูปองแทนเป็นเพียงแนวคิดที่คิดว่าเด็กบางส่วนที่ครอบครัวมีฐานะ ก็อาจจะมีความต้องการแท็บเล็ตที่มีขีดความสามารถสูงขึ้น เพื่อการใช้ประโยชน์ที่มากขึ้น จึงคิดว่าน่าจะให้เป็นคูปองแทนเพื่อนำไปซื้อในสเปกที่ต้องการ โดยเพิ่มเงินส่วนต่างเอง แต่ไม่เกี่ยวกับการเปลี่ยนเป็นคูปองเพราะต้องการแก้ปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างที่เกิดปัญหาขึ้น รวมถึงงบประมาณการจัดซื้อที่ไม่เพียงพอ”

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า ในแนวคิดนี้ก็อาจจะยังมีปัญหาโดยเฉพาะความรู้สึกของเด็กที่อาจจะเกิดการเปรียบเทียบ รวมถึงรายละเอียดต่างๆ ที่ต้องพิจารณาประกอบด้วยคงต้องสำรวจความคิดเห็นของเด็ก ผู้ปกครองรวมถึงความพร้อมต่างๆ หากจะเปลี่ยนแปลงมาใช้คูปองแทน แต่เชื่อว่าเด็กส่วนใหญ่อาจจะไม่มีความพร้อม หรือฐานะที่จะจัดซื้อเองแนวคิดดังกล่าวจึงรองรับได้เฉพาะเด็กส่วนน้อยดังนั้นคิดว่าคงเป็นไปได้ยากที่จะใช้คูปองแทน

ด้านนายเอนก รัตน์ปิยะภาภรณ์ ผอ.เทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)กล่าวถึงแนวคิดแจกคูปองเงินสดว่า เนื่องจากวิธีจัดซื้อเดิมมีหลายขั้นตอนทำให้เกิดความล่าช้าในปีงบประมาณ 2556 นักเรียนควรจะได้รับแท็บเล็ตตั้งแต่เดือน พ.ค.-มิ.ย.56 แต่ด้วยกระบวนการต่างๆ ทำให้ได้รับเครื่องช้าประมาณเดือน พ.ย.56 ซึ่งเป็นภาคการศึกษาที่ 2 แล้วแม้ว่าจะเป็นการจัดซื้อแท็บเล็ตเป็นครั้งที่ 2 หลังจากประกาศเป็นนโยบายของรัฐบาลแล้วก็ตาม
“ขณะนี้ควรจะมีการหารือเรื่องสเปก การทำประชาพิจารณ์วิธีการจัดซื้อเครื่องแท็บเล็ตสำหรับปีงบประมาณ 2557 แล้ว แต่ก็ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ เพราะการจัดซื้อปี 2556 ยังไม่แล้วเสร็จ ดังนั้น การแจกคูปองน่าจะเป็นวิธีการที่รวดเร็ว และตรงตามความต้องการของผู้ปกครองและนักเรียนมากกว่า อีกทั้งการ เลือกซื้อเครื่องต่างยี่ห้อ ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อการบรรจุเนื้อหาและแอพพลิเคชั่น เพราะ สพฐ.ได้พัฒนาเนื้อหาสำหรับแท็บเล็ตทั้งในรูปแบบAndroid และ IOS สามารถฝากเนื้อหาดังกล่าวไว้ในระบบ Cloud ที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทุกเขตหรือในโรงเรียนได้” นายเอนก กล่าว
ความคืบหน้าการจัดซื้อแท็บเล็ตนักเรียนและครู จำนวนกว่า 1.6 ล้านเครื่อง ประจำปีการศึกษา 2556 ได้ลงนามอนุมัติการจัดซื้อแท็บเล็ตโซน 1 ชั้น ป.1 ภาคกลางและภาคใต้431,105 เครื่อง, โซน 2 ชั้น ป.1 ภาคเหนือและภาคอีสาน 373,637 เครื่อง และโซน 4 ชั้นม.1 และครู ภาคเหนือและภาคอีสาน 402,889 เครื่อง ซึ่งลอตแรกจะต้องมีการแจกให้กับนักเรียนและครูภายในเดือนหน้า ขณะที่โซน 3 ชั้น ม.1 และครู ภาคกลางและภาคใต้ 426,683 เครื่อง ที่ถูกยกเลิกไปต้องรอผลการอุทธรณ์จากกรมบัญชีกลางก่อนจึงสามารถจัดประมูลใหม่ได้

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34321&Key=hotnews